1
ฝันร้ายที่ไม่อยากให้เกิด
พรึ่บ! สตรีผู้มีดวงหน้าอ่อนหวานผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองไปรอบ ๆ ห้องพลางหอบเหนื่อยอย่างหนัก
“นี่ข้าฝันร้ายอีกแล้วหรือ” มันเป็นแค่ฝันที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นจริงใช่หรือไม่
ยิ่งใกล้ปักปิ่นความฝันเหล่านั้นยิ่งชัดแจ้งขึ้นทุกที ความฝันที่ว่าพี่ชายเพียงคนเดียวของนางเป็นต้วนซิ่ว[1]ทั้งยังหลงรักสหายของตนอย่างหัวปักหัวปำ ยามที่สหายยังไม่มีคนรักก็แล้วไป แต่พออีกฝ่ายที่เป็นถึงซื่อจื่อ[2]ของจวนอ๋องตบแต่งพระชายาทั้งยังปักใจรักสตรีผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง พี่ใหญ่ที่คล้ายกับคนผิดหวังในความรักเกิดความคิดชั่วร้ายหวังกำจัดสตรีผู้นั้น
แม้ชินอ๋องเป็นถึงอดีตแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้พาพระชายาออกท่องเที่ยวไปแล้ว แต่ทว่าก็ยังมีเสือหมอบมังกรซ่อน[3]ถูกเก็บซ่อนไว้เพื่อปกป้องบุตรชาย ดังนั้นเมื่อพี่ใหญ่ของนางส่งคนไปทำร้ายพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่ออยู่บ่อยครั้ง ความเป็นสหายก็ขาดสะบั้น สุดท้ายโทษหนักอย่างการปองร้ายเชื้อพระวงศ์ก็ตกใส่หัวตระกูลฟ่านของนาง โดนประหารยกตระกูล
ส่วนนางที่ตบแต่งเข้าตระกูลซิว ก็ถูกแม่สามีส่งกลับจวนฟ่านเพื่อรับโทษประหารพร้อมคนในตระกูล โดยสามีที่บอกว่ารักนักหนาไม่คิดปกป้องหรือช่วยเหลือใด ๆ
‘แต่นี่มันคืนที่สิบแล้วนะ ที่ข้าฝันเช่นนี้’ หรือว่าแท้จริงมันจะเป็นลางบอกเหตุ
ในฝันบอกว่าอีกสามวันข้างหน้าพี่ใหญ่จะเดินทางกลับมาจากเมืองจินเฟิ่งโดยไม่บอกล่วงหน้า และเมื่อกลับมาถึงแทนที่จะกลับเข้าจวนก่อน เขากลับไปที่หอชายงามเจียวชู่ฉือและหลับนอนอยู่ที่นั่นราวสองวันถึงจะยอมกลับจวนให้บิดามารดาเห็นหน้า
“อีกสามวันข้าจะไปพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่านั่นมันคือฝันบอกเหตุ หรือเป็นเพียงฝันร้ายกันแน่” แม้ก่อนหน้านี้จะปลอบใจตนเองว่ามันเป็นเพียงฝันร้ายที่เกิดจากความบังเอิญหลังจากไปได้ยินบิดามารดาปรึกษากันเรื่องที่สงสัยว่าพี่ชายจะเป็นต้วนซิ่ว
แต่การฝันติดต่อกันถึงสิบวัน ทั้งยังเป็นเรื่องราวเดียวกันไม่ผิดเพี้ยนมันทำให้ความมั่นใจของนางสั่นคลอน สุดท้ายจึงคิดจะทำบางอย่างเพื่อพิสูจน์ความฝันนั้น
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม”
“ตื่นเช้าเช่นนี้ ท่านฝันร้ายอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
“อืม” นางพยักหน้า
“ฝันร้ายติดต่อกันหลายวันเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องดีเราลองไปไหว้พระดีหรือไม่เจ้าคะ แล้วขอเครื่องรางฝันดีมาไว้ใต้หมอน”
“ฟังดูเข้าท่าไม่น้อย เช่นนั้นยกน้ำล้างหน้าเข้ามาเถิด ข้าจะได้รีบผลัดเปลี่ยนอาภรณ์เพื่อไปพบท่านแม่”
“เจ้าค่ะคุณหนู” ซูฉีตอบรับก่อนจะรีบไปยกอ่างน้ำล้างหน้ามาให้คุณหนูของตน
หลังจากรับสำรับเช้าพร้อมหน้าบิดามารดาแล้ว คุณหนูฟ่านก็ตามมารดาไปที่เรือนเพื่อจะเอ่ยปากขออนุญาตออกไปไหว้พระที่อารามนอกเมือง
“ทางไปอารามมีแต่ป่าแต่เขา อย่างไรพาคนคุ้มกันไปให้มากหน่อย แม่จะได้หายห่วง” โฉมสะคราญล่มเมือง อดีตหญิงงามอันดับหนึ่งที่ไม่รู้บิดาไปใช้เล่ห์กลอันใดถึงได้มาครอง เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เจ้าค่ะท่านแม่” ยิ่งพิศยิ่งเห็นความงามที่ไม่ได้สร่างไปตามวัยของมารดา บางครั้งทำให้นางทอดถอนใจที่ตนเองงดงามน้อยที่สุดในจวนหากไม่นับบิดา และเพราะเหตุนี้ทำให้นางไม่ชอบงานเลี้ยงที่จะต้องพบปะญาติพี่น้องที่มักจะเอ่ยปากเปรียบเทียบว่านางงดงามน้อยกว่าพี่ชาย คล้ายกับเด็กถูกเก็บมาเลี้ยง
“อีกไม่ถึงกี่วันก็จะปักปิ่นแล้ว อย่างไรขอเครื่องรางคู่ครองมาด้วยก็ได้”
“ท่านแม่ใจร้ายยิ่งนัก คิดจะไล่ให้ลูกออกเรือนทันทีที่เข้าพิธีปักปิ่นเลยหรือ”
“แม่ไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่จะช้าหรือเร็วอย่างไรเจ้าก็ต้องออกเรือน หาเครื่องรางมาไว้บูชาก็ไม่เสียหาย”
“ข้าไม่สนทนากับท่านแม่แล้ว ข้ารีบไปไหว้พระที่อารามดีกว่าเจ้าค่ะ หากสายกว่านี้คนอาจจะมาก” กล่าวจบก็รีบย่อตัวแล้ววิ่งจากไป
“อย่าลืมพาคนคุ้มกันไปด้วยนะซีอิ๋ง” ฟ่านฮูหยินส่งเสียงตะโกนตามหลัง พลางส่ายหน้าไปมาด้วยความรู้สึกจนใจเมื่อเห็นท่าทางห่างไกลจากคำว่า ‘เรียบร้อย’ ของบุตรสาว
เนื่องจากอารามตั้งอยู่กลางป่าเขา การเดินทางด้วยรถม้าจึงใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามกว่าจะถึง
“คนน้อยเช่นนี้ ดีจริง ๆ” หรือเป็นเพราะตอนนี้เพิ่งจะต้นยามซื่อ (09.00-10.59) ก็ไม่แน่ใจ
“เช่นนั้นเรารีบเข้าไปไหว้พระกันเถิดเจ้าค่ะ ได้ยินว่าเซียมซีที่อารามนี้แม่นมากเลย อย่างไรคุณหนูลองเสี่ยงทายด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่หรอก ชะตาฟ้าลิขิตหรือจะสู้เราลิขิตด้วยสองมือเล่า” ฟ่านซีอิ๋งส่ายหน้าไปมาคล้ายไม่เห็นด้วย
“แต่คนเขาว่าเซียมซีที่นี่แม่นมากนะเจ้าคะ ได้ยินว่าเมื่อสามเดือนก่อนคุณหนูหวังจวนเจ้ากรมคลังมาไหว้พระที่นี่ เสี่ยงทายได้ใบที่บอกว่าจะเจอคู่วาสนา หลังจากนั้นเพียงสามวันก็ได้เจอคุณชายจ้าว จวบจนเมื่อเจ็ดวันก่อนก็เพิ่งตบแต่งเข้าเป็นฮูหยินน้อยตระกูลจ้าว”
“คู่วาสนาหรือคู่เวรคู่กรรมก็ไม่อาจทราบได้” นางเคยได้ยินบิดาเอ่ยกับมารดาว่าจวนจ้าวกำลังขัดสน การได้แต่งกับคุณหนูหวังเกรงว่าจะถูกวางแผนเอาไว้แล้ว
“คุณหนู!”
“เจ้าลืมแล้วหรือว่าข้ามาที่นี่เพื่อขอเครื่องรางปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย จะได้ไม่ต้องนอนฝันร้ายอีก หาใช่มาเพื่อเสี่ยงทายหรือขอพรเกี่ยวกับคู่ครองไม่” อยู่เป็นคุณหนูจวนฟ่านสุขสบายยิ่งนัก นางหรือจะยอมแต่งออกไปง่าย ๆ
ในฝันบอกว่านางจะได้เจอซิวเมิ่งหยวนซือเย่แห่งสำนักศึกษาเหวินไท่ บัณฑิตหนุ่มผู้มากความสามารถ มีความรู้แตกฉานสมกับเป็นบุตรชายคนเดียวของราชครูซิว ที่ร้านเหิงจื้อ ทั้งยังประทับใจในความสุภาพอ่อนโยนของอีกฝ่ายที่ช่วยนางเลือกพู่กันให้พี่ชาย
เหอะ! เช่นนั้นก็อย่าได้หวังว่านางจะมอบพู่กันเป็นของขวัญให้พี่ชาย และเพื่อให้พี่ชายดูสมชายชาตรีมากขึ้น นางคิดว่าจะไปสั่งกระบี่ให้พี่ชายสักเล่มหรือไม่ก็เป็นอาวุธลับที่เอาไว้ป้องกันตัว แต่หากตำลึงไม่พอก็คงเป็นพู่ห้อยกระบี่งาม ๆ แทน
“แต่ขอคู่ครองด้วยก็ไม่เสียหายนะเจ้าคะ”
“ไม่ล่ะ ข้าคิดว่าการเป็นคุณหนูฟ่านเช่นนี้แหละดีที่สุด” นางกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปในอารามเพื่อไหว้พระ ทิ้งให้สาวใช้ถอนหายใจกับความคิดแปลกประหลาดของคุณหนู ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ที่เริ่มฝันร้ายเป็นครั้งแรก
“รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะคุณหนู” ซูฉีรีบก้าวเท้าเดินตามคุณหนูของตนไป
[1] บุรุษที่รักชอบบุรุษด้วยกัน
[2] ผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋องต่อจากบิดา
[3] คนที่มีความสามารถแต่หลบซ่อนคมเอาไว้
เพราะอารามแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่าเขา จึงมีลมเย็นพัดโชยตลอดทำให้นางต้องกระชับเสื้อคลุมกันหนาวที่สวมไว้ก่อนจะรีบเดินกลับไปที่รถม้าหลังจากที่ได้เครื่องรางที่ต้องการแล้ว “ขากลับจวนจะแวะเดินเล่นในตลาดก่อนหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ ข้าอยากรีบกลับไปนอนบนเตียงอุ่นของตนเอง” เพราะถูกคนอื่นเอ่ยวาจาเสียดสีเรื่องที่นางขี้ริ้วขี้เหร่กว่าพี่ชายที่เป็นบุรุษอยู่บ่อยครั้ง ยามอยู่ในจวนบิดามารดาและพี่ใหญ่จึงแทบประคองนางไว้กลางฝ่ามือ ทุกอย่างในเรือนของนางจึงเป็นของดี แม้แต่เตียงยังเป็นเตียงอุ่น เห็นหรือไม่ว่าตามใจนางมากเพียงใด หากวันหนึ่งเสียคนขึ้นมาก็อย่าได้แปลกใจ “เจ้าค่ะคุณหนู” ซูฉีรับคำก่อนจะประคองคุณหนูขึ้นรถม้า แล้วบอกกล่าวกับคนขับรถม้า ในระหว่างทางรถม้าที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าจู่ ๆ ก็ชะลอลงเล็กน้อยคล้ายกับมีเหตุการณ์บางอย่างอยู่ข้างหน้า “มีอันใดหรือไม่” คุณหนูฟ่านส่งเสียงถามคนขับรถม้า “ข้างหน้าเหมือนจะมีรถม้าจอดเสียอยู่ขอรับ” “รถม้าของเราสามารถผ่านไปได้หรือไม่” “ได้ขอรับ แต่ต้องระวังสักเล็กน้อย”
‘มีอันใดก็รีบเอ่ยมา’ แม้ไม่ได้เห็นสีหน้า แต่คนลอบฟังเช่นนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าบุรุษผู้นั้นกำลังรู้สึกรำคาญ ‘ข้าเพียงแต่อยากจะเอ่ยวาจาขอบคุณท่านที่ได้ยื่นมือช่วยเหลือข้าในวันนั้นเจ้าค่ะ’ ‘ข้าน่ะหรือ ช่วยเหลือเจ้า’ นี่แหละนะบุรุษรูปงามมักไม่จดจำว่าตนเองได้ล่อลวงสตรีใดไปบ้าง ‘เจ้าค่ะ เป็นท่านที่ช่วยเหลือข้ายามที่ม้าเหล่านั้นกำลังพยศ’ ‘อ๋อ! ในตอนนั้นข้าเพียงไม่อยากให้รถม้าของตระกูลนั้นต้องจ่ายค่าเสียหายมากมาย’ แท้จริงที่ช่วยก็เพียงมีใจอยากช่วยไม่ให้จวนท่านตาต้องชดเชยค่าเสียหายจำนวนมากก็เท่านั้น บุรุษผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก สตรีงดงามรู้สึกซาบซึ้งแทนที่จะรับคำขอบคุณไว้กลับบอกไปเช่นนั้นไม่รู้คนงามจะหน้าชาเพียงใด ‘อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นข้าคงเจ็บหนัก’ ‘ที่เจ้ามาขวางทางข้าเพราะอยากเอ่ยวาจาเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่’ ‘ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนท่าน ข้าสามารถทำเช่นไรได้บ้างเจ้าคะ’ ก็ต้องพลีกายตบแต่งเป็นฮูหยินให้อย่างไรเล่า นี่เป็นการตอบแทนที่
2ไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่ ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนเข้ามานั่งกินอาหารไม่น้อยเนื่องจากราคาไม่สูงมากจนเกินไป แต่เนื่องจากที่นี่ไม่มีห้องส่วนตัวคุณหนูคุณชายส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมนัก เพราะจะได้มองดูปาหี่ที่สาวใช้คนสนิทแหวกกลุ่มคนเข้าไปดู นางจึงเลือกที่จะนั่งบริเวณชั้นสอง ก่อนจะสั่งอาหารมาสามอย่างเพื่อกินระหว่างรอสาวใช้ ‘นั่นมันคุณหนูซิว คนงามจากจวนราชครูไม่ใช่หรือ’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นดึงความสนใจให้นางก้มลงไปมองเบื้องล่างตามพวกเขา ‘งดงามสมคำเล่าลือจริง ๆ’ เมื่อมีโอกาสได้เพ่งพิศเช่นนี้ นางคิดว่าพี่ใหญ่งดงามกว่าสตรีผู้นี้มาก หากไม่ติดว่าเป็นบุรุษคงเป็นที่หมายปองของบุรุษในเมืองหลวง เผลอ ๆ ได้เข้าวังเป็นนางสนมของฮ่องเต้ แต่เอาเถิดหากกวาดสายตามองสตรีทั่วเมืองหลวงคุณหนูจวนราชครูผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ‘งดงามเช่นนี้คงมีคู่หมายแล้วกระมัง’ ‘นางยังไม่มีคู่หมายหรอก’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งตอบ ‘เพราะเหตุใดเจ้าถึงทราบ’ ‘ก็จงเซ่อชื่นชอบคุณหนูซิวอย่างไรเล่า’ ‘ใช่! ข้าเฝ้ามอง
พอออกมาถึงด้านนอกของโรงเตี๊ยมนางก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “วันนี้ในกลุ่มคนที่มาดูปาหี่พากันชื่นชมความงามของคุณหนูซิวด้วยเจ้าค่ะ” “ข้าเพิ่งทราบว่านางเป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองหลวงมากถึงเพียงนี้” “เพราะคุณหนูซิวมักจะออกมาตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ ชาวบ้านจึงได้ชื่นชอบเจ้าค่ะ” “เพราะเหตุนี้เสียงเล่าลือถึงนางจึงมีแต่เรื่องดี ๆ” ทำตนให้ดีงาม ไม่ด่างพร้อยเช่นนี้ มิใช่ว่าแท้จริงกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าการเป็นพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่อหรือ เพราะแค่ชาติตระกูลนางก็สามารถแต่งกับบุรุษผู้นั้นได้แล้ว ไหนเลยจะต้องแสร้งทำตนเองให้ดีงามเพื่อเอาใจชาวบ้านร้านตลาด “แต่บ่าวว่าคุณหนูของบ่าวงดงามน่ามองกว่าเจ้าค่ะ” “เจ้าก็เยินยอข้าเกินไป” “บ่าวไม่ได้เยินยอนะเจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูงดงาม มองอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่ายมากกว่า” ไหนจะดวงหน้าหวานที่มีเครื่องหน้าประดับอย่างลงตัวนั่นอีก ใครกันที่เคยว่าคุณหนูงดงามไม่เท่าคุณชายใหญ่ คนพวกนั้นตาบอดหรืออย่างไร “เช่นนั้นกลับไปข้าจะสั่งท่านป้าแม่
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน” “ขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามตอบรับพลางนึกดูแคลนคนตรงหน้าในใจ คิดว่าเขามองไม่ออกอย่างไรว่าคนผู้นี้เป็นสตรีหาใช่คุณชายที่ใดไม่ อีกทั้งยังร้อนแรงเรียกหาชายงามถึงสามคนเพื่อมาปรนนิบัติ เมื่อคนของหอออกจากห้องไป นางก็เริ่มครุ่นคิดหาโอกาสไปลอบมองพี่ชายของตน ‘ข้าจะไปยืนที่หน้าห้องนั้นอย่างไรโดยไม่มีคนเห็น’ วิชาตัวเบาก็ไม่มีจะลอบเข้าทางหน้าต่างก็ไม่ได้ ‘เหตุใดถึงมาเร็วนักเล่า’ นางคิดเมื่อประตูห้องที่ตนอยู่ถูกเปิดออกอีกครั้ง “ขออภัยที่ให้รอนานขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามกลับมาพร้อมบุรุษรูปงามพอประมาณจำนวนหกคน แต่ทว่าแต่ละคนจะแหวกคออาภรณ์ให้อ้าออกเพื่อให้เห็นแผงอกที่แน่นขนัด บ่งบอกถึงรูปร่างที่กำยำ หาได้อรชรอ้อนแอ้นแต่อย่างใด อึก! นางลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าหรือที่พี่ชายนางมาที่นี่จะเป็นเพราะชื่นชอบบุรุษรูปร่างกำยำจริง ๆ “คุณชายสามารถเลือกได้เลยขอรับ ทุกคนที่ข้าน้อยคัดมาล้วนเดินหมากได้เก่
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ “เจ้า!” เพื่อป้องกันไม่ให้เขาส่งเสียงไปมากกว่านี้ นางจึงรีบกระโจนเข้าหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเขาเอาไว้ มือข้างหนึ่งปิดปาก “ท่านอย่าได้ตกใจ คนที่อยู่ในห้องเป็นพี่ชายของข้า ข้าเพียงมาหาเขา หาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่” “...” บุรุษที่ถูกนางปิดปากอยู่กลอกตาไปมาคล้ายอยากเอ่ยวาจา “ท่านสัญญาได้หรือไม่ หากข้าปล่อยมือท่านจะไม่โวยวาย” “...” เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ‘นั่นใคร!’ เสียงที่ดังจากในห้องทำให้นางตกใจ นางปล่อยมือจากตัวเขาแล้วแสร้งยืนเบียดเขาทำตัวคล้ายชายงามออดอ้อนคุณชายที่มาเที่ยวหอชายงามทำให้บุรุษผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อ เดือดร้อนให้นางต้องจับตัวเขาหันหลังให้ประตู พรึ่บ! เมื่อเสียงประตูด้านหลังเปิดออกนางก็รีบจับมือของเขาให้มาโอบเอวตนเอง “คุณชายขอรับ วันนี้ต้องขอบ
“เจ้ากำลังทำอันใดอยู่” เสียงของบุรุษผู้หนึ่งที่กระซิบที่ข้างหูทำให้นางตกใจยิ่งนัก ก่อนจะรีบหันไปมองอย่างรวดเร็ว ริมฝีปากจึงแตะเข้ากับริมฝีปากของเขาแต่แทนที่จะเป็นนางที่ร้องโวยวายกลับเป็นเขาที่แสดงท่าทีตกใจระคนรังเกียจ “เจ้า!” เพื่อป้องกันไม่ให้เขาส่งเสียงไปมากกว่านี้ นางจึงรีบกระโจนเข้าหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับหัวเขาเอาไว้ มือข้างหนึ่งปิดปาก “ท่านอย่าได้ตกใจ คนที่อยู่ในห้องเป็นพี่ชายของข้า ข้าเพียงมาหาเขา หาได้มีเจตนาร้ายอันใดไม่” “...” บุรุษที่ถูกนางปิดปากอยู่กลอกตาไปมาคล้ายอยากเอ่ยวาจา “ท่านสัญญาได้หรือไม่ หากข้าปล่อยมือท่านจะไม่โวยวาย” “...” เขาพยักหน้าเล็กน้อยเป็นเชิงตอบรับ ‘นั่นใคร!’ เสียงที่ดังจากในห้องทำให้นางตกใจ นางปล่อยมือจากตัวเขาแล้วแสร้งยืนเบียดเขาทำตัวคล้ายชายงามออดอ้อนคุณชายที่มาเที่ยวหอชายงามทำให้บุรุษผู้นั้นตกใจจนตัวแข็งทื่อ เดือดร้อนให้นางต้องจับตัวเขาหันหลังให้ประตู พรึ่บ! เมื่อเสียงประตูด้านหลังเปิดออกนางก็รีบจับมือของเขาให้มาโอบเอวตนเอง “คุณชายขอรับ วันนี้ต้องขอบ
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไปนำพวกเขามาให้ข้าเลือกเถิด ข้าอยากได้คนที่เดินหมากเก่ง เชี่ยวชาญเพลงพิณและการขับร้องสักสองสามคน” “ขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามตอบรับพลางนึกดูแคลนคนตรงหน้าในใจ คิดว่าเขามองไม่ออกอย่างไรว่าคนผู้นี้เป็นสตรีหาใช่คุณชายที่ใดไม่ อีกทั้งยังร้อนแรงเรียกหาชายงามถึงสามคนเพื่อมาปรนนิบัติ เมื่อคนของหอออกจากห้องไป นางก็เริ่มครุ่นคิดหาโอกาสไปลอบมองพี่ชายของตน ‘ข้าจะไปยืนที่หน้าห้องนั้นอย่างไรโดยไม่มีคนเห็น’ วิชาตัวเบาก็ไม่มีจะลอบเข้าทางหน้าต่างก็ไม่ได้ ‘เหตุใดถึงมาเร็วนักเล่า’ นางคิดเมื่อประตูห้องที่ตนอยู่ถูกเปิดออกอีกครั้ง “ขออภัยที่ให้รอนานขอรับคุณชาย” คนของหอชายงามกลับมาพร้อมบุรุษรูปงามพอประมาณจำนวนหกคน แต่ทว่าแต่ละคนจะแหวกคออาภรณ์ให้อ้าออกเพื่อให้เห็นแผงอกที่แน่นขนัด บ่งบอกถึงรูปร่างที่กำยำ หาได้อรชรอ้อนแอ้นแต่อย่างใด อึก! นางลอบกลืนน้ำลายลงคอพลางคิดว่าหรือที่พี่ชายนางมาที่นี่จะเป็นเพราะชื่นชอบบุรุษรูปร่างกำยำจริง ๆ “คุณชายสามารถเลือกได้เลยขอรับ ทุกคนที่ข้าน้อยคัดมาล้วนเดินหมากได้เก่
พอออกมาถึงด้านนอกของโรงเตี๊ยมนางก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก “วันนี้ในกลุ่มคนที่มาดูปาหี่พากันชื่นชมความงามของคุณหนูซิวด้วยเจ้าค่ะ” “ข้าเพิ่งทราบว่านางเป็นที่ชื่นชอบของคนในเมืองหลวงมากถึงเพียงนี้” “เพราะคุณหนูซิวมักจะออกมาตั้งโรงทานแจกจ่ายอาหารอยู่บ่อยครั้งเจ้าค่ะ ชาวบ้านจึงได้ชื่นชอบเจ้าค่ะ” “เพราะเหตุนี้เสียงเล่าลือถึงนางจึงมีแต่เรื่องดี ๆ” ทำตนให้ดีงาม ไม่ด่างพร้อยเช่นนี้ มิใช่ว่าแท้จริงกำลังหมายตาตำแหน่งที่สูงกว่าการเป็นพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่อหรือ เพราะแค่ชาติตระกูลนางก็สามารถแต่งกับบุรุษผู้นั้นได้แล้ว ไหนเลยจะต้องแสร้งทำตนเองให้ดีงามเพื่อเอาใจชาวบ้านร้านตลาด “แต่บ่าวว่าคุณหนูของบ่าวงดงามน่ามองกว่าเจ้าค่ะ” “เจ้าก็เยินยอข้าเกินไป” “บ่าวไม่ได้เยินยอนะเจ้าคะ บ่าวว่าคุณหนูงดงาม มองอย่างไรก็ไม่เบื่อหน่ายมากกว่า” ไหนจะดวงหน้าหวานที่มีเครื่องหน้าประดับอย่างลงตัวนั่นอีก ใครกันที่เคยว่าคุณหนูงดงามไม่เท่าคุณชายใหญ่ คนพวกนั้นตาบอดหรืออย่างไร “เช่นนั้นกลับไปข้าจะสั่งท่านป้าแม่
2ไม่ใช่เรื่องจริงใช่หรือไม่ ภายในโรงเตี๊ยมแห่งนี้มีคนเข้ามานั่งกินอาหารไม่น้อยเนื่องจากราคาไม่สูงมากจนเกินไป แต่เนื่องจากที่นี่ไม่มีห้องส่วนตัวคุณหนูคุณชายส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมนัก เพราะจะได้มองดูปาหี่ที่สาวใช้คนสนิทแหวกกลุ่มคนเข้าไปดู นางจึงเลือกที่จะนั่งบริเวณชั้นสอง ก่อนจะสั่งอาหารมาสามอย่างเพื่อกินระหว่างรอสาวใช้ ‘นั่นมันคุณหนูซิว คนงามจากจวนราชครูไม่ใช่หรือ’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นดึงความสนใจให้นางก้มลงไปมองเบื้องล่างตามพวกเขา ‘งดงามสมคำเล่าลือจริง ๆ’ เมื่อมีโอกาสได้เพ่งพิศเช่นนี้ นางคิดว่าพี่ใหญ่งดงามกว่าสตรีผู้นี้มาก หากไม่ติดว่าเป็นบุรุษคงเป็นที่หมายปองของบุรุษในเมืองหลวง เผลอ ๆ ได้เข้าวังเป็นนางสนมของฮ่องเต้ แต่เอาเถิดหากกวาดสายตามองสตรีทั่วเมืองหลวงคุณหนูจวนราชครูผู้นี้ก็ถือว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง ‘งดงามเช่นนี้คงมีคู่หมายแล้วกระมัง’ ‘นางยังไม่มีคู่หมายหรอก’ เป็นบุรุษผู้หนึ่งตอบ ‘เพราะเหตุใดเจ้าถึงทราบ’ ‘ก็จงเซ่อชื่นชอบคุณหนูซิวอย่างไรเล่า’ ‘ใช่! ข้าเฝ้ามอง
‘มีอันใดก็รีบเอ่ยมา’ แม้ไม่ได้เห็นสีหน้า แต่คนลอบฟังเช่นนางก็สามารถคาดเดาได้ว่าบุรุษผู้นั้นกำลังรู้สึกรำคาญ ‘ข้าเพียงแต่อยากจะเอ่ยวาจาขอบคุณท่านที่ได้ยื่นมือช่วยเหลือข้าในวันนั้นเจ้าค่ะ’ ‘ข้าน่ะหรือ ช่วยเหลือเจ้า’ นี่แหละนะบุรุษรูปงามมักไม่จดจำว่าตนเองได้ล่อลวงสตรีใดไปบ้าง ‘เจ้าค่ะ เป็นท่านที่ช่วยเหลือข้ายามที่ม้าเหล่านั้นกำลังพยศ’ ‘อ๋อ! ในตอนนั้นข้าเพียงไม่อยากให้รถม้าของตระกูลนั้นต้องจ่ายค่าเสียหายมากมาย’ แท้จริงที่ช่วยก็เพียงมีใจอยากช่วยไม่ให้จวนท่านตาต้องชดเชยค่าเสียหายจำนวนมากก็เท่านั้น บุรุษผู้นี้ปากร้ายยิ่งนัก สตรีงดงามรู้สึกซาบซึ้งแทนที่จะรับคำขอบคุณไว้กลับบอกไปเช่นนั้นไม่รู้คนงามจะหน้าชาเพียงใด ‘อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณท่านที่ยื่นมือช่วยเหลือ มิเช่นนั้นข้าคงเจ็บหนัก’ ‘ที่เจ้ามาขวางทางข้าเพราะอยากเอ่ยวาจาเพียงเท่านี้ใช่หรือไม่’ ‘ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ ข้าอยากตอบแทนท่าน ข้าสามารถทำเช่นไรได้บ้างเจ้าคะ’ ก็ต้องพลีกายตบแต่งเป็นฮูหยินให้อย่างไรเล่า นี่เป็นการตอบแทนที่
เพราะอารามแห่งนี้ตั้งอยู่กลางป่าเขา จึงมีลมเย็นพัดโชยตลอดทำให้นางต้องกระชับเสื้อคลุมกันหนาวที่สวมไว้ก่อนจะรีบเดินกลับไปที่รถม้าหลังจากที่ได้เครื่องรางที่ต้องการแล้ว “ขากลับจวนจะแวะเดินเล่นในตลาดก่อนหรือไม่เจ้าคะ” “ไม่ล่ะ ข้าอยากรีบกลับไปนอนบนเตียงอุ่นของตนเอง” เพราะถูกคนอื่นเอ่ยวาจาเสียดสีเรื่องที่นางขี้ริ้วขี้เหร่กว่าพี่ชายที่เป็นบุรุษอยู่บ่อยครั้ง ยามอยู่ในจวนบิดามารดาและพี่ใหญ่จึงแทบประคองนางไว้กลางฝ่ามือ ทุกอย่างในเรือนของนางจึงเป็นของดี แม้แต่เตียงยังเป็นเตียงอุ่น เห็นหรือไม่ว่าตามใจนางมากเพียงใด หากวันหนึ่งเสียคนขึ้นมาก็อย่าได้แปลกใจ “เจ้าค่ะคุณหนู” ซูฉีรับคำก่อนจะประคองคุณหนูขึ้นรถม้า แล้วบอกกล่าวกับคนขับรถม้า ในระหว่างทางรถม้าที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้าจู่ ๆ ก็ชะลอลงเล็กน้อยคล้ายกับมีเหตุการณ์บางอย่างอยู่ข้างหน้า “มีอันใดหรือไม่” คุณหนูฟ่านส่งเสียงถามคนขับรถม้า “ข้างหน้าเหมือนจะมีรถม้าจอดเสียอยู่ขอรับ” “รถม้าของเราสามารถผ่านไปได้หรือไม่” “ได้ขอรับ แต่ต้องระวังสักเล็กน้อย”
1ฝันร้ายที่ไม่อยากให้เกิด พรึ่บ! สตรีผู้มีดวงหน้าอ่อนหวานผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาเมล็ดซิ่งกวาดมองไปรอบ ๆ ห้องพลางหอบเหนื่อยอย่างหนัก “นี่ข้าฝันร้ายอีกแล้วหรือ” มันเป็นแค่ฝันที่ไม่มีวันจะเกิดขึ้นจริงใช่หรือไม่ ยิ่งใกล้ปักปิ่นความฝันเหล่านั้นยิ่งชัดแจ้งขึ้นทุกที ความฝันที่ว่าพี่ชายเพียงคนเดียวของนางเป็นต้วนซิ่ว[1]ทั้งยังหลงรักสหายของตนอย่างหัวปักหัวปำ ยามที่สหายยังไม่มีคนรักก็แล้วไป แต่พออีกฝ่ายที่เป็นถึงซื่อจื่อ[2]ของจวนอ๋องตบแต่งพระชายาทั้งยังปักใจรักสตรีผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง พี่ใหญ่ที่คล้ายกับคนผิดหวังในความรักเกิดความคิดชั่วร้ายหวังกำจัดสตรีผู้นั้น แม้ชินอ๋องเป็นถึงอดีตแม่ทัพใหญ่ที่ตอนนี้พาพระชายาออกท่องเที่ยวไปแล้ว แต่ทว่าก็ยังมีเสือหมอบมังกรซ่อน[3]ถูกเก็บซ่อนไว้เพื่อปกป้องบุตรชาย ดังนั้นเมื่อพี่ใหญ่ของนางส่งคนไปทำร้ายพระชายาของชินอ๋องซื่อจื่ออยู่บ่อยครั้ง ความเป็นสหายก็ขาดสะบั้น สุดท้ายโทษหนักอย่างการปองร้ายเชื้อพระวงศ์ก็ตกใส่หัวตระกูลฟ่านของนาง โดนประหารยกตระกูล ส่วนนางที่ตบแต่งเข้าตระกูลซิว ก็ถูกแม่สามีส่งกลับจ