เพราะอารามแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่าเขา จึงมีลมเย็นพัดโชยตลอดทำให้นางต้องกระชับเสื้อคลุมกันหนาวที่สวมไว้ก่อนจะรีบเดินกลับไปที่รถม้าหลังจากที่ได้เครื่องรางที่ต้องการแล้ว
“ขากลับจวนจะแวะเดินเล่นในตลาดก่อนหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่ล่ะ ข้าอยากรีบกลับไปนอนบนเตียงอุ่นของตนเอง” เพราะถูกคนอื่นเอ่ยวาจาเสียดสีเรื่องที่นางขี้ริ้วขี้เหร่กว่าพี่ชายที่เป็นบุรุษอยู่บ่อยครั้ง ยามอยู่ในจวนบิดามารดาและพี่ใหญ่จึงแทบประคองนางไว้กลางฝ่ามือ ทุกอย่างในเรือนของนางจึงเป็นของดี แม้แต่เตียงยังเป็นเตียงอุ่น เห็นหรือไม่ว่าตามใจนางมากเพียงใด หากวันหนึ่งเสียคนขึ้นมาก็อย่าได้แปลกใจ
“เจ้าค่ะคุณหนู” ซูฉีรับคำก่อนจะประคองคุณหนูขึ้นรถม้า แล้วบอกกล่าวกับคนขับรถม้า
ในระหว่างทางรถม้าที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าจู่ ๆ ก็ชะลอลงเล็กน้อยคล้ายกับมีเหตุการณ์บางอย่างอยู่ข้างหน้า
“มีอันใดหรือไม่” คุณหนูฟ่านส่งเสียงถามคนขับรถม้า
“ข้างหน้าเหมือนจะมีรถม้าจอดเสียอยู่ขอรับ”
“รถม้าของเราสามารถผ่านไปได้หรือไม่”
“ได้ขอรับ แต่ต้องระวังสักเล็กน้อย”
“อืม” นางตอบรับพลางเปิดผ้าดูเหตุการณ์ข้างหน้าเล็กน้อย
พิจารณาจากอาภรณ์ที่ใส่แล้วดูเหมือนเจ้าของรถม้าจะเป็นคุณชายสักตระกูล อืม...ให้การช่วยเหลือสักเล็กน้อยดีหรือไม่ สร้างบุญคุณกับผู้อื่นเอาไว้ไม่เสียหายไม่ใช่หรือ
“พี่ชายอินเจ้าคะ”
“ขอรับคุณหนู” เพราะเป็นทาสที่ซื้อมาฝึกฝนให้เป็นผู้คุ้มกัน ทั้งหมดจึงมีแซ่เดียวกันตามที่คุณชายใหญ่ตั้งให้
“ดูเหมือนคุณชายผู้นั้นจะเดือดร้อนไม่น้อย เพื่อเป็นการสร้างกุศล พวกท่านช่วยยกม้าให้เขาสักตัวเถิดเจ้าค่ะ”
“ขอรับคุณหนู” เมื่อเห็นว่าคำขอของคุณหนูไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอันใด ทั้งสี่คนจึงรับคำโดยไม่โต้แย้ง
‘ข้าไม่รู้หรอกว่าท่านเป็นใคร แต่ได้โปรดช่วยจดจำรถม้าตระกูลฟ่านและข้าฟ่านซีอิ๋งเอาไว้ด้วยเถิด’ นางคิดก่อนจะแสร้งเปิดผ้าบังสายตาเล็กน้อยเพื่อให้คนที่อยู่ภายนอกสามารถสังเกตเห็นเสี้ยวใบหน้าด้านข้างของนางได้
แน่นอนว่าในฝันร้ายอันยาวนานของนางไม่มีปรากฏเรื่องเหล่านี้ อาจเป็นเพราะเดิมทีนางไม่เคยคิดจะมาไหว้พระขอเครื่องรางหากไม่ฝันร้ายเช่นนั้น
‘โดนประหารทั้งตระกูลไม่พอ บุรุษที่ปากบอกว่ารักนักหนายังปล่อยให้มารดาส่งนางกลับจวนเพื่อกันตระกูลตนเองออกจากเรื่องราวเสียหาย’ เรื่องตายพร้อมบิดามารดานางยอมรับได้เพราะไม่อาจช่วยดึงรั้งสติให้พี่ชายคิดได้ แต่การถูกบุรุษผู้นั้นเมินเฉยนี่สิ ทำให้นางรู้สึกคิดผิดจริง ๆ ที่แต่งงานกับบุรุษเช่นนั้น
เมื่อรถม้าผ่านถึงบริเวณที่รถม้าคันนั้นจอดเสียอยู่ นางคล้ายจะได้ยินเสียงบุรุษเอ่ยคำว่า ‘ขอบคุณ’ ยามที่รถม้าผ่านซึ่งนางที่เป็นสตรีในห้องหอที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดีไม่ได้เปิดผ้าม่านเพื่อเอ่ยวาจาตอบโต้อีกฝ่ายแต่อย่างใด
อีกไม่กี่วันก็ถึงวันปักปิ่นแล้ว รองเท้าที่ตั้งใจเตรียมไว้ดันใส่ไม่ได้ขึ้นมา ทั้งที่เดือนก่อนนางยังใส่ได้พอดีอยู่เลย ด้วยเหตุนี้นางจึงจำใจต้องออกจากจวนเพื่อไปหาซื้อรองเท้าปัก
“คุณหนูแวะร้านเหิงจื้อด้วยหรือไม่เจ้าคะ” ถัดจากงานปักปิ่นของคุณหนูก็ถึงคราของคุณชายที่จะมีอายุครบยี่สิบสี่หนาว
“ไม่ล่ะ ข้าเปลี่ยนใจไม่ซื้อพู่กันเป็นของขวัญให้พี่ใหญ่แล้ว” นางกล่าวพลางเดินผ่านหน้าร้านโดยไม่คิดที่จะมองเข้าไปในร้านด้วยซ้ำ
ฝันร้ายเช่นนั้นใครจะอยากให้กลายเป็นความจริงกันเล่า
“คุณหนูเจ้าคะ นั่นเขากำลังดูสิ่งใดกันเจ้าคะ เหตุใดคนถึงมากมายเช่นนั้น”
“ซูฉี เจ้าคิดว่าข้าพาเจ้าออกมาเดินเที่ยวหรืออย่างไร”
“ขออภัยเจ้าค่ะ นานทีได้ออกมานอกจวน บ่าวจึงตื่นเต้นมากไป”
“แต่ข้าก็อยากรู้ว่าเขามุงดูสิ่งใดกัน เจ้ารีบไปมุงเร็วเข้า แล้วรีบมารายงานข้า”
“เจ้าค่ะ” สีหน้าที่เศร้าสลดเมื่อครู่แปรเปลี่ยนสดใสก่อนจะรีบไปทำตามคำสั่งของคุณหนูอย่างรวดเร็ว
“เด็กหนอเด็ก” นางยิ้มพลางส่ายหน้าไปมา บิดามารดาคงกลัวนางเหงาจึงไปหาซื้อบ่าวรับใช้ที่อายุน้อยเช่นนี้มารับใช้นาง
พี่ชายหรือก็อายุมากกว่านักหลังจากสำนักคุ้มภัยในเมืองหลวงมั่นคงดีแล้ว จึงออกเดินทางไปเมืองจินเฟิ่งซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ติดชายแดนเหนือกับสหายหวังจะไปเปิดสำนักคุ้มภัยที่นั่น
‘ไม่รู้ป่านนี้พี่ใหญ่จะงดงามขึ้นอีกหรือไม่’ นางได้แค่คิดแต่ไม่อาจเอ่ยวาจาออกไปได้ เพราะฟ่านไห่ถิงไม่ชอบให้ใครเอ่ยชมว่ามีใบหน้าที่งดงามราวกับสตรีด้วยเหตุนี้ในวัยเด็กจึงมีเรื่องชกต่อยกับสหายอยู่บ่อยครั้งกว่าจะกลายมาเป็นสหายสนิทกัน
ในระหว่างที่ปล่อยสาวใช้ให้ไปมุงดูปาหี่แล้ว คุณหนูเช่นนางจึงถอยออกมายืนชิดกับร้านที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้าตรอกซึ่งปิดกิจการไปแล้ว พลันหูของนางก็ได้ยินเสียงบุรุษสตรีคู่หนึ่งที่กำลังสนทนากันอยู่ในตรอกห่างจากนางไม่ถึงสิบก้าว
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นนางจึงแสร้งขยับตัวไปให้ใกล้ทางเข้าตรอกที่สุดก่อนจะแสร้งหันซ้ายหันขวาคล้ายมองหาสิ่งใดบางอย่าง
‘บุรุษรูปงาม สตรีงามล้ำ’ นั่นคือชั่วครู่ที่สายตาของนางเห็นใบหน้าของคนทั้งสอง
‘มีอันใดก็รีบเอ่ยมา’ แม้ไม่ได้เห็นสีหน้า แต่คนลอบฟังเช่นนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าบุรุษผู้นั้นกำลังรู้สึกรำคาญ ‘ข้าเพียงแต่อยากจะเอ่ยวาจาขอบคุณท่านที่ได้ยื่นมือช่วยเหลือข้าในวันนั้นเจ้าค่ะ’ ‘ข้าน่ะหรือ ช่วยเหลือเจ้า’ นี่แหละนะบุรุษรูปงามมักไม่จดจำว่าตนเองได้ล่อลวงสตรีใดไปบ้าง ‘เจ้าค่ะ เป็นท่านที่ช่วยเหลือข้ายามที่ม้าเหล่านั้นกำลังพยศ’ ‘อ๋อ! ในตอนนั้นข้าเพียงไม่อยากให้รถม้าของตระกูลนั้นต้องจ่ายค่าเสียหายมากมาย’ แท้จริงที่ช่วยก็เพียงมีใจอยากช่วยไม่ให้จวนท่านตาต้องชดเชยค่าเสียหายจำนวนมากก็เท่านั้น บุรุษผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก สตรีงดงามรู้สึกซาบซึ้งแทนที่จะรับคำขอบคุณไว้กลับบอกไปเช่นนั้นไม่รู้คนงามจะหน้าชาเพียงใด ‘อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นข้าคงเจ็บหนัก’ ‘ที่เจ้ามาขวางทางข้าเพราะอยากเอ่ยวาจาเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่’ ‘ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนท่าน ข้าสามารถทำเช่นไรได้บ้างเจ้าคะ’ ก็ต้องพลีกายตบแต่งเป็นฮูหยินให้อย่างไรเล่า นี่เป็นการตอบแทนที่
2ไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่ ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนเข้ามานั่งกินอาหารไม่น้อยเนื่องจากราคาไม่สูงมากจนเกินไป แต่เนื่องจากที่นี่ไม่มีห้องส่วนตัวคุณหนูคุณชายส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมนัก เพราะจะได้มองดูปาหี่ที่สาวใช้คนสนิทแหวกกลุ่มคนเข้าไปดู นางจึงเลือกที่จะนั่งบริเวณชั้นสอง ก่อนจะสั่งอาหารมาสามอย่างเพื่อกินระหว่างรอสาวใช้ ‘นั่นมันคุณหนูซิว คนงามจากจวนราชครูไม่ใช่หรือ’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นดึงความสนใจให้นางก้มลงไปมองเบื้องล่างตามพวกเขา ‘งดงามสมคำเล่าลือจริง ๆ’ เมื่อมีโอกาสได้เพ่งพิศเช่นนี้ นางคิดว่าพี่ใหญ่งดงามกว่าสตรีผู้นี้มาก หากไม่ติดว่าเป็นบุรุษคงเป็นที่หมายปองของบุรุษในเมืองหลวง เผลอ ๆ ได้เข้าวังเป็นนางสนมของฮ่องเต้ แต่เอาเถิดหากกวาดสายตามองสตรีทั่วเมืองหลวงคุณหนูจวนราชครูผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ‘งดงามเช่นนี้คงมีคู่หมายแล้วกระมัง’ ‘นางยังไม่มีคู่หมายหรอก’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งตอบ ‘เพราะเหตุใดเจ้าถึงทราบ’ ‘ก็จงเซ่อชื่นชอบคุณหนูซิวอย่างไรเล่า’ ‘ใช่! ข้าเฝ้ามอง
พอออกมาถึงด้านนอกของโรงเตี๊ยมนางก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “วันนี้ในกลุ่มคนที่มาดูปาหี่พากันชื่นชมความงามของคุณหนูซิวด้วยเจ้าค่ะ” “ข้าเพิ่งทราบว่านางเป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองหลวงมากถึงเพียงนี้” “เพราะคุณหนูซิวมักจะออกมาตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ ชาวบ้านจึงได้ชื่นชอบเจ้าค่ะ” “เพราะเหตุนี้เสียงเล่าลือถึงนางจึงมีแต่เรื่องดี ๆ” ทำตนให้ดีงาม ไม่ด่างพร้อยเช่นนี้ มิใช่ว่าแท้จริงกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าการเป็นพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่อหรือ เพราะแค่ชาติตระกูลนางก็สามารถแต่งกับบุรุษผู้นั้นได้แล้ว ไหนเลยจะต้องแสร้งทำตนเองให้ดีงามเพื่อเอาใจชาวบ้านร้านตลาด “แต่บ่าวว่าคุณหนูของบ่าวงดงามน่ามองกว่าเจ้าค่ะ” “เจ้าก็เยินยอข้าเกินไป” “บ่าวไม่ได้เยินยอนะเจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูงดงาม มองอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่ายมากกว่า” ไหนจะดวงหน้าหวานที่มีเครื่องหน้าประดับอย่างลงตัวนั่นอีก ใครกันที่เคยว่าคุณหนูงดงามไม่เท่าคุณชายใหญ่ คนพวกนั้นตาบอดหรืออย่างไร “เช่นนั้นกลับไปข้าจะสั่งท่านป้าแม่
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน” “ขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามตอบรับพลางนึกดูแคลนคนตรงหน้าในใจ คิดว่าเขามองไม่ออกอย่างไรว่าคนผู้นี้เป็นสตรีหาใช่คุณชายที่ใดไม่ อีกทั้งยังร้อนแรงเรียกหาชายงามถึงสามคนเพื่อมาปรนนิบัติ เมื่อคนของหอออกจากห้องไป นางก็เริ่มครุ่นคิดหาโอกาสไปลอบมองพี่ชายของตน ‘ข้าจะไปยืนที่หน้าห้องนั้นอย่างไรโดยไม่มีคนเห็น’ วิชาตัวเบาก็ไม่มีจะลอบเข้าทางหน้าต่างก็ไม่ได้ ‘เหตุใดถึงมาเร็วนักเล่า’ นางคิดเมื่อประตูห้องที่ตนอยู่ถูกเปิดออกอีกครั้ง “ขออภัยที่ให้รอนานขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามกลับมาพร้อมบุรุษรูปงามพอประมาณจำนวนหกคน แต่ทว่าแต่ละคนจะแหวกคออาภรณ์ให้อ้าออกเพื่อให้เห็นแผงอกที่แน่นขนัด บ่งบอกถึงรูปร่างที่กำยำ หาได้อรชรอ้อนแอ้นแต่อย่างใด อึก! นางลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าหรือที่พี่ชายนางมาที่นี่จะเป็นเพราะชื่นชอบบุรุษรูปร่างกำยำจริง ๆ “คุณชายสามารถเลือกได้เลยขอรับ ทุกคนที่ข้าน้อยคัดมาล้วนเดินหมากได้เก่
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ “เจ้า!” เพื่อป้องกันไม่ให้เขาส่งเสียงไปมากกว่านี้ นางจึงรีบกระโจนเข้าหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเขาเอาไว้ มือข้างหนึ่งปิดปาก “ท่านอย่าได้ตกใจ คนที่อยู่ในห้องเป็นพี่ชายของข้า ข้าเพียงมาหาเขา หาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่” “...” บุรุษที่ถูกนางปิดปากอยู่กลอกตาไปมาคล้ายอยากเอ่ยวาจา “ท่านสัญญาได้หรือไม่ หากข้าปล่อยมือท่านจะไม่โวยวาย” “...” เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ‘นั่นใคร!’ เสียงที่ดังจากในห้องทำให้นางตกใจ นางปล่อยมือจากตัวเขาแล้วแสร้งยืนเบียดเขาทำตัวคล้ายชายงามออดอ้อนคุณชายที่มาเที่ยวหอชายงามทำให้บุรุษผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อ เดือดร้อนให้นางต้องจับตัวเขาหันหลังให้ประตู พรึ่บ! เมื่อเสียงประตูด้านหลังเปิดออกนางก็รีบจับมือของเขาให้มาโอบเอวตนเอง “คุณชายขอรับ วันนี้ต้องขอบ
3ถูกจับได้เสียแล้ว ผลั่ก! บุรุษที่บอกว่าเป็นสหายของพี่ชายดันประตูให้เปิดออกอย่างแรง ชายงามในห้องทั้งสามคนที่กำลังกินอาหารอยู่พลันสะดุ้งสุดตัวก่อนจะรีบวางมือแล้วหันไปยิ้มต้อนรับคุณชายจิตใจดี “คุณชายกลับมาแล้วหรือขอรับ” “บอกลาชายงามของเจ้าซะ” “พวกท่านตามสบายเถิดขอรับ นี่เป็นค่าเสียเวลาของพวกท่าน พี่ชายข้าจะพากลับจวนแล้ว เอาไว้ข้าจะมาหาพวกท่านใหม่นะขอรับ” “เจ้ายังคิดจะมาในที่เช่นนี้อยู่อีกหรือ” สหายของพี่ชายหันมาถลึงตาใส่นาง ‘มันเป็นคำบอกลาที่ไม่ให้ดูเสียมารยาทเจ้าค่ะ บุรุษกักขฬะเช่นท่านคงไม่เข้าใจ’ นางค่อนขอดเขาในใจ “คุณชายอย่าได้เกรงใจพวกเราเลยขอรับ” ชายงามทั้งสามมองคุณชายจิตใจดีด้วยสายตาอาวรณ์อยู่บ้าง “รีบจ่ายตำลึงจะได้รีบกลับ” “ขอรับ ๆ” นางตอบรับพลางนึกในใจ หากรีบก็กลับเองสิจะมาเร่งนางด้วยเหตุใด “รับไปเถิดขอรับ ข้าเรียกพวกท่านมาข้าก็ต้องจ่าย” นางมอบก้อนตำลึงให้พวกเขาพลางน้ำตาตกใน ตำลึงทองที่นางเก็บหอมรอมริบไว้เกือบจะหมดถุงแล้ว หอชายงามช่างเป
“ที่แท้เป็นชินอ๋องซื่อจื่อนี่เอง ขออภัยที่ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่” “คนกันเองทั้งนั้นเจ้าอย่าได้กังวล ข้าลืมบอกเจ้าไปว่าข้าไม่รู้จักทางไปจวนเผิง รถม้าคันนี้จึงจะไปส่งเจ้าที่จวนฟ่านแทน” “มิรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อขอรับ จอดให้ข้าลงตรงนี้ก็ได้ขอรับ ประเดี๋ยวข้าน้อยจะหาทางกลับจวนเอง” “แต่บริเวณนี้มันมืดนัก ทางซ้ายก็เป็นจวนร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย เพราะทางขวาคือจวนที่มีคนเล่าลือกันว่ามีผีออกมาทักทายผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่บ่อยครั้ง” “ผะ ผีหรือขอรับ แล้วเหตุใดท่านถึงมาผ่านทางนี้” “ทางนี้มันเงียบสงบ ไม่มีรถม้าคันอื่นมาวิ่งเบียดให้วุ่นวาย แต่หากเจ้ายืนยันจะลงที่นี่ข้าก็จนใจจะเอ่ยปากห้าม” “เช่นนั้นต้องรบกวนชินอ๋องซื่อจื่อไปส่งข้าใกล้ ๆ จวนตระกูลฟ่านด้วยขอรับ แต่ไม่ต้องส่งหน้าประตูจวนนะขอรับ ดึกดื่นเช่นนี้ข้าเกรงใจพวกเขา” “มิเป็นไร หากพวกเขาจะลงโทษเจ้าที่หนีออกมาเที่ยว บอกพวกเขาไปได้เลยว่าฟ่านซีอิ๋งเป็นคนบอกให้เจ้าออกมาตามดูไห่ถิง” ‘ข้าจะบอกเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ในเมื่อจะเผิงเย่ฟางหรือฟ่านซีอิ๋งก็เป็นข
‘อย่ามาคิดกลั่นแกล้งข้าเพื่อกลบเกลื่อนนะ ข้ายังจำภาพของท่านในหอชายงามได้ขึ้นใจ หน๊อย! กลับมาตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้วคงเพิ่งจะนึกได้ว่าต้องกลับบ้านมาร่วมพิธีปักปิ่นของข้าสินะ’ จึงโผล่หน้ามาเอาวันนี้ “คารวะชินอ๋องซื่อจื่อ” เป็นฟ่านเฉียนและฮูหยินแสดงความเคารพต่อสหายของบุตรชาย อย่างไรอีกฝ่ายก็มีศักดิ์สูงกว่าพวกตนเพราะเป็นถึงซื่อจื่อของอดีตแม่ทัพใหญ่ทั้งยังเป็นหลานชายของฮ่องเต้ “ท่านน้าทั้งสองอย่าได้เกรงใจกันเลย เป็นข้าที่ต้องคารวะท่านทั้งสอง” เขาโค้งตัวคำนับบิดามารดาของสหายด้วยท่าทีนอบน้อม “อย่าได้มากพิธีเลย” เป็นท่านเจ้ากรมยุติธรรมรีบประคองบุรุษที่สูงศักดิ์กว่า “ท่านพ่อท่านแม่ ช่วงนี้ซืออี้จะขอมาอยู่อาศัยที่จวนของเราเป็นการชั่วคราว” ‘พี่ใหญ่ ท่านหลงใหลสหายจนไม่อยากห่างเชียวหรือถึงได้ให้เขามาค้างอ้างแรมถึงที่จวน’ ไม่ได้การแล้วข้าต้องรีบหาบุรุษมาเบี่ยงเบนความสนใจของพี่ชายเสียแล้ว มิเช่นนั้นโทษประหารคงได้ตกใส่หัวคนตระกูลฟ่านเช่นในฝันร้ายของนาง “เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่” เป
“แต่ท่านที่รักและจริงใจกับข้าย่อมเฝ้ารอได้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวจบนางก็หยอกเย้าเขาด้วยการจุมพิตที่แก้มสากไปหนึ่งครั้ง จะได้ลุ่มหลงนางยากจะเปลี่ยนใจ บนแผ่นดินนี้มีสตรีใดบ้างไม่อยากให้สามีลุ่มหลงตนเองแต่เพียงผู้เดียว “หากเจ้าต้องการพี่ย่อมตามใจ เช่นนั้นเมื่อผ่านพ้นงานเลี้ยงของไห่ถิงพี่จะส่งแม่สื่อพร้อมสินสอดไปเยือนจวนฟ่านทันที” “ขอบคุณเจ้าค่ะที่ท่านตามใจข้า” “พี่ทำดีเช่นนี้ ขอรางวัลอีกครั้งได้หรือไม่” “เจ้าค่ะ” นางยิ้มเขินอายก่อนจะถูกคังซืออี้รวบตัวเข้าสู่อ้อมกอด เขาใช้มือข้างที่ว่างยึดคางมนเอาไว้ก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปาก ลิ้นร้อนบุกรุกลิ้มรสหวานของโพรงปากนุ่ม การโต้ตอบอย่างไม่ประสาทำให้ความปรารถนาของเขามากล้น “พี่มัดจำเจ้าเอาไว้ก่อน เมื่อถึงคืนเข้าหอพี่จะมาทวงคืนอย่างทบต้นทบดอก” เขากล่าวหลังพยายามตัดใจผละออกห่าง “...” ฟ่านซีอิ๋งไร้วาจาจะเอ่ย ยามนี้นางเขินอายจนแทบไม่กล้าสู้หน้าเขาแล้ว เพราะเมื่อครู่นางคล้ายจะเผลอส่งเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ จุมพิตของเขาช่างร้ายกาจเกินไปแล้ว “อยาก
พรึ่บ! แต่ฟ่านซีอิ๋งกลับทำในสิ่งที่เขาคาดไม่ถึง คือนางพลิกตัวขึ้นคร่อมบนตัวเขา มือเนียนนุ่มทั้งสองของนางจับมือของเขาเอาไว้ก่อนจะดันขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้คังซืออี้คล้ายกับถูกสตรีตัวน้อยตรึงเอาไว้บนเตียง “ท่านจะให้ข้าจุมพิตตรงนี้ใช่หรือไม่เจ้าคะ” กล่าวจบนางก็โน้มใบหน้าเข้าใกล้แล้วกดริมฝีปากลงบนแก้มของเขาข้างหนึ่งก่อนจะผละออก “อืม” “แล้วก็ตรงนี้อีกใช่หรือไม่เจ้าคะ” “อืม” “อีกที่คล้ายจะเป็นตรงนี้” นางกดริมฝีปากลงบนหน้าผากเขาครั้งนี้คล้ายจะเนิ่นนานกว่ายามจุมพิตที่แก้ม “ชื่นใจยิ่งนัก” คังซืออี้กล่าวดวงตาที่จับจ้องสตรีตรงหน้าพราวระยับยิ่งกว่าดวงดาวนับพัน “แต่หวังว่าท่านจะไม่โกรธเคืองหากข้าจะเพิ่มให้ท่านอีกที่หนึ่ง” กล่าวจบฟ่านซีอิ๋งยิ้มอย่างซุกซนก่อนจะกดริมฝีปากลงบนกลีบปากของเขา ลิ้นเรียวเล็กพยายามบดเบียดเพื่อบุกรุกเข้าไปภายในโพรงปากนุ่มซึ่งบุรุษที่ถูกตรึงอยู่ใต้ร่างในคราแรกคล้ายจะตกตะลึงอยู่บ้างแต่สุดท้ายดวงตาก็เปลี่ยนเป็นหวานล้ำแล้วตอบรับการหยอกเย้าของเรียวลิ้นเล็กแต่โดยดี เมื่อรู้
“คราวนี้เราก็ได้อยู่ด้วยกันเพียงสองคนแล้วนะซีอิ๋ง” คังซืออี้ยิ้มก่อนจะปิดสมุดบัญชีของร้านที่เมื่อครู่แสร้งเปิดอ่านยามสนทนากับสหาย หลังจากฟ่านไห่ถิงกลับไปแล้ว ชินอ๋องซื่อจื่อก็ไม่รอช้าที่จะกลับไปหาน้องน้อย เขากวาดสายตามองหาสตรีตัวเล็กไปทั่วห้องจึงได้เห็นว่านางนอนหลับอยู่บนเตียงของเขา ใช่แล้ว! เตียงที่นางนอน ห้องที่นางอยู่ เป็นห้องที่เขาอยู่ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เรือนที่นางอยู่ก็เป็นเรือนส่วนตัวของเขาเพราะเช่นนี้ นางกำนัล ขันทีและทหารยามในตำหนักอ๋องจึงเอ่ยปากเรียกฟ่านซีอิ๋งว่าพระชายาโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยวาจา “ซีอิ๋ง เจ้ารู้หรือไม่พี่นั้นเป็นคนโลภมากและใจร้อน พอได้เห็นเจ้านอนอยู่บนเตียงของพี่เช่นนี้ พี่ก็ปรารถนาอยากจะรีบส่งแม่สื่อไปที่จวนฟ่านเพื่อแลกเปลี่ยนเทียบชะตาและตบแต่งเจ้าเข้าตำหนัก พี่ไม่อยากให้เจ้าอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวเช่นในตอนนี้ แต่อยากให้เจ้านอนหลับบนเตียงเคียงข้างพี่เช่นนี้ตลอดไป” “...” “พี่จะเข้าข้างตนเองแล้วใช้โอกาสที่เจ้ากำลังหลับถือเป็นการตอบรับได้หรือไม่” กล่าวจบก็กดริมฝีปากลงบนแก้มเนียน แต่พอผละออกห่า
สองวันมานี้นางปวดหัวยิ่งนัก กว่าจะได้กินก็ต้องนั่งมองทั้งสองแย่งกันป้อนข้าวนาง ทั้งที่นางบอกแล้วว่าไม่ได้เจ็บที่มือก็ไม่มีใครสนใจเอาแต่แย่งกันคีบอาหารมาจ่อปากนาง ตอนกินยาก็แย่งกันเป่า จนมีอยู่ครั้งหนึ่งทำถ้วยยาร่วงตกแตก ไหนจะตอนนอนกว่าจะลากกันออกจากห้องไปได้ ก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วยาม พี่ใหญ่หรือก็หวงแหนน้องสาวยิ่งนัก ส่วนชินอ๋องซื่อจื่อ ก็ชอบกลั่นแกล้ง จุมพิตแก้ม จุมพิตหน้าผาก กินเต้าหู้นางต่อหน้าพี่ใหญ่คล้ายยั่วยุ “เช่นนั้นเจ้านอนเอนหลังตามสบาย พี่กับซืออี้จะไปนั่งสนทนากันด้านนอกดีหรือไม่” “...” ฟ่านซีอิ๋งเอนหลังนอนบนเตียงคล้ายกับไม่สนใจพี่ชายและสหาย เมื่อบุรุษทั้งสองเห็นท่าทางเมินเฉยของสตรีตัวน้อย จึงรีบลากกันออกไปนอกห้อง สุดท้ายก็ไปนั่งสนทนาหารือกันที่ห้องหนังสือแทน “เห็นหรือไม่ เพราะเจ้า ซีอิ๋งถึงได้โกรธข้า” “ข้าหวงน้องสาวผิดที่ใดกัน” ฟ่านไห่ถิงไม่ยอมให้อีกฝ่ายกล่าวโทษเพียงฝ่ายเดียว “ผิดตรงที่นางปักปิ่นแล้ว นางเป็นสตรีพร้อมออกเรือน ต่อให้เจ้าหวงแหนนางอย่างไรก็ต้องไว้หน้าน้องเข
18การแย่งชิงความโปรดปรานของบุรุษ หลังจากงานเลี้ยงของจวนราชครูซิวผ่านไปได้สามวันเรื่องราวเสื่อมเสียของซิวซือเย่และซิวลู่หลินก็ถูกเล่าลือแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง แม้จะมีราชโองการสมรสพระราชทานแต่งคุณหนูซิวผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยมีชื่อเสียงดีงามเข้าเป็นชายารองขององค์ชายรอง แต่คนทั่วไปก็ยังคิดว่าคงเป็นท่านราชครูซิวใช้ความเป็นราชครูของฮ่องเต้ ทูลขอให้ฮ่องเต้ออกราชโองการเพื่อเป็นการรับผิดชอบบุตรสาว ส่วนซิวซือเย่ผู้สุภาพอ่อนโยนก็จำใจต้องรับสาวใช้คนสนิทของน้องสาวเป็นอนุฯ แต่ทว่าเป็นหลังจากที่แต่งคุณหนูจ้าวเป็นฮูหยินเอกแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ได้ยินมาว่าเจ้ากรมโยธาจ้าวถึงขั้นเอ่ยวาจาตัดขาดกับบุตรสาวที่ดื้อรั้นจะแต่งกับบุรุษที่ทำเรื่องเสื่อมเสีย “จงเซ่อ เจ้าเสียใจไปแล้วได้อันใด อย่างไรบัณฑิตต่ำต้อยเช่นพวกเราก็ไม่มีวันอาจเอื้อมดอกฟ้าเช่นคุณหนูซิวได้” “หากข้าสอบจอหงวนได้ ข้าก็คงไม่ได้แต่มองสตรีในดวงใจแต่งไปกับผู้อื่นเช่นนี้” “ต่อให้เจ้าได้เป็นจอหงวน ฐานะของเจ้าก็สู้องค์ชายรองไม่ได้ เจ้าควรตาสว่างได้แล้ว” “พวกเจ้าคงสมน้ำหน้าข้า ที่หมาย
“ให้เวลาข้าได้ไตร่ตรองก่อน แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดซีซีของข้าถึงเป็นเช่นนั้น” ก่อนหน้านี้เพราะเป็นการสนทนาที่จริงจัง เขาจึงเรียกขานนามแท้จริงของน้องสาวมากกว่านามที่เขาใช้เรียกขาน “ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามของเจ้า ข้าอยากให้เจ้าเลิกเรียกนางว่าซีอิ๋งของเจ้า เพราะนางเป็นของข้าเข้าใจหรือไม่” “โอ๊ะ! หวงแหนนางแม้กระทั่งกับพี่ชายเช่นข้า” “ข้ารักนางมาก ข้าย่อมหวงแหนมาก” “อย่างไรข้าก็เป็นพี่ชายร่วมสายเลือดของนาง ละเว้นข้าไว้สักคนเถิด” “เรียกนางว่าซีซีก็พอ” “ชิชะ อีกหน่อยเจ้าจะไม่หวงซีซีจนไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้เลยหรือ” “ข้ารักของข้า” “เอาล่ะรีบเล่าเรื่องมาได้แล้วว่ามันเกิดอันใดขึ้น” “ซิวลู่หลินคิดวางยาปลุกกำหนัดซีอิ๋ง แต่เพราะน้องสาวเจ้าไม่ยอมหยิบจับสิ่งใดมากินสตรีผู้นั้นจึงแสร้งให้สาวใช้ทำชาร้อนหกรดนางเพื่อหวังดึงนางออกจากงานเลี้ยง โดยในห้องที่ให้ซีอิ๋งไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์มีกำยานปลุกกำหนัดจุดอยู่หวังจะส่งตัวนางให้ซิวเมิ่งหยวน” “ชั่วช้า เจ้าซิวเมิ่งหยวนน่าตายนัก น้องส
“ซีอิ๋งนางกำลังพักผ่อน มีอันใดไปสนทนากันด้านนอก” คังซืออี้กล่าวก่อนจะผายมือคล้ายเชื้อเชิญสหายให้ออกจากห้องของตน คุณชายฟ่านเดินตามสหายออกมาด้านนอกโดยไม่เอ่ยวาจาทั้งที่ภายในใจมีคำพูดมากมายอยากจะเอ่ยถาม “เชิญนั่ง เจ้าอยากถามอันใดก็เอ่ยวาจามา” ชินอ๋องซื่อจื่อทรุดตัวนั่งที่ศาลาซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของตนมากนัก “เจ้ากับซีอิ๋ง มันเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อใด” เหตุใดถึงได้ลอบคบกันภายใต้จมูกโดยที่เขาไม่ทราบ “หากจะถามว่าน้องสาวเจ้ามีใจให้ข้าตั้งแต่เมื่อใด ข้าไม่ทราบ แต่หากถามข้า ข้าย่อมกล่าวว่าข้ามีใจให้น้องเจ้าตั้งแต่ก่อนมอบปิ่นให้เจ้ายืม” “เช่นนั้นที่ปิ่นข้าหายก็เป็นฝีมือเจ้าใช่หรือไม่” “เจ้าลองหาปิ่นที่เจ้าเตรียมไว้ก่อนเถิด ข้าเพียงแต่ไหลไปตามน้ำ” อย่างไรอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นพี่ชายพระชายาของเขาในภายหน้าจึงไม่อยากสร้างศัตรูเอาไว้มาก ประเดี๋ยวไปเป่าหูพระชายาของเขา ดังนั้นบางเรื่องก็ไม่ควรรู้จะดีกว่า ประเดี๋ยวจะหาว่าเขามากเล่ห์... “เจ้ากล่าวว่าพึงใจซีอิ๋งตั้งแต่ก่อนปักปิ่นแล้วเจ้าไปเจอนางที่ใ
ท่าทางอ่อนโยนและเอาใจใส่สตรีของท่านอ๋องน้อยทำให้บรรดานางกำนัลและขันทีต่างลอบยิ้ม ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อคุณหนูฟ่านก็วางตะเกียบลงพร้อมกับข้าวที่พร่องไปเกือบครึ่งชาม “ไปยกยามา” “เรื่องที่ข้าอยู่ที่นี่ พี่ใหญ่กับท่านแม่ทราบแล้วหรือไม่เจ้าคะ” “อืม พี่ส่งคนไปแจ้งที่จวนฟ่านแล้ว” “ไม่รู้เรื่องที่จวนซิวเป็นอย่างไรต่อนะเจ้าคะ” นางชวนเขาสนทนาพลางจ้องมองบุรุษที่กำลังเป่ายาเพื่อคลายความร้อน “กินยาให้หมดก่อนแล้วพี่จะเล่าให้ฟัง” เขากล่าวก่อนจะยื่นถ้วยยาในมือให้ “เจ้าค่ะ” นางกลั้นใจก่อนจะยกยาถ้วยนั้นขึ้นดื่มในคราวเดียว “เก่งมาก ซีอิ๋งของพี่เก่งที่สุด” เขากล่าวก่อนจะป้อนก้อนน้ำตาลปั้นใส่ปากนาง “พี่ซืออี้ก็กล่อมเหมือนข้าเป็นเด็ก” “กินยาเสร็จแล้วไปนั่งตรงนั้นกันเถิด พี่จะเล่าเรื่องหลังจากเราออกจากจวนซิวให้เจ้าฟัง หากเจ้าง่วงเจ้าจะได้นอนได้เลย” เขากล่าวพลางโบกมือให้นางกำนัลเก็บสำรับออกไป “เจ้าค่ะ” เมื่อนางตอบรับเขาก็ลุกขึ้นแล้วอุ้มนางที่กำลังจะลุกยืนเช่นกัน
“ไม่จริง ข้าว่าต้องเป็นมัน...” เพียะ! ซิวลู่หลินยังเอ่ยวาจาไม่ทันจบ ฝ่ามือของพี่ชายก็ฟาดลงบนหน้า “หยุดโยนความผิดให้ผู้อื่นได้แล้ว แม้ที่ผ่านมาท่านพ่อจะไม่ทุบตีเจ้าแต่ใช่ว่าท่านพ่อจะยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป” หากไม่เพราะน้องสาวผู้นี้มีใบหน้างดงามเหนือพี่น้องต่างมารดา นางก็คงไม่ได้รับการเหลียวแลจากบิดา และการกระทำสิ้นคิดในครั้งนี้ของน้องสาวได้ทำลายแผนการของบิดาที่หวังจะเป็นพระอัยกาของฮ่องเต้ด้วยเหตุนี้จึงต้องเปลี่ยนฝั่งปรับแผนการใหม่เพื่อการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า “พี่ใหญ่ท่านตบข้า” “คุณหนูซิวหากเจ้ายังไม่ปรับปรุงตน อีกหน่อยเกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งชายารองก็คงไม่อาจจะรักษาเอาไว้ได้” กล่าวจบซิวเมิ่งหยวนหมุนตัวทำท่าจะเดินจากไป “พี่ใหญ่ ท่านช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากแต่งกับองค์ชายรอง เขาเป็นต้วนซิ่วจะแต่งชายาได้อย่างไร” ซิวลู่หลินทรุดตัวลงไปกอดเข่าพี่ชาย หวังทำให้อีกฝ่ายใจอ่อน “สมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ แม้แต่องค์ชายรองก็ไม่อาจขัดได้” สิ้นเสียงเขาสะบัดขาเพื่อให้หลุดจากการเกาะกุมก่อนจะเดินออกจากเรือนไปโดยไม่คิดสนใจน