3
ถูกจับได้เสียแล้ว
ผลั่ก! บุรุษที่บอกว่าเป็นสหายของพี่ชายดันประตูให้เปิดออกอย่างแรง
ชายงามในห้องทั้งสามคนที่กำลังกินอาหารอยู่พลันสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบวางมือแล้วหันไปยิ้มต้อนรับคุณชายจิตใจดี
“คุณชายกลับมาแล้วหรือขอรับ”
“บอกลาชายงามของเจ้าซะ”
“พวกท่านตามสบายเถิดขอรับ นี่เป็นค่าเสียเวลาของพวกท่าน พี่ชายข้าจะพากลับจวนแล้ว เอาไว้ข้าจะมาหาพวกท่านใหม่นะขอรับ”
“เจ้ายังคิดจะมาในที่เช่นนี้อยู่อีกหรือ” สหายของพี่ชายหันมาถลึงตาใส่นาง
‘มันเป็นคำบอกลาที่ไม่ให้ดูเสียมารยาทเจ้าค่ะ บุรุษกักขฬะเช่นท่านคงไม่เข้าใจ’ นางค่อนขอดเขาในใจ
“คุณชายอย่าได้เกรงใจพวกเราเลยขอรับ” ชายงามทั้งสามมองคุณชายจิตใจดีด้วยสายตาอาวรณ์อยู่บ้าง
“รีบจ่ายตำลึงจะได้รีบกลับ”
“ขอรับ ๆ” นางตอบรับพลางนึกในใจ หากรีบก็กลับเองสิจะมาเร่งนางด้วยเหตุใด
“รับไปเถิดขอรับ ข้าเรียกพวกท่านมาข้าก็ต้องจ่าย” นางมอบก้อนตำลึงให้พวกเขาพลางน้ำตาตกใน ตำลึงทองที่นางเก็บหอมรอมริบไว้เกือบจะหมดถุงแล้ว
หอชายงามช่างเป็นแหล่งสูบเงินชั้นยอดเสียจริง ข้าเปิดบ้างดีหรือไม่ เผื่อจะได้มีเงินถุงเงินถังโดยไม่ต้องเอ่ยขอท่านแม่
“เสร็จแล้วใช่หรือไม่”
“ขอรับ”
“เช่นนั้นก็กลับจวนได้แล้ว” กล่าวจบก็จับข้อมือกลมกลึงแล้วลากคุณชายตัวปลอมออกจากห้องแห่งนั้น ทิ้งให้ชายงามทั้งสามมองตาม
“คุณชายรูปงามคงเป็นสามีของแม่นางน้อยผู้นั้นเป็นแน่”
“ข้าก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า แต่คงเป็นคนนิสัยไม่ดีเท่าใด มิเช่นนั้นฮูหยินของเขาคงไม่ลอบหนีมาเที่ยวหาความสำราญในหอชายงามเช่นนี้”
“ช่างน่าเสียดายแม่นางน้อยผู้นั้น สตรีจิตใจดีมีเมตตาเช่นนางสมควรจะได้เจอบุรุษที่ดี”
“นั่นสิ! ช่างน่าเสียดาย น่าเสียดาย” ชายงามทั้งสามกล่าวก่อนจะพากันออกจากห้องเช่นกัน
ด้านคุณหนูผู้มีจิตใจเมตตานั้นกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ดวงตาเมล็ดซิ่งกลอกมองซ้ายทีขวาทีคล้ายกำลังหาทางเอาตัวรอด
“หากคิดจะหนีไปก่อน เลิกคิดได้เลย”
‘หากท่านไปส่งข้าที่หน้าทางเข้าจวน ข้าก็ถูกท่านพ่อท่านแม่ต่อว่าสิ”
“หากเจ้าหนีไป ไม่ให้ข้าไปส่งถึงจวน ข้าจะไปบอกไห่ถิง ให้กลับจวนไปลงโทษซีอิ๋ง”
“ข้าทำผิด เหตุใดซีอิ๋งนางถึงต้องถูกลงโทษแทนขอรับ”
“ในบรรดาคนตระกูลฟ่านนอกจากไห่ถิง ข้าก็รู้จักเพียงนาง ดังนั้นเป็นนางต้องรับโทษแทนเจ้าก็ถูกต้องแล้ว”
“ข้า เผิงเย่ฟางขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดก็ให้มาลงโทษที่ข้าเผิงเย่ฟางเถิด”
“ขึ้นรถม้าได้แล้ว”
“ข้า ข้า...”
“ลงโทษซีอิ๋ง” เขากดเสียงต่ำเพื่อข่มขู่
‘ข้า เผิงเย่ฟาง ท่านไม่ได้ยินหรืออย่างไร’ แม้จะโต้แย้งไปเช่นนั้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าอยากสังหารคนของเขา นางได้แต่คอตกยอมเดินขึ้นรถม้าแต่โดยดี
“ก็ได้ขอรับ”
ก็เป็นอย่างที่คิด ภายในรถม้าเงียบกริบไร้เสียง สหายของพี่ชายผู้นี้นั่งหลับตานิ่งไม่ยอมเอ่ยปากสนทนาพานทำให้นางรู้สึกอึดอัดไปด้วย
‘สหายพี่ชายคนนี้มีนามว่าอะไร’ เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นหน้าเช่นนี้
‘บะ บุรุษผู้นี้ คงไม่ใช่พี่ชายซืออี้หรอกนะ’ ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ
จะไม่ให้นางตกใจได้อย่างไร ในเมื่อพี่ชายซืออี้เป็นหนึ่งในต้นเหตุที่จะทำให้นางและคนตระกูลฟ่านถูกประหารทั้งตระกูล
คังซืออี้ คือบุตรชายคนเดียวของชินอ๋อง อดีตแม่ทัพใหญ่ซึ่งบัดนี้ส่งคืนอำนาจทางการทหารแล้วพาพระชายาออกท่องเที่ยว ปล่อยให้บุตรชายอย่างคังซืออี้หรือชินอ๋องซื่อจื่ออยู่จวนตามลำพัง และเขาผู้นี้ยังเป็นคนที่ฟ่านไห่ถิงพึงใจ จนนำไปสู่การล่มสลายของตระกูลฟ่าน
“อย่าได้ริอ่านจ้องมองบุรุษอื่นด้วยสายตาเช่นนั้น”
“ขะ ขอรับ” ฟ่านซีอิ๋งตื่นตกใจไม่น้อยที่เขาทราบว่านางลอบมองเขาอยู่
“มิเช่นนั้นจะถูกตราหน้าว่าเป็นต้วนซิ่วได้”
“ขอรับ” โล่งอกไป นึกว่าความแตกเสียแล้ว แม้จะทราบดีว่าพี่ใหญ่และบิดามารดาเฝ้าประคบประหงมนาง แต่หากพวกเขาทราบว่านางปลอมตัวเป็นบุรุษลอบไปที่หอชายงาม ต่อให้รักมากเพียงใดก็คงไม่พ้นต้องโดนลงโทษเป็นแน่
“อยากทราบสิ่งใดก็เอ่ยปากถามมา”
“ท่านกล่าวว่าเป็นสหายของพี่ไห่ถิง ท่านมีนามว่าอันใดหรือขอรับ”
“ข้า...คังซืออี้” สิ้นเสียงของเขา นัยน์ตาเมล็ดซิ่งเบิกกว้าง สีหน้าของนางฉายแววตื่นตระหนกอย่างชัดเจน ทำให้เขาเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ
“ทะ ท่านคือพี่ซืออี้”
“อืม” เขาตอบรับพลางปรายตามองท่าทีของอีกฝ่าย
“ที่แท้เป็นชินอ๋องซื่อจื่อนี่เอง ขออภัยที่ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่”
“ที่แท้เป็นชินอ๋องซื่อจื่อนี่เอง ขออภัยที่ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่” “คนกันเองทั้งนั้นเจ้าอย่าได้กังวล ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าข้าไม่รู้จักทางไปจวนเผิง รถม้าคันนี้จึงจะไปส่งเจ้าที่จวนฟ่านแทน” “มิรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อขอรับ จอดให้ข้าลงตรงนี้ก็ได้ขอรับ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะหาทางกลับจวนเอง” “แต่บริเวณนี้มันมืดนัก ทางซ้ายก็เป็นจวนร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย เพราะทางขวาคือจวนที่มีคนเล่าลือกันว่ามีผีออกมาทักทายผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่บ่อยครั้ง” “ผะ ผีหรือขอรับ แล้วเหตุใดท่านถึงมาผ่านทางนี้” “ทางนี้มันเงียบสงบ ไม่มีรถม้าคันอื่นมาวิ่งเบียดให้วุ่นวาย แต่หากเจ้ายืนยันจะลงที่นี่ข้าก็จนใจจะเอ่ยปากห้าม” “เช่นนั้นต้องรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อไปส่งข้าใกล้ ๆ จวนตระกูลฟ่านด้วยขอรับ แต่ไม่ต้องส่งหน้าประตูจวนนะขอรับ ดึกดื่นเช่นนี้ข้าเกรงใจพวกเขา” “มิเป็นไร หากพวกเขาจะลงโทษเจ้าที่หนีออกมาเที่ยว บอกพวกเขาไปได้เลยว่าฟ่านซีอิ๋งเป็นคนบอกให้เจ้าออกมาตามดูไห่ถิง” ‘ข้าจะบอกเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อจะเผิงเย่ฟางหรือฟ่านซีอิ๋งก็เป็นข
‘อย่ามาคิดกลั่นแกล้งข้าเพื่อกลบเกลื่อนนะ ข้ายังจำภาพของท่านในหอชายงามได้ขึ้นใจ หน๊อย! กลับมาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้วคงเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องกลับบ้านมาร่วมพิธีปักปิ่นของข้าสินะ’ จึงโผล่หน้ามาเอาวันนี้ “คารวะชินอ๋องซื่อจื่อ” เป็นฟ่านเฉียนและฮูหยินแสดงความเคารพต่อสหายของบุตรชาย อย่างไรอีกฝ่ายก็มีศักดิ์สูงกว่าพวกตนเพราะเป็นถึงซื่อจื่อของอดีตแม่ทัพใหญ่ทั้งยังเป็นหลานชายของฮ่องเต้ “ท่านน้าทั้งสองอย่าได้เกรงใจกันเลย เป็นข้าที่ต้องคารวะท่านทั้งสอง” เขาโค้งตัวคำนับบิดามารดาของสหายด้วยท่าทีนอบน้อม “อย่าได้มากพิธีเลย” เป็นท่านเจ้ากรมยุติธรรมรีบประคองบุรุษที่สูงศักดิ์กว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ช่วงนี้ซืออี้จะขอมาอยู่อาศัยที่จวนของเราเป็นการชั่วคราว” ‘พี่ใหญ่ ท่านหลงใหลสหายจนไม่อยากห่างเชียวหรือถึงได้ให้เขามาค้างอ้างแรมถึงที่จวน’ ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ชายเสียแล้ว มิเช่นนั้นโทษประหารคงได้ตกใส่หัวคนตระกูลฟ่านเช่นในฝันร้ายของนาง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” เป
‘ย้ายมาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พี่ใหญ่จะหลงใหลจนยอมลงมือทำร้ายผู้อื่นเพื่อความรักเช่นนั้น’ นางคงต้องรีบมองหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ใหญ่แล้ว ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ครึ่งเค่อ บุรุษสองคนที่นั่งรถม้ากลับจวนฟ่านเพื่อเข้าร่วมพิธีปักปิ่นของคุณหนูฟ่านในวันพรุ่งนี้นั่งสนทนากันถึงเรื่องที่สหายสูงศักดิ์จะขอไปอาศัยที่จวนฟ่านเป็นการชั่วคราว “ตำหนักอ๋องน่ะหรือทรุดโทรมเพราะไร้คนดูแล” โกหกหรือไม่ นั่นตำหนักชินอ๋องเชียวนะ พวกขันทีนางกำนัลก็ยังมีอยู่ไม่ใช่หรือจะไร้คนดูแลได้อย่างไร “ใช่ เพราะเหตุนี้ข้าจึงสั่งปรับปรุงเมื่อวันก่อน ในระหว่างนี้ข้าจึงอยากจะขอไปอยู่ที่จวนของเจ้า” “เหตุใดต้องเป็นจวนของข้า เจ้าน่ะมีท่านลุงเป็นฮ่องเต้ มีท่านย่าเป็นไทเฮาลืมแล้วหรือ เหตุใดไม่เข้าไปอยู่ในวังหลวงเป็นการชั่วคราว” “ในวังหลวงหูตามากมาย ยากจะแยกแยะได้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู อีกอย่างการไปอยู่ร่วมจวนกับเจ้า ย่อมสะดวกในการปรึกษาหารือกัน ทั้งยังไม่เป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุใด ข้าหรือเจ้าไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งเกินไป” วาจาของสหายทำให
4สหายของพี่ชายที่ต้องผูกมิตร ส่วนฟ่านซีอิ๋งก็ถูกปลุกให้ตื่นตั้งแต่เช้า เพื่อแต่งเนื้อแต่งตัวอย่างประณีต เพราะวันนี้เป็นพิธีปักปิ่นแสนสำคัญที่สตรีทุกคนต้องผ่านพิธีนี้ แน่นอนว่าสหายของพี่ชายที่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในจวนก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมงานนี้อย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากเจ้ากรมยุติธรรมเป็นคนเรียบง่าย งานเลี้ยงจึงไม่ใหญ่มาก มีเพียงคนในตระกูลฟ่านและคนตระกูลเผิงทั้งสายหลักและสายรองมาร่วม “ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ไม่คิดว่าน้องซีอิ๋งจะงดงามเช่นนี้” “ข้าเห็นด้วยขอรับพี่เจียงหัว” “แล้วเมื่อก่อนใครกันที่เคยล้อเลียนนางว่าเป็นอีกาในฝูงหงส์” “ก็คราวนั้นนางตัวอ้วนกลม ทั้งยังมีขี้มูกเกรอะกรังดูไม่น่าเข้าใกล้เลยแม้แต่น้อย” “ข้าก็เคยล้อเลียนนางไม่รู้นางจะยังโกรธข้าหรือไม่” “เช่นนั้นพวกเราควรไปขอโทษและผูกสัมพันธ์กับนางดีหรือไม่” “ย่อมไม่มีอะไรสายเกินไปหากคิดจะแก้ไข” เป็นฟ่านไห่ถิงที่ได้ยินบทสนทนานั้นจึงเอ่ยปากกับพวกญาติพี่น้อง คนตระกูลฟ่านตระกูลเผิงรักใคร่สามัคคีกันย่อมเป็นเรื่องดี แต่จ
“พวกเราก็ต้องขอโทษเจ้าด้วยเช่นกัน” เมื่อเห็นกลุ่มคุณชายทั้งหลายเอ่ยวาจา กลุ่มสตรีก็ทำเช่นเดียวกัน “พวกเจ้าก็เช่นเดียวกัน อย่าได้ทำเช่นนี้เราเป็นพี่น้องกันมิใช่หรือ” กล่าวจบก็ฉีกยิ้มอ่อนโยนคล้ายไม่ถือสา ทั้งที่แท้จริงอยากสะบัดอาภรณ์ใส่แล้วเดินหนียิ่งนัก “เจ้าช่างจิตใจดีงาม” “พวกเจ้ายกยอจนข้าจะลอยขึ้นไปหาเง็กเซียนฮ่องเต้แล้ว” “เจ้าก็กล่าววาจาเกินไป” “ข้าว่าจะถามเจ้าอยู่ ปิ่นนั่นใครมอบให้เจ้าหรือ งดงามยิ่งนัก” “ปิ่นอันไหนหรือ” ยามนี้นางปักปิ่นอยู่สองอัน คือที่บิดามารดามอบให้ และที่พี่ใหญ่มอบให้ “ปิ่นที่มีไข่มุกสีชาด” “อ๋อ! เป็นพี่ใหญ่น่ะที่มอบให้ข้า” “งดงามยิ่งนัก ลวดลายของปิ่นก็งดงามอ่อนช้อยคล้ายฝีมือของช่างหลวง” “ช่างหลวงหรือเจ้าคะ” เป็นฟ่านเจียงหรูเอ่ยถาม “ช่างหลวงคือช่างที่ทำเครื่องประดับให้เชื้อพระวงศ์น่ะ ขึ้นชื่อว่าเป็นของจากวังหลวงทุกอย่างล้วนประณีตและสูงค่า” ‘ก็คงเป็นพี่ชายที่ขอร้องให้สหายจัดหามาให้สินะ’ ฟ่านซีอิ๋งคิด มุมปากพลางยกยิ้มอย่าง
“ซืออี้ เจ้าจะล่อลวงสตรีที่ใดก็เชิญตามสบาย แต่อย่ามาล่อลวงน้องสาวข้า เข้าใจหรือไม่” “ข้าเคยล่อลวงสตรีที่ใดกัน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เอ๊ะ! นั่นยุเหวียนเซียวนี่ ข้าขอกินด้วยคนสิ” หากเคยทำก็คงเป็นตอนล้วงเอาความลับจากผู้อื่นเพียงเท่านั้น “เจ้าอยากกินก็ขอจากซีซีสิ จะมาแย่งของข้าด้วยเหตุใด” ฟ่านไห่ถิงกล่าวพลางแย่งชามในมือสหายคืนมา “ซีอิ๋ง ยุเหวียนเซียวของพี่เล่า” “ท่านอยากกินหรือเจ้าคะ” “ย่อมอยากกิน ขอยุเหวียนเซียวของเจ้าให้พี่สักถ้วยได้หรือไม่” กล่าวจบก็ส่งสายตาอ้อนวอนให้นาง พรึ่บ! เป็นคุณชายฟ่านที่วางถ้วยขนมแล้วยกมือปิดตาพลางรั้งสหายให้ถอยห่างจากน้องสาว ไอ้ท่าทางออดอ้อนนั้นคืออันใด ช่างน่าขนลุกนัก “ซีซีรีบตักยุเหวียนเซียวใส่ถ้วยให้สหายพี่เถิด” “ปล่อยข้านะ เจ้าคนหวงน้อง” “คิก ๆ” เสียงหัวเราะของสตรีตัวน้อยทำให้ทั้งสองหยุดยื้อแย่งกันก่อนจะหันไปมองดวงหน้าหวานที่ประดับรอยยิ้ม “เจ้าอย่ามองน้องสาวข้า” กล่าวจบก็ใช้มือปิดตาสหายอีกรอบ รอยยิ้มของฟ่านซีอิ๋งงดงามยิ่งกว่ามารดาเสียอีก หากส
ท่าทางห่างไกลจากการเป็นสตรีที่กิริยามารยาทเรียบร้อยทำให้มุมปากของชินอ๋องซื่อจื่อยกยิ้มยามมองตามหลังนางไปก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับมาสนทนากับสหาย หลังจากออกมาจากเรือนของพี่ชายแล้วฟ่านซีอิ๋งก็ครุ่นคิดถึงความสนิทสนมของพี่ชายและสหาย ‘เท่าที่สังเกตยามที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็ดูไม่ผิดปกติอันใด’ ท่าทีของพี่ใหญ่ที่มีต่อสหายก็ไม่ผิดแปลกอันใดมิใช่หรือ ‘โอ๊ย! ยิ่งคิดยิ่งสับสน’ “คุณหนูเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามเมื่อเห็นคุณหนูของตนทำท่าคล้ายจะตีอกชกหัวตนเองทันทีที่กลับมาถึงเรือน “ไม่มีอันใด” “คุณหนูกำลังเบื่อหน่ายหรือเจ้าคะ” ‘ข้าน่ะหรือจะเบื่อหน่าย แค่พยายามคิดหาทางไม่ให้ฝันร้ายกลายเป็นจริงก็เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก’ “เจ้าว่าหลังจากที่ผ่านพิธีปักปิ่นแล้ว คุณหนูทั้งหลายเขาทำสิ่งใดกัน” “ก็คงเป็นการฝึกศาสตร์ทั้งสี่ให้เชี่ยวชาญ เรียนมารยาทให้งดงามไร้ที่ติ ยามเข้าร่วมงานเลี้ยงจะได้ต้องตาบุรุษเลิศล้ำสักคน ทั้งยังต้องฝึกเข้าครัวทำอาหาร...” “พอ ๆ เจ้า
5ผีหรือบุรุษรูปงามกัน สองวันมานี้ฟ่านซีอิ๋งรู้สึกได้ว่ายามค่ำคืนในป่าไผ่หลังจวนเหมือนจะเกิดเรื่องอันใดบางอย่างที่ทำให้บ่าวไพร่ตื่นเต้นดีใจ นางจึงสั่งให้สาวใช้คนสนิทไปสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น “เรื่องนี้บ่าวทราบเจ้าค่ะคุณหนู” “ทราบก็รีบเล่ามาเถิด” “บ่าวได้ยินว่าช่วงนี้บริเวณป่าไผ่มีอิ๋งหั่วฉงมากมาย” “อิ๋งหั่วฉงหรือ” นางเคยอ่านเจอว่ามันจะออกมาบินช่วงหน้าฝนมิใช่หรือ อีกทั้งในตำรายังบอกไว้ว่าในเมืองหลวงหาดูอิ๋งหั่วฉงได้ยาก “เจ้าค่ะ แม้จะไม่ได้มีมากหลายตัวเช่นนอกเมืองหลวง แต่ทว่าก็พอทำให้สาวใช้พากันตื่นเต้นดีใจได้ มันงดงามมายคล้ายกับดวงดาวเลยเจ้าค่ะ” “อืม เจ้าว่าคืนนี้จะมีอยู่อีกหรือไม่” “บ่าวไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ได้ยินบ่าวชายผู้หนึ่งที่มีบ้านอยู่แถวเมืองจินเซ่อกล่าวว่าอิ๋งหั่วฉงจะออกมาให้เห็นแค่วันสองวันก่อนจะหายไปไม่ออกมาอีกเจ้าค่ะ” “ช่างเถิด ข้าเพียงแค่สงสัยหาได้อยากดูไม่” แม้จะคิดเช่นนั้นแต่คืนนี้นางว่าจะลอบออกจากเรือนไปดูเสียหน่อย “เช่นนั้นหากคืนนี้ที่ใดมีอิ๋งห
“แต่ท่านที่รักและจริงใจกับข้าย่อมเฝ้ารอได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวจบนางก็หยอกเย้าเขาด้วยการจุมพิตที่แก้มสากไปหนึ่งครั้ง จะได้ลุ่มหลงนางยากจะเปลี่ยนใจ บนแผ่นดินนี้มีสตรีใดบ้างไม่อยากให้สามีลุ่มหลงตนเองแต่เพียงผู้เดียว “หากเจ้าต้องการพี่ย่อมตามใจ เช่นนั้นเมื่อผ่านพ้นงานเลี้ยงของไห่ถิงพี่จะส่งแม่สื่อพร้อมสินสอดไปเยือนจวนฟ่านทันที” “ขอบคุณเจ้าค่ะที่ท่านตามใจข้า” “พี่ทำดีเช่นนี้ ขอรางวัลอีกครั้งได้หรือไม่” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มเขินอายก่อนจะถูกคังซืออี้รวบตัวเข้าสู่อ้อมกอด เขาใช้มือข้างที่ว่างยึดคางมนเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปาก ลิ้นร้อนบุกรุกลิ้มรสหวานของโพรงปากนุ่ม การโต้ตอบอย่างไม่ประสาทำให้ความปรารถนาของเขามากล้น “พี่มัดจำเจ้าเอาไว้ก่อน เมื่อถึงคืนเข้าหอพี่จะมาทวงคืนอย่างทบต้นทบดอก” เขากล่าวหลังพยายามตัดใจผละออกห่าง “...” ฟ่านซีอิ๋งไร้วาจาจะเอ่ย ยามนี้นางเขินอายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าเขาแล้ว เพราะเมื่อครู่นางคล้ายจะเผลอส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ จุมพิตของเขาช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว “อยาก
พรึ่บ! แต่ฟ่านซีอิ๋งกลับทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง คือนางพลิกตัวขึ้นคร่อมบนตัวเขา มือเนียนนุ่มทั้งสองของนางจับมือของเขาเอาไว้ก่อนจะดันขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้คังซืออี้คล้ายกับถูกสตรีตัวน้อยตรึงเอาไว้บนเตียง “ท่านจะให้ข้าจุมพิตตรงนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวจบนางก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้แล้วกดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาข้างหนึ่งก่อนจะผละออก “อืม” “แล้วก็ตรงนี้อีกใช่หรือไม่เจ้าคะ” “อืม” “อีกที่คล้ายจะเป็นตรงนี้” นางกดริมฝีปากลงบนหน้าผากเขาครั้งนี้คล้ายจะเนิ่นนานกว่ายามจุมพิตที่แก้ม “ชื่นใจยิ่งนัก” คังซืออี้กล่าวดวงตาที่จับจ้องสตรีตรงหน้าพราวระยับยิ่งกว่าดวงดาวนับพัน “แต่หวังว่าท่านจะไม่โกรธเคืองหากข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกที่หนึ่ง” กล่าวจบฟ่านซีอิ๋งยิ้มอย่างซุกซนก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากของเขา ลิ้นเรียวเล็กพยายามบดเบียดเพื่อบุกรุกเข้าไปภายในโพรงปากนุ่มซึ่งบุรุษที่ถูกตรึงอยู่ใต้ร่างในคราแรกคล้ายจะตกตะลึงอยู่บ้างแต่สุดท้ายดวงตาก็เปลี่ยนเป็นหวานล้ำแล้วตอบรับการหยอกเย้าของเรียวลิ้นเล็กแต่โดยดี เมื่อรู้
“คราวนี้เราก็ได้อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแล้วนะซีอิ๋ง” คังซืออี้ยิ้มก่อนจะปิดสมุดบัญชีของร้านที่เมื่อครู่แสร้งเปิดอ่านยามสนทนากับสหาย หลังจากฟ่านไห่ถิงกลับไปแล้ว ชินอ๋องซื่อจื่อก็ไม่รอช้าที่จะกลับไปหาน้องน้อย เขากวาดสายตามองหาสตรีตัวเล็กไปทั่วห้องจึงได้เห็นว่านางนอนหลับอยู่บนเตียงของเขา ใช่แล้ว! เตียงที่นางนอน ห้องที่นางอยู่ เป็นห้องที่เขาอยู่ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เรือนที่นางอยู่ก็เป็นเรือนส่วนตัวของเขาเพราะเช่นนี้ นางกำนัล ขันทีและทหารยามในตำหนักอ๋องจึงเอ่ยปากเรียกฟ่านซีอิ๋งว่าพระชายาโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยวาจา “ซีอิ๋ง เจ้ารู้หรือไม่พี่นั้นเป็นคนโลภมากและใจร้อน พอได้เห็นเจ้านอนอยู่บนเตียงของพี่เช่นนี้ พี่ก็ปรารถนาอยากจะรีบส่งแม่สื่อไปที่จวนฟ่านเพื่อแลกเปลี่ยนเทียบชะตาและตบแต่งเจ้าเข้าตำหนัก พี่ไม่อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวเช่นในตอนนี้ แต่อยากให้เจ้านอนหลับบนเตียงเคียงข้างพี่เช่นนี้ตลอดไป” “...” “พี่จะเข้าข้างตนเองแล้วใช้โอกาสที่เจ้ากำลังหลับถือเป็นการตอบรับได้หรือไม่” กล่าวจบก็กดริมฝีปากลงบนแก้มเนียน แต่พอผละออกห่า
สองวันมานี้นางปวดหัวยิ่งนัก กว่าจะได้กินก็ต้องนั่งมองทั้งสองแย่งกันป้อนข้าวนาง ทั้งที่นางบอกแล้วว่าไม่ได้เจ็บที่มือก็ไม่มีใครสนใจเอาแต่แย่งกันคีบอาหารมาจ่อปากนาง ตอนกินยาก็แย่งกันเป่า จนมีอยู่ครั้งหนึ่งทำถ้วยยาร่วงตกแตก ไหนจะตอนนอนกว่าจะลากกันออกจากห้องไปได้ ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วยาม พี่ใหญ่หรือก็หวงแหนน้องสาวยิ่งนัก ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อ ก็ชอบกลั่นแกล้ง จุมพิตแก้ม จุมพิตหน้าผาก กินเต้าหู้นางต่อหน้าพี่ใหญ่คล้ายยั่วยุ “เช่นนั้นเจ้านอนเอนหลังตามสบาย พี่กับซืออี้จะไปนั่งสนทนากันด้านนอกดีหรือไม่” “...” ฟ่านซีอิ๋งเอนหลังนอนบนเตียงคล้ายกับไม่สนใจพี่ชายและสหาย เมื่อบุรุษทั้งสองเห็นท่าทางเมินเฉยของสตรีตัวน้อย จึงรีบลากกันออกไปนอกห้อง สุดท้ายก็ไปนั่งสนทนาหารือกันที่ห้องหนังสือแทน “เห็นหรือไม่ เพราะเจ้า ซีอิ๋งถึงได้โกรธข้า” “ข้าหวงน้องสาวผิดที่ใดกัน” ฟ่านไห่ถิงไม่ยอมให้อีกฝ่ายกล่าวโทษเพียงฝ่ายเดียว “ผิดตรงที่นางปักปิ่นแล้ว นางเป็นสตรีพร้อมออกเรือน ต่อให้เจ้าหวงแหนนางอย่างไรก็ต้องไว้หน้าน้องเข
18การแย่งชิงความโปรดปรานของบุรุษ หลังจากงานเลี้ยงของจวนราชครูซิวผ่านไปได้สามวันเรื่องราวเสื่อมเสียของซิวซือเย่และซิวลู่หลินก็ถูกเล่าลือแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง แม้จะมีราชโองการสมรสพระราชทานแต่งคุณหนูซิวผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงดีงามเข้าเป็นชายารองขององค์ชายรอง แต่คนทั่วไปก็ยังคิดว่าคงเป็นท่านราชครูซิวใช้ความเป็นราชครูของฮ่องเต้ ทูลขอให้ฮ่องเต้ออกราชโองการเพื่อเป็นการรับผิดชอบบุตรสาว ส่วนซิวซือเย่ผู้สุภาพอ่อนโยนก็จำใจต้องรับสาวใช้คนสนิทของน้องสาวเป็นอนุฯ แต่ทว่าเป็นหลังจากที่แต่งคุณหนูจ้าวเป็นฮูหยินเอกแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ได้ยินมาว่าเจ้ากรมโยธาจ้าวถึงขั้นเอ่ยวาจาตัดขาดกับบุตรสาวที่ดื้อรั้นจะแต่งกับบุรุษที่ทำเรื่องเสื่อมเสีย “จงเซ่อ เจ้าเสียใจไปแล้วได้อันใด อย่างไรบัณฑิตต่ำต้อยเช่นพวกเราก็ไม่มีวันอาจเอื้อมดอกฟ้าเช่นคุณหนูซิวได้” “หากข้าสอบจอหงวนได้ ข้าก็คงไม่ได้แต่มองสตรีในดวงใจแต่งไปกับผู้อื่นเช่นนี้” “ต่อให้เจ้าได้เป็นจอหงวน ฐานะของเจ้าก็สู้องค์ชายรองไม่ได้ เจ้าควรตาสว่างได้แล้ว” “พวกเจ้าคงสมน้ำหน้าข้า ที่หมาย
“ให้เวลาข้าได้ไตร่ตรองก่อน แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดซีซีของข้าถึงเป็นเช่นนั้น” ก่อนหน้านี้เพราะเป็นการสนทนาที่จริงจัง เขาจึงเรียกขานนามแท้จริงของน้องสาวมากกว่านามที่เขาใช้เรียกขาน “ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของเจ้า ข้าอยากให้เจ้าเลิกเรียกนางว่าซีอิ๋งของเจ้า เพราะนางเป็นของข้าเข้าใจหรือไม่” “โอ๊ะ! หวงแหนนางแม้กระทั่งกับพี่ชายเช่นข้า” “ข้ารักนางมาก ข้าย่อมหวงแหนมาก” “อย่างไรข้าก็เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของนาง ละเว้นข้าไว้สักคนเถิด” “เรียกนางว่าซีซีก็พอ” “ชิชะ อีกหน่อยเจ้าจะไม่หวงซีซีจนไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้เลยหรือ” “ข้ารักของข้า” “เอาล่ะรีบเล่าเรื่องมาได้แล้วว่ามันเกิดอันใดขึ้น” “ซิวลู่หลินคิดวางยาปลุกกำหนัดซีอิ๋ง แต่เพราะน้องสาวเจ้าไม่ยอมหยิบจับสิ่งใดมากินสตรีผู้นั้นจึงแสร้งให้สาวใช้ทำชาร้อนหกรดนางเพื่อหวังดึงนางออกจากงานเลี้ยง โดยในห้องที่ให้ซีอิ๋งไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์มีกำยานปลุกกำหนัดจุดอยู่หวังจะส่งตัวนางให้ซิวเมิ่งหยวน” “ชั่วช้า เจ้าซิวเมิ่งหยวนน่าตายนัก น้องส
“ซีอิ๋งนางกำลังพักผ่อน มีอันใดไปสนทนากันด้านนอก” คังซืออี้กล่าวก่อนจะผายมือคล้ายเชื้อเชิญสหายให้ออกจากห้องของตน คุณชายฟ่านเดินตามสหายออกมาด้านนอกโดยไม่เอ่ยวาจาทั้งที่ภายในใจมีคำพูดมากมายอยากจะเอ่ยถาม “เชิญนั่ง เจ้าอยากถามอันใดก็เอ่ยวาจามา” ชินอ๋องซื่อจื่อทรุดตัวนั่งที่ศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของตนมากนัก “เจ้ากับซีอิ๋ง มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด” เหตุใดถึงได้ลอบคบกันภายใต้จมูกโดยที่เขาไม่ทราบ “หากจะถามว่าน้องสาวเจ้ามีใจให้ข้าตั้งแต่เมื่อใด ข้าไม่ทราบ แต่หากถามข้า ข้าย่อมกล่าวว่าข้ามีใจให้น้องเจ้าตั้งแต่ก่อนมอบปิ่นให้เจ้ายืม” “เช่นนั้นที่ปิ่นข้าหายก็เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่” “เจ้าลองหาปิ่นที่เจ้าเตรียมไว้ก่อนเถิด ข้าเพียงแต่ไหลไปตามน้ำ” อย่างไรอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นพี่ชายพระชายาของเขาในภายหน้าจึงไม่อยากสร้างศัตรูเอาไว้มาก ประเดี๋ยวไปเป่าหูพระชายาของเขา ดังนั้นบางเรื่องก็ไม่ควรรู้จะดีกว่า ประเดี๋ยวจะหาว่าเขามากเล่ห์... “เจ้ากล่าวว่าพึงใจซีอิ๋งตั้งแต่ก่อนปักปิ่นแล้วเจ้าไปเจอนางที่ใ
ท่าทางอ่อนโยนและเอาใจใส่สตรีของท่านอ๋องน้อยทำให้บรรดานางกำนัลและขันทีต่างลอบยิ้ม ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อคุณหนูฟ่านก็วางตะเกียบลงพร้อมกับข้าวที่พร่องไปเกือบครึ่งชาม “ไปยกยามา” “เรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่ พี่ใหญ่กับท่านแม่ทราบแล้วหรือไม่เจ้าคะ” “อืม พี่ส่งคนไปแจ้งที่จวนฟ่านแล้ว” “ไม่รู้เรื่องที่จวนซิวเป็นอย่างไรต่อนะเจ้าคะ” นางชวนเขาสนทนาพลางจ้องมองบุรุษที่กำลังเป่ายาเพื่อคลายความร้อน “กินยาให้หมดก่อนแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง” เขากล่าวก่อนจะยื่นถ้วยยาในมือให้ “เจ้าค่ะ” นางกลั้นใจก่อนจะยกยาถ้วยนั้นขึ้นดื่มในคราวเดียว “เก่งมาก ซีอิ๋งของพี่เก่งที่สุด” เขากล่าวก่อนจะป้อนก้อนน้ำตาลปั้นใส่ปากนาง “พี่ซืออี้ก็กล่อมเหมือนข้าเป็นเด็ก” “กินยาเสร็จแล้วไปนั่งตรงนั้นกันเถิด พี่จะเล่าเรื่องหลังจากเราออกจากจวนซิวให้เจ้าฟัง หากเจ้าง่วงเจ้าจะได้นอนได้เลย” เขากล่าวพลางโบกมือให้นางกำนัลเก็บสำรับออกไป “เจ้าค่ะ” เมื่อนางตอบรับเขาก็ลุกขึ้นแล้วอุ้มนางที่กำลังจะลุกยืนเช่นกัน
“ไม่จริง ข้าว่าต้องเป็นมัน...” เพียะ! ซิวลู่หลินยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบ ฝ่ามือของพี่ชายก็ฟาดลงบนหน้า “หยุดโยนความผิดให้ผู้อื่นได้แล้ว แม้ที่ผ่านมาท่านพ่อจะไม่ทุบตีเจ้าแต่ใช่ว่าท่านพ่อจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป” หากไม่เพราะน้องสาวผู้นี้มีใบหน้างดงามเหนือพี่น้องต่างมารดา นางก็คงไม่ได้รับการเหลียวแลจากบิดา และการกระทำสิ้นคิดในครั้งนี้ของน้องสาวได้ทำลายแผนการของบิดาที่หวังจะเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้ด้วยเหตุนี้จึงต้องเปลี่ยนฝั่งปรับแผนการใหม่เพื่อการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า “พี่ใหญ่ท่านตบข้า” “คุณหนูซิวหากเจ้ายังไม่ปรับปรุงตน อีกหน่อยเกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งชายารองก็คงไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้” กล่าวจบซิวเมิ่งหยวนหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากแต่งกับองค์ชายรอง เขาเป็นต้วนซิ่วจะแต่งชายาได้อย่างไร” ซิวลู่หลินทรุดตัวลงไปกอดเข่าพี่ชาย หวังทำให้อีกฝ่ายใจอ่อน “สมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ แม้แต่องค์ชายรองก็ไม่อาจขัดได้” สิ้นเสียงเขาสะบัดขาเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมก่อนจะเดินออกจากเรือนไปโดยไม่คิดสนใจน