แชร์

บทที่ 2 สู่ขอ

ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้น

เดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..

'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ 

หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอันแสนเจ็บช้ำอยู่เรื่องหนึ่งจึงเข้าหน้ากันไม่ติดมาหลายแสนปีแล้ว..

'ขอรับ' เขาก้มโค้งคำนับเทียนจวินอย่างนอบน้อมเช่นเคยพลางยิ้มน้อยๆจนปรากฏรอยลักยิ้มข้างแก้ม

'ฟังมาว่าเจ้าเป็นถึงมือซ้ายของเยี่ยนเยี่ยนอีกทั้งยังได้ปกครองเมืองทิศประจิมอีก น่ายกย่องจริง นั่นอะไรหรือ' เขากล่าวชื่นชมจอมมารน้อยตรงหน้าแต่แท้จริงแล้วมีเจตนาแฝง เมืองทิศประจิมที่ว่าหวังเยี่ยนยกกรีธาทัพเข้ายึดด้วยเหตุผลที่ว่า'พอใจที่จะยึด พอใจที่จะได้' ครั้นจะยึดคืนเจ้าหวังเยี่ยนก็ค้านหัวชนฝาว่าเช่นนั้นก็ทำศึกใหญ่ให้รู้ดำรู้แดงกันไป หากชนะจะขอยึดเมืองถึงสองในห้าส่วนของสวรรค์ชั้นฟ้า เห็นแก่มิตรภาพกาลก่อนจึงยินยอมถือว่าทดแทนให้กับความผิดบาปที่เคยก่อไว้กับคนสำคัญของเขา

'เทียนจวินกล่าวเกินจริงไปแล้วขอรับ สาส์นจากท่านจอมมารหวังเยี่ยนจวินขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยส่งเทียบนั้นให้แก่เทียนจวินถึงมือ คิ้วโก่งดั่งคันศรขมวดเข้าหาจนผูกกันเป็นปมตั้งแต่อ่านบรรทัดแรกทั้งยังขบกรามแน่นข่มอารมณ์โกรธที่เริ่มประทุเดือด ทุกบรรทัดเหมือนตั้งใจยั่วโทสะเขาอย่างนั้นโดยเฉพาะลายมือยึกยือเป็นเอกลักษณ์นั่น...

'หวัง เยี่ยน จวิน!!!' เมื่ออ่านจบก็ทนข่มอารมณ์ตนเองไม่ไหวจนต้องขู่คำรามออกมาด้วยความโมโห ตามเนื้อความในเทียบนี้ เรียกได้ว่ามัดมือชก อยากได้น้องสาวเขาไปเป็นฟูเหริน[1]แต่กลับใช้ถ้อยคำข่มขู่เช่นนี้..

'ท่านจอมมารฝากข้ามาบอกว่า 'ข้าให้เวลาคิดไม่มาก ข้าใจร้อน' หลิงหลิวเหว่ยกล่าวเลียนแบบผู้เป็นนายให้ละม้ายคล้ายคลึงมากที่สุด

กระนั้นเฟิงหวังเหล่ยพินิจพิเคราะห์ถึงรายการสินสอดนับร้อยรายการนี้ หากตกลงก็ถือว่าคุ้มค่านัก ดินแดนที่ถูกยึดไปหวังเยี่ยนยินดีคืนให้ทั้งหมด อาวุธจำนวนมหาศาลหวังเยี่ยนก็ยินดีแบ่งให้กึ่งหนึ่งแต่เรื่องนี้จะตัดสินใจเองคนเดียวไม่ได้ แม้ว่าเขากับเฟิงจางจิ้งจะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ทว่า นับตั้งแต่จำความได้เฟิงจางจิ้งถูกส่งไปเรียนวิชาเซียนเนิ่นนาน ความผูกพันทางสายเลือดจึงเบาบางอยู่บ้าง พบกันครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เข้าไปฝึกในสำนักหลังจากนางรับการสืบทอดเทพบุปผาจากท่านแม่ นางก็หายตัวไปในหุบเขานั่นไม่ย่างกรายออกมาอีกเลย 

'บอกเขาให้นำตัวเฟิงจางจิ้งมาส่งที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในเจ็ดวันให้หลังข้าจะให้คำตอบแล้วถ้าเขาไม่ยอมส่งตัวนางกลับมาก็ให้เขายกกรีธาทัพมาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้เลย!' เฟิงหวังเหล่ยประกาศกร้าว ทำเอาเหล่าเสนาเซียนฝั่งซ้ายและขวาต่างสะดุ้งไปตามๆกัน หากเป็นหวังเยี่ยนคนก่อนเก่าที่เขาเคยรู้จัก เขาอาจยอมยกน้องสาวให้ได้อย่างไร้ข้อกังขาแต่หากเป็นหวังเยี่ยนที่เป็นจักรพรรดิมาร ณ เพลานี้ เขาลังเลและเป็นห่วงเฟิงจางจิ้งมาก 

จอมมารผู้กระหายเลือดและคลั่งอำนาจเช่นนั้นแตกต่างจากเฟิงจางจิ้งสตรีผู้เปรียบเสมือนดั่งหยกขาวบริสุทธิ์ ทั้งคู่เดินบนเส้นทางขนานกันถึงขนาดที่ว่าเป็นไปได้ยากที่จะบรรจบกัน

 ใช่ เขาคิดเช่นนั้น...

'รับราชโองการ' หลิงหลิวเว่ยก้มโค้งศีรษะน้อมรับแล้วเดินทางกลับเมืองมารในทันที.....

เมื่อเห็นว่าเซียนหญิงคลายความระแวดระวังลง จอมมารจึงปลดปล่อยสตรีเซียนให้เป็นอิสระแต่ก็ยังคงจับตามตามองนางด้วยความสนใจ ด้วยกลัวว่านางจะเบื่อจึงนำกระดาษและพู่กันให้นางได้ใช้คลายเหงา ทันทีที่ปลายนิ้วบางแตะลงบนพู่กัน นางหยิบสิ่งนั้นอย่างคล่องแคล่ว

ปลายพู่กันตวัดไปมาอย่างมีฝีมือแม้ดวงตาไร้ซึ่งการมองเห็นแต่ฝีไม้ลายมือเห็นชัดว่าผ่านการฝึกฝนมานับไม่ถ้วน

 จอมมารหนุ่มมองหญิงสาวร่างบางตวัดหวัดปลายพู่กันไปมาบนกระดาษที่เขาเตรียมไว้ให้..

'งาม' คำชมจากปากจักรพรรดิหนุ่มทำให้หญิงสาวตรงหน้าลอบยิ้มออกมา

'ขอบคุณ' ความสงบเยือกเย็นปกคลุม เขากลับรู้ว่าคนรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือภาพวาดมีชีวิตที่งดงามยิ่งกว่าลวดลายที่แต่งแต้มลงบนผืนกระดาษนั้นอีก

ภาพที่นางวาดออกมาคือรูปภาพของปลาสวรรค์เจ็ดตัว เขาจำได้เลือนรางว่าเมื่อครั้งยังร่ำเรียนอยู่สำนักเดียวกันกับเทียนจวิน เป็นเขาที่ชอบแอบไปจับปลาสวรรค์กิน ถูกลงโทษนับพันครั้งยังคุ้มนักกับการกินปลาสวรรค์นั่น

'ความสามารถของเจ้าได้แต่ใดมา'หวังเยี่ยนมองเซียนหญิงในชุดขาวไม่วางตา นางค่อยค่อยวางพู่กันเล่มนั้นลงอย่างเบามือ

'ข้าฝึกฝนวิถีเซียนมาตั้งแต่ยังน้อย ศิลปะแต่ละแขนง ล้วนเรียนรู้มาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง การวาดภาพถือเป็นการสงบจิตใจได้ดีอย่างหนึ่ง..' นางร่ายยาวออกมา เป็นครั้งแรกที่เซียนบุปผางามในชุดขาวท่านนี้เอ่ยปากพูดกับเขาเสียยาวเหยียด มองอย่างไรก็งดงาม จนน่าแกล้ง..

'เช่นนั้นหรือ หากเปลี่ยนจากหยดหมึกเป็นหยดเลือด ข้าถึงถือเป็นดังที่เจ้าว่าจริงๆ'จอมมารหนุ่มนั่งเท้าคางบนโต๊ะเล็กๆเบียดนางเล็กน้อย

ปึ้ง! เฟิงจางจิ้งทุบโต๊ะเสียงอย่างไม่พอใจ.. 

ตายจริง! นี่นางเสียมารยาทอีกแล้ว เทพเซียนชั้นสูงย่อมต้องสำรวมกิริยา สงบโทสะ ไม่วุ่นวาย คิดถี่ถ้วน ละเอียดรอบคอบ นางค่อยค่อยรวบรวมสมาธิตอบเขาอย่างใจเย็น

'ทำเช่นนั้นหาใช่วิถีเซียน ไม่ถูกต้อง!' นางดุเขาทั้งยังสำรวมกิริยาอยู่ หวังเยี่ยนจับจ้องเขาไปบนใบหน้านางหยั่งลึกกว่าเดิม

ใจจริงของเขาอยากจะปลดผ้าแพรสีขาวนั่นออกด้วยซ้ำ

'เหตุใดจึงต้องคาดผ้าแพรขาวอยู่ตลอด ดวงตาของเจ้าไม่ดีหรือ' มือหนึ่งจอมมารเสกชาแดนสวรรค์มาหนึ่งกา ‘ชาหวงเหมยกุ้ย’[2] เขาค่อยค่อยรินชาอย่างประณีตพิถีพิถันไม่ให้หยดแม้แต่หยดเดียว อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่เขาทำได้ดี คือรินชา ชวนนางสนทนาอย่างไรล่ะ

'มิใช่เช่นนั้น มีสองเหตุผลอาจจะน่าขบขันสักหน่อย' อืม เขาส่งเสียงในลำคอพลางส่งชาหนึ่งถ้วยไปให้นาง

 เซียนหญิงรับชาถ้วยนั้นมามือคลำสัมผัสลวดลายถ้วยชา นางสัมผัสได้ว่าลายของถ้วยชาอาจเป็นลายวิหค

'บอกข้าได้หรือไม่ คนงาม'เขาเอ่ยเยินยอ จอมมารหนุ่มยังมองนางมิวางตา เขาจิ๊บชาไปสองสามอึกแล้วจึงเสกโลหิตของนักโทษจากทิศพายัพที่หลิงหลิวเหว่ยคัดมาให้เป็นพิเศษ ชาหอมหวานอย่างไรก็มิอาจสู่โลหิตไปมิได้

'อนึ่ง โฉมหน้าของข้าเป็นที่พึงใจของใครหลายคน ประการที่สอง ข้ากำลังฝึกวิชาเซียน' เหตุผลหลักย่อมมาจากประโยคหลัง ประโยคแรกก็แค่เอ่ยประชดเขาเท่านั้น วิชาเซียนที่นางกล่าวถึงคือการยอมรับและพอใจในสิ่งที่ตนมี หากวันหนึ่งขาดดวงตาไป นางย่อมยอมรับได้ จมูกของนางก็รับกลิ่นได้ดีมาก

ดั่งเช่นตอนนี้ นางได้กลิ่นคาวเลือดกระอักกระอ่วนอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก

'รูปโฉมของข้าก็งามไม่แพ้เจ้า เซียนชายหรือเซียนหญิงต่างนอบน้อมยอมพลีกายให้ข้าทั้งนั้น' จอมมารหนุ่มกล่าวโอ้อวดแล้วเสกขนมกินเล่นของโปรดตัวเองอย่างกะโหลกมนุษย์อบกรอบมากัดกร่วมๆ

คิดไว้แต่แรกว่าเขาต้องเอ่ยเยินยอตัวเอง ชายผู้นี้คาดเดาง่ายเกินไปแล้ว

'ข้าได้กลิ่นคาวเลือด' นางขยับตัวใช้จมูกตามหากลิ่นคาวเลือดแต่ไหนเลยจมูกของนางถึงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมปนกลิ่นคาวเลือดมาด้วย หรือว่า!?

'กลิ่นคาวเลือดที่เจ้าว่าอยู่ตรงแก้มข้าเช่นนั้นหรือ ฮ่าๆๆๆ ' จอมมารหนุ่มระเบิดหัวเราะออกมา ทำเอาเซียนหญิงหน้าแดงปลั่งราวกับลูกมะเขือเทศ เมื่อได้สติจึงรีบผละตัวออกทันทีทันใด

'นี่ท่าน!' นางชี้หน้าเขา สีหน้าโกรธจัดของคนตรงหน้า น่าสนใจเหลือเกิน เซียนหญิงในชุดขาว กิริยาเรียบร้อยผู้นี้เหมาะนักที่จะเเต่งเข้ามาเป็นจักรพรรดินีของแดนมาร

ยามนางโมโหก็ยังพอมีอารมณ์เฉกเช่นปัจเจกชนทั่วไปอยู่บ้าง ไร้เดียงสา แสดงออกอย่างซื่อตรงไม่แต่งแต้มตรงใจเขาเหลือเกิน

ในระหว่างที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกัน ที่สุดแล้วเซียนหญิงก็พอจะจับใจความได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้นับถือวิถีเซียนอย่างแน่นอน กิริยาโอ้อวดตนอย่างไม่สำเหนียกเจียมตนเช่นนี้ ไม่ใช่ลักษณะนิสัยเฉกเช่นเทพเซียน อีกทั้งกลิ่นอายของเขายังปะปนกับกลิ่นอายของความชั่วร้ายอยู่ครึ่งส่วน

เมื่อถึงยามซวี[3]จอมมารจึงมอบหน้าที่ให้ 'จื่อจิง' สาวรับใช้ที่ไว้ใจได้คอยติดตามสตรีเซียนและพานางเข้าสู่ห้องพัก 

ครั้นเมื่อถึงยามห้าย[4]หลิงหลิวเหว่ยก็เดินทางกลับมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าพอดี

'ได้ความว่าอย่างไรบ้าง' จอมมารหนุ่มค่อยค่อยสางผมสีดำเงางามของตนเอง เขารักในเส้นผม รักในใบหน้าและความงามเกินจะบรรยายของตน

 ยามอยู่กับหลิงหลิวเหว่ยเขาไม่จำเป็นต้องระวังตัวหรือกลัวอันใดเลย เขาชื่นชอบในความจริงใจซื่อสัตย์และซื่อตรงของหลิงหลิวเหว่ย หนึ่งในไม่กี่คนที่เขาไว้ใจ

'เทียนจวิน มีประสงค์ให้ท่านส่งแม่นางเฟิงจางจิ้งสู่แดนสวรรค์เสียก่อนแล้วหลังจากนั้นเจ็ดวันเขาจะให้คำตอบแต่หากเราไม่ส่งตัวนางคืนเขายินดีจะทำศึกขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำแจ่มแจ้งทุกประการตามที่เทียนจวินสั่งมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

เดิมทีเขาคิดว่าจอมมารหนุ่มจะแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดหรือโมโหอยู่หลายส่วน ทว่า กลับกลายเป็นว่าท่านจอมมารยิ้มกริ่ม มีความสุข ไม่โมโหโกรธาแม้แต่น้อย

'เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปส่งนางเถิดคุ้มครองนางให้ถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เสร็จการนั้นแล้วเจ้าก็กลับมาช่วยเตรียมสินสอดให้ข้า' ภาพมโนในหัวจอมมารหนุ่มคิดไกลไปถึงวันแต่งงานฉายในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยยิ้มราวกับคนวิปลาสค้างงันอยู่อย่างนั้นถึงแม้ในมือยังขยับสางผมตนเองอยู่ก็ตาม 

หลิงหลิวเหว่ยได้แต่ส่ายหัวไปมากับความตกอยู่ในห้วงฝันอันเพริศแพร้ว หากนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นก็คงน่าตกใจอยู่ดอก อาการมโนเก่งของจอมมารท่านนี้คงเกินจะเยียวยาแล้วกระมัง.. 

[1] ฟูเหริน หมายถึง ภรรยา

[2] ชาหวงเหมยกุ้ย คือ  ชาจีน อบไฟต่ำ  เหยียนฉาจากต้นชาสายพันธุ์ใหม่ เป็นลูกผสมของต้นชาสายพันธุ์หวงกวนยินและหวงเหยียน มีความหมายว่ากุหลาบอำพัน ใบชาและน้ำชาให้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบ น้ำชามีสีเหลืองอมเขียว ใช้การอบไฟต่ำเพื่อดึงให้กลิ่นหอมกุหลาบของใบชามีความโดดเด่นชัดเจน เมื่อดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกราวกับอยู่ในทุ่งดอกไม้ มีรสหวานติดปลายลิ้น ฉาชี่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัว

[3] ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19.00 – 20.59 น.

[4] ยามห้าย

คือช่วงเวลา  21.00 – 22.59 น

 

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status