“ซืออี้ เจ้าจะล่อลวงสตรีที่ใดก็เชิญตามสบาย แต่อย่ามาล่อลวงน้องสาวข้า เข้าใจหรือไม่”
“ข้าเคยล่อลวงสตรีที่ใดกัน เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เอ๊ะ! นั่นยุเหวียนเซียวนี่ ข้าขอกินด้วยคนสิ” หากเคยทำก็คงเป็นตอนล้วงเอาความลับจากผู้อื่นเพียงเท่านั้น
“เจ้าอยากกินก็ขอจากซีซีสิ จะมาแย่งของข้าด้วยเหตุใด” ฟ่านไห่ถิงกล่าวพลางแย่งชามในมือสหายคืนมา
“ซีอิ๋ง ยุเหวียนเซียวของพี่เล่า”
“ท่านอยากกินหรือเจ้าคะ”
“ย่อมอยากกิน ขอยุเหวียนเซียวของเจ้าให้พี่สักถ้วยได้หรือไม่” กล่าวจบก็ส่งสายตาอ้อนวอนให้นาง
พรึ่บ! เป็นคุณชายฟ่านที่วางถ้วยขนมแล้วยกมือปิดตาพลางรั้งสหายให้ถอยห่างจากน้องสาว ไอ้ท่าทางออดอ้อนนั้นคืออันใด ช่างน่าขนลุกนัก
“ซีซีรีบตักยุเหวียนเซียวใส่ถ้วยให้สหายพี่เถิด”
“ปล่อยข้านะ เจ้าคนหวงน้อง”
“คิก ๆ” เสียงหัวเราะของสตรีตัวน้อยทำให้ทั้งสองหยุดยื้อแย่งกันก่อนจะหันไปมองดวงหน้าหวานที่ประดับรอยยิ้ม
“เจ้าอย่ามองน้องสาวข้า” กล่าวจบก็ใช้มือปิดตาสหายอีกรอบ รอยยิ้มของฟ่านซีอิ๋งงดงามยิ่งกว่ามารดาเสียอีก หากสหายสูงศักดิ์ผู้นี้ได้เห็นคงมิแคล้วอยากเสนอตัวเป็นน้องเขย
เขาไม่อยากได้น้องเขยที่สูงศักดิ์ เพราะขึ้นชื่อว่าเป็นเชื้อพระวงศ์อย่างไรก็ต้องมีสตรีในเรือนหลังมากมาย
“คิก ๆ พวกท่านเล่นกันเหมือนตอนเป็นเด็กเลย” มันคล้ายกับเป็นภาพที่นางเห็นมาตั้งแต่จำความได้
“ซีอิ๋งเจ้าหยุดยิ้มได้หรือไม่”
“เพราะเหตุใดเจ้าคะ ข้ายิ้มแล้วดูขี้ริ้วขี้เหร่หรือ”
“ตรงกันข้ามต่างหาก รอยยิ้มของเจ้าแม้ไม่นับว่างามล่มเมืองเช่นท่านแม่ แต่ทว่าน่ามองยากละสายตา พี่เชื่อว่าหากมีบุรุษใดมาเห็นคนพวกนั้นย่อมถูกเจ้าล่อลวงได้ในยิ้มเดียว”
“พี่ใหญ่ก็เยินยอข้าเช่นนี้ตลอด” นางที่ถูกคนรอบข้างดูแคลนว่าเป็นอีกาในฝูงหงส์น่ะหรือจะสามารถล่อลวงบุรุษได้ในยิ้มเดียว
“พี่พูดจริง คราวหน้าหากจะออกไปนอกจวนเจ้าควรใส่ผ้าปิดหน้าด้วย มิเช่นนั้นเตรียมเปิดประตูจวนต้อนรับแม่สื่อจนบันไดหน้าจวนสึกได้เลย”
“นี่! พวกเจ้าพี่น้องสนทนากันเสร็จแล้วหรือ ข้าอยากกินยุเหวียนเซียวแล้ว”
“พี่ใหญ่เลิกแกล้งสหายได้แล้วเจ้าค่ะ รีบกินยุเหวียนเซียวเถิด ประเดี๋ยวเย็นชืดไปจะไม่อร่อย”
“อืม แต่จงจำคำพี่เอาไว้เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ” ฟ่านซีอิ๋งยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางหวงแหนน้องสาวเช่นดังเมื่อก่อน
“...” คังซืออี้จ้องมองสองพี่น้องด้วยสายตาครุ่นคิด
“นี่เจ้าค่ะยุเหวียนเซียวของท่าน” นางกล่าวพลางวางถ้วยขนมตรงหน้าสหายของพี่ชาย
“ขอบคุณ”
“พี่ใหญ่ก็กินให้มาก ๆ นะเจ้าคะ”
“เจ้านำมาให้ทั้งที พี่ต้องกินให้มากอยู่แล้ว”
“ยุเหวียนเซียวนี่รสชาติดีไม่หวานมาก เจ้าเข้าครัวทำเองหรือ” เป็นชินอ๋องซื่อจื่อเอ่ยถาม
“ซีซีของข้าน่ะหรือจะเข้าครัว เพียงแค่ย่างกรายไปแถวนั้น พ่อครัวแม่ครัวก็รีบยัดขนมใส่มือแล้วเชิญออกมา”
“พี่ใหญ่อย่าได้หยอกเย้าข้าเช่นนั้น”
“พ่อครัวแม่ครัวคงไม่อยากให้คุณหนูเพียงคนเดียวต้องลำบาก”
“ได้ยินว่าหลังจากข้าเดินทางไปเมืองจินเฟิ่งได้ไม่นาน ซีซีมีใจอยากฝึกทำอาหารแต่ดันทำไฟไหม้ครัว กว่าจะซ่อมห้องครัวเสร็จ คนครัวทั้งหลายต้องย้ายมาตั้งครัวที่ลานด้านนอกท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย”
“พี่ใหญ่หยุดเล่าเรื่องอับอายของข้าได้แล้วเจ้าค่ะ” ฟ่านซีอิ๋งดวงหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ตอนนั้นเมื่อเห็นไฟลุกในกระทะด้วยความตกใจจะหยิบน้ำมาสาดเพื่อดับไฟ มือกลับไปหยิบถ้วยน้ำมันสาดออกไป สุดท้ายโรงครัวไหม้ทั้งหลัง ตั้งแต่นั้นมาในกลุ่มบ่าวไพร่ก็จะคอยระแวดระวังพร้อมทั้งส่งข่าวบอกต่อกันทันทีที่เห็นนางเดินมุ่งหน้ามาทางโรงครัว ทำให้นางแทบไม่อยากย่างกรายไปที่นั่นหากไม่จำเป็น
แต่ท่านแม่กลับเห็นเป็นเรื่องขำขัน ถึงกับเขียนจดหมายไปเล่าให้พี่ใหญ่ฟัง จนพี่ใหญ่เขียนจดหมายหยอกล้อตอบกลับมา น่าอับอายยิ่งนัก
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เจ้าช่างน่าเอ็นดูนัก” มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อย
“ตอนที่ข้าได้อ่านจดหมายจากท่านแม่ ข้าหัวเราะจนล้มกลิ้งไปหลายวัน ช่างน่าขำขันยิ่งนัก”
“หัวเราะเรื่องน่าอายของข้าไปเถิด อย่าให้ถึงทีท่านก็แล้วกัน” นางสะบัดหน้าหนีเล็กน้อยคล้ายแง่งอน
“พี่ขอโทษ ๆ แต่ยามใดที่นึกถึงเรื่องนี้มันก็อดไม่ได้จริง ๆ” ฟ่านไห่ถิงพยายามกลั้นยิ้ม
โป๊ก! คังซืออี้กำหมัดแล้วเขกหัวสหายไปหนึ่งครั้ง “หยุดหัวเราะได้แล้วสงสารซีอิ๋ง”
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ซืออี้ แต่จะดีมากหากท่านเขกหัวพี่ใหญ่แก้แค้นให้ข้าอีกสักครั้ง”
“ซืออี้เจ้าอย่าเชียวนะ”
โป๊ก! เพราะเขาเก่งกาจและฉลาดกว่าอีกฝ่าย เขาจึงสามารถทำตามที่นางขอได้ไม่ยาก
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่ซืออี้ เอาไว้หากครั้งหน้ามีขนมอร่อย ๆ ข้าจะนำไปมอบให้ท่านถึงเรือนรับรอง” นางกล่าวกับเขาก่อนจะหันไปสะบัดหน้าใส่พี่ชายตนคล้ายแง่งอน
“แล้วพี่จะรอ”
“อย่าลืมของพี่ด้วยนะซีซี”
“วันนี้ข้าขอตัวลาก่อนนะเจ้าคะ ส่วนของพี่ใหญ่นั้น เอาไว้ครั้งหน้าของครั้งหน้าของครั้งหน้าเจ้าค่ะ แบร่!” กล่าวจบก็รีบวิ่งออกจากเรือนของพี่ชายทันที
ท่าทางห่างไกลจากการเป็นสตรีที่กิริยามารยาทเรียบร้อยทำให้มุมปากของชินอ๋องซื่อจื่อยกยิ้มยามมองตามหลังนางไปก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับมาสนทนากับสหาย
.........................
คำเตือน!!! อ่านเรื่องนี้ระวังเบาหวานขึ้นตา
เพราะพระเอกหวานมาก คลั่งรักมาก
ท่าทางห่างไกลจากการเป็นสตรีที่กิริยามารยาทเรียบร้อยทำให้มุมปากของชินอ๋องซื่อจื่อยกยิ้มยามมองตามหลังนางไปก่อนจะเลือนหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อหันกลับมาสนทนากับสหาย หลังจากออกมาจากเรือนของพี่ชายแล้วฟ่านซีอิ๋งก็ครุ่นคิดถึงความสนิทสนมของพี่ชายและสหาย ‘เท่าที่สังเกตยามที่ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันก็ดูไม่ผิดปกติอันใด’ ท่าทีของพี่ใหญ่ที่มีต่อสหายก็ไม่ผิดแปลกอันใดมิใช่หรือ ‘โอ๊ย! ยิ่งคิดยิ่งสับสน’ “คุณหนูเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ” สาวใช้คนสนิทเอ่ยถามเมื่อเห็นคุณหนูของตนทำท่าคล้ายจะตีอกชกหัวตนเองทันทีที่กลับมาถึงเรือน “ไม่มีอันใด” “คุณหนูกำลังเบื่อหน่ายหรือเจ้าคะ” ‘ข้าน่ะหรือจะเบื่อหน่าย แค่พยายามคิดหาทางไม่ให้ฝันร้ายกลายเป็นจริงก็เหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก’ “เจ้าว่าหลังจากที่ผ่านพิธีปักปิ่นแล้ว คุณหนูทั้งหลายเขาทำสิ่งใดกัน” “ก็คงเป็นการฝึกศาสตร์ทั้งสี่ให้เชี่ยวชาญ เรียนมารยาทให้งดงามไร้ที่ติ ยามเข้าร่วมงานเลี้ยงจะได้ต้องตาบุรุษเลิศล้ำสักคน ทั้งยังต้องฝึกเข้าครัวทำอาหาร...” “พอ ๆ เจ้า
5ผีหรือบุรุษรูปงามกัน สองวันมานี้ฟ่านซีอิ๋งรู้สึกได้ว่ายามค่ำคืนในป่าไผ่หลังจวนเหมือนจะเกิดเรื่องอันใดบางอย่างที่ทำให้บ่าวไพร่ตื่นเต้นดีใจ นางจึงสั่งให้สาวใช้คนสนิทไปสอบถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น “เรื่องนี้บ่าวทราบเจ้าค่ะคุณหนู” “ทราบก็รีบเล่ามาเถิด” “บ่าวได้ยินว่าช่วงนี้บริเวณป่าไผ่มีอิ๋งหั่วฉงมากมาย” “อิ๋งหั่วฉงหรือ” นางเคยอ่านเจอว่ามันจะออกมาบินช่วงหน้าฝนมิใช่หรือ อีกทั้งในตำรายังบอกไว้ว่าในเมืองหลวงหาดูอิ๋งหั่วฉงได้ยาก “เจ้าค่ะ แม้จะไม่ได้มีมากหลายตัวเช่นนอกเมืองหลวง แต่ทว่าก็พอทำให้สาวใช้พากันตื่นเต้นดีใจได้ มันงดงามมายคล้ายกับดวงดาวเลยเจ้าค่ะ” “อืม เจ้าว่าคืนนี้จะมีอยู่อีกหรือไม่” “บ่าวไม่แน่ใจเจ้าค่ะ ได้ยินบ่าวชายผู้หนึ่งที่มีบ้านอยู่แถวเมืองจินเซ่อกล่าวว่าอิ๋งหั่วฉงจะออกมาให้เห็นแค่วันสองวันก่อนจะหายไปไม่ออกมาอีกเจ้าค่ะ” “ช่างเถิด ข้าเพียงแค่สงสัยหาได้อยากดูไม่” แม้จะคิดเช่นนั้นแต่คืนนี้นางว่าจะลอบออกจากเรือนไปดูเสียหน่อย “เช่นนั้นหากคืนนี้ที่ใดมีอิ๋งห
“นั่นเสียงใครเจ้าคะ ท่านขว้างก้อนหินโดนคนหรือไม่” “คงไม่ใช่หรอก เพราะหากเป็นคนเขาต้องวิ่งออกมากล่าวโทษพี่แล้ว” “เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” นางตอบรับแต่สีหน้ายังครุ่นคิดด้วยความสงสัย “เอ๊ะ! นั่นอิ๋งหั่วฉงนี่” สิ้นเสียงเขาอิ๋งหั่วฉงจำนวนมากก็ปรากฏเต็มป่าไผ่ “นี่หรือเจ้าคะอิ๋งหั่วฉง...งดงามยิ่งนัก” “ช่างดีจริงที่ได้ยืนมองอิ๋งหั่วฉงกับเจ้า” ชินอ๋องซื่อจื่อเอ่ยเสียงเบา “ช่างเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าเช่นที่ผู้อื่นว่าเสียจริง” “เจ้าชอบหรือไม่” เขาหันมาถามสตรีที่ยังคงจับชายอาภรณ์ของเขาไว้ “ชอบมากเจ้าค่ะ มันช่างงดงามตราตรึงใจยิ่งนัก” นางหันมาบอกเขาก่อนจะยิ้มกว้าง “พี่ก็คิดเช่นกันว่ามันช่างงดงามตราตรึงใจยิ่งนัก” คังซืออี้ กล่าวพลางจับจ้องดวงหน้าหวานยากจะละสายตา ตึกตัก ๆ หัวใจดวงน้อยของนางเต้นระรัวกับสายตาพราวระยับและวาจาหวานซึ้งของสหายพี่ชาย ‘เขาหมายถึงข้า หรือหมายถึงอิ๋งหั่วฉงกัน’ “มันมาเกาะบนผมเจ้าด้วย” เขากล่าวพลางเอื้อมมือมาทำสิ่งใดบางอย่างที่ผมนาง “จ
“แต่พี่มือเปื้อนเพราะเก็บหินเมื่อครู่ พี่ไม่อยากให้อาภรณ์ของเจ้าเปื้อน” “เช่นนั้นหากข้าเป็นคนคลุมให้ท่าน ก็หมดปัญหาแล้วใช่หรือไม่” นางเขย่งปลายเท้าก่อนจะคลุมผ้าของนางให้เขา แม้มันจะดูสั้นไปมากเพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่กว่านางนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีสิ่งใดปกปิดร่างกายทำให้อบอุ่น “ขอบคุณ เสื้อคลุมของเจ้าช่างอบอุ่นยิ่งนัก” “ข้าก็ขอบคุณท่านเช่นกันที่มาส่งเจ้าค่ะ” นางกล่าวจบก็ทำท่าจะหมุนตัวเข้าเรือน “ประเดี๋ยวก่อน พี่ขอถามเจ้าได้หรือไม่ว่าวันนั้นเจ้าไปที่หอชายงามด้วยเหตุใด” “เดิมทีข้าตั้งใจจะไปเที่ยวเล่นเพราะอยากรู้อยากเห็น แต่บังเอิญไปเห็นพี่ใหญ่เดินเข้าไปที่หอแห่งนั้นพอดี ข้าที่รับรู้มาตลอดว่าสองปีที่ผ่านมาพี่ใหญ่อยู่เมืองจินเฟิ่งที่เป็นชายแดนเหนือย่อมอดไม่ได้ที่จะสงสัย จึงติดตามเข้าไปที่นั่นเพื่อไปดูว่าใช่พี่ชายของข้าที่ไม่ได้พบเจอกันเกือบสองปีหรือไม่” “ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไปแอบดูไห่ถิงที่หน้าห้องนั้น” “เจ้าค่ะ แล้วข้าก็ได้เห็นพี่ใหญ่กำลังทำเอ่อ...เรื่องวาบหวิวกับชายงามเหล่านั้น” “บางสิ่งที่เจ้าเห
ไม่ได้การแล้ว...นางต้องทำอันใดสักอย่าง เมื่อกลับถึงเรือนของตน ฟ่านซีอิ๋งก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปขออนุญาตมารดาเพื่อออกไปข้างนอก “คุณหนูจะออกไปซื้อสิ่งใดหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไป...” หากตอบว่าไปมองหาบุรุษที่เข้าท่ามาให้พี่ใหญ่ ก็คงจะไม่ได้ ของขวัญ! ใช่แล้วอีกไม่นานพี่ใหญ่ก็จะมีอายุครบยี่สิบสี่หนาว นางแสร้งทำเป็นออกไปหาซื้อของขวัญให้เขาคงจะได้กระมัง อย่างน้อยก็สามารถใช้ข้ออ้างนี้ออกจากจวนได้ราวสามสี่ครั้ง แต่เพียงคิดถึงของขวัญ นางก็น้ำตาแทบไหลรินเมื่อคิดถึงเงินก้อนสีทองที่จับจ่ายไปในหอชายงามครั้งนั้น การไปเที่ยวเช่นนั้นช่างใช้ตำลึงมากมายทีเดียว “ข้าจะออกไปซื้อของขวัญให้พี่ใหญ่” “คุณหนูได้เลือกของขวัญที่จะมอบให้คุณชายใหญ่แล้วหรือยังเจ้าคะ” “ข้ายังคิดไม่ออก จึงคิดว่าจะมาเดินดูก่อน” “พู่กันอย่างไรเจ้าคะ ก่อนหน้านี้คุณหนูเคยบอกว่าอยากได้พู่กันล้ำค่า...” “ไม่เอา ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” นางไม่มีวันเดินเข้าร้านเหิงจื้อเป็นแน่ “เช่นนั้นของขวัญของคุ
6น่าอับอายยิ่งนัก กลับมาที่การเปิดให้อ่านตำราโดยไม่เสียเงินชั่วคราวของคุณหนูซิว สตรีผู้ถูกเล่าลือว่างดงามมีเมตตาแสร้งปาดน้ำตาที่มีอยู่เล็กน้อยออกก่อนจะฝืนยิ้มออกมา ท่าทางเช่นนี้ของหญิงงามมักจะทำให้บุรุษรู้สึกอยากปกป้อง “ตายจริง ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านเจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ ข้านี่มันใช้ไม่ได้ที่ละเลยท่าน” “ไม่เป็นไรขอรับคุณหนูซิว” หานจงเซ่อใบหูแดงเล็กน้อย “จะไม่เป็นไรได้อย่างไรเจ้าคะ ลี่มี่ไปเชิญท่านหมอมารักษาท่านบัณฑิตเถิด” “อย่าให้ถึงท่านหมอเลยขอรับ ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ” แม้จะรู้สึกอับอายต่อหน้าสตรีในดวงใจแต่เมื่อได้รับความห่วงใยจากนาง เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว “เช่นนั้นให้ข้าทำแผลให้ดีหรือไม่เจ้าคะ อย่าปฏิเสธข้าเลยนะเจ้าคะ” นางก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคล้ายเว้าวอนทำให้บุรุษพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย “เช่นนั้นต้องรบกวนคุณหนูซิวแล้วขอรับ” เป็นหานจงเซ่อที่รู้สึกอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก “หากไม่มีเรื่องใดแล้วพี่กลับจวนก่อนนะ” ซิวเมิ่งหยวนที่เหนื่อยหน่ายกับงิ้วของน้องสาวกล่าวก่อนจะเดินแยกตัวไป
“แต่ข้ากลับคิดว่าสิ่งที่คุณหนูซิวทำไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เป็นสตรีไปอยู่ท่ามกลางบุรุษมากมายเช่นนั้นมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม” “ที่เจ้ากล่าวก็ไม่ผิด” “พอได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้วข้าก็เพิ่งนึกออกว่าก่อนหน้าที่จะมาที่ร้านแห่งนี้ ได้ยินบุรุษสองคนที่ดูเหมือนจะไม่ใช่บัณฑิตเตรียมสอบแต่เป็นคุณชายผู้หนึ่งกล่าวชักชวนกันไปอ่านตำราโดยไม่เสียเงิน หวังจะได้ใกล้ชิดและเกี้ยวพาคุณหนูซิว” “อืม ไม่เหมาะสมจริง ๆ นั่นแหละ” คำกล่าวของชาวบ้านวัยกลางคนกลุ่มนั้นทำให้ฟ่านซีอิ๋งที่ลอบฟังอยู่พยักหน้าพลางลอบเคี้ยวฟันอย่างรู้สึกหงุดหงิดเมื่อบุรุษที่นางตั้งใจมาหมายตา ถูกคุณหนูซิวแย่งตัวไปจนหมด ‘ดูแล้ววันนี้คงไม่ได้เรื่อง กลับจวนก่อนก็แล้วกัน” นางดึงผ้าคลุมขึ้นมาปิดใบหน้าครึ่งล่างก่อนจะทอดถอนใจแล้ววางก้อนตำลึงสีเงินลงบนโต๊ะก่อนจะออกจากโรงเตี๊ยมไป “รบกวนพวกท่านส่งคนไปแจ้งซูฉีให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ ว่าข้าเดินทางกลับจวนแล้ว” “ขอรับคุณหนู” เมื่อผู้คุ้มกันแซ่อินรับคำ นางก็เดินกลับไปยังจุดที่สั่งให้คนขับรถม้าจอดรอเพื่อกลับจวนฟ่าน ‘เอาไว้
“ซืออี้ เจ้าแย่งหน้าที่ข้า” หน้าที่ช่วยคีบอาหารให้น้องสาวที่แขนสั้นกว่า เป็นของพี่ชายเช่นเขามาตั้งแต่เด็ก “เจ้าอย่าได้ถือสา” เขากล่าวก่อนจะคีบหมูใส่จานให้นางอีก “แต่ข้าถือสา ข้าหวงน้อง” “ไห่ถิงเจ้าควรทำใจให้คุ้นชินเอาไว้ อีกหน่อยถึงคราวนางออกเรือนเจ้าจะได้ทำใจได้” “คงอีกนานหลายปี กว่านางจะได้ออกเรือน แต่หากไม่ออกเรือนไปก็ไม่เป็นไร ข้ามีสำนักคุ้มภัยใหญ่โต เหตุใดจะเลี้ยงน้องสาวเพียงคนเดียวไม่ได้” “หลายปีอันใดกัน น้องสาวเจ้าหน้าตาหรือก็งดงามคล้ายคลึงข้า เหตุใดถึงจะได้ออกเรือนช้า” เป็นฟ่านฮูหยินกล่าว พลางส่งสายตาดุให้บุตรชาย “เอ่อ...นางไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ใด แล้วจะต้องตาบุรุษได้อย่างไรขอรับ” ฟ่านไห่ถิงบอกเสียงอ่อน “เรื่องนั้นอย่าได้ห่วง มารดาของเจ้าตอบรับเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงของเจิ้งโหวให้น้องเจ้าเรียบร้อยแล้ว เห็นว่านอกจากจะมีคุณหนูคุณชายเข้าร่วมแล้ว เจิ้งโหวที่เดิมทีเป็นคนชอบวาดภาพ ต่อโคลงกลอนอยู่แล้วจึงเชิญเหล่าบัณฑิตเข้าร่วมมากมาย” “แต่ซีซี นางไม่ชอบไปที่คนมากเช่นนั้นนะขอรับท่านแม่”
เนิ่นนานกว่าหนึ่งเค่อคุณหนูฟ่านจึงจะเก็บงำความรู้สึกตนแล้วเตรียมออกจากโรงเตี๊ยมหนานเหิง แต่ก่อนจะลุกจากโต๊ะนางอดไม่ได้ที่จะหันไปมองชั้นสองของโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม และก็ได้สบตาเข้ากับบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง ดวงตาที่ฉายแววโศกเศร้าทำให้นางรู้สึกสะดุดใจก่อนจะรั้งสายตากลับมาแล้วกลับจวนของตนเอง “ซีอิ๋ง...เจ้ากำลังจะกลับแล้วหรือ” เป็นคังซืออี้ที่เดินตรงมาหาคู่หมั้นของตนเองซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นรถม้า “พี่ซืออี้ ท่านมาได้อย่างไร” “พอพี่เสร็จงานก็รีบตรงมาหาเจ้า ตั้งใจจะมารับเจ้ากลับจวน” “เช่นนั้นเราก็กลับจวนฟ่านกันเถิดเจ้าค่ะ” นางยิ้มเล็กน้อย แววตายังบ่งบอกถึงความโศกเศร้า “อืม” ชินอ๋องซื่อจื่อตอบรับก่อนจะช่วยประคองคู่หมั้นตนขึ้นรถม้า เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวเขาจึงเอ่ยปากชักชวนให้นางพูดคุย หวังจะทำให้นางคลายความโศกเศร้า แต่สิ่งที่ได้รับฟังกลับเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมหนานเหิงและความจริงที่ว่าบัณฑิตโจวคุนต๋าผู้นั้นได้หายไปจากแผ่นดินนี้แล้ว “ซีอิ๋ง เจ้าอย่าได้โศกเศร้าเลย พี่ไม่ชอบเลยยามเห็นเจ้าโศกเศร้าเช่น
21ลาก่อนสหายคนแรก การได้ตบแต่งกับบุรุษที่รักและปรารถนาในตัวเรามันดีเช่นนี้เอง เพราะมันทำให้นางไม่ต้องอดทนอดกลั้นต่อการถูกกดดัน ในตอนนั้นนางเพียงโดนนางกำนัลอาวุโสตำหนิเรื่องการย่อตัวที่ไม่อ่อนช้อยหลายครั้งจนถูกลงโทษให้ย่อตัวค้างเช่นนั้นเกือบหนึ่งชั่วยาม แม้จะไม่ใช่เรื่องหนักหนาอันใดแต่คนที่โกรธเคืองกลับเป็นชินอ๋องซื่อจื่อที่ต่อรองกับนางกำนัลด้วยตนเอง ว่านางเป็นเพียงชายาอ๋อง หาใช่ฮองเฮา เหตุใดจะต้องเคร่งครัดถึงเพียงนั้น สุดท้ายนางจึงได้เรียนเพียงมารยาทพื้นฐานหากต้องเข้าไปร่วมงานเลี้ยงของวังหลวงในฐานะชายาอ๋องเพียงเท่านั้น ส่วนชุดแต่งงานและทุกอย่างที่ฝ่ายสตรีต้องเตรียมยามออกเรือนช่างของวังหลวงก็เป็นคนตัดเย็บและปักให้ ช่างเป็นการเอาอกเอาใจที่ทำให้นางรู้สึกหวงแหนความโปรดปรานนี้และคิดจะรักษามันไว้ให้ดีที่สุด ในวันนี้เป็นวันที่นางนัดพบสหายที่โรงเตี๊ยมหนานเหิง ซึ่งนอกจากนางจะเตรียมถุงเครื่องรางไปให้เขาแล้ว นางยังเตรียมเทียบเชิญหวังจะเชิญสหายมาร่วมงานมงคลของตน และเพราะยามนี้นางกลายเป็นคู่หมั้นของชินอ๋องซื่อจื่อไปแล้วการมาพบปะสหายที่เป็นบุรุษนอกจา
“ถุงหอมนี้พิเศษกว่าถุงหอมทั่วไปนะเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋ง กลับมายิ้มแย้มได้เช่นเดิม ก่อนจะอธิบายว่าในถุงหอมมีเครื่องหอมใดบ้างและมีประโยชน์ใด “เจ้าช่างรอบคอบ” “และที่สำคัญมีแผ่นเครื่องรางแคล้วคลาดปลอดภัยอยู่ด้านใน” “เจ้าช่วยห้อยให้พี่เลยได้หรือไม่” “เจ้าค่ะ” นางตอบรับก่อนจะทำตามคำขอของเขา “พี่ชอบรอยยิ้มเช่นนี้ของเจ้าที่สุด” คังซืออี้กล่าว เขาสัญญากับตนเองว่าจะไม่ทำให้นางโกรธเด็ดขาด เห็นน่ารัก ซุกซนคล้ายเด็กน้อยแต่ใครจะคิดว่าแท้จริงนางเด็ดขาดยิ่งนัก เมื่อครู่ยามเห็นดวงหน้าหวานไร้รอยยิ้มเขาใจตกไปอยู่ตาตุ่มหวาดกลัวว่านางจะเลื่อนไม่ให้เขาส่งแม่สื่อไปสู่ขอจริง ๆ ยามที่เขาน้อยใจ เขาก็ไม่รู้ตัวว่าได้ทำสีหน้าเย็นชาเช่นนั้นใส่นาง หลังจากนี้เขาคงต้องไปฝึกซ้อมเมื่อเกิดอาการน้อยใจต้องทำสีหน้าเช่นใดนางถึงจะได้เอ็นดู มากกว่าโกรธเคืองเขาเช่นนี้ “หากท่านอยากเห็นรอยยิ้มของใคร ท่านก็จงยิ้มให้คนผู้นั้น มิเช่นนั้นท่านจะได้รับสีหน้าเช่นเดียวกันกลับคืน” “พี่เข้าใจแล้ว พรุ่งนี้ปลายยามเฉิน (07.00-0
“ซีอิ๋ง พี่ขอโทษ เจ้าอยากต่อว่าอันใดพี่ก็ว่ามาเถิด หรือจะให้พี่คุกเข่าสำนึกผิดพี่ก็ยอม แต่อย่าเลื่อนวันที่เรานัดหมายกันได้หรือไม่ เจ้าก็ทราบว่าพี่เฝ้ารอวันพรุ่งนี้เพียงใด” “ชินอ๋องซื่อจื่อท่านน่ะเคยบอกข้าว่า หากมีเรื่องใดไม่พอใจหรืออยากทราบให้เอ่ยถามท่านตามตรง อย่าได้ตัดสินหรือสืบสาวเรื่องราวเอาเอง ท่านอยากให้ข้าทำเช่นนั้นแล้วเหตุใดท่านไม่ทำเช่นที่ต้องการให้ข้าทำ ท่านตัดสินเรื่องราวเอาเองไม่ถามไถ่ข้า ทั้งยังโกรธเคืองข้าหน้าแทบไม่อยากจะมอง หากวันหน้ามีใครมาใส่ร้ายข้า หรือเกิดเรื่องราวเสียหายโดยที่ข้าไม่ได้เป็นคนทำ ท่านไม่ตัดสินใจเอาเองว่าข้ามีความผิดแล้วสั่งให้คนสังหารข้าโดยไม่ไต่สวนหรือ” “ซีอิ๋งเจ้าคิดไปไกลถึงเพียงนั้น พี่รักเจ้ามากขนาดนี้ พี่จะทำร้ายเจ้าเช่นนั้นได้อย่างไร” “ความรักสำหรับบุรุษ ย่อมจืดจางไปตามเวลา แล้วความรักของบุรุษที่เพียบพร้อมด้วยชาติตระกูลเช่นท่านจะคงอยู่ได้นานสักเพียงใด” ‘ข้ากำลังน้อยใจนางเรื่องของขวัญมิใช่หรือ แต่เหตุใดเรื่องราวมันกลับพลิกเป็นข้าผิดกันเล่า’ แล้วคราวนี้เขาต้องง้อนางอย่างไร
“นี่เจ้าค่ะ ของขวัญจากข้า” เพราะเอาตำลึงที่เก็บไว้ไปหอชายงามในครานั้น ตำลึงของนางจึงน้อยนิดจนไม่พอซื้อของล้ำค่าให้พี่ใหญ่ แต่พอมาคิดดูอีกครั้งการลงมือทำเองต่างหากจึงจะล้ำค่าที่สุด “ซีซีของพี่ ให้อันใดกันนะ” ฟ่านไห่ถิงกล่าวด้วยสีหน้าดีใจก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาไม่สบอารมณ์ของใครบางคน “...” ชินอ๋องซื่อจื่อที่ยืนเคียงข้างคนรักจ้องมองสหายที่เหมือนจะพูดผิดไป “เจ้าไม่เห็นต้องจ้องมองข้าเช่นนั้นเลย ข้าแค่ลืมตัว” แค่ลืมตัวใส่คำว่า ‘ของพี่’ ก็มีโทสะแล้ว ลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเขาเป็นพี่ชายของนาง จะมาหวงอันใดกันหนักหนา “พี่ซืออี้อย่าเพิ่งกลั่นแกล้งพี่ใหญ่เลยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ท่านรีบเปิดดูสิเจ้าคะ” “ได้ ๆ” แต่เมื่อห่อกระดาษนั้นถูกเปิดออก สีหน้าของชินอ๋องซื่อจื่อพลันเคร่งขรึมลงกว่าเดิม ‘แท้จริงของชิ้นนี้นางไม่ได้ทำให้ข้า’ ไม่คิดจริง ๆ ว่าเขาจะหลงคิดว่าตนสำคัญเช่นที่ฟ่านไห่ถิงเคยบอก “พี่ใหญ่มองออกหรือไม่ ว่ามันเป็นพู่ห้อยกระบี่” “ขอบคุณเจ้ามากซีอิ๋ง เจ้าตั้งใจทำให้พี่หรือ”
“ยามนี้อยู่ในที่ลับตาคนแล้ว หวังว่าเจ้าจะจดจำวาจาของตนได้” สิ้นเสียงกระซิบ ริมฝีปากนางถูกครอบครองทันที ลิ้นร้อนเกี่ยวกระหวัดสลับกับกวาดชิมความหวานจากโพรงปากนุ่มครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเห็นนางอ่อนระทวยเขาก็จะถอนจุมพิตออกมาปล่อยให้นางพักหายใจเพียงสองสามอึดใจก่อนจะรุกเร้านางอีกครั้ง ลิ้นร้อนหยอกเย้า ริมฝีปากดูดดึงกลีบปากสีอ่อนไม่หยุด จนรถม้าจอดนิ่งที่หน้าจวนฟ่าน “พี่ไม่อยากส่งเจ้าลงจากรถม้าเลย” สองมือใหญ่ประคองดวงหน้าหวานที่แดงก่ำ นางหอบเหนื่อยจนร่างกายไร้เรี่ยวแรงคล้ายถูกสูบพลังชีวิตไป ช่างแตกต่างจากเขาที่ดูสดชื่นขึ้นต่างจากก่อนหน้านี้ “ท่านกินเต้าหู้ข้าจนอิ่มท้องไปหลายวันแล้วกระมัง” “เต้าหู้นุ่มนิ่มแสนหวานเช่นเจ้า ต่อให้กินจนหมดตัวพี่ก็ไม่อิ่มท้อง มีแต่จะอยากกินเรื่อย ๆ ไม่หยุด” กล่าวจบก็กดริมฝีปากลงบนกลีบปากสีอ่อนอีกครั้ง เขารุกเร้าลิ้มรสความหวานและไล่ต้อนจนนางอ่อนระทวยไร้เรี่ยวแรงอีกครั้ง ‘ถึงจวนฟ่านแล้ว ปล่อยน้องข้าลงจากรถม้าได้แล้วกระมัง’ เสียงของคุณชายฟ่านที่ติดจะรำคาญเล็กน้อยดังขึ้นนอกรถม้า “พี่ให
20ถุงหอมย่อมล้ำค่ากว่า ส่วนคุณหนูฟ่านนั้นยามนี้กำลังถูกบุรุษตัวใหญ่ทั้งออดอ้อนและเอาใจอยู่ “ซีอิ๋งเจ้าทราบหรือไม่ว่าสำรับเมื่อครู่ พี่กินได้มากกว่ายามที่ไม่ได้พบหน้าเจ้า” “ท่านมิใช่เดินทางมาเหน็ดเหนื่อยจึงหิวมากหรือเจ้าคะ” มุมปากนางยกยิ้มคล้ายล้อเลียนบุรุษที่กินข้าวมากถึงสามถ้วย “ทั้งหมดย่อมเป็นเพราะเจ้า ยามไม่ได้เจอเจ้าพี่กินได้น้อย ใจคอยคะนึงถึงแต่เจ้า” “ท่านหยอกเย้าข้าแล้ว” นางยิ้มเขินอาย “เพราะพี่รักเจ้าพี่ย่อมหยอกเย้าแต่เพียงเจ้า แล้วสวนนี้อยากปลูกอันใดเพิ่มหรือไม่” เขากล่าวก่อนจะสวมกอดนาง ไม่เจอกันหลายวันเขาก็เพิ่งทราบตนเองว่าเขาปรารถนานางมากเพียงใด “ที่พวกเขากำลังจัดอยู่ก็สวยอยู่แล้วเจ้าค่ะ” “พี่ดีใจที่เจ้าชอบ ลองเดินชมให้ทั่วตำหนักอีกรอบดีหรือไม่ เผื่อเจ้าอยากปรับปรุงหรือทำสิ่งใดเพิ่ม” “พี่ซืออี้ท่านอย่าได้รีบร้อน ข้ายังเป็นเพียงคุณหนูฟ่าน หากมากะเกณฑ์ชี้นิ้วในตำหนักอ๋องเกรงว่าจะไม่เหมาะสม” “พี่อนุญาตแล้วใครจะกล้าว่าเจ้า” “มารดาข้านั่นแหละเจ้าค่ะ
“ข้าขอโทษที่เคยหลอกลวง เล่นงิ้วตบตาพวกท่าน จนทำให้พวกท่านเข้าใจผิดว่าข้าเป็นต้วนซิ่ว” “ไม่เป็นไร แม่เข้าใจ...เจ้าว่าอันใดกัน! เจ้าบอกว่าเป็นข้ากับบิดาเจ้าเข้าใจผิด” “ขอรับ ที่ข้าต้องเป็นต้วนซิ่ว เพื่อจะได้เข้าใกล้องค์ชายรองที่เป็นต้วนซิ่วโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันระวังตัว ข้าที่รูปงามเกินไปจึงต้องเล่นงิ้วฉากใหญ่ แต่เพราะนี่เป็นเรื่องที่เดิมพันด้วยบัลลังก์มังกร ข้าจึงไม่อยากให้พวกท่านมาเสี่ยงอันตรายด้วยจึงไม่ได้บอก และการจะหลอกผู้อื่นให้ได้ ควรต้องทำให้คนใกล้ตัวหลงเชื่อก่อน ด้วยเหตุนี้ ที่ผ่านมาข้าจึงต้องแสร้งเป็นต้วนซิ่ว” “ที่เจ้าเอ่ยมาเป็นเรื่องจริงหรือ” เจ้ากรมยุติธรรมคล้ายจะไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน “ขอรับ บัดนี้จบเรื่องแล้วข้าจึงอยากบอกกล่าวความจริงให้พวกท่านได้คลายกังวล อีกไม่นานซีอิ๋งก็จะต้องแต่งกับซืออี้ ข้าคงต้องหาสตรีสักคนมาแต่งด้วยแล้ว” “ดียิ่ง เจ้าทำดีแล้ว พ่อดีใจจริง ๆ ที่ได้ยินเช่นนี้” เรื่องบุตรสาวหลังจากได้ยินฮูหยินเคียงหมอนเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมทั้งชี้แจงข้อดีของชินอ๋องซื่อจื่อ ฟ่านเฉียนจึงคล้ายจะยินยอมโด
“คิดถึงพี่หรือไม่” เขาเอ่ยถามเสียงอ่อนลงจากที่คิดจะต่อว่านางสักเล็กน้อยที่เดินเหม่อลอยเช่นนั้นหวังจะได้ลงโทษด้วยการกินเต้าหู้นาง “ย่อมคิดถึงเจ้าค่ะ ท่านปลอดภัยดีหรือไม่” นางกล่าวพลางดันตัวออกห่างเขาก่อนจะยืนนิ่งเพื่อกวาดตามองสำรวจเขา “พี่ปลอดภัยดี พี่ก็คิดถึงเจ้ายิ่งนัก” ความห่วงใยของนางทำให้เขารู้สึกหวานล้ำในใจยิ่งนัก “ท่านกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อใดเจ้าคะ พี่ไห่ถิงเล่าเป็นเช่นใดบ้าง” “พี่กับไห่ถิงเพิ่งกลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อครู่ พอเห็นเจ้าเดินเหม่อลอยอยู่ พี่จึงให้ไห่ถิงกลับจวนฟ่านไปก่อน ส่วนพี่ก็รีบมาหาเจ้า” “เป็นเช่นนั้นเอง” เขาและพี่ใหญ่ปลอดภัยกลับมาก็ดีแล้ว “ตำหนักอ๋องกำลังจะรื้อสวนแล้วปลูกดอกไม้ใหม่ เจ้าไปช่วยพี่ดูสักหน่อยดีหรือไม่ อย่างไรวันหน้าที่นั่นก็จะกลายเป็นตำหนักของเจ้า” “ข้าควรไปดีหรือไม่กันนะ” “ควรไป สวนจะได้ออกมาสวยถูกใจเจ้า” “เช่นนั้นไปก็ได้เจ้าค่ะ แต่ต้องเป็นหลังจากที่ข้าไปหาซูฉีที่โรงเตี๊ยมหนานเหิงแล้ว ข้าให้นางไปซื้อเสี่ยวหลงเปามาให้” “เ