“นั่นเสียงใครเจ้าคะ ท่านขว้างก้อนหินโดนคนหรือไม่”
“คงไม่ใช่หรอก เพราะหากเป็นคนเขาต้องวิ่งออกมากล่าวโทษพี่แล้ว”
“เช่นนั้นหรือเจ้าคะ” นางตอบรับแต่สีหน้ายังครุ่นคิดด้วยความสงสัย
“เอ๊ะ! นั่นอิ๋งหั่วฉงนี่” สิ้นเสียงเขาอิ๋งหั่วฉงจำนวนมากก็ปรากฏเต็มป่าไผ่
“นี่หรือเจ้าคะอิ๋งหั่วฉง...งดงามยิ่งนัก”
“ช่างดีจริงที่ได้ยืนมองอิ๋งหั่วฉงกับเจ้า” ชินอ๋องซื่อจื่อเอ่ยเสียงเบา
“ช่างเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าเช่นที่ผู้อื่นว่าเสียจริง” “เจ้าชอบหรือไม่” เขาหันมาถามสตรีที่ยังคงจับชายอาภรณ์ของเขาไว้
“ชอบมากเจ้าค่ะ มันช่างงดงามตราตรึงใจยิ่งนัก” นางหันมาบอกเขาก่อนจะยิ้มกว้าง
“พี่ก็คิดเช่นกันว่ามันช่างงดงามตราตรึงใจยิ่งนัก” คังซืออี้ กล่าวพลางจับจ้องดวงหน้าหวานยากจะละสายตา
ตึกตัก ๆ หัวใจดวงน้อยของนางเต้นระรัวกับสายตาพราวระยับและวาจาหวานซึ้งของสหายพี่ชาย
‘เขาหมายถึงข้า หรือหมายถึงอิ๋งหั่วฉงกัน’
“มันมาเกาะบนผมเจ้าด้วย” เขากล่าวพลางเอื้อมมือมาทำสิ่งใดบางอย่างที่ผมนาง
“จริงหรือเจ้าคะ แล้วมันจะกัดข้าหรือไม่”
“อิ๋งหั่วฉงไม่กัดเจ้าหรอก พี่จับให้เจ้าแล้ว” เขากล่าวพลางกำมือมาตรงหน้านางก่อนจะแบออกเผยให้เห็นว่าในกำมือของเขามีอิ๋งหั่วฉงส่องแสงอยู่
“มันเป็นตัวเช่นนี้เองหรือเจ้าคะ ช่างน่าแปลกใจยิ่งที่มันส่องแสงได้”
“นั่นสิ แต่ขอเพียงเจ้าชอบพี่ก็ดีใจแล้ว”
“ท่านว่าอันใดนะเจ้าคะ”
“ไม่มีอันใด ดูเหมือนมันจะเริ่มบินหายไปหมดแล้ว ให้พี่ไปจับกลับมาให้เจ้าดูอีกหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ เพียงแค่ข้าได้เห็นภาพที่งดงามเช่นนี้ ข้าก็ดีใจมากแล้วเจ้าค่ะ”
“อืม พี่ก็เช่นกัน” ภาพที่นางจ้องมองอิ๋งหั่วฉงด้วยดวงตาเปล่งประกาย และรอยยิ้มกว้างนั้นช่างน่าตรึงใจเสียจริง ไม่เสียแรงจริง ๆ ที่สั่งให้องครักษ์ไปจับมาจากเมืองจินเซ่อ
“กลับเรือนกันเถิดเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวน้ำค้างลงมากกว่านี้ ท่านจะเป็นไข้เอา”
“พี่ไปส่งเจ้าที่เรือนก่อน”
“แล้วท่านจะกลับเรือนรับรองถูกหรือเจ้าคะ”
“ประเดี๋ยวส่งเจ้าเสร็จพี่ค่อยให้คนตรวจเวรยามพากลับเรือนรับรอง”
“เช่นนั้นก็ได้เจ้าค่ะ”
“มา! พี่จะถือโคมไฟให้”
“เจ้าค่ะ” เมื่อนางตอบรับเขาก็ถือโคมไฟให้ ก่อนจะเอื้อมมือมาจับมือนางให้เดินตาม
“เดินเช่นนี้ดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยรอยยิ้ม วันนี้นางมีความสุขยิ่งนัก ได้เห็นอิ๋งหั่วฉงที่ในตำราบอกว่ามันงดงามเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าทว่าจับต้องได้
“...” มุมปากหยักของชินอ๋องซื่อจื่อยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อเห็นรอยยิ้มที่ระบายเต็มดวงหน้าหวาน มันช่างงดงามกว่าอิ๋งหั่วฉงเสียอีก
คล้อยหลังคนทั้งคู่ได้ไม่นานองครักษ์เงาที่เร้นกายอยู่ในป่าไผ่ก็ปรากฏตัว
“เป็นอย่างไรบ้างหัวเจ้า”
“ไม่มีเลือดไหลขอรับ โชคดีที่ท่านอ๋องน้อยออมมือ”
“สมน้ำหน้า ข้าส่งสัญญาณบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้ว พวกเจ้าไม่ฟังเอง เอาแต่กลั้นหัวเราะท่านอ๋องอยู่” จือซวนกล่าว
“ก็จะไม่ให้หัวเราะได้อย่างไร ท่านอ๋องน้อยอุตส่าห์สวมอาภรณ์บางเบา ทั้งยังแหวกอกเสื้อจนแทบจะลงไปกองที่เอว แต่คุณหนูฟ่านนอกจากจะไม่ถูกอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามของท่านอ๋องน้อยล่อลวงแล้ว นางยังช่วยจัดอาภรณ์ให้เรียบร้อยพร้อมทั้งบ่นว่าท่านอ๋องแต่ตัวไม่เรียบร้อยทำตัวเช่นชายงามออกไปเดินเล่นนอกหอ”
“ข้าก็เกือบตกจากต้นไม้เพราะกลั้นหัวเราะนี่แหละ แผนชายงามของท่านอ๋องน้อยไม่ได้ผลกับคุณหนูฟ่าน”
“นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าท่านอ๋องกำลังล่อลวงนาง ช่างน่าขบขันนัก”
“เจ้าลืมแล้วหรือ ว่าท่านอ๋องน้อยวรยุทธ์เลิศล้ำ ระวังท่านอ๋องน้อยจะได้ยินที่พวกเจ้ากล่าวแล้วสั่งลงโทษ
“ข้าขออภัยขอรับ พวกข้าไม่พูดแล้ว” กล่าวจบก็พากันเร้นกายหนีไป ทิ้งให้จือไห่กับจือซวนมองหน้ากันพลางส่ายหน้า แต่มุมปากของทั้งสองกลับประดับด้วยรอยยิ้มขบขัน
‘ท่านอ๋องช่างน่าขันจริง ๆ นั่นแหละ’
ชินอ๋องซื่อจื่อเดินไปส่งน้องสาวของสหายที่เรือน ก่อนจะปล่อยมือนางอย่างรักษามารยาท แต่สิ่งที่ทำให้เขาต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก็เห็นจะเป็นการที่นางปลดผ้าคลุมของตนเองออก
“กว่าจะเดินถึงเรือนรับรองท่านคงแข็งตายพอดี อย่างไรข้าให้ยืมผ้าคลุมก่อน พรุ่งนี้ค่อยนำมาคืน”
“จะดีหรือ”
“ดีสิเจ้าคะ”
“แต่พี่มือเปื้อนเพราะเก็บหินเมื่อครู่ พี่ไม่อยากให้อาภรณ์ของเจ้าเปื้อน”
“แต่พี่มือเปื้อนเพราะเก็บหินเมื่อครู่ พี่ไม่อยากให้อาภรณ์ของเจ้าเปื้อน” “เช่นนั้นหากข้าเป็นคนคลุมให้ท่าน ก็หมดปัญหาแล้วใช่หรือไม่” นางเขย่งปลายเท้าก่อนจะคลุมผ้าของนางให้เขา แม้มันจะดูสั้นไปมากเพราะเขามีรูปร่างสูงใหญ่กว่านางนัก แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีสิ่งใดปกปิดร่างกายทำให้อบอุ่น “ขอบคุณ เสื้อคลุมของเจ้าช่างอบอุ่นยิ่งนัก” “ข้าก็ขอบคุณท่านเช่นกันที่มาส่งเจ้าค่ะ” นางกล่าวจบก็ทำท่าจะหมุนตัวเข้าเรือน “ประเดี๋ยวก่อน พี่ขอถามเจ้าได้หรือไม่ว่าวันนั้นเจ้าไปที่หอชายงามด้วยเหตุใด” “เดิมทีข้าตั้งใจจะไปเที่ยวเล่นเพราะอยากรู้อยากเห็น แต่บังเอิญไปเห็นพี่ใหญ่เดินเข้าไปที่หอแห่งนั้นพอดี ข้าที่รับรู้มาตลอดว่าสองปีที่ผ่านมาพี่ใหญ่อยู่เมืองจินเฟิ่งที่เป็นชายแดนเหนือย่อมอดไม่ได้ที่จะสงสัย จึงติดตามเข้าไปที่นั่นเพื่อไปดูว่าใช่พี่ชายของข้าที่ไม่ได้พบเจอกันเกือบสองปีหรือไม่” “ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงไปแอบดูไห่ถิงที่หน้าห้องนั้น” “เจ้าค่ะ แล้วข้าก็ได้เห็นพี่ใหญ่กำลังทำเอ่อ...เรื่องวาบหวิวกับชายงามเหล่านั้น” “บางสิ่งที่เจ้าเห
ไม่ได้การแล้ว...นางต้องทำอันใดสักอย่าง เมื่อกลับถึงเรือนของตน ฟ่านซีอิ๋งก็รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปขออนุญาตมารดาเพื่อออกไปข้างนอก “คุณหนูจะออกไปซื้อสิ่งใดหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไป...” หากตอบว่าไปมองหาบุรุษที่เข้าท่ามาให้พี่ใหญ่ ก็คงจะไม่ได้ ของขวัญ! ใช่แล้วอีกไม่นานพี่ใหญ่ก็จะมีอายุครบยี่สิบสี่หนาว นางแสร้งทำเป็นออกไปหาซื้อของขวัญให้เขาคงจะได้กระมัง อย่างน้อยก็สามารถใช้ข้ออ้างนี้ออกจากจวนได้ราวสามสี่ครั้ง แต่เพียงคิดถึงของขวัญ นางก็น้ำตาแทบไหลรินเมื่อคิดถึงเงินก้อนสีทองที่จับจ่ายไปในหอชายงามครั้งนั้น การไปเที่ยวเช่นนั้นช่างใช้ตำลึงมากมายทีเดียว “ข้าจะออกไปซื้อของขวัญให้พี่ใหญ่” “คุณหนูได้เลือกของขวัญที่จะมอบให้คุณชายใหญ่แล้วหรือยังเจ้าคะ” “ข้ายังคิดไม่ออก จึงคิดว่าจะมาเดินดูก่อน” “พู่กันอย่างไรเจ้าคะ ก่อนหน้านี้คุณหนูเคยบอกว่าอยากได้พู่กันล้ำค่า...” “ไม่เอา ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” นางไม่มีวันเดินเข้าร้านเหิงจื้อเป็นแน่ “เช่นนั้นของขวัญของคุ
6น่าอับอายยิ่งนัก กลับมาที่การเปิดให้อ่านตำราโดยไม่เสียเงินชั่วคราวของคุณหนูซิว สตรีผู้ถูกเล่าลือว่างดงามมีเมตตาแสร้งปาดน้ำตาที่มีอยู่เล็กน้อยออกก่อนจะฝืนยิ้มออกมา ท่าทางเช่นนี้ของหญิงงามมักจะทำให้บุรุษรู้สึกอยากปกป้อง “ตายจริง ขออภัยเจ้าค่ะ ท่านเจ็บมากหรือไม่เจ้าคะ ข้านี่มันใช้ไม่ได้ที่ละเลยท่าน” “ไม่เป็นไรขอรับคุณหนูซิว” หานจงเซ่อใบหูแดงเล็กน้อย “จะไม่เป็นไรได้อย่างไรเจ้าคะ ลี่มี่ไปเชิญท่านหมอมารักษาท่านบัณฑิตเถิด” “อย่าให้ถึงท่านหมอเลยขอรับ ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ” แม้จะรู้สึกอับอายต่อหน้าสตรีในดวงใจแต่เมื่อได้รับความห่วงใยจากนาง เขาก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว “เช่นนั้นให้ข้าทำแผลให้ดีหรือไม่เจ้าคะ อย่าปฏิเสธข้าเลยนะเจ้าคะ” นางก้มหน้าลงเล็กน้อยก่อนจะช้อนตาขึ้นมองคล้ายเว้าวอนทำให้บุรุษพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย “เช่นนั้นต้องรบกวนคุณหนูซิวแล้วขอรับ” เป็นหานจงเซ่อที่รู้สึกอิ่มเอมหัวใจยิ่งนัก “หากไม่มีเรื่องใดแล้วพี่กลับจวนก่อนนะ” ซิวเมิ่งหยวนที่เหนื่อยหน่ายกับงิ้วของน้องสาวกล่าวก่อนจะเดินแยกตัวไป
“แต่ข้ากลับคิดว่าสิ่งที่คุณหนูซิวทำไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เป็นสตรีไปอยู่ท่ามกลางบุรุษมากมายเช่นนั้นมองอย่างไรก็ไม่เหมาะสม” “ที่เจ้ากล่าวก็ไม่ผิด” “พอได้ยินเจ้ากล่าวเช่นนี้แล้วข้าก็เพิ่งนึกออกว่าก่อนหน้าที่จะมาที่ร้านแห่งนี้ ได้ยินบุรุษสองคนที่ดูเหมือนจะไม่ใช่บัณฑิตเตรียมสอบแต่เป็นคุณชายผู้หนึ่งกล่าวชักชวนกันไปอ่านตำราโดยไม่เสียเงิน หวังจะได้ใกล้ชิดและเกี้ยวพาคุณหนูซิว” “อืม ไม่เหมาะสมจริง ๆ นั่นแหละ” คำกล่าวของชาวบ้านวัยกลางคนกลุ่มนั้นทำให้ฟ่านซีอิ๋งที่ลอบฟังอยู่พยักหน้าพลางลอบเคี้ยวฟันอย่างรู้สึกหงุดหงิดเมื่อบุรุษที่นางตั้งใจมาหมายตา ถูกคุณหนูซิวแย่งตัวไปจนหมด ‘ดูแล้ววันนี้คงไม่ได้เรื่อง กลับจวนก่อนก็แล้วกัน” นางดึงผ้าคลุมขึ้นมาปิดใบหน้าครึ่งล่างก่อนจะทอดถอนใจแล้ววางก้อนตำลึงสีเงินลงบนโต๊ะก่อนจะออกจากโรงเตี๊ยมไป “รบกวนพวกท่านส่งคนไปแจ้งซูฉีให้ข้าด้วยเจ้าค่ะ ว่าข้าเดินทางกลับจวนแล้ว” “ขอรับคุณหนู” เมื่อผู้คุ้มกันแซ่อินรับคำ นางก็เดินกลับไปยังจุดที่สั่งให้คนขับรถม้าจอดรอเพื่อกลับจวนฟ่าน ‘เอาไว้
“ซืออี้ เจ้าแย่งหน้าที่ข้า” หน้าที่ช่วยคีบอาหารให้น้องสาวที่แขนสั้นกว่า เป็นของพี่ชายเช่นเขามาตั้งแต่เด็ก “เจ้าอย่าได้ถือสา” เขากล่าวก่อนจะคีบหมูใส่จานให้นางอีก “แต่ข้าถือสา ข้าหวงน้อง” “ไห่ถิงเจ้าควรทำใจให้คุ้นชินเอาไว้ อีกหน่อยถึงคราวนางออกเรือนเจ้าจะได้ทำใจได้” “คงอีกนานหลายปี กว่านางจะได้ออกเรือน แต่หากไม่ออกเรือนไปก็ไม่เป็นไร ข้ามีสำนักคุ้มภัยใหญ่โต เหตุใดจะเลี้ยงน้องสาวเพียงคนเดียวไม่ได้” “หลายปีอันใดกัน น้องสาวเจ้าหน้าตาหรือก็งดงามคล้ายคลึงข้า เหตุใดถึงจะได้ออกเรือนช้า” เป็นฟ่านฮูหยินกล่าว พลางส่งสายตาดุให้บุตรชาย “เอ่อ...นางไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงที่ใด แล้วจะต้องตาบุรุษได้อย่างไรขอรับ” ฟ่านไห่ถิงบอกเสียงอ่อน “เรื่องนั้นอย่าได้ห่วง มารดาของเจ้าตอบรับเทียบเชิญเข้าร่วมงานเลี้ยงของเจิ้งโหวให้น้องเจ้าเรียบร้อยแล้ว เห็นว่านอกจากจะมีคุณหนูคุณชายเข้าร่วมแล้ว เจิ้งโหวที่เดิมทีเป็นคนชอบวาดภาพ ต่อโคลงกลอนอยู่แล้วจึงเชิญเหล่าบัณฑิตเข้าร่วมมากมาย” “แต่ซีซี นางไม่ชอบไปที่คนมากเช่นนั้นนะขอรับท่านแม่”
“กิ่งไม้เกี่ยวอันใด เหตุใดถึงเลือดไหลมากเช่นนี้” “คงเป็นเพราะพี่เลือดลมดีกระมัง” เขายิ้มพลางนึกขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เป็นเพราะเจ้าจือหม่านั่นแหละที่เอาเลือดไก่ราดอาภรณ์เพิ่ม บอกว่าจะสามารถเรียกความเห็นใจจากสตรีได้มาก แคว้ก...สิ้นวาจาของเขา นางก็รีบฉีกชายอาภรณ์ชุดนอนตัวในแล้วมาช่วยพันแผลห้ามเลือดให้เขาก่อน เมื่อเห็นว่าแท้จริงนางสวมใส่เพียงชุดนอนตัวใน เขาก็หันไปส่งสายตาดุ แผ่รังสีอำมหิตใส่ความมืดที่ว่างเปล่าด้านหลัง ชิ้ง! ‘รีบไสหัวออกไปให้ห่างเรือนของนางเดี๋ยวนี้’ แต่พอหันกลับมามองสตรีที่กำลังใช้ผ้าซับเลือดให้ นัยน์ตาคมดุนั่นก็อ่อนโยนลง “เข้าไปในเรือนของข้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ” “อืม” เขาตอบรับพลางแสร้งทำเหมือนไร้เรี่ยวแรงหวังให้นางช่วยประคอง “มาเจ้าค่ะ ข้าจะช่วยประคอง” เมื่อเรือนร่างนุ่มนิ่มเข้าประคองมุมปากหยักยกยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ขอบคุณ” เขาเอ่ยหลังจากนั่งลงบนตั่งที่อยู่ไม่ไกลจากเตียงในห้องนาง “ท่านช่วยถอดอาภรณ์ให้ข้าได้หรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ตรวจดูว่ามีแผลตรงที่ใดอีกหรือไม่”
7ชินอ๋องซื่อจื่อมีโทสะ หลังจากผ่านพ้นพิธีปักปิ่น งานเลี้ยงนี้เป็นงานเลี้ยงแรกที่นางตอบรับเทียบเชิญมาร่วมงาน ส่วนหนึ่งก็เพราะมีจุดประสงค์ในการมาผูกมิตรสร้างสัมพันธ์กับบุรุษ เพื่อใช้เปลี่ยนใจพี่ใหญ่ “ไม่ต้องห่วง พี่จะคอยอยู่ใกล้ ๆ เจ้า” คังซืออี้ที่เห็นนางชะงักฝีเท้า ไม่เดินตามมารดาเข้าไปเอ่ยวาจาปลอบประโลม เมื่อวานสหายของเขาก็ก่นด่าถึงสาเหตุที่ทำให้จวนฟ่านไม่ค่อยพาคุณหนูฟ่านไปร่วมงานเลี้ยงที่ใดบ่อยครั้งนัก คนพวกนั้นก็ปากไม่ดีเสียจริง กล้าดีอย่างไรเอาเด็กน้อยไปเปรียบเทียบกับบุรุษที่โตกว่ามาก “นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยง จึงรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง” “อยากจับมือพี่เข้าไปในงานหรือไม่” เขาแบมือออกคล้ายกับพร้อมให้นางจับ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” นางไม่อยากถูกคุณหนูที่ชื่นชอบเขาดักทุบหัว “เช่นนั้นก็รีบเข้าไปในงานเถิด” “ท่านอย่าเพิ่งรีบเข้างานนะเจ้าคะ รอให้ข้ากับท่านแม่เข้าไปก่อน” “ขอรับ ๆ คุณหนูฟ่าน” แม้จะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างแต่เขาก็ตามใจนาง เมื่อเห็นนางรีบก้าวเท้าเดินเข้างา
“ยามปกติที่ต้องเข้าร่วมงานเลี้ยง บรรดาฮูหยินมักจะพาบุตรสาวเข้าร่วมด้วย ส่วนหนึ่งก็เพื่ออยากให้ผู้คนรู้จัก แต่ลึก ๆ แล้วฮูหยินเหล่านั้นกลับมีจุดประสงค์คืออยากให้บุตรสาวต้องตาบุรุษที่เพียบพร้อมด้วยชาติตระกูล หากโชคดีอาจจะได้เป็นพระชายาของไท่จื่อหรือองค์ชายสักพระองค์” บุรุษผู้นั้นยังคงเอ่ยวาจาต่อ “...” “แต่เหตุใดจวนฟ่านที่มีบุตรสาวเช่นกัน ก่อนหน้านี้ฟ่านฮูหยินถึงไม่เคยพาเข้าร่วมงานเลี้ยง” “เพราะข้าขี้ริ้วขี้เหร่อย่างไรเจ้าคะ ท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่จึงไม่อยากให้ข้าเสียใจยามถูกผู้อื่นดูแคลน ฮึก!” สิ้นเสียงเอ่ยน้ำตาของสตรีที่นั่งก้มหน้าอยู่ก็หยดใส่มือของนางที่กุมกันแน่นคล้ายสะกดกลั้นอารมณ์ “เจ้าร้องไห้ด้วยเหตุใด” “ที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโต ข้ามักจะถูกญาติพี่น้องและคนรอบตัวเอ่ยวาจาเปรียบเทียบกับท่านแม่และพี่ใหญ่ ฮึก! ว่าข้าเป็นอีกาในฝูงหงส์บ้าง เป็นเด็กถูกเก็บมาเลี้ยงบ้าง ฮึก! หน้าตาถึงได้ขี้ริ้วขี้เหร่ผิดแผกจากมารดาที่เป็นถึงหญิงงามอันดับหนึ่ง ขนาดพี่ใหญ่ที่เป็นบุรุษยังงดงามกว่าข้านัก เพราะถูกดูแคลนเช่นนี้นับสิบปี ทำให้ควา
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไถ่เขาเช่นนี้ทุกวัน นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉา ครอบครัวของสามีดีกับนางเหลือเกิน สามีหรือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบุรุษมักมากพร้อมรับสตรีเข้าเรือนมากมาย ทำให้นางยิ่งสำนึกในบุญคุณของเขา จึงพยายามปรนนิบัติดูแลเขาให้ดีที่สุด “เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” “เช่นนั้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนกินข้าวดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ อาบน้ำร้อนทุกวันไม่ดีกับร่างกายกระมัง เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้พี่มีงานมากมายจึงมาบอกเจ้าว่าอย่ารอพี่เข้านอน เพราะพี่อาจจะนอนที่ห้องหนังสือเลย” “เจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยจวนฟ่านคล้ายจะรู้สึกผิดหวัง นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตาเสียใจ “เช่นนั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่มีท่าทางหยอกเย้าหรือกินเต้าหู้นางเช่นทุกวัน” ‘เขาโกรธอันใดข้าหรือไม่’ ‘หรือเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยงเช่นนี้’ หูเซียงเฟยไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของเขา ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะไม่กลับมา นางจึงถ
“แต่หากเจ้าไม่อยาก...” เขากำลังจะบอกว่าไม่อยากฝืนใจนาง เขามีเวลาเป็นปีที่จะยั่วยวนจนนางหลวมตัวหลวมใจยินดีที่จะเป็นฟ่านฮูหยินตลอดไป “ท่านได้โปรดชี้แนะข้าด้วย” นางรีบกล่าวคล้ายกลัวเขาเข้าใจผิด ที่เขายอมรับข้อเสนอตบแต่งนางเป็นฮูหยินเอกนับว่ามีพระคุณกับนางยิ่งนัก “หากพี่สอน เจ้าจะหาว่าพี่หน้าไม่อายหรือไม่” “ไม่ว่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นลองสัมผัสมันดูหรือไม่ ทำความคุ้นเคยกับมันก่อน” น้ำเสียงที่แฝงด้วยยั่วเย้าและแววตาที่ล่อลวงทำให้นางหลวมตัวพยักหน้าตอบรับด้วยใจหนึ่งก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น แม้ก่อนออกเรือนมารดาจะนำหนังสือปกขาวที่เคยได้รับมามอบให้ แต่ทว่านางลองศึกษาแล้วยังไม่กระจ่างเท่าใด ทราบแต่เพียงว่าครั้งแรกจะเจ็บมากเท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งนั้นที่คล้ายผงกหัวเรียกนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง” “มันเหมือนมีชีวิตเลยนะเจ้าคะ” “เพราะมันปรารถนาอยากจะปลดปล่อยอย่างไรเล่า” “แล้วยามที่มันแข็งขึงเช่นนี้ ท่านปวดหรือไม่เจ้าคะ”
‘หากเจ้ายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังตามจริง ข้าอาจจะตบแต่งกับเจ้าตามข้อตกลงก็ได้’ ‘เช่นนั้นเราเปลี่ยนที่สนทนาได้หรือไม่เจ้าคะ’ ‘ย่อมได้’ เขากล่าวพลางวางตะเกียบลง ‘ท่านกินให้อิ่มก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอได้’ อย่างไรกลับไปก็โดนหาเรื่องอยู่แล้ว หากนางจะกลับช้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ‘เช่นนั้นก็รอข้า’ ‘เจ้าค่ะ’ หลังจากย้ายที่สนทนาแล้วนางก็เล่าเรื่องราวที่ตนต้องเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งพี่สาวที่เข้าเกณฑ์จะต้องเข้าร่วมเช่นกันกับฮูหยินรองที่ยามนี้ทำตัวเช่นฮูหยินเอกกดขี่นางและมารดา พยายามหาบุรุษมีตำหนิมาแต่งกับนางเพื่อจะได้ตัดคู่แข่งในการคัดเลือกนางสนมออกไป ซึ่งตัวหูเซียงเฟยที่ไม่ได้อยากเป็นสนมของฮ่องเต้ จึงคิดเลือกบุรุษสักคนด้วยความคิดที่ว่าหากต้องพลีกายให้กับใครสักคน นางขอเป็นคนเลือกเอง ทว่าสถานที่เลือกบุรุษของนางกลับเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่คุณชายมักจะไปนั่งจิบชา ซึ่งนางให้เหตุผลว่าที่มาเลือกบุรุษในที่นี่ก็เพราะ ในสายตานางบะหมี่ร้านนี้รสเลิศกว่าอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับถ