ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้น
เดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..
'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ
หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอันแสนเจ็บช้ำอยู่เรื่องหนึ่งจึงเข้าหน้ากันไม่ติดมาหลายแสนปีแล้ว..
'ขอรับ' เขาก้มโค้งคำนับเทียนจวินอย่างนอบน้อมเช่นเคยพลางยิ้มน้อยๆจนปรากฏรอยลักยิ้มข้างแก้ม
'ฟังมาว่าเจ้าเป็นถึงมือซ้ายของเยี่ยนเยี่ยนอีกทั้งยังได้ปกครองเมืองทิศประจิมอีก น่ายกย่องจริง นั่นอะไรหรือ' เขากล่าวชื่นชมจอมมารน้อยตรงหน้าแต่แท้จริงแล้วมีเจตนาแฝง เมืองทิศประจิมที่ว่าหวังเยี่ยนยกกรีธาทัพเข้ายึดด้วยเหตุผลที่ว่า'พอใจที่จะยึด พอใจที่จะได้' ครั้นจะยึดคืนเจ้าหวังเยี่ยนก็ค้านหัวชนฝาว่าเช่นนั้นก็ทำศึกใหญ่ให้รู้ดำรู้แดงกันไป หากชนะจะขอยึดเมืองถึงสองในห้าส่วนของสวรรค์ชั้นฟ้า เห็นแก่มิตรภาพกาลก่อนจึงยินยอมถือว่าทดแทนให้กับความผิดบาปที่เคยก่อไว้กับคนสำคัญของเขา
'เทียนจวินกล่าวเกินจริงไปแล้วขอรับ สาส์นจากท่านจอมมารหวังเยี่ยนจวินขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยส่งเทียบนั้นให้แก่เทียนจวินถึงมือ คิ้วโก่งดั่งคันศรขมวดเข้าหาจนผูกกันเป็นปมตั้งแต่อ่านบรรทัดแรกทั้งยังขบกรามแน่นข่มอารมณ์โกรธที่เริ่มประทุเดือด ทุกบรรทัดเหมือนตั้งใจยั่วโทสะเขาอย่างนั้นโดยเฉพาะลายมือยึกยือเป็นเอกลักษณ์นั่น...
'หวัง เยี่ยน จวิน!!!' เมื่ออ่านจบก็ทนข่มอารมณ์ตนเองไม่ไหวจนต้องขู่คำรามออกมาด้วยความโมโห ตามเนื้อความในเทียบนี้ เรียกได้ว่ามัดมือชก อยากได้น้องสาวเขาไปเป็นฟูเหริน[1]แต่กลับใช้ถ้อยคำข่มขู่เช่นนี้..
'ท่านจอมมารฝากข้ามาบอกว่า 'ข้าให้เวลาคิดไม่มาก ข้าใจร้อน' หลิงหลิวเหว่ยกล่าวเลียนแบบผู้เป็นนายให้ละม้ายคล้ายคลึงมากที่สุด
กระนั้นเฟิงหวังเหล่ยพินิจพิเคราะห์ถึงรายการสินสอดนับร้อยรายการนี้ หากตกลงก็ถือว่าคุ้มค่านัก ดินแดนที่ถูกยึดไปหวังเยี่ยนยินดีคืนให้ทั้งหมด อาวุธจำนวนมหาศาลหวังเยี่ยนก็ยินดีแบ่งให้กึ่งหนึ่งแต่เรื่องนี้จะตัดสินใจเองคนเดียวไม่ได้ แม้ว่าเขากับเฟิงจางจิ้งจะเป็นพี่น้องคลานตามกันมา ทว่า นับตั้งแต่จำความได้เฟิงจางจิ้งถูกส่งไปเรียนวิชาเซียนเนิ่นนาน ความผูกพันทางสายเลือดจึงเบาบางอยู่บ้าง พบกันครั้งสุดท้ายก็ตอนที่เข้าไปฝึกในสำนักหลังจากนางรับการสืบทอดเทพบุปผาจากท่านแม่ นางก็หายตัวไปในหุบเขานั่นไม่ย่างกรายออกมาอีกเลย
'บอกเขาให้นำตัวเฟิงจางจิ้งมาส่งที่สวรรค์เก้าชั้นฟ้า ภายในเจ็ดวันให้หลังข้าจะให้คำตอบแล้วถ้าเขาไม่ยอมส่งตัวนางกลับมาก็ให้เขายกกรีธาทัพมาสวรรค์เก้าชั้นฟ้าได้เลย!' เฟิงหวังเหล่ยประกาศกร้าว ทำเอาเหล่าเสนาเซียนฝั่งซ้ายและขวาต่างสะดุ้งไปตามๆกัน หากเป็นหวังเยี่ยนคนก่อนเก่าที่เขาเคยรู้จัก เขาอาจยอมยกน้องสาวให้ได้อย่างไร้ข้อกังขาแต่หากเป็นหวังเยี่ยนที่เป็นจักรพรรดิมาร ณ เพลานี้ เขาลังเลและเป็นห่วงเฟิงจางจิ้งมาก
จอมมารผู้กระหายเลือดและคลั่งอำนาจเช่นนั้นแตกต่างจากเฟิงจางจิ้งสตรีผู้เปรียบเสมือนดั่งหยกขาวบริสุทธิ์ ทั้งคู่เดินบนเส้นทางขนานกันถึงขนาดที่ว่าเป็นไปได้ยากที่จะบรรจบกัน
ใช่ เขาคิดเช่นนั้น...
'รับราชโองการ' หลิงหลิวเว่ยก้มโค้งศีรษะน้อมรับแล้วเดินทางกลับเมืองมารในทันที.....
เมื่อเห็นว่าเซียนหญิงคลายความระแวดระวังลง จอมมารจึงปลดปล่อยสตรีเซียนให้เป็นอิสระแต่ก็ยังคงจับตามตามองนางด้วยความสนใจ ด้วยกลัวว่านางจะเบื่อจึงนำกระดาษและพู่กันให้นางได้ใช้คลายเหงา ทันทีที่ปลายนิ้วบางแตะลงบนพู่กัน นางหยิบสิ่งนั้นอย่างคล่องแคล่ว
ปลายพู่กันตวัดไปมาอย่างมีฝีมือแม้ดวงตาไร้ซึ่งการมองเห็นแต่ฝีไม้ลายมือเห็นชัดว่าผ่านการฝึกฝนมานับไม่ถ้วน
จอมมารหนุ่มมองหญิงสาวร่างบางตวัดหวัดปลายพู่กันไปมาบนกระดาษที่เขาเตรียมไว้ให้..
'งาม' คำชมจากปากจักรพรรดิหนุ่มทำให้หญิงสาวตรงหน้าลอบยิ้มออกมา
'ขอบคุณ' ความสงบเยือกเย็นปกคลุม เขากลับรู้ว่าคนรู้สึกว่าคนตรงหน้าคือภาพวาดมีชีวิตที่งดงามยิ่งกว่าลวดลายที่แต่งแต้มลงบนผืนกระดาษนั้นอีก
ภาพที่นางวาดออกมาคือรูปภาพของปลาสวรรค์เจ็ดตัว เขาจำได้เลือนรางว่าเมื่อครั้งยังร่ำเรียนอยู่สำนักเดียวกันกับเทียนจวิน เป็นเขาที่ชอบแอบไปจับปลาสวรรค์กิน ถูกลงโทษนับพันครั้งยังคุ้มนักกับการกินปลาสวรรค์นั่น
'ความสามารถของเจ้าได้แต่ใดมา'หวังเยี่ยนมองเซียนหญิงในชุดขาวไม่วางตา นางค่อยค่อยวางพู่กันเล่มนั้นลงอย่างเบามือ
'ข้าฝึกฝนวิถีเซียนมาตั้งแต่ยังน้อย ศิลปะแต่ละแขนง ล้วนเรียนรู้มาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง การวาดภาพถือเป็นการสงบจิตใจได้ดีอย่างหนึ่ง..' นางร่ายยาวออกมา เป็นครั้งแรกที่เซียนบุปผางามในชุดขาวท่านนี้เอ่ยปากพูดกับเขาเสียยาวเหยียด มองอย่างไรก็งดงาม จนน่าแกล้ง..
'เช่นนั้นหรือ หากเปลี่ยนจากหยดหมึกเป็นหยดเลือด ข้าถึงถือเป็นดังที่เจ้าว่าจริงๆ'จอมมารหนุ่มนั่งเท้าคางบนโต๊ะเล็กๆเบียดนางเล็กน้อย
ปึ้ง! เฟิงจางจิ้งทุบโต๊ะเสียงอย่างไม่พอใจ..
ตายจริง! นี่นางเสียมารยาทอีกแล้ว เทพเซียนชั้นสูงย่อมต้องสำรวมกิริยา สงบโทสะ ไม่วุ่นวาย คิดถี่ถ้วน ละเอียดรอบคอบ นางค่อยค่อยรวบรวมสมาธิตอบเขาอย่างใจเย็น
'ทำเช่นนั้นหาใช่วิถีเซียน ไม่ถูกต้อง!' นางดุเขาทั้งยังสำรวมกิริยาอยู่ หวังเยี่ยนจับจ้องเขาไปบนใบหน้านางหยั่งลึกกว่าเดิม
ใจจริงของเขาอยากจะปลดผ้าแพรสีขาวนั่นออกด้วยซ้ำ
'เหตุใดจึงต้องคาดผ้าแพรขาวอยู่ตลอด ดวงตาของเจ้าไม่ดีหรือ' มือหนึ่งจอมมารเสกชาแดนสวรรค์มาหนึ่งกา ‘ชาหวงเหมยกุ้ย’[2] เขาค่อยค่อยรินชาอย่างประณีตพิถีพิถันไม่ให้หยดแม้แต่หยดเดียว อย่างน้อยมีเรื่องหนึ่งที่เขาทำได้ดี คือรินชา ชวนนางสนทนาอย่างไรล่ะ
'มิใช่เช่นนั้น มีสองเหตุผลอาจจะน่าขบขันสักหน่อย' อืม เขาส่งเสียงในลำคอพลางส่งชาหนึ่งถ้วยไปให้นาง
เซียนหญิงรับชาถ้วยนั้นมามือคลำสัมผัสลวดลายถ้วยชา นางสัมผัสได้ว่าลายของถ้วยชาอาจเป็นลายวิหค
'บอกข้าได้หรือไม่ คนงาม'เขาเอ่ยเยินยอ จอมมารหนุ่มยังมองนางมิวางตา เขาจิ๊บชาไปสองสามอึกแล้วจึงเสกโลหิตของนักโทษจากทิศพายัพที่หลิงหลิวเหว่ยคัดมาให้เป็นพิเศษ ชาหอมหวานอย่างไรก็มิอาจสู่โลหิตไปมิได้
'อนึ่ง โฉมหน้าของข้าเป็นที่พึงใจของใครหลายคน ประการที่สอง ข้ากำลังฝึกวิชาเซียน' เหตุผลหลักย่อมมาจากประโยคหลัง ประโยคแรกก็แค่เอ่ยประชดเขาเท่านั้น วิชาเซียนที่นางกล่าวถึงคือการยอมรับและพอใจในสิ่งที่ตนมี หากวันหนึ่งขาดดวงตาไป นางย่อมยอมรับได้ จมูกของนางก็รับกลิ่นได้ดีมาก
ดั่งเช่นตอนนี้ นางได้กลิ่นคาวเลือดกระอักกระอ่วนอยู่ใกล้เพียงปลายจมูก
'รูปโฉมของข้าก็งามไม่แพ้เจ้า เซียนชายหรือเซียนหญิงต่างนอบน้อมยอมพลีกายให้ข้าทั้งนั้น' จอมมารหนุ่มกล่าวโอ้อวดแล้วเสกขนมกินเล่นของโปรดตัวเองอย่างกะโหลกมนุษย์อบกรอบมากัดกร่วมๆ
คิดไว้แต่แรกว่าเขาต้องเอ่ยเยินยอตัวเอง ชายผู้นี้คาดเดาง่ายเกินไปแล้ว
'ข้าได้กลิ่นคาวเลือด' นางขยับตัวใช้จมูกตามหากลิ่นคาวเลือดแต่ไหนเลยจมูกของนางถึงสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่ม อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมปนกลิ่นคาวเลือดมาด้วย หรือว่า!?
'กลิ่นคาวเลือดที่เจ้าว่าอยู่ตรงแก้มข้าเช่นนั้นหรือ ฮ่าๆๆๆ ' จอมมารหนุ่มระเบิดหัวเราะออกมา ทำเอาเซียนหญิงหน้าแดงปลั่งราวกับลูกมะเขือเทศ เมื่อได้สติจึงรีบผละตัวออกทันทีทันใด
'นี่ท่าน!' นางชี้หน้าเขา สีหน้าโกรธจัดของคนตรงหน้า น่าสนใจเหลือเกิน เซียนหญิงในชุดขาว กิริยาเรียบร้อยผู้นี้เหมาะนักที่จะเเต่งเข้ามาเป็นจักรพรรดินีของแดนมาร
ยามนางโมโหก็ยังพอมีอารมณ์เฉกเช่นปัจเจกชนทั่วไปอยู่บ้าง ไร้เดียงสา แสดงออกอย่างซื่อตรงไม่แต่งแต้มตรงใจเขาเหลือเกิน
ในระหว่างที่กำลังพูดคุยหยอกล้อกัน ที่สุดแล้วเซียนหญิงก็พอจะจับใจความได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้นับถือวิถีเซียนอย่างแน่นอน กิริยาโอ้อวดตนอย่างไม่สำเหนียกเจียมตนเช่นนี้ ไม่ใช่ลักษณะนิสัยเฉกเช่นเทพเซียน อีกทั้งกลิ่นอายของเขายังปะปนกับกลิ่นอายของความชั่วร้ายอยู่ครึ่งส่วน
เมื่อถึงยามซวี[3]จอมมารจึงมอบหน้าที่ให้ 'จื่อจิง' สาวรับใช้ที่ไว้ใจได้คอยติดตามสตรีเซียนและพานางเข้าสู่ห้องพัก
ครั้นเมื่อถึงยามห้าย[4]หลิงหลิวเหว่ยก็เดินทางกลับมาจากสวรรค์ชั้นฟ้าพอดี
'ได้ความว่าอย่างไรบ้าง' จอมมารหนุ่มค่อยค่อยสางผมสีดำเงางามของตนเอง เขารักในเส้นผม รักในใบหน้าและความงามเกินจะบรรยายของตน
ยามอยู่กับหลิงหลิวเหว่ยเขาไม่จำเป็นต้องระวังตัวหรือกลัวอันใดเลย เขาชื่นชอบในความจริงใจซื่อสัตย์และซื่อตรงของหลิงหลิวเหว่ย หนึ่งในไม่กี่คนที่เขาไว้ใจ
'เทียนจวิน มีประสงค์ให้ท่านส่งแม่นางเฟิงจางจิ้งสู่แดนสวรรค์เสียก่อนแล้วหลังจากนั้นเจ็ดวันเขาจะให้คำตอบแต่หากเราไม่ส่งตัวนางคืนเขายินดีจะทำศึกขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำแจ่มแจ้งทุกประการตามที่เทียนจวินสั่งมาอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
เดิมทีเขาคิดว่าจอมมารหนุ่มจะแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดหรือโมโหอยู่หลายส่วน ทว่า กลับกลายเป็นว่าท่านจอมมารยิ้มกริ่ม มีความสุข ไม่โมโหโกรธาแม้แต่น้อย
'เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าก็ไปส่งนางเถิดคุ้มครองนางให้ถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เสร็จการนั้นแล้วเจ้าก็กลับมาช่วยเตรียมสินสอดให้ข้า' ภาพมโนในหัวจอมมารหนุ่มคิดไกลไปถึงวันแต่งงานฉายในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยยิ้มราวกับคนวิปลาสค้างงันอยู่อย่างนั้นถึงแม้ในมือยังขยับสางผมตนเองอยู่ก็ตาม
หลิงหลิวเหว่ยได้แต่ส่ายหัวไปมากับความตกอยู่ในห้วงฝันอันเพริศแพร้ว หากนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นก็คงน่าตกใจอยู่ดอก อาการมโนเก่งของจอมมารท่านนี้คงเกินจะเยียวยาแล้วกระมัง..
[1] ฟูเหริน หมายถึง ภรรยา
[2] ชาหวงเหมยกุ้ย คือ ชาจีน อบไฟต่ำ เหยียนฉาจากต้นชาสายพันธุ์ใหม่ เป็นลูกผสมของต้นชาสายพันธุ์หวงกวนยินและหวงเหยียน มีความหมายว่ากุหลาบอำพัน ใบชาและน้ำชาให้กลิ่นหอมของดอกกุหลาบ น้ำชามีสีเหลืองอมเขียว ใช้การอบไฟต่ำเพื่อดึงให้กลิ่นหอมกุหลาบของใบชามีความโดดเด่นชัดเจน เมื่อดื่มเข้าไปแล้วรู้สึกราวกับอยู่ในทุ่งดอกไม้ มีรสหวานติดปลายลิ้น ฉาชี่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายและสบายตัว
[3] ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19.00 – 20.59 น.
[4] ยามห้าย
คือช่วงเวลา 21.00 – 22.59 นหลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ' 'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแ
ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค
จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น 'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย'กังวลใจอย่างไร' 'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ''อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน''อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอ
เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ
หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ
ภาพขบวนเกี้ยวสีแดงขบวนใหญ่เคลื่อนที่เข้ามาในสวรรค์ชั้นฟ้า หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงและสวมชุดแต่งงานสีแดง'เชิญเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว' เซียนหญิงผู้หนึ่งกล่าวขึ้น นางไม่รู้จักมาก่อน นางก้าวช้าช้า ยามก้าวขาขึ้นบนเกี้ยวนางเห็นชายหนุ่มผมสีดำยาวสลวยสวมชุดสีแดงคล้ายกับนาง เขายืนอยู่ข้างหน้าเกี้ยวแต่เพียงเพราะผ้าคลุมสีแดงจึงไม่เห็นว่าเขาเป็นผู้ใด นางนั่งหลังตรงอยู่ภายในเกี้ยวโดยมีจื่อจิงนั่งอยู่ด้วย ระหว่างที่นั่งอยู่ด้านในได้พักใหญ่ข้างนอกก็มีเสียงคล้ายอาวุธกระทบกัน เกี้ยวนางถูกยกลงกระแทกลงพื้นอย่างแรง เสียงอาวุธกระทบกันดังมาตลอดทางจนกระทั่ง...'ท่านจอมมาร!' เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น นางไม่รอช้าก้าวออกจากเกี้ยว นางเห็นชายหนุ่มในชุดสีแดงแผ่นหลังคุ้นเคยที่นางพบเห็นมาตลอดช่วงหลายวันมานี้ ร่างหนาล้มลงกับพื้นเลือดสีแดงสดค่อยๆหลั่งไหลย้อมเป็นสีแดงเข้ากับชุด ก่อนที่ทัพสวรรค์และชายหนุ่มเกศาขาวจะเข้ามาต้านทัพศัตรูให้ถอยหลังไป ชายในชุดแดงลุกขึ้นอย่างห้าวหาญยังคงกวัดไกวกระบี่กับชายชุดดำอีกคนลากออกไปให้ไกลจากเกี้ยวและส่งยิ้มมาทางนาง สองขาของนางวิ่งตามเขาออกไป'ไม่ต้องตามข้ามา รัก
หลายๆวันมานี้ท่านเซียนหญิงเฟิงจางจิ้งและเสวี๋ยอิงต่างทำหน้าที่ดูแลพวกข้าได้อย่างดีเยี่ยม วิชาเซียนของพวกเขาทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนที่แท้ ข้ายังคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เสมอมิรู้ว่าเลื่อนขั้นไปถึงไหนกันแล้ว เสวี๋ยอิงคนนั้นยามอยู่กับเฟิงจางจิ้งเซียนเพียงลำพังแสนแตกต่างกับตอนที่พูดคุยกับพวกข้าอย่างมากข้าสังเกตเสวี๋ยอิงตั้งแต่วันเเรกจนวันสุดท้ายสรุปความได้ว่า เสวี๋ยอิงคนนี้เป็นวิหคเหมันตกาลโดยแท้ นับถือวิถีเซียนเคร่งครัด และที่สำคัญเขารักของเฟิงจางจิ้งเซียนสหายของข้าอย่างแท้จริง ข้ากับเฟิงจางจิ้งเซียนตกลงกันไว้ว่าหลังจากจบการฝึกปรือครั้งนี้จะรับข้าเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในวังสวรรค์'ความพยายามของพวกเจ้า เปิ่นจวินเห็นแล้วว่าสมควรแก่เวลา กระบี่ของผู้ใดจะกลับคืนสู่เจ้าของ' หลงลี่เสกกระบี่อันทรงฤทธิ์ที่ส่องแสงเรืองรองและส่งคืนสู่เซียนผู้เป็นเจ้าของ กระบี่เหล่านั้นลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าผู้เป็นเจ้าของ'กระบี่มีจิตวิญญาณของมัน ผู้เป็นเจ้าของต้องตั้งชื่อด้วยก่อนจะเซ่นกระบี่ด้วยเลือด''ขอรับ! เจ้าค่ะ! ซือฝุ' เซียนสตรีและเซียนบุรุษทั้งหกขานรับ
'เสวี๋ยอิง เฟิงจางจิ้งเซียนฝากข้ามาตามท่านไปที่เรือนไผ่ด้านหลัง' เรือนไผ่ด้านหลังที่ว่า อยู่ริมธารน้ำตกที่ข้าใช้วิชาสนทนากับหวังเยี่ยนเกอเรือนไผ่นั่นดูเหมือนจะเป็นเรือนไผ่ที่ท่านเซียนเนรมิตขึ้นมาเพราะตอนที่ข้าไปไม่เห็นจะมีเรือนไผ่อยู่พลังเซียนของเฟิงจางจิ้งเซียนเหนือชั้นกว่าเซียนคนอื่นมากอย่างข้าคงเสกได้เพียงแค่เก้าอี้หนึ่งตัวกับวิชาเจ้าเล่ห์เล็กน้อยที่หวังเยี่ยนสอนก็เท่านั้น'รบกวนแม่นางช่วยนำทางไปที' เขากล่าวเสียงเรียบพลางสะบัดชายผ้าขาวอย่างอ่อนโยนยามอยู่ใกล้เขารู้สึกหนาวเหน็บจริงสมแล้วที่เป็นถึงวิหคหิมะ'ตามข้ามาเถิด' เขาเดินตามข้าอย่างสงบเสงี่ยมจริงแท้หรือวิสัยของพวกวิหคหิมะเป็นเช่นนี้เอง แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคร่งครัดวิถีเซียน'ขอบคุณที่มาส่ง''ไม่ต้องเกรงใจ พวกท่านสูงส่งกว่าข้า ข้าย่อมยินดีช่วย' เขาพยักหน้ารับเงียบๆแล้วเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่เฟิงจางจิ้งเซียนนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ พูดได้ว่าน่าเอ็นดู ข้าแอบมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหาที่เหมาะๆสักที เสกกาน้ำชาหนึ
บรรดาเหล่าเซียนยืนเรียงกันเป็นสองแถวแบ่งแยกสตรีและบุรุษเพียงแค่โดดลงเหวก็ตกลงมาโผล่ที่หุบเขาไท่ซาน ไม่คิดว่าหุบเขาแห่งนี้จะยังมีสำนักที่คล้ายสำนักสงฆ์อยู่ เบื้องหน้ามีเสามังกรสีเหลืองอร่ามสลักรูปปั้นมังกรสามหัวขนาดยักษ์มันถูกตั้งไว้กลางโถง ช่างเสมือนจริงเหลือเกิน..'เสวี๋ยอิงคารวะท่านอาจารย์' ชายหนุ่มหัวขาวก้มโค้งคำนับต่อหน้ารูปปั้นมังกรสามหัวอาจารย์ที่ไหนกันไม่เห็นจะมีใครสักคน เฟิงจางจิ้งคิด'ถือว่ามีฝีมือ ส่วนคนอื่นยังต้องฝึกอีกมาก' ร่างมังกรสามหัวแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษสามคน หน้าตางดงาม สวมชุดฮั่นฝูสีดำ รูปร่างแกร่งกำยำ มองแค่ตาเปล่าก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณเซียนของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใดข้ายังเคยได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสามเป็นสัตว์เทพแห่งบรรพกาลที่บังเกิดมาพร้อมกับเหล่าอสูรร้ายแห่งบรรพกาลอย่างเช่น อสูรเถาอู้กับฮุ่นตุ้น[1]'เสี่ยวเซียนทั้งห้าขอคารวะท่านอาจารย์' เฟิงจางจิ้งเซียนกล่าวนำข้าและเพื่อนพ้องอีกสามคนจึงพากันก้มโค้งคารวะดังที่เฟิงจางจิ้งกล่าวนำไว้ ไม่แน่ว่าในช่วงหลายวันมานี้อาจมีแต่เรื่องสนุกเกิดขึ้น'ไม่ต้องมากพิธี ข้าเ
‘ยินดีต้อนรับกลับ' หวังเยี่ยนเดินเข้าไปกอดซ้อนอีกทีหนึ่ง เขาไม่รู้มาก่อนว่าพวกนางรู้จักกันคนหนึ่งก็เปรียบเสมือนน้องสาวในไส้ส่วนอีกคนก็คือภรรยาของเขา จากนี้ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เขาจะเป็นคนปกป้องพวกนางเอง ไม่มีผู้ใด ไม่มีอดีตและแม้อดีตจะลบล้างไม่ได้ หากแต่เมื่อวันวานแห่งความขมขื่นผันผ่านไป หลังจากนี้เขาจะเป็นแสงสว่างชี้นำพวกนางเอง พวกนางคงยังมีความหลังให้ระลึกถึงกันอีกมากเห็นสมควรปล่อยให้สนทนากันเพียงลำพัง กิจของสตรีบุรุษมิควรยุ่งจอมมารสะกิดหลิงหลิวเหว่ยพยักพเยิดหน้าไปทางประตูแล้วพากันเดินออกไปเงียบๆ เซียนหญิงกับมารสาวมองหน้ากันร่ำไห้กันเงียบงัน ก่อนจะบอกเล่าถึงความทรมานแสนสาหัสและเรื่องเขา'คนนั้น''เยว่ถิง ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้แล้วเจ้ากับจอมมารรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่''ไม่เจอกันเพียงไม่กี่แสนปี ท่านหญิงของข้ากลายเป็นคนช่างถามแล้วรึ''เพราะข้าสนิทใจที่พูดคุยกับเจ้าต่างหาก!'
จอมมารหนุ่มอุ้มร่างบางที่หลับใหลไปในอ้อมกอดมายังในห้องส่วนตัวและจัดแจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือเพียงเเค่จับเเขนเล็กหรือเเตะเพียงเบาเบาก็ยังเกรงกลัวเหลือเกินว่ากระดูกขาวเช่นเทพเซียนจะแตกหัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มบอบบางราวกับปุยนุ่นเช่นนี้ คนหยาบกระด้างอย่างเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลายวันมานี้ไม่ได้รับโลหิตดับดวงจิตมารภายในร่างจึงรู้สึกกระหายอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้นางกลิ่นหอมรัญจวนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เกรงกลัวจะห้ามใจไม่อยู่'เหว่ยตี้ ข้ากระหายเหลือเกิน''เชิญจอมมารไปที่โถงก่อนเถิด ขุนนางมารรออยู่แล้ว เสี่ยวโม่[1]จะไปเตรียมเครื่องดื่มดับกระหายมาให้''อืม' ร่างองอาจรวบผมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแต่งกายเสียใหม่แล้วจึงเรียกจื่อจิงมาเฝ้าเซียนหญิงแล้วค่อยเดินออกไปครั้นเดินทางมายังโถงใหญ่ก็เห็นชี้ชัดแล้วว่ามีขุนนางมารบางส่วนหายไปจากโถงแห่งนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แจ่มแจ้งว่าขุนนางมารเหล่านั้นคงแยกพรรคพรรคแยกฝ่ายตามเผ่ยอวิ๋น
หวังเยี่ยนและเฟิงจางจิ้งแยกกันไปถอดเครื่องแต่งกายออกแล้วสวมชุดตามเดิมเพื่อมาหารือกันเรื่องเหล่าองครักษ์มารของเผ่ยอวิ๋นจวิน ผู้อาวุโสทั้งสี่ยินดียื่นมือเข้ามาช่วย หวังเยี่ยนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้เข้าห้องหอแต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักจึงต้องเลื่อนเข้าห้องหอออกไปก่อน อย่างไรกว่าจะได้เข้าห้องหอกันอีกครั้งคงต้องรอหลังพิธีอภิเษกเฟิงจางจิ้งเซียนขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาร....'ต้องขอขอบคุณเฉินฮุยเกอมากที่ตามมาช่วยข้ากับฮูหยินอีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ด้วย' หวังเยี่ยนก้มโค้งคำนับเฉินฮุยอีกครั้ง'ไม่เป็นไร ลืมไปแล้วรึว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ข้าผิดหวังมากนะหวังเยี่ยนที่ไม่เชิญพวกข้าเข้าร่วมงานอภิเษก' เฉินฮุยตำหนิจอมมารยกใหญ่อีกครั้งทั้งๆที่นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เจ้าหวังเยี่ยนยังทำตัวห่างเหินกับพวกเขาอีก หากมิใช่ว่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้าในงานแต่งเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกเซียนชั้นสูงทั้งสิบมาหารือมีหรือที่พวกเขาจะรู้&
วังมังกรเนรมิตถูกจัดตกแต่งด้วยสาหร่ายแดงที่พอจะหาได้และผ้าไหมแดงที่พอจะมีอยู่บ้าง จื่อจิงรับหน้าที่เป็นแม่งานจัดเตรียมหน้างานทั้งหมด ยังรู้สึกผิดหวังที่งานเเต่งอลังการถูกพังทลายลงอีกทั้งตี้จวิน[1]คนนั้นเหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วสามวันกลับไม่มีข่าวคราวจากวังสวรรค์ส่งมาเลยแม้แต่น้อย'จื่อเออร์ เหตุใดจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า' หลิงหลิวเหว่ยเอ่ยถามจื่อจิง'ข้ารู้สึกว่ายังขาดอะไรไปแต่ช่างเถอะ ท่านเห็นเหล่าหลงทั้งสามไหม''ไม่เห็น จริงสิปี้เฉียงก็หายไปด้วย''เดี๋ยวข้าไปตามเอง' จื่อจิงว่าเช่นนั้นแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังวังมังกรเนรมิตยังมีสระน้ำมรกตไป๋ฉุนจิ้งคงต้องไปดูสักหน่อย บังอาจปล่อยให้สตรีร่างบางกับบุรุษอ้อนแอ้นอย่างนางกับหลิงหลิวเหว่ยทำงานอยู่สองคนใช้ได้ที่ไหนกันเสียงน้ำหลั่งไหลผ่านโขดหินใต้ธาราสีใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดบุรุษรูปร่างกำยำทั้งสี่หย่อนกายหย่อนใจลงในสระน้ำนั้น..'พวกท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน' ปี้เฉียงเอ่ยถามมังกรทั้งสาม พวกเขาแลดูเหมือนจะรู้จักทางป่านี้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังนำทางพามาอา
เหล่าหลงทั้งสามพาพวกข้ากลับมายังหุบเขาสิ้นชีวาอีกครั้ง แต่พวกทหารชุดดำเหล่านั้นก็ยังตามข้ามาทันอยู่ดี ข้าจึงลุกขึ้นยืนหยัดสั่งให้หลงลี่พาคนที่บาดเจ็บกลับไปที่วังมังกรเนรมิตก่อนแล้วจึงไปประจันหน้ากับเหล่าทหารชุดดำ'นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเซียนใยต้องยื่นมือเข้ามาด้วยเล่า' หมิงป๋ายยิ้มเย้ยหยัน ข้าต้องระงับโทสะตัวเองหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องทำอย่างมีสติ 'หากพูดว่าไม่ใช่เรื่องข้าคงมิใช่กระมัง งานที่เจ้ามาพังวันนี้คืองานวิวาห์ของข้า คนที่เจ้าปักกระบี่ลงกลางอกคือว่าที่สามีของข้า' 'ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงมิอยากจะตกลงปลงใจกับจอมมารมือเปื้อนโลหิตอย่างเขา มาร่วมมือกับพวกข้าเถอะเฟิงจางจิงเซียน' ข้ากำกระบี่ในมือแน่น'คุณธรรมเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากและถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้ชีวิตของเขาไป'หวังเยี่ยน..ท่านทำเรื่องอะไรมากัน ทำไมมารเหล่านี้ถึงได้มีความแค้นกับเจ้ามากถึงเพียงนี้แปะ แปะ แปะเงาสีดำทมิฬค่อยๆประกอบรูปร่างขึ้นเป็นคน เงาสีดำที่นางรับได้ถึงพลังมหาศาลพลังงานแห่งความมืดความชั่วร้ายที่ถูกล้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรือนผมสีดำแผ่สยายดวงตาเป็นประกายสีเขียวมรกตงดงาม ชุดเกราะสีเงินทรงอา
หลิงหลิวเหว่ยและปี้เฉียงเดินเข้ามาในห้องโถงเงียบๆ เห็นจอมมารกุมมือท่านหญิงเซียนอยู่แต่ท่านหญิงเซียนแลดูมีเรื่องลำบากใจ ตอนนี้จดหมายตอบรับได้มาถึงแล้ว เขาควรนำไปรายงานแก่จอมมาร เจ้าปี้เฉียงนี่ก็ตามติดเป็นเงาตามตัวน่ารำคาญจริง เมื่อไหร่จะกลับเผ่าหงสาไปสักที'ท่านจอมมารขอรับ สาน์สตอบรับมาถึงแล้ว' หลิงหลิวเหว่ยยื่นสาน์สให้จอมมาร จอมมารเปิดอ่านในทันที'เจ้าตอบตกลง?' จอมมารยิ้มกว้าง เขาบรรจงจุมพิตหลังมือของเฟิงจางจิ้ง นางไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวก็ชักมือออก'อืม ใช่ แล้วข้าจะรอเกี้ยวของท่านที่สวรรค์ชั้นฟ้า' นางลุกเดินออกไปอย่างขัดเขินเล็กน้อย นางมองตำแหน่งที่จอมมารจุมพิตไปเมื่อครู่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 'ไปกันเถอะจื่อจิง' จอมมารยังคงตะลึงงันด้วยความดีใจ จนกระทั่งนางกับจื่อจิงเดินลับสายตาไปแล้ว..'ปี้เฉียง ฝากเจ้าคุ้มครองนางถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที' 'รับทราบ!' ปี้เฉียงฟังคำสั่งจอมมารอย่างไม่อิดออด แล้วเดินตามเฟิงจางจิ้งกับจื่อจิงไป...จอมมารนั่งเปิดอ่านเทียบของหมั้นที่เขาส่งไปคราวที่แล้วเพิ่มของไปอีกสักหลายอย่าง..'ของทุกอย่างพร้อมแล้วนะ นี่เป็นรายการที่ข้าเพิ่ม จัดเตรียมให้เสร็จวั