‘มีอันใดก็รีบเอ่ยมา’ แม้ไม่ได้เห็นสีหน้า แต่คนลอบฟังเช่นนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าบุรุษผู้นั้นกำลังรู้สึกรำคาญ
‘ข้าเพียงแต่อยากจะเอ่ยวาจาขอบคุณท่านที่ได้ยื่นมือช่วยเหลือข้าในวันนั้นเจ้าค่ะ’
‘ข้าน่ะหรือ ช่วยเหลือเจ้า’
นี่แหละนะบุรุษรูปงามมักไม่จดจำว่าตนเองได้ล่อลวงสตรีใดไปบ้าง
‘เจ้าค่ะ เป็นท่านที่ช่วยเหลือข้ายามที่ม้าเหล่านั้นกำลังพยศ’
‘อ๋อ! ในตอนนั้นข้าเพียงไม่อยากให้รถม้าของตระกูลนั้นต้องจ่ายค่าเสียหายมากมาย’ แท้จริงที่ช่วยก็เพียงมีใจอยากช่วยไม่ให้จวนท่านตาต้องชดเชยค่าเสียหายจำนวนมากก็เท่านั้น
บุรุษผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก สตรีงดงามรู้สึกซาบซึ้งแทนที่จะรับคำขอบคุณไว้กลับบอกไปเช่นนั้นไม่รู้คนงามจะหน้าชาเพียงใด
‘อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นข้าคงเจ็บหนัก’
‘ที่เจ้ามาขวางทางข้าเพราะอยากเอ่ยวาจาเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่’
‘ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนท่าน ข้าสามารถทำเช่นไรได้บ้างเจ้าคะ’
ก็ต้องพลีกายตบแต่งเป็นฮูหยินให้อย่างไรเล่า นี่เป็นการตอบแทนที่ดีที่สุดแล้ว
‘เจ้าไม่สามารถมอบให้ข้าได้หรอก’
‘ไม่มีสิ่งใดที่ข้าคุณหนูซิว นามว่าลู่หลิน ทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ’
โอ๊ะ! แนะนำตนให้อีกฝ่ายได้รู้จักอย่างแนบเนียน ประเดี๋ยวนะ...ซิวลู่หลินเช่นนั้นหรือ นั่นมันบุตรสาวของราชครูมิใช่หรือ
คงเพราะเมื่อครู่กลัวโดนจับได้ นางเลยไม่ทันมองให้ละเอียดถี่ถ้วนจึงไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นคุณหนูคนงามที่มีบุรุษหมายปองมากมายแต่หากอ้างอิงจากฝันร้ายของนางแล้ว ที่ยังไม่ยอมตอบรับแม่สื่อของตระกูลใดคงเพราะรอที่จะได้ครองคู่กับชินอ๋องซื่อจื่ออยู่เป็นแน่
‘ที่แท้เป็นคุณหนูจวนราชครูนั่นเอง เช่นนั้นหากอยากตอบแทนข้า ในอีกสามวันข้างหน้าจงเตรียมทองคำสองหีบใหญ่ ข้าจะส่งคนไปรับ’
‘ท่าน!’ สตรีผู้นั้นเอ่ยเรียกบุรุษด้วยน้ำเสียงสั่นเครือแฝงความผิดหวัง
ชินอ๋องซื่อจื่ออยู่ที่ใด เหตุใดถึงไม่รีบมาช่วยว่าที่พระชายาของท่าน นางกำลังโดนรีดไถอยู่รู้หรือไม่
‘ทองคำสองหีบ เทียบกับชีวิตคุณหนูซิว ข้าว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ’
‘เจ้าค่ะ ข้าจะจัดเตรียมให้ท่านตามต้องการ แต่ท่านต้องมารับด้วยตนเองนะเจ้าคะ’
‘...’ ไร้เสียงตอบรับจากอีกฝ่าย
‘ทองคำสองหีบเทียบไม่ได้กับบุญคุณช่วยชีวิต หากมีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือ ท่านสามารถมาพบข้าได้ที่จวนราชครูเจ้าค่ะ’
เสนอตัวเป็นที่สุด สหายของพี่ใหญ่ผู้นั้นจะทราบหรือไม่ว่า ว่าที่พระชายาของท่านกำลังอยากตอบแทนบุญคุณของบุรุษรูปงามด้วยการพลีกาย
‘หลีกทางได้แล้ว ข้าจะได้ไปธุระของข้าต่อ’
‘ขออภัยเจ้าค่ะที่รบกวนท่าน อีกสามวันข้างหน้า เจอกันที่จวนตระกูลซิวเจ้าค่ะ’
เมื่อบทสนทนาจบลงคุณหนูผู้นั้นก็เดินออกมาจากตรอก พอไม่มีการเคลื่อนไหวของใครอีกนางจึงเกาะผนังร้านแล้วชะเง้อคอมองเข้าไปในตรอก
ไม่มี! หรือบุรุษผู้นั้นใช้วิชาตัวเบาจากไปแล้ว ที่แท้ก็เพียงอยากสนทนากับหญิงงาม แต่คงกลัวเสียหน้าจึงแสร้งทำเป็นไม่สนใจหวังให้สตรีเสนอตัว ทั้งที่แท้จริงหากไม่อยากสนทนากับสตรีผู้นั้นจริง ๆ ก็สามารถใช้วิชาตัวเบาจากไปได้ทันที
“คุณหนู! ท่านกำลังมองหาสิ่งใดอยู่เจ้าคะ” เสียงเรียกที่ดังด้านหลังทำให้นางสะดุ้งจนตัวโยน
“เจ้า! ซูฉี...เจ้าทำให้ข้าตกใจเกือบตาย” ฟ่านซีอิ๋งยกมือตบอกคล้ายกับปลอบประโลมตนเองให้คลายกังวล
“ขออภัยเจ้าค่ะ คุณหนูกำลังมองหาสิ่งใดอยู่เจ้าคะ ให้บ่าวช่วยหาหรือไม่”
“ไม่ต้อง ข้ากำลังมองหาเจ้าอยู่นั่นแหละ เป็นอย่างไรบ้าง ทราบแล้วหรือไม่ว่าคนเขามุงดูอันใดกันอยู่”
“แสดงปามีดและฟันดาบเจ้าค่ะ ทั้งยังมีขายเครื่องรางป้องกันภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวจึงมาถามคุณหนูว่าอยากได้หรือไม่ บ่าวจะฝ่าผู้คนเข้าไปซื้อให้”
“พวกเขาแสดงจบแล้วหรือเจ้าถึงได้กลับมาหาข้า”
“ยังเจ้าค่ะ แต่บ่าวเป็นห่วงคุณหนูจึงออกมาก่อน”
“เช่นนั้นก็ไปซื้อเครื่องรางให้ข้า แล้วเจ้าก็อยู่ดูให้จบ จะได้กลับมาเล่าให้ข้าฟัง ข้าจะไปรอเจ้าที่โรงเตี๊ยมหนานเหิง ไปถึงก็แจ้งเสี่ยวเอ้อร์ให้เขาพาเจ้าไปหาข้า” นางแสร้งกล่าวด้วยสีหน้ารำคาญก่อนจะโบกมือไล่สาวใช้ไป
“เจ้าค่ะคุณหนู บ่าวจะตั้งใจดูแล้วไปเล่าให้คุณหนูฟัง”
“อืม” นางตอบรับก่อนจะมองตามสาวใช้ที่วิ่งแทรกเข้าไปในกลุ่มคนด้วยรอยยิ้ม
“ยังเป็นเด็กน้อยเสียจริง พี่ชายอินไปตามดูแลซูฉีสักคนเถิดเจ้าค่ะ” นางเอ่ยเสียงเบาก่อนจะเดินไปที่โรงเตี๊ยมซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านร้างที่นางยืนอยู่ เพราะรอบกายยังเหลือผู้คุ้มกันอีกสามคนที่เร้นกายเฝ้าปกป้องอยู่ นางจึงไม่กังวลเท่าใดนัก
“ขอรับคุณหนู”
2ไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่ ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนเข้ามานั่งกินอาหารไม่น้อยเนื่องจากราคาไม่สูงมากจนเกินไป แต่เนื่องจากที่นี่ไม่มีห้องส่วนตัวคุณหนูคุณชายส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมนัก เพราะจะได้มองดูปาหี่ที่สาวใช้คนสนิทแหวกกลุ่มคนเข้าไปดู นางจึงเลือกที่จะนั่งบริเวณชั้นสอง ก่อนจะสั่งอาหารมาสามอย่างเพื่อกินระหว่างรอสาวใช้ ‘นั่นมันคุณหนูซิว คนงามจากจวนราชครูไม่ใช่หรือ’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นดึงความสนใจให้นางก้มลงไปมองเบื้องล่างตามพวกเขา ‘งดงามสมคำเล่าลือจริง ๆ’ เมื่อมีโอกาสได้เพ่งพิศเช่นนี้ นางคิดว่าพี่ใหญ่งดงามกว่าสตรีผู้นี้มาก หากไม่ติดว่าเป็นบุรุษคงเป็นที่หมายปองของบุรุษในเมืองหลวง เผลอ ๆ ได้เข้าวังเป็นนางสนมของฮ่องเต้ แต่เอาเถิดหากกวาดสายตามองสตรีทั่วเมืองหลวงคุณหนูจวนราชครูผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ‘งดงามเช่นนี้คงมีคู่หมายแล้วกระมัง’ ‘นางยังไม่มีคู่หมายหรอก’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งตอบ ‘เพราะเหตุใดเจ้าถึงทราบ’ ‘ก็จงเซ่อชื่นชอบคุณหนูซิวอย่างไรเล่า’ ‘ใช่! ข้าเฝ้ามอง
พอออกมาถึงด้านนอกของโรงเตี๊ยมนางก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “วันนี้ในกลุ่มคนที่มาดูปาหี่พากันชื่นชมความงามของคุณหนูซิวด้วยเจ้าค่ะ” “ข้าเพิ่งทราบว่านางเป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองหลวงมากถึงเพียงนี้” “เพราะคุณหนูซิวมักจะออกมาตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ ชาวบ้านจึงได้ชื่นชอบเจ้าค่ะ” “เพราะเหตุนี้เสียงเล่าลือถึงนางจึงมีแต่เรื่องดี ๆ” ทำตนให้ดีงาม ไม่ด่างพร้อยเช่นนี้ มิใช่ว่าแท้จริงกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าการเป็นพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่อหรือ เพราะแค่ชาติตระกูลนางก็สามารถแต่งกับบุรุษผู้นั้นได้แล้ว ไหนเลยจะต้องแสร้งทำตนเองให้ดีงามเพื่อเอาใจชาวบ้านร้านตลาด “แต่บ่าวว่าคุณหนูของบ่าวงดงามน่ามองกว่าเจ้าค่ะ” “เจ้าก็เยินยอข้าเกินไป” “บ่าวไม่ได้เยินยอนะเจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูงดงาม มองอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่ายมากกว่า” ไหนจะดวงหน้าหวานที่มีเครื่องหน้าประดับอย่างลงตัวนั่นอีก ใครกันที่เคยว่าคุณหนูงดงามไม่เท่าคุณชายใหญ่ คนพวกนั้นตาบอดหรืออย่างไร “เช่นนั้นกลับไปข้าจะสั่งท่านป้าแม่
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน” “ขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามตอบรับพลางนึกดูแคลนคนตรงหน้าในใจ คิดว่าเขามองไม่ออกอย่างไรว่าคนผู้นี้เป็นสตรีหาใช่คุณชายที่ใดไม่ อีกทั้งยังร้อนแรงเรียกหาชายงามถึงสามคนเพื่อมาปรนนิบัติ เมื่อคนของหอออกจากห้องไป นางก็เริ่มครุ่นคิดหาโอกาสไปลอบมองพี่ชายของตน ‘ข้าจะไปยืนที่หน้าห้องนั้นอย่างไรโดยไม่มีคนเห็น’ วิชาตัวเบาก็ไม่มีจะลอบเข้าทางหน้าต่างก็ไม่ได้ ‘เหตุใดถึงมาเร็วนักเล่า’ นางคิดเมื่อประตูห้องที่ตนอยู่ถูกเปิดออกอีกครั้ง “ขออภัยที่ให้รอนานขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามกลับมาพร้อมบุรุษรูปงามพอประมาณจำนวนหกคน แต่ทว่าแต่ละคนจะแหวกคออาภรณ์ให้อ้าออกเพื่อให้เห็นแผงอกที่แน่นขนัด บ่งบอกถึงรูปร่างที่กำยำ หาได้อรชรอ้อนแอ้นแต่อย่างใด อึก! นางลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าหรือที่พี่ชายนางมาที่นี่จะเป็นเพราะชื่นชอบบุรุษรูปร่างกำยำจริง ๆ “คุณชายสามารถเลือกได้เลยขอรับ ทุกคนที่ข้าน้อยคัดมาล้วนเดินหมากได้เก่
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ “เจ้า!” เพื่อป้องกันไม่ให้เขาส่งเสียงไปมากกว่านี้ นางจึงรีบกระโจนเข้าหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเขาเอาไว้ มือข้างหนึ่งปิดปาก “ท่านอย่าได้ตกใจ คนที่อยู่ในห้องเป็นพี่ชายของข้า ข้าเพียงมาหาเขา หาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่” “...” บุรุษที่ถูกนางปิดปากอยู่กลอกตาไปมาคล้ายอยากเอ่ยวาจา “ท่านสัญญาได้หรือไม่ หากข้าปล่อยมือท่านจะไม่โวยวาย” “...” เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ‘นั่นใคร!’ เสียงที่ดังจากในห้องทำให้นางตกใจ นางปล่อยมือจากตัวเขาแล้วแสร้งยืนเบียดเขาทำตัวคล้ายชายงามออดอ้อนคุณชายที่มาเที่ยวหอชายงามทำให้บุรุษผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อ เดือดร้อนให้นางต้องจับตัวเขาหันหลังให้ประตู พรึ่บ! เมื่อเสียงประตูด้านหลังเปิดออกนางก็รีบจับมือของเขาให้มาโอบเอวตนเอง “คุณชายขอรับ วันนี้ต้องขอบ
3ถูกจับได้เสียแล้ว ผลั่ก! บุรุษที่บอกว่าเป็นสหายของพี่ชายดันประตูให้เปิดออกอย่างแรง ชายงามในห้องทั้งสามคนที่กำลังกินอาหารอยู่พลันสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบวางมือแล้วหันไปยิ้มต้อนรับคุณชายจิตใจดี “คุณชายกลับมาแล้วหรือขอรับ” “บอกลาชายงามของเจ้าซะ” “พวกท่านตามสบายเถิดขอรับ นี่เป็นค่าเสียเวลาของพวกท่าน พี่ชายข้าจะพากลับจวนแล้ว เอาไว้ข้าจะมาหาพวกท่านใหม่นะขอรับ” “เจ้ายังคิดจะมาในที่เช่นนี้อยู่อีกหรือ” สหายของพี่ชายหันมาถลึงตาใส่นาง ‘มันเป็นคำบอกลาที่ไม่ให้ดูเสียมารยาทเจ้าค่ะ บุรุษกักขฬะเช่นท่านคงไม่เข้าใจ’ นางค่อนขอดเขาในใจ “คุณชายอย่าได้เกรงใจพวกเราเลยขอรับ” ชายงามทั้งสามมองคุณชายจิตใจดีด้วยสายตาอาวรณ์อยู่บ้าง “รีบจ่ายตำลึงจะได้รีบกลับ” “ขอรับ ๆ” นางตอบรับพลางนึกในใจ หากรีบก็กลับเองสิจะมาเร่งนางด้วยเหตุใด “รับไปเถิดขอรับ ข้าเรียกพวกท่านมาข้าก็ต้องจ่าย” นางมอบก้อนตำลึงให้พวกเขาพลางน้ำตาตกใน ตำลึงทองที่นางเก็บหอมรอมริบไว้เกือบจะหมดถุงแล้ว หอชายงามช่างเป
“ที่แท้เป็นชินอ๋องซื่อจื่อนี่เอง ขออภัยที่ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่” “คนกันเองทั้งนั้นเจ้าอย่าได้กังวล ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าข้าไม่รู้จักทางไปจวนเผิง รถม้าคันนี้จึงจะไปส่งเจ้าที่จวนฟ่านแทน” “มิรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อขอรับ จอดให้ข้าลงตรงนี้ก็ได้ขอรับ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะหาทางกลับจวนเอง” “แต่บริเวณนี้มันมืดนัก ทางซ้ายก็เป็นจวนร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย เพราะทางขวาคือจวนที่มีคนเล่าลือกันว่ามีผีออกมาทักทายผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่บ่อยครั้ง” “ผะ ผีหรือขอรับ แล้วเหตุใดท่านถึงมาผ่านทางนี้” “ทางนี้มันเงียบสงบ ไม่มีรถม้าคันอื่นมาวิ่งเบียดให้วุ่นวาย แต่หากเจ้ายืนยันจะลงที่นี่ข้าก็จนใจจะเอ่ยปากห้าม” “เช่นนั้นต้องรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อไปส่งข้าใกล้ ๆ จวนตระกูลฟ่านด้วยขอรับ แต่ไม่ต้องส่งหน้าประตูจวนนะขอรับ ดึกดื่นเช่นนี้ข้าเกรงใจพวกเขา” “มิเป็นไร หากพวกเขาจะลงโทษเจ้าที่หนีออกมาเที่ยว บอกพวกเขาไปได้เลยว่าฟ่านซีอิ๋งเป็นคนบอกให้เจ้าออกมาตามดูไห่ถิง” ‘ข้าจะบอกเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อจะเผิงเย่ฟางหรือฟ่านซีอิ๋งก็เป็นข
‘อย่ามาคิดกลั่นแกล้งข้าเพื่อกลบเกลื่อนนะ ข้ายังจำภาพของท่านในหอชายงามได้ขึ้นใจ หน๊อย! กลับมาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้วคงเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องกลับบ้านมาร่วมพิธีปักปิ่นของข้าสินะ’ จึงโผล่หน้ามาเอาวันนี้ “คารวะชินอ๋องซื่อจื่อ” เป็นฟ่านเฉียนและฮูหยินแสดงความเคารพต่อสหายของบุตรชาย อย่างไรอีกฝ่ายก็มีศักดิ์สูงกว่าพวกตนเพราะเป็นถึงซื่อจื่อของอดีตแม่ทัพใหญ่ทั้งยังเป็นหลานชายของฮ่องเต้ “ท่านน้าทั้งสองอย่าได้เกรงใจกันเลย เป็นข้าที่ต้องคารวะท่านทั้งสอง” เขาโค้งตัวคำนับบิดามารดาของสหายด้วยท่าทีนอบน้อม “อย่าได้มากพิธีเลย” เป็นท่านเจ้ากรมยุติธรรมรีบประคองบุรุษที่สูงศักดิ์กว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ช่วงนี้ซืออี้จะขอมาอยู่อาศัยที่จวนของเราเป็นการชั่วคราว” ‘พี่ใหญ่ ท่านหลงใหลสหายจนไม่อยากห่างเชียวหรือถึงได้ให้เขามาค้างอ้างแรมถึงที่จวน’ ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ชายเสียแล้ว มิเช่นนั้นโทษประหารคงได้ตกใส่หัวคนตระกูลฟ่านเช่นในฝันร้ายของนาง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” เป
‘ย้ายมาอยู่ด้วยกันเช่นนี้ ไม่แปลกใจเลยที่พี่ใหญ่จะหลงใหลจนยอมลงมือทำร้ายผู้อื่นเพื่อความรักเช่นนั้น’ นางคงต้องรีบมองหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ใหญ่แล้ว ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ครึ่งเค่อ บุรุษสองคนที่นั่งรถม้ากลับจวนฟ่านเพื่อเข้าร่วมพิธีปักปิ่นของคุณหนูฟ่านในวันพรุ่งนี้นั่งสนทนากันถึงเรื่องที่สหายสูงศักดิ์จะขอไปอาศัยที่จวนฟ่านเป็นการชั่วคราว “ตำหนักอ๋องน่ะหรือทรุดโทรมเพราะไร้คนดูแล” โกหกหรือไม่ นั่นตำหนักชินอ๋องเชียวนะ พวกขันทีนางกำนัลก็ยังมีอยู่ไม่ใช่หรือจะไร้คนดูแลได้อย่างไร “ใช่ เพราะเหตุนี้ข้าจึงสั่งปรับปรุงเมื่อวันก่อน ในระหว่างนี้ข้าจึงอยากจะขอไปอยู่ที่จวนของเจ้า” “เหตุใดต้องเป็นจวนของข้า เจ้าน่ะมีท่านลุงเป็นฮ่องเต้ มีท่านย่าเป็นไทเฮาลืมแล้วหรือ เหตุใดไม่เข้าไปอยู่ในวังหลวงเป็นการชั่วคราว” “ในวังหลวงหูตามากมาย ยากจะแยกแยะได้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู อีกอย่างการไปอยู่ร่วมจวนกับเจ้า ย่อมสะดวกในการปรึกษาหารือกัน ทั้งยังไม่เป็นที่น่าสงสัยว่าเหตุใด ข้าหรือเจ้าไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งเกินไป” วาจาของสหายทำให
โปรดปรานจนวาระสุดท้าย เวลาผ่านไปนานถึงยี่สิบห้าหนาว ฮ่องเต้คังเฟยหลงในวัยสี่สิบเจ็ด ป่วยและจากไปด้วยโรคประจำตัว แม้ในวังหลังจะมีสนมมากมาย แต่ทว่าฮ่องเต้กลับมีโอรสและธิดากับฮองเฮาเพียงสามพระองค์โดยสนมทุกคนจะถูกบังคับให้ดื่มน้ำแกงไร้บุตรก่อนที่จะเข้าถวายการรับใช้ ซึ่งฮ่องเต้จะเป็นผู้ยืนดูความเรียบร้อยด้วยตนเอง แม้จะมีฎีกาคัดค้านเรื่องนี้จากขุนนางมากมาย แต่ทว่าขุนนางเหล่านั้นก็จะโดนฮ่องเต้กล่าวหาว่ามักใหญ่ใฝ่สูงหวังอยากเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้พระองค์ถัดไปทั้งคิดจะกลืนกินราชวงศ์ สุดท้ายจึงไม่มีใครกล้าโต้แย้งพระประสงค์ของฮ่องเต้ด้วยกลัวว่าจะต้องโทษกบฏ องค์ไท่จื่อที่ได้รับการแต่งตั้งจึงเป็นองค์ชายใหญ่ ส่วนองค์ชายรองก็รับหน้าที่ส่งเสริมพี่ชายโดยได้รับตำแหน่งอ๋อง และองค์หญิงก็ได้แต่งกับท่านราชบุตรเขยซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่ ทั้งสามพี่น้องรักใคร่เกื้อกูลกันเนื่องจากประสูติจากครรภ์ของฮองเฮา “ชินอ๋องซื่อจื่อแจ้งว่ายามได้รับทราบข่าวของพระองค์ ชินอ๋องและพระชายารีบเร่งเดินทางออกจากเมืองจิ่นเฟิงเพคะ” “อืม...แต่เจิ้นคงรอพวกเขาไม่ไหวหรอก อย่างไรฝากขอโทษพวกเขาด้ว
“อืม” คังซืออี้หน้าตึงไม่ค่อยพอใจอยู่บ้างที่เห็นพระชายาของตนส่งยิ้มให้โอรสสวรรค์ “ซีถิง อากลับก่อนนะ เอาไว้วันหน้าอาจะนำของเล่นมามอบให้” “พ่ะย่ะค่ะ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวตอบรับเสียงอ่อน “ฟู่กงกง ส่งเสด็จฮ่องเต้” “เชิญพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่กงกงรีบมาทำหน้าที่ พลางคิดว่าคงจะมีแต่ตำหนักนี้กระมังที่ให้ขันทีเป็นคนออกไปส่งฮ่องเต้ที่หน้าตำหนักหาใช่เจ้าของตำหนัก คล้อยหลังโอรสสวรรค์แล้ว พระชายาฟ่านก็หันหน้ามาจ้องหนึ่งบุรุษ หนึ่งเด็กน้อยที่หน้าตาคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ไหนจะท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยแล้วช้อนตาขึ้นมองเพื่อเรียกร้องความน่าสงสารนั่นอีก ‘สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน’ นางเกือบเผลอยิ้มออกมาก่อนจะแสร้งทำหน้าเคร่งขรึม “ท่านแม่ขอรับ เรื่องนี้เป็นท่านพ่อที่ผิดนะขอรับ ลูกเพียงแต่น้อยใจ...” “บิดาเจ้าเพียงห่วงใยมารดา จึงไม่อยากให้เจ้าไปรบกวน พ่อผิดที่ใด” “หยุดเอ่ยวาจาเลยเจ้าค่ะ นับตั้งแต่นี้ชินอ๋องและชินอ๋องซื่อจื่อจะต้องย้ายไปอยู่เรือนท้ายตำหนักและถูกกักบริเวณเป็นเวลาสามวันห้ามก้าวเท้าออกจากเรือนท้
“ข้าคิดดีแล้วขอรับ ท่านอามาเป็นสามีใหม่ของมารดาข้าเถิด ข้ายินดีจะเรียกท่านว่าบิดาอย่างไม่อิดออด” “หน๊อย! เจ้าเด็กนี่ เฟยหลงเจ้าปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ชินอ๋องร้องโวยวายเมื่อถูกน้องชายจับตัวไว้หวังช่วยเหลือเจ้าเด็กมากมารยา “ท่านพี่ใจเย็น ๆ ก่อนเถิด ซีถิงยังเยาว์วัยนักท่านอย่าได้ถือสาเขาเลย” “ท่านพ่อคนใหม่ ช่วยข้าด้วยขอรับ เห็นหรือไม่ บิดาคนเก่าของข้าใจร้ายเพียงใด” ท่าทางก้มหน้าเล็กน้อยพลางตอบเสียงอ่อน ทำให้ผู้ใหญ่เอ็นดูได้ไม่อยาก แต่ยกเว้นบุรุษที่เจ้ามารยาไม่แพ้กันเช่นชินอ๋อง “หยุดเอ่ยเรียกผู้อื่นว่าบิดาได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า” คังซืออี้รู้สึกอยากลงโทษบุตรชายก็คราวนี้ จะมารยาเรียกร้องความสนใจเช่นไรเขาไม่นึกถือสา แต่หากคิดจะหาบุรุษมาให้ชายาของเขา เขามีหรือจะยอม “จะลงโทษซีถิงด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” ฟ่านซีอิ๋งเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าจริงจัง นางถูกสาวใช้คนสนิทปลุกให้ตื่นหวังให้มาห้ามทัพระหว่างบุรุษทั้งสอง ด้วยกลัวว่าท่านอ๋องน้อยจะถูกลงโทษเพราะไปยั่วโทสะบิดาเข้า เรื่องที่แตะเกล็ดมังกรย้อนของชินอ๋องผู้นี้เห
“ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าไม่ว่าใครก็ห้ามรบกวนขอรับ” “บังอาจ! พวกเจ้าไม่เห็นข้าเป็นนายหรือ” เด็กน้อยวัยห้าหนาวยืนกอดอกจ้องทหารยามด้วยสายตาดุ แต่ในสายตาผู้อื่นกลับดูน่ารักไปเสียได้ “ย่อมเห็นขอรับจึงไม่อยากให้ท่านอ๋องน้อยต้องถูกท่านอ๋องลงโทษที่ขัดคำสั่ง” “ปล่อย...” ชินอ๋องซื่อจื่อตัวน้อยยังส่งเสียงร้องโวยวายไม่ทันจบก็ถูกบุรุษตัวโตปิดปากแล้วอุ้มให้ออกห่างจากเรือน “ชายาข้ากำลังพักผ่อน เจ้าอย่าได้ส่งเสียงรบกวนนาง” เรียกได้ว่าเพิ่งได้นอนเมื่อตะวันฉายแสงจะดีกว่า ทำอย่างไรได้ในเมื่อเขาทั้งรักและโปรดปรานนางยิ่งนัก ทันทีที่ร่างเล็กถูกปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าตัวน้อยก็กอดอกแล้วต่อว่าผู้เป็นบิดาทันที “ท่านพ่อใจร้าย ไม่ยอมให้ข้าเจอท่านแม่เลย” “ซีถิง เจ้าโตแล้ว เป็นบุรุษจะทำตัวเป็นลูกแง่เกาะติดมารดาตลอดไปไม่ได้ ในภายหน้าเจ้าจะได้เป็นชินอ๋องที่น่าเกรงขาม เห็นหรือไม่ บิดาทำไปเพื่อฝึกฝนเจ้า” คังซืออี้กล่าวพลางตีหน้าเคร่งขรึมหวังหลอกล่อบุตรชายให้หลงเชื่อ ทั้งที่จริงแล้วยามเดินทางเขาไม่ได้ใกล้ชิดนางดั่งใจต้องการ
หาคนรักให้มารดา เสียงร้องโวยวายของเจ้าก้อนแป้งวัยห้าหนาวดังลั่นเรือนพร้อมเจ้าตัวที่กำลังดีดดิ้นและพยายามช่วยเหลือตนเองจากการถูกหิ้วคอเสื้อจากทางด้านหลัง “ท่านพ่อ ปล่อยข้านะขอรับ ข้าจะไปหาท่านแม่” เด็กน้อยเอื้อมแขนสั้น ๆ ของตนพยายามแกะมือที่จับยึดคออาภรณ์ของเขา “ท่านแม่เจ้ากำลังพักผ่อนให้คลายจากความเหน็ดเหนื่อยเจ้าอย่าได้ไปรบกวน” “นี่มันยามโหย่ว (17.00-18.59) แล้วนะขอรับ” “แล้วอย่างไร มีกฎข้อใดไม่ให้ชายาข้าพักผ่อนในยามโหย่ว (17.00-18.59)” “ก็มันใกล้จะมืดค่ำแล้วขอรับ” ประเดี๋ยวอีกหนึ่งชั่วยามก็ต้องเตรียมตัวเข้านอนอีก “เจ้ายังเด็กนัก บิดาจึงไม่อาจบอกได้ว่าแท้จริงยามค่ำคืนคนที่เติบโตแล้ว ไม่ต้องเข้านอนก็ได้” “ท่านพ่อกำลังโกหกข้า อีกอย่างหากท่านแม่ทราบว่าข้ากำลังร้องเรียกหา ท่านแม่หรือจะเมินเฉย” “ที่เจ้ากล่าวมาก็ไม่ผิด ด้วยเหตุนี้พ่อจึงได้พาเจ้ากลับมาที่เรือนแยก แม่นม จือไห่ จือซวน จือหม่า จือหมิง” “เพคะ/พ่ะย่ะค่ะ” คนที่รออยู่ด้านนอกรีบวิ่งเข้ามาพลางโค้งตัวรอรับคำส
“ในเมื่อพี่ตกลงกราบไหว้ฟ้าดินกับเจ้าแล้ว ชั่วชีวิตไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขพี่ย่อมมีเจ้าเป็นสตรีเพียงคนเดียวในเรือนหลัง หากเจ้าลองสังเกตดี ๆ เจ้าจะพบว่านอกจากบิดาของพี่จะมีฮูหยินเพียงคนเดียวแล้ว สหายของพี่ที่เป็นถึงชินอ๋อง ก็ยังแต่งพระชายาคือน้องสาวของพี่เพียงคนเดียว ไร้อนุฯ หรือสาวใช้อุ่นเตียง บ่งบอกว่าพวกเราคนตระกูลฟ่านต้องการมีรักเดียวชั่วชีวิต” “นี่ท่าน!” หูเซียงเฟยตกใจยิ่งนัก มิคิดว่าเขาจะคิดเช่นนั้นมาโดยตลอด “เช่นนั้นเจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องข้อเสนอนั่นอีกเลย ในเมื่อการกราบไหว้ฟ้าดินของเราเกิดขึ้นเพราะความเต็มใจ” สิ้นเสียงเขาก็เชยคางมนขึ้นก่อนจะกดริมฝีปากทาบทับลงบนกลีบปากสีอ่อน ลิ้นร้อนบุกรุกโพรงปากนุ่มเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้เขาจงใจทำให้นางคุ้นเคยกับสัมผัสของเขาจึงทำเพียงกินเต้าหู้นางเล็ก ๆ น้อย ๆ ลิ้นร้อนลิ้มรสความหวานจากโพรงปากนุ่ม ลิ้นเรียวเล็กของนางพยายามตอบรับสัมผัสของเขาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ยิ่งทำให้เข้าปรารถนาอยากจะกดนางลงบนเตียงแล้วทำให้นางกลายเป็นฮูหยินของเขาเต็มตัว “เซียงเซียง เจ้าหวานเหลือเกิน” เขากล่าวพลางจ้องมองนางด้ว
“ท่านพี่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” นางถามไถ่เขาเช่นนี้ทุกวัน นางช่างเป็นสตรีที่น่าอิจฉา ครอบครัวของสามีดีกับนางเหลือเกิน สามีหรือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นบุรุษมักมากพร้อมรับสตรีเข้าเรือนมากมาย ทำให้นางยิ่งสำนึกในบุญคุณของเขา จึงพยายามปรนนิบัติดูแลเขาให้ดีที่สุด “เหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง” “เช่นนั้นไปอาบน้ำให้สบายตัวก่อนกินข้าวดีหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ อาบน้ำร้อนทุกวันไม่ดีกับร่างกายกระมัง เจ้ากินข้าวก่อนเถิด วันนี้พี่มีงานมากมายจึงมาบอกเจ้าว่าอย่ารอพี่เข้านอน เพราะพี่อาจจะนอนที่ห้องหนังสือเลย” “เจ้าค่ะ” ฮูหยินน้อยจวนฟ่านคล้ายจะรู้สึกผิดหวัง นางก้มหน้าเล็กน้อยเพื่อซ่อนแววตาเสียใจ “เช่นนั้นพี่ไปทำงานก่อนนะ” เขากล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไป ไม่มีท่าทางหยอกเย้าหรือกินเต้าหู้นางเช่นทุกวัน” ‘เขาโกรธอันใดข้าหรือไม่’ ‘หรือเขาเบื่อหน่ายข้าแล้ว จึงพยายามหลีกเลี่ยงเช่นนี้’ หูเซียงเฟยไม่เข้าใจตนเองเช่นกันว่าเหตุใดถึงรู้สึกเสียใจเมื่อเห็นท่าทางเมินเฉยของเขา ในเมื่อเขาบอกว่าอาจจะไม่กลับมา นางจึงถ
“แต่หากเจ้าไม่อยาก...” เขากำลังจะบอกว่าไม่อยากฝืนใจนาง เขามีเวลาเป็นปีที่จะยั่วยวนจนนางหลวมตัวหลวมใจยินดีที่จะเป็นฟ่านฮูหยินตลอดไป “ท่านได้โปรดชี้แนะข้าด้วย” นางรีบกล่าวคล้ายกลัวเขาเข้าใจผิด ที่เขายอมรับข้อเสนอตบแต่งนางเป็นฮูหยินเอกนับว่ามีพระคุณกับนางยิ่งนัก “หากพี่สอน เจ้าจะหาว่าพี่หน้าไม่อายหรือไม่” “ไม่ว่าเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นลองสัมผัสมันดูหรือไม่ ทำความคุ้นเคยกับมันก่อน” น้ำเสียงที่แฝงด้วยยั่วเย้าและแววตาที่ล่อลวงทำให้นางหลวมตัวพยักหน้าตอบรับด้วยใจหนึ่งก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น แม้ก่อนออกเรือนมารดาจะนำหนังสือปกขาวที่เคยได้รับมามอบให้ แต่ทว่านางลองศึกษาแล้วยังไม่กระจ่างเท่าใด ทราบแต่เพียงว่าครั้งแรกจะเจ็บมากเท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางตอบรับด้วยสีหน้าเขินอาย แต่ก็ยอมเอื้อมมือไปจับเจ้าสิ่งนั้นที่คล้ายผงกหัวเรียกนางอยู่ “เป็นอย่างไรบ้าง” “มันเหมือนมีชีวิตเลยนะเจ้าคะ” “เพราะมันปรารถนาอยากจะปลดปล่อยอย่างไรเล่า” “แล้วยามที่มันแข็งขึงเช่นนี้ ท่านปวดหรือไม่เจ้าคะ”
‘หากเจ้ายอมเล่าเรื่องทุกอย่างให้ข้าฟังตามจริง ข้าอาจจะตบแต่งกับเจ้าตามข้อตกลงก็ได้’ ‘เช่นนั้นเราเปลี่ยนที่สนทนาได้หรือไม่เจ้าคะ’ ‘ย่อมได้’ เขากล่าวพลางวางตะเกียบลง ‘ท่านกินให้อิ่มก่อนก็ได้เจ้าค่ะ ข้ารอได้’ อย่างไรกลับไปก็โดนหาเรื่องอยู่แล้ว หากนางจะกลับช้าอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ‘เช่นนั้นก็รอข้า’ ‘เจ้าค่ะ’ หลังจากย้ายที่สนทนาแล้วนางก็เล่าเรื่องราวที่ตนต้องเข้าร่วมการคัดเลือกนางสนมของฮ่องเต้ ซึ่งพี่สาวที่เข้าเกณฑ์จะต้องเข้าร่วมเช่นกันกับฮูหยินรองที่ยามนี้ทำตัวเช่นฮูหยินเอกกดขี่นางและมารดา พยายามหาบุรุษมีตำหนิมาแต่งกับนางเพื่อจะได้ตัดคู่แข่งในการคัดเลือกนางสนมออกไป ซึ่งตัวหูเซียงเฟยที่ไม่ได้อยากเป็นสนมของฮ่องเต้ จึงคิดเลือกบุรุษสักคนด้วยความคิดที่ว่าหากต้องพลีกายให้กับใครสักคน นางขอเป็นคนเลือกเอง ทว่าสถานที่เลือกบุรุษของนางกลับเป็นร้านบะหมี่ข้างทาง ไม่ใช่โรงเตี๊ยมที่คุณชายมักจะไปนั่งจิบชา ซึ่งนางให้เหตุผลว่าที่มาเลือกบุรุษในที่นี่ก็เพราะ ในสายตานางบะหมี่ร้านนี้รสเลิศกว่าอาหารในโรงเตี๊ยม แต่กลับถ