ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้น
เดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..
'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ
หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอันแสนเจ็บช้ำอยู่เรื่องหนึ่งจึงเข้าหน้ากันไม่ติดมาหลายแสนปีแล้ว..
'ขอรับ' เขาก้มโค้งคำนับเทียนจวินอย่างนอบน้อมเช่นเคยพลางยิ้มน้อยๆจนปรากฏรอยลักยิ้มข้างแก้ม
'ฟังมาว่าเจ้าเป็นถึงมือซ้ายของเยี่ยนเยี่ยนอีกทั้งยังได้ปกครองเมืองทิศประจิมอีก น่ายกย่องจริง นั่นอะไรหรือ' เขากล่าวชื่นชมจอมมารน้อยตรงหน้าแต่แท้จริงแล้วมีเจตนาแฝง เมืองทิศประจิมที่ว่าหวังเยี่ยนยกกรีธาทัพเข้ายึดด้วยเหตุผลที่ว่า'พอใจที่จะยึด พอใจที่จะได้' ครั้นจะยึดคืนเจ้าหวังเยี่ยนก็ค้านหัวชนฝาว่าเช่นนั้นก็ทำศึกใหญ่ให้รู้ดำรู้แดงกันไป หากชนะจะขอยึดเมืองถึงสองในห้าส่วนของสวรรค์ชั้นฟ้า เห็นแก่มิตรภาพกาลก่อนจึงยินยอมถือว่าทดแทนให้กับความผิดบาปที่เคยก่อไว้กับคนสำคัญของเขา
'เทียนจวินกล่าวเกินจริงไปแล้วขอรับ สาส์นจากท่านจอมมารหวังเยี่ยนจวินขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยส่งเทียบนั้นให้แก่เทียนจวินถึงมือ คิ้วโก่งดั่งคันศรขมวดเข้าหาจนผูกกันเป็นปมตั้งแต่อ่านบรรทัดแรกทั้งยังขบกรามแน่นข่มอารมณ์โกรธที่เริ่มประทุเดือด ทุกบรรทัดเหมือนตั้งใจยั่วโทสะเขาอย่างนั้นโดยเฉพาะลายมือยึกยือเป็นเอกลักษณ์นั่น...
'หวัง เยี่ยน จวิน!!!' เมื่ออ่านจบก็ทนข่มอารมณ์ตนเองไม่ไหวจนต้องขู่คำรามออกมาด้วยความโมโห ตามเนื้อความในเทียบนี้ เรียกได้ว่ามัดมือชก อยากได้น้องสาวเขาไปเป็นฟูเหริน[1]แต่กลับใช้ถ้อยคำข่มขู่เช่นนี้..
'ท่านจอมมารฝากข้ามาบอกว่า 'ข้าให้เวลาคิดไม่มาก ข้าใจร้อน' หลิงหลิวเหว่ยกล่าวเลียนแบบผู้เป็นนายให้ละม้ายคล้ายคลึงมากที่สุด
กระนั้นเฟิงหวังเหล่ยพินิจพิเคราะห์ถึงรายการสินสอดนับร้อยรายการนี้ หากตกลงก็ถือว่าคุ้มค่านัก ดินแดนที่ถูกยึดไปหวังเยี่ยนยินดีคืนให้ทั้งหมด อาวุธจำนวนมหาศาลหวังเยี่ยนก็ยินดีแบ่งให้กึ่งหนึ่งแต่เรื่องนี้จะตัดสินใจเองคนเดียวไม่ได้ แม้ว่าเขากับเฟิงจางจิ้งจะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ทว่า นับตั้งแต่จำความได้เฟิงจางจิ้งถูกส่งไปเรียนวิชาเซียนเนิ่นนาน ความผูกพันทางสายเลือดจึงเบาบางอยู่บ้าง พบกันครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เข้าไปฝึกในสำนักหลังจากนางรับการสืบทอดเทพบุปผาจากท่านแม่ นางก็หายตัวไปในหุบเขานั่นไม่ย่างกรายออกมาอีกเลย
'บอกเขาให้นำตัวเฟิงจางจิ้งมาส่งที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในเจ็ดวันให้หลังข้าจะให้คำตอบแล้วถ้าเขาไม่ยอมส่งตัวนางกลับมาก็ให้เขายกกรีธาทัพมาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้เลย!' เฟิงหวังเหล่ยประกาศกร้าว ทำเอาเหล่าเสนาเซียนฝั่งซ้ายและขวาต่างสะดุ้งไปตามๆกัน หากเป็นหวังเยี่ยนคนก่อนเก่าที่เขาเคยรู้จัก เขาอาจยอมยกน้องสาวให้ได้อย่างไร้ข้อกังขาแต่หากเป็นหวังเยี่ยนที่เป็นจักรพรรดิมาร ณ เพลานี้ เขาลังเลและเป็นห่วงเฟิงจางจิ้งมาก
จอมมารผู้กระหายเลือดและคลั่งอำนาจเช่นนั้นแตกต่างจากเฟิงจางจิ้งสตรีผู้เปรียบเสมือนดั่งหยกขาวบริสุทธิ์ ทั้งคู่เดินบนเส้นทางขนานกันถึงขนาดที่ว่าเป็นไปได้ยากที่จะบรรจบกัน
ใช่ เขาคิดเช่นนั้น...
'รับราชโองการ' หลิงหลิวเว่ยก้มโค้งศีรษะน้อมรับแล้วเดินทางกลับเมืองมารในทันที.....
เมื่อเห็นว่าเซียนหญิงคลายความระแวดระวังลง จอมมารจึงปลดปล่อยสตรีเซียนให้เป็นอิสระแต่ก็ยังคงจับตามตามองนางด้วยความสนใจ ด้วยกลัวว่านางจะเบื่อจึงนำกระดาษและพู่กันให้นางได้ใช้คลายเหงา ทันทีที่ปลายนิ้วบางแตะลงบนพู่กัน นางหยิบสิ่งนั้นอย่างคล่องแคล่ว
ปลายพู่กันตวัดไปมาอย่างมีฝีมือแม้ดวงตาไร้ซึ่งการมองเห็นแต่ฝีไม้ลายมือเห็นชัดว่าผ่านการฝึกฝนมานับไม่ถ้วน
จอมมารหนุ่มมองหญิงสาวร่างบางตวัดหวัดปลายพู่กันไปมาบนกระดาษที่เขาเตรียมไว้ให้..
'งาม' คำชมจากปากจักรพรรดิหนุ่มทำให้หญิงสาวตรงหน้าลอบยิ้มออกมา
'ขอบคุณ' ความสงบเยือกเย็นปกคลุม เขากลับรู้ว่าคนรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือภาพวาดมีชีวิตที่งดงามยิ่งกว่าลวดลายที่แต่งแต้มลงบนผืนกระดาษนั้นอีก
ภาพที่นางวาดออกมาคือรูปภาพของปลาสวรรค์เจ็ดตัว เขาจำได้เลือนรางว่าเมื่อครั้งยังร่ำเรียนอยู่สำนักเดียวกันกับเทียนจวิน เป็นเขาที่ชอบแอบไปจับปลาสวรรค์กิน ถูกลงโทษนับพันครั้งยังคุ้มนักกับการกินปลาสวรรค์นั่น
'ความสามารถของเจ้าได้แต่ใดมา'หวังเยี่ยนมองเซียนหญิงในชุดขาวไม่วางตา นางค่อยค่อยวางพู่กันเล่มนั้นลงอย่างเบามือ
'ข้าฝึกฝนวิถีเซียนมาตั้งแต่ยังน้อย ศิลปะแต่ละแขนง ล้วนเรียนรู้มาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง การวาดภาพถือเป็นการสงบจิตใจได้ดีอย่างหนึ่ง..' นางร่ายยาวออกมา เป็นครั้งแรกที่เซียนบุปผางามในชุดขาวท่านนี้เอ่ยปากพูดกับเขาเสียยาวเหยียด มองอย่างไรก็งดงาม จนน่าแกล้ง..
'เช่นนั้นหรือ หากเปลี่ยนจากหยดหมึกเป็นหยดเลือด ข้าถึงถือเป็นดังที่เจ้าว่าจริงๆ'จอมมารหนุ่มนั่งเท้าคางบนโต๊ะเล็กๆเบียดนางเล็กน้อย
ปึ้ง! เฟิงจางจิ้งทุบโต๊ะเสียงอย่างไม่พอใจ..
ตายจริง! นี่นางเสียมารยาทอีกแล้ว เทพเซียนชั้นสูงย่อมต้องสำรวมกิริยา สงบโทสะ ไม่วุ่นวาย คิดถี่ถ้วน ละเอียดรอบคอบ นางค่อยค่อยรวบรวมสมาธิตอบเขาอย่างใจเย็น
'ทำเช่นนั้นหาใช่วิถีเซียน ไม่ถูกต้อง!' นางดุเขาทั้งยังสำรวมกิริยาอยู่ หวังเยี่ยนจับจ้องเขาไปบนใบหน้านางหยั่งลึกกว่าเดิม
ใจจริงของเขาอยากจะปลดผ้าแพรสีขาวนั่นออกด้วยซ้ำ
'เหตุใดจึงต้องคาดผ้าแพรขาวอยู่ตลอด ดวงตาของเจ้าไม่ดีหรือ' มือหนึ่งจอมมารเสกชาแดนสวรรค์มาหนึ่งกา ‘ชาหวงเหมยกุ้ย’[2] เขาค่อยค่อยรินชาอย่างประณีตพิถีพิถันไม่ให้หยดแม้แต่หยดเดียว อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่เขาทำได้ดี คือรินชา ชวนนางสนทนาอย่างไรล่ะ
'มิใช่เช่นนั้น มีสองเหตุผลอาจจะน่าขบขันสักหน่อย' อืม เขาส่งเสียงในลำคอพลางส่งชาหนึ่งถ้วยไปให้นาง
เซียนหญิงรับชาถ้วยนั้นมามือคลำสัมผัสลวดลายถ้วยชา นางสัมผัสได้ว่าลายของถ้วยชาอาจเป็นลายวิหค
'บอกข้าได้หรือไม่ คนงาม'เขาเอ่ยเยินยอ จอมมารหนุ่มยังมองนางมิวางตา เขาจิ๊บชาไปสองสามอึกแล้วจึงเสกโลหิตของนักโทษจากทิศพายัพที่หลิงหลิวเหว่ยคัดมาให้เป็นพิเศษ ชาหอมหวานอย่างไรก็มิอาจสู่โลหิตไปมิได้
'อนึ่ง โฉมหน้าของข้าเป็นที่พึงใจของใครหลายคน ประการที่สอง ข้ากำลังฝึกวิชาเซียน' เหตุผลหลักย่อมมาจากประโยคหลัง ประโยคแรกก็แค่เอ่ยประชดเขาเท่านั้น วิชาเซียนที่นางกล่าวถึงคือการยอมรับและพอใจในสิ่งที่ตนมี หากวันหนึ่งขาดดวงตาไป นางย่อมยอมรับได้ จมูกของนางก็รับกลิ่นได้ดีมาก
ดั่งเช่นตอนนี้ นางได้กลิ่นคาวเลือดกระอักกระอ่วนอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก
'รูปโฉมของข้าก็งามไม่แพ้เจ้า เซียนชายหรือเซียนหญิงต่างนอบน้อมยอมพลีกายให้ข้าทั้งนั้น' จอมมารหนุ่มกล่าวโอ้อวดแล้วเสกขนมกินเล่นของโปรดตัวเองอย่างกะโหลกมนุษย์อบกรอบมากัดกร่วมๆ
คิดไว้แต่แรกว่าเขาต้องเอ่ยเยินยอตัวเอง ชายผู้นี้คาดเดาง่ายเกินไปแล้ว
'ข้าได้กลิ่นคาวเลือด' นางขยับตัวใช้จมูกตามหากลิ่นคาวเลือดแต่ไหนเลยจมูกของนางถึงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมปนกลิ่นคาวเลือดมาด้วย หรือว่า!?
'กลิ่นคาวเลือดที่เจ้าว่าอยู่ตรงแก้มข้าเช่นนั้นหรือ ฮ่าๆๆๆ ' จอมมารหนุ่มระเบิดหัวเราะออกมา ทำเอาเซียนหญิงหน้าแดงปลั่งราวกับลูกมะเขือเทศ เมื่อได้สติจึงรีบผละตัวออกทันทีทันใด
'นี่ท่าน!' นางชี้หน้าเขา สีหน้าโกรธจัดของคนตรงหน้า น่าสนใจเหลือเกิน เซียนหญิงในชุดขาว กิริยาเรียบร้อยผู้นี้เหมาะนักที่จะเเต่งเข้ามาเป็นจักรพรรดินีของแดนมาร
ยามนางโมโหก็ยังพอมีอารมณ์เฉกเช่นปัจเจกชนทั่วไปอยู่บ้าง ไร้เดียงสา แสดงออกอย่างซื่อตรงไม่แต่งแต้มตรงใจเขาเหลือเกิน
ในระหว่างที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกัน ที่สุดแล้วเซียนหญิงก็พอจะจับใจความได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้นับถือวิถีเซียนอย่างแน่นอน กิริยาโอ้อวดตนอย่างไม่สำเหนียกเจียมตนเช่นนี้ ไม่ใช่ลักษณะนิสัยเฉกเช่นเทพเซียน อีกทั้งกลิ่นอายของเขายังปะปนกับกลิ่นอายของความชั่วร้ายอยู่ครึ่งส่วน
เมื่อถึงยามซวี[3]จอมมารจึงมอบหน้าที่ให้ 'จื่อจิง' สาวรับใช้ที่ไว้ใจได้คอยติดตามสตรีเซียนและพานางเข้าสู่ห้องพัก
ครั้นเมื่อถึงยามห้าย[4]หลิงหลิวเหว่ยก็เดินทางกลับมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าพอดี
'ได้ความว่าอย่างไรบ้าง' จอมมารหนุ่มค่อยค่อยสางผมสีดำเงางามของตนเอง เขารักในเส้นผม รักในใบหน้าและความงามเกินจะบรรยายของตน
ยามอยู่กับหลิงหลิวเหว่ยเขาไม่จำเป็นต้องระวังตัวหรือกลัวอันใดเลย เขาชื่นชอบในความจริงใจซื่อสัตย์และซื่อตรงของหลิงหลิวเหว่ย หนึ่งในไม่กี่คนที่เขาไว้ใจ
'เทียนจวิน มีประสงค์ให้ท่านส่งแม่นางเฟิงจางจิ้งสู่แดนสวรรค์เสียก่อนแล้วหลังจากนั้นเจ็ดวันเขาจะให้คำตอบแต่หากเราไม่ส่งตัวนางคืนเขายินดีจะทำศึกขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำแจ่มแจ้งทุกประการตามที่เทียนจวินสั่งมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เดิมทีเขาคิดว่าจอมมารหนุ่มจะแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดหรือโมโหอยู่หลายส่วน ทว่า กลับกลายเป็นว่าท่านจอมมารยิ้มกริ่ม มีความสุข ไม่โมโหโกรธาแม้แต่น้อย
'เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปส่งนางเถิดคุ้มครองนางให้ถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เสร็จการนั้นแล้วเจ้าก็กลับมาช่วยเตรียมสินสอดให้ข้า' ภาพมโนในหัวจอมมารหนุ่มคิดไกลไปถึงวันแต่งงานฉายในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยยิ้มราวกับคนวิปลาสค้างงันอยู่อย่างนั้นถึงแม้ในมือยังขยับสางผมตนเองอยู่ก็ตาม
หลิงหลิวเหว่ยได้แต่ส่ายหัวไปมากับความตกอยู่ในห้วงฝันอันเพริศแพร้ว หากนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นก็คงน่าตกใจอยู่ดอก อาการมโนเก่งของจอมมารท่านนี้คงเกินจะเยียวยาแล้วกระมัง..
[1] ฟูเหริน หมายถึง ภรรยา
[2] ชาหวงเหมยกุ้ย คือ ชาจีน อบไฟต่ำ เหยียนฉาจากต้นชาสายพันธุ์ใหม่ เป็นลูกผสมของต้นชาสายพันธุ์หวงกวนยินและหวงเหยียน มีความหมายว่ากุหลาบอำพัน ใบชาและน้ำชาให้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบ น้ำชามีสีเหลืองอมเขียว ใช้การอบไฟต่ำเพื่อดึงให้กลิ่นหอมกุหลาบของใบชามีความโดดเด่นชัดเจน เมื่อดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกราวกับอยู่ในทุ่งดอกไม้ มีรสหวานติดปลายลิ้น ฉาชี่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัว
[3] ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19.00 – 20.59 น.
[4] ยามห้าย
คือช่วงเวลา 21.00 – 22.59 นหลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ' 'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแ
ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค
จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น 'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย'กังวลใจอย่างไร' 'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ''อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน''อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอ
เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ
หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ
ในโลกนี้ล้วนมีขาว ล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์ชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจและเป็นที่น่าเบื่อแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมากแม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมามากก็เถอะ ท้องฟ้าผันแปร สรรพสิ่งแปรผัน คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...'หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ข้าเหงา อยากหาอะไรสนุกๆทำเสียหน่อย' จอมมารหนุ่มอายุราวๆสามล้านกว่าปีหาววอดๆโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นซ่างเซียนขั้นแรกและแน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไปๆมาๆหลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น จอมมารอย่างเขาสิ่งไหนที่เขาปรารถนา เขาย่อมต้องได้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง 'เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย[1]ของเทียนจวิน[2]เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชี