หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา
'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่
'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทนาพาทีกันเลยและดูเหมือนนิสัยของหวังเยี่ยนจะแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
'เป็นความจริงอยู่ครึ่งส่วน ข้าส่งเทียบสู่ขอเทพบุปผาเฟิงจางจิ้งจริงแต่ยังมิทราบว่านางจะตอบตกลงหรือไม่อย่างไร..' เขาลอบมองไปที่หญิงสาวข้างกายเขาที่สวมผ้าแพรขาวปิดดวงตาไว้ในมือนางยังคงถือถ้วยชาค่อยละเลียดชิมแช่มช้าอย่างสบายอารมณ์ บทสนทนาเมื่อครู่ นางก็ได้ยินทั้งหมดแต่หากไม่ใช่เรื่องของนาง นางก็จะไม่ยืนมือเข้าไปสอด
'โอ้..แม่นางเฟิงจางจิ้ง เม่ยเมยของเทียนจวินผู้มีกลิ่นกายหอมร้อยมวลบุปผา ใบหน้างดงามล่มนรกล่มสวรรค์คนนั้นนะหรือ ' ฉินเชิงเซียน ผู้ปกครองทะเลพายัพ มองหวังเยี่ยนอย่างตกตะลึง พลางคิดในใจ
ต่างราวกับฟ้ากับเหว เช่นนี้ เยี่ยนเยี่ยนของพวกเขายังมีความหวังไหมหนอแล้วสตรีข้างกายคนนั้นไม่ใช่ว่าเป็นเทพบุปผาเฟิงจางจิ้งหรอกหรือ
'ถูกแล้วศิษย์พี่และนางก็คือหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายของข้าอย่างไรล่ะ' ฉินเชิงเซียน ป๋ายอวิ๋น เออร์หลิงและเฉินฮุย ชะโงกหน้ามองตามที่หวังเยี่ยนบอก ยลโฉมแล้วก็ถือว่าเพียงแต่นางยังสวมผ้าแพรขาวอยู่จึงมิอาจคาดเดาได้ว่าความงามอย่างจดสมบูรณ์อย่างที่เขาเล่าลือกันจริงเท็จอย่าง
'เหลือเชื่อจริงๆว่าหวังเยี่ยนของเรากำลังจะได้คู่ครองที่งามและสมฐานะเช่นนี้ ' เฉินฮุยถือเป็นศิษย์พี่ใหญ่และเป็นผู้ปกครองทะเลทักษิน เขารู้สึกชื่นชมจอมมารผู้นี้ ผู้เป็นศิษย์น้องของเขา เขายังเคยสั่งสอนหวังเยี่ยนตั้งแต่ยังเป็นโม่กุ้ยหรือมารปีศาจน้อย จนกระทั่งเติบใหญ่กลายเป็นจอมมารที่ทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนยังต้องเกรงกลัว
'ท่านพี่ใหญ่ชื่นชมเกินไปแล้ว ขึ้นมาบนสวรรค์ครั้งนี้คงมิได้ตั้งใจมาหยอกข้า เช่นนั้นพวกท่านมาทำอะไรกันหรือ'
'จริงอย่างเจ้าว่า พวกข้าแค่บังเอิญผ่านมาเจอเจ้า ข้ากำลังไปประชุมเทพา' เฉินฮุยถอดถอนหายใจ ครั้งนี้เทียนจวินเรียกพวกเขาเข้าพบกะทันหัน ทั้งสี่เทพจึงรีบกุลีกุจอขึ้นมาให้เร็วที่สุด
'เรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ'
'ใช่ หากเสร็จการประชุมแล้ว ค่อยหาเวลาพบปะ สนทนากันสักหน่อย ข้าต้องไปละ'
'ขอรับ' เฉินฮุยรีบกล่าวลาแต่ยังคงแสดงถึงความเป็นห่วงเขาอยู่มากก่อนจะรีบหายตัวไปพร้อมกับเทพอีกสามตน
'ท่านสนิทกับเทพเซียนท่านอื่นด้วยหรือ' นางนั่งเงียบมานานจนกระทั่งเหล่าเซียนพวกนั้นไปแล้วจึงเอ่ยปากพูด
'ก็มีบ้างเทพทั้งสี่ตนนั้นเป็นศิษย์พี่ของข้าทั้งหมด'
'อ่อ ที่ท่านรู้จักกับพี่ชายของข้าก็เพราะเคยศึกษาร่วมสำนักกันมาก่อนด้วยใช่หรือไม่ ' แม้มิได้เห็นแววตาของนางแต่กิริยาท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นจนออกนอกหน้าเลยทีเดียว
'ใช่ แต่เป็นช่วงระยะเวลาไม่เกินสามแสนปี ข้ามิได้สนิทกับพี่ชายเจ้าถึงเพียงนั้น' เมื่อนึกถึงครั้งที่ยังฝึกตนร่วมสำนักกับเฟิงหวังเหล่ยก็ยังขนลุกพิลึก เขายังจำได้ดีชายหนุ่มใบหน้างดงามราวกับรูปปั้นผู้มีเกศาขาวและนัยน์ตาที่ทรงเสน่ห์ไม่แพ้กันกับเขา ชายผู้นั้นแม้จะได้รับการยกย่องจากทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนแต่นิสัยส่วนตัวประหลาดพิลึก บ้าในกามตัณหา ชายหรือหญิงก็ไม่เว้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาแอบหนีมานอนหลับอยู่ในถ้ำ ตื่นขึ้นมาชายผู้นั้นก็ยื่นหน้าเขามาใกล้เพียงลมหายใจ ไม่ทราบว่าเขาตามมาได้อย่างไรและครั้งนั้นก็ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้ประลองกระบี่กับเฟิงหวังเหล่ย
'ข้าไม่คิดว่าจอมมารเช่นท่านจะยังมีนิสัยเป็นมิตรกับเทพเซียนด้วย?' นางยกยิ้มที่มุมหากไร้ผ้าแพรปิดตาอยู่ เขาคงได้ชื่นชมแววตาเป็นประกายที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกประทับใจ นางประทับใจเขา ยกย่องเขา จริงอยู่ที่นางไม่โปรดปรานวิถีมารแต่นางชื่นชอบในวิสัยทัศน์ของเขา
'จอมมารแล้วอย่างไรเป็นจอมมารย่อมต้องมีคุณธรรมอยู่ด้วย'
'ท่านช่างเป็นมารที่แปลกประหลาดที่สุดที่ข้าเคยพบเจอ'
'หากเจ้าแต่งงานกับข้า เจ้าก็จะได้เรื่องแปลกประหลาดที่ชาตินี้ก็ไม่อาจพบเจอจากที่ไหนได้อีกแล้ว' จอมมารหนุ่มฉวยโอกาสโอบเอวบางเข้ามาใกล้มากขึ้น..
'นี่ท่าน!!' นางตีเข้าที่ไหล่เขาแล้วผลักร่างหนาออกห่างจากตัว แก้มขาวดุจหิมะเริ่มขึ้นสีแดงขึ้นเรื่อยๆ...
'ทำตัวรุ่มร่าม คนไร้ยางอาย!!'
'หึ'
'ไม่มีจิตสำนึก ไร้จริย..' จอมมารหนุ่มยัดขนมโม่หลี่เข้าปากนางพลางหัวเราะสะใจ นางเอื้อมมือใบบิดหูเขาเต็มแรง
'โอ้ยๆๆ เจ็บ สตรีอะไรแรงเยอะปานนี้ ' เขายั่วโทสะ นางจึงบิดให้แรงขึ้นไปอีก เขายังคงมองนางด้วยแววตาอบอุ่น สนอกสนใจ หากเป็นหญิงสาวผู้อื่นคงถูกเข้าใช้พลังมารเผาใหม่เป็นจุณไปแล้วกระมัง ต้องเป็นเช่นนี้ถึงได้เรียกว่าสนิทกับนางอีกขั้น แผนเกี้ยวนางวันนี้ของเขาถือว่าสำเร็จ..
ระหว่างที่หวังเยียนจวินกำลังหยอกล้อและสนทนาหลายร้อยพันเรื่องเล่าอีกทั้งยังแสดงฝีมือการตกปลาสุดล้ำให้เฟิงจางจิ้งชื่นชม หลิงหลิวเหว่ยและจื่อจิงก็เดินเคียงกันมาอย่างแช่มช้า ทั้งคู่แอบมองนายหญิงและประมุขหยอกล้อกันชั่วครู่จนได้จังหวะจึงเดินเข้าไปทำหน้าที่ดังเดิมอีกทั้งหลิงหลิวเหว่ยก็มีเรื่องสำคัญต้องทูลให้หวังเยี่ยนจวินทราบด้วย
'เรียนหวังเยี่ยนจวิน มีเรื่องด่วนฝ่าบาท' จอมมารหนุ่มผายมือออกเป็นสัญญาณให้หลิงหลิวเหว่ยเริ่มพูดได้แม้ว่าหลิงหลิวเหว่ยจะยักคิ้วหลิ่วตาส่งสัญญาณว่าเรื่องนี้เป็นความลับของแดนมาร จอมมารกับหนุ่มกับไม่ยี่หระ
เห้อ จอมมารหนุ่มผู้นี้ไม่ระวังตนเอาซะเลยแม้เฟิงจางจิ้งจะเป็นถึงคู่หมายโดยปริยายแต่ก็มิควรไว้ใจมากถึงเพียงนั้น
'มีรายชื่อตำแหน่งโม่เจิ้นจวินเพิ่มมาหนึ่งรายชื่อ รอการมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการอีก 20000 ปี '
'ใคร'
'ผานเยว่ถิง' หลิงหลิวเหว่ยเขยิบเข้าไปใกล้จอมมารและกระซิบเบาๆแต่กาลก่อนนามชื่อนี้ถือเป็นชื่อต้องห้ามของสวรรค์ชั้นฟ้า ชะตารักที่พัวพันต่อใครหลายคนโศกนาฏกรรมความรักอันน่าเวทนาที่เลื่องลือและฉาวโฉ่
'เป็นทางที่นางเลือกเอง?'
'ขอรับ' นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่ๆก็ผุดรายชื่อมารผู้ได้รับเลือกกลางคัน ผานเยว่ถิงคงสละตัวตนละทิ้งวิถีเซียนและเลือกทางมารบำเพ็ญตบะจนได้เลื่อนขั้นจนเป็นโม่เจิ้นจวินตำแหน่งมารชั้นกลาง
'วันพรุ่งข้าจะไปเผ่าหงษาด้วยตนเอง อย่างไร'เขา'ก็ต้องรู้เรื่องนี้ก่อน' หวังเยียนกระซิบหลิงหลิวเหว่ย ก่อนสั่งให้หลิงหลิวเหว่ยนำเกี้ยวมารับเพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เขาไม่อยากให้เฟิงจางจิ้งรับลมหนาวมากจนเกินไป
'ห่มไว้ อากาศบนสวรรค์ชั้นฟ้าช่างเหน็บหนาวปานนี้แม้ขนนกจะไม่อบอุ่นเท่าขนจิ้งจอกแต่ก็พอป้องลมหนาวให้เจ้าได้' หวังเยี่ยนนำผ้าคลุมที่ทำจากขนวิหคเพลิงของเขาให้แก่นาง แม้ว่าจะเป็นเพียงขนนกใบเล็กๆแต่เขาเป็นวิหคเพลิง ขนเพียงใบเดียวก็ให้ความอบอุ่นนางได้มากโขเทียว
'ขอบคุณท่านมาก' นางเอ่ยลาสั้นกระชับสมกับนิสัยของนาง
อย่างไรก็ตามวันนี้ทั้งวันเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มอันงดงามก็ถือว่าคุ้มค่าที่ดั้นด้นมาไกล วันพรุ่งนี้ยังมีเรื่องยุ่งๆให้จัดการ เขาคาดคะเนได้ว่าการที่ผานเยว่ถิงตัดสินใจละทิ้งวิถีเซียนเข้าสู่ทางมารอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่..
หากกล่าวถึงเผ่าหงษาเรื่องราวเมื่อครั้งกาลก่อนหลายปีล่วงเลยไป เขากำเนิดจากเถ้าธุลีโดยมีหัวหน้าเผ่าวิหคเป็นผู้เลี้ยงดู ยุคนั้นยังมีเหง็กเซียนฮ่องเต้สวรรค์เป็นผู้ปกครองทั้งสามโลก มนุษย์ สวรรค์ นรก
ปีนั้นเขากำเนิดมาพร้อมกับเฟิงหวังเหล่ย จึงมีคำทำนายออกมาว่าเขาและเฟิงหวังเหล่ยเปรียบเสมือนดั่งหยินและหยางทั้งสองมิอาจแยกขาดจากกันได้ หากใครผู้หนึ่งตายตกเมื่อนั้นทั้งสามโลกจะเสียสมดุลถึงกัลปาวสาน นั่นเป็นสาเหตุที่เหง็กเซียนฮ่องเต้สวรรค์ผู้นั้นยกนรกหรือแดนโลกันตร์ให้แก่หัวหน้าเผ่าวิหคเป็นผู้ปกครอง รอจนเขาเติบใหญ่จึงมอบตำแหน่งที่คู่ควรมาแต่กำเนิดให้เขา
ปีนั้นส่วนปกครองแต่ก่อนกาลจึงตกเป็นของเผ่าหงษาส่วนเผ่าวิหคมีหน้าที่ดูแลแดนโลกันตร์อันร้อนระอุที่อยู่ข้างเคียงกับเผ่าอสรพิษ เรื่องยุ่งวุ่นวายเมื่อปีนั้นเขาก็เป็นในผู้ร่วมชะตาด้วย 'ผานเยว่ถิง' เขาเห็นนางเป็นน้องสาวคนหนึ่ง นางรักและเทิดทูนในตัวเฟิงหวังเหล่ยคนนั้นมาก จิตวิญญาณของนางล้วนมอบให้เขา นางลดฐานะตัวเองจากองค์หญิงคนเล็กของ'ผานเป่าเฉิง' หัวหน้าเผ่าหงษาผู้มีศักดิ์เป็นอาของเขาไปเป็นสาวใช้ในวังสวรรค์ เขาเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ปกป้องดูแลนางให้ดี ชาติกำเนิดของเขาเป็นมารมาแต่กำเนิดแต่กับนางเป็นเทพเซียน นางทำลายแก่นเซียนของตนเองแล้วเปลี่ยนเป็นมาร เขายังรู้สึกเป็นห่วงนาง ยังนึกถึงคำถามที่นางเคยถามเขามาก่อน
'เยี่ยนเกอ ถ้าข้าอยากเป็นมารเช่นท่านต้องทำอย่างไร' รอยยิ้มงดงาม ยิ้มให้จนดวงตาเหลือเล็กเท่าดวงดาวเปร่งประกายสุกใส
'ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องละทิ้งวิถีเซียน ทำลายแก่นเซียน จงรักภักดีแก่เยี่ยนเกออย่างไรล่ะ' เขาหยอกล้อนางเล่นพลางบีบจมูกนั่นอย่างเบามือ
'อ่า แล้วข้าจะสามารถแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นได้ไหมนะ' นางครุ่นคิด เขายีหัวนางเบาเบา เอ็นดู ในความไร้เดียงสา
'ไม่ว่าเจ้าจะเป็นมารหรือเทพเซียน ความรักก็มิอาจแบ่งแยกฐานะหรือแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ หากเจ้ารักและมั่นคงต่อกันพร้อมจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านั้น' นางยังคงมองเขาในฐานะพี่ชายที่แสนดี คงเป็นเหมือนเขากับนางแม้จะอยู่ต่างเผ่า แต่เขาก็ดีกับนาง ดีอย่างล้นเหลือ เตี่ยเคยบอกกับนางไว้ว่า หวังเยี่ยนจวินในวันหน้าจะเป็นผู้ปกครองแดนโลกันตร์ มีฐานะศักดิ์ใหญ่และให้นางวางตัวให้เหมาะสมกับหวังเยี่ยน หวังเยี่ยนไม่เหมือนเทพตนอื่นที่กำเนิดมาจากครรภ์ทิพย์แต่เขากำเนิดมาจากเถ้าธุลีเพลิงไฟบรรลัยกัลป์
'เยี่ยนเกอ ทุกอย่างจะดีจริงๆใช่ไหม' นางหลุบตาต่ำลงพาลยังนึกถึงเรื่องข่าวลือคู่หมายของเฟิงหวังเหล่ยกับหนานอี้หรง
'ถิงถิงไม่ต้องกลัวยังมีเยี่ยนเกอ'
'หากข้าทำอะไรผิดพลาด เยี่ยนเกออย่าโกรธข้านะต้องอยู่เคียงข้างข้า' เขาปาดน้ำตาของผานเยว่ถิงและพยักหน้ารับคำนาง นางมีจิตใจที่อ่อนโยนถึงเพียงนี้ หากต้องไปแย่งชิงสตรีนับร้อยที่หลงใหลในรูปลักษณ์ของเฟิงหวังเหล่ยคงมีแต่ถูกรังแกกลับมาแต่หากมันเป็นโชคชะตา เขาก็ควรปล่อยให้นางไปเผชิญกับเคราะห์รักตัวเอง ครั้งนั้นเป็นครั้งที่เขารู้สึกผิดที่สุด เขาไม่น่าปล่อยผานเยว่ถิงเข้าไปในวังสวรรค์ เขาไม่น่าปล่อยให้นางไปเจอกับนางจิ้งจอก เขาไม่น่าปล่อยไปเลยจริงๆ
จนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังเสียใจกับตัวเอง ยังต้องแบกหน้าไปหาผานเป่าเฉิงเพื่อบอกว่าตอนนี้ผานเยว่ถิงตัดสินใจเข้าสู่ทางมาร...
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ
ภาพขบวนเกี้ยวสีแดงขบวนใหญ่เคลื่อนที่เข้ามาในสวรรค์ชั้นฟ้า หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงและสวมชุดแต่งงานสีแดง'เชิญเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว' เซียนหญิงผู้หนึ่งกล่าวขึ้น นางไม่รู้จักมาก่อน นางก้าวช้าช้า ยามก้าวขาขึ้นบนเกี้ยวนางเห็นชายหนุ่มผมสีดำยาวสลวยสวมชุดสีแดงคล้ายกับนาง เขายืนอยู่ข้างหน้าเกี้ยวแต่เพียงเพราะผ้าคลุมสีแดงจึงไม่เห็นว่าเขาเป็นผู้ใด นางนั่งหลังตรงอยู่ภายในเกี้ยวโดยมีจื่อจิงนั่งอยู่ด้วย ระหว่างที่นั่งอยู่ด้านในได้พักใหญ่ข้างนอกก็มีเสียงคล้ายอาวุธกระทบกัน เกี้ยวนางถูกยกลงกระแทกลงพื้นอย่างแรง เสียงอาวุธกระทบกันดังมาตลอดทางจนกระทั่ง...'ท่านจอมมาร!' เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น นางไม่รอช้าก้าวออกจากเกี้ยว นางเห็นชายหนุ่มในชุดสีแดงแผ่นหลังคุ้นเคยที่นางพบเห็นมาตลอดช่วงหลายวันมานี้ ร่างหนาล้มลงกับพื้นเลือดสีแดงสดค่อยๆหลั่งไหลย้อมเป็นสีแดงเข้ากับชุด ก่อนที่ทัพสวรรค์และชายหนุ่มเกศาขาวจะเข้ามาต้านทัพศัตรูให้ถอยหลังไป ชายในชุดแดงลุกขึ้นอย่างห้าวหาญยังคงกวัดไกวกระบี่กับชายชุดดำอีกคนลากออกไปให้ไกลจากเกี้ยวและส่งยิ้มมาทางนาง สองขาของนางวิ่งตามเขาออกไป'ไม่ต้องตามข้ามา รัก
หลิงหลิวเหว่ยและปี้เฉียงเดินเข้ามาในห้องโถงเงียบๆ เห็นจอมมารกุมมือท่านหญิงเซียนอยู่แต่ท่านหญิงเซียนแลดูมีเรื่องลำบากใจ ตอนนี้จดหมายตอบรับได้มาถึงแล้ว เขาควรนำไปรายงานแก่จอมมาร เจ้าปี้เฉียงนี่ก็ตามติดเป็นเงาตามตัวน่ารำคาญจริง เมื่อไหร่จะกลับเผ่าหงสาไปสักที'ท่านจอมมารขอรับ สาน์สตอบรับมาถึงแล้ว' หลิงหลิวเหว่ยยื่นสาน์สให้จอมมาร จอมมารเปิดอ่านในทันที'เจ้าตอบตกลง?' จอมมารยิ้มกว้าง เขาบรรจงจุมพิตหลังมือของเฟิงจางจิ้ง นางไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวก็ชักมือออก'อืม ใช่ แล้วข้าจะรอเกี้ยวของท่านที่สวรรค์ชั้นฟ้า' นางลุกเดินออกไปอย่างขัดเขินเล็กน้อย นางมองตำแหน่งที่จอมมารจุมพิตไปเมื่อครู่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 'ไปกันเถอะจื่อจิง' จอมมารยังคงตะลึงงันด้วยความดีใจ จนกระทั่งนางกับจื่อจิงเดินลับสายตาไปแล้ว..'ปี้เฉียง ฝากเจ้าคุ้มครองนางถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที' 'รับทราบ!' ปี้เฉียงฟังคำสั่งจอมมารอย่างไม่อิดออด แล้วเดินตามเฟิงจางจิ้งกับจื่อจิงไป...จอมมารนั่งเปิดอ่านเทียบของหมั้นที่เขาส่งไปคราวที่แล้วเพิ่มของไปอีกสักหลายอย่าง..'ของทุกอย่างพร้อมแล้วนะ นี่เป็นรายการที่ข้าเพิ่ม จัดเตรียมให้เสร็จวั
เหล่าหลงทั้งสามพาพวกข้ากลับมายังหุบเขาสิ้นชีวาอีกครั้ง แต่พวกทหารชุดดำเหล่านั้นก็ยังตามข้ามาทันอยู่ดี ข้าจึงลุกขึ้นยืนหยัดสั่งให้หลงลี่พาคนที่บาดเจ็บกลับไปที่วังมังกรเนรมิตก่อนแล้วจึงไปประจันหน้ากับเหล่าทหารชุดดำ'นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเซียนใยต้องยื่นมือเข้ามาด้วยเล่า' หมิงป๋ายยิ้มเย้ยหยัน ข้าต้องระงับโทสะตัวเองหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องทำอย่างมีสติ 'หากพูดว่าไม่ใช่เรื่องข้าคงมิใช่กระมัง งานที่เจ้ามาพังวันนี้คืองานวิวาห์ของข้า คนที่เจ้าปักกระบี่ลงกลางอกคือว่าที่สามีของข้า' 'ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงมิอยากจะตกลงปลงใจกับจอมมารมือเปื้อนโลหิตอย่างเขา มาร่วมมือกับพวกข้าเถอะเฟิงจางจิงเซียน' ข้ากำกระบี่ในมือแน่น'คุณธรรมเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากและถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้ชีวิตของเขาไป'หวังเยี่ยน..ท่านทำเรื่องอะไรมากัน ทำไมมารเหล่านี้ถึงได้มีความแค้นกับเจ้ามากถึงเพียงนี้แปะ แปะ แปะเงาสีดำทมิฬค่อยๆประกอบรูปร่างขึ้นเป็นคน เงาสีดำที่นางรับได้ถึงพลังมหาศาลพลังงานแห่งความมืดความชั่วร้ายที่ถูกล้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรือนผมสีดำแผ่สยายดวงตาเป็นประกายสีเขียวมรกตงดงาม ชุดเกราะสีเงินทรงอา
วังมังกรเนรมิตถูกจัดตกแต่งด้วยสาหร่ายแดงที่พอจะหาได้และผ้าไหมแดงที่พอจะมีอยู่บ้าง จื่อจิงรับหน้าที่เป็นแม่งานจัดเตรียมหน้างานทั้งหมด ยังรู้สึกผิดหวังที่งานเเต่งอลังการถูกพังทลายลงอีกทั้งตี้จวิน[1]คนนั้นเหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วสามวันกลับไม่มีข่าวคราวจากวังสวรรค์ส่งมาเลยแม้แต่น้อย'จื่อเออร์ เหตุใดจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า' หลิงหลิวเหว่ยเอ่ยถามจื่อจิง'ข้ารู้สึกว่ายังขาดอะไรไปแต่ช่างเถอะ ท่านเห็นเหล่าหลงทั้งสามไหม''ไม่เห็น จริงสิปี้เฉียงก็หายไปด้วย''เดี๋ยวข้าไปตามเอง' จื่อจิงว่าเช่นนั้นแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังวังมังกรเนรมิตยังมีสระน้ำมรกตไป๋ฉุนจิ้งคงต้องไปดูสักหน่อย บังอาจปล่อยให้สตรีร่างบางกับบุรุษอ้อนแอ้นอย่างนางกับหลิงหลิวเหว่ยทำงานอยู่สองคนใช้ได้ที่ไหนกันเสียงน้ำหลั่งไหลผ่านโขดหินใต้ธาราสีใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดบุรุษรูปร่างกำยำทั้งสี่หย่อนกายหย่อนใจลงในสระน้ำนั้น..'พวกท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน' ปี้เฉียงเอ่ยถามมังกรทั้งสาม พวกเขาแลดูเหมือนจะรู้จักทางป่านี้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังนำทางพามาอา
หวังเยี่ยนและเฟิงจางจิ้งแยกกันไปถอดเครื่องแต่งกายออกแล้วสวมชุดตามเดิมเพื่อมาหารือกันเรื่องเหล่าองครักษ์มารของเผ่ยอวิ๋นจวิน ผู้อาวุโสทั้งสี่ยินดียื่นมือเข้ามาช่วย หวังเยี่ยนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้เข้าห้องหอแต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักจึงต้องเลื่อนเข้าห้องหอออกไปก่อน อย่างไรกว่าจะได้เข้าห้องหอกันอีกครั้งคงต้องรอหลังพิธีอภิเษกเฟิงจางจิ้งเซียนขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาร....'ต้องขอขอบคุณเฉินฮุยเกอมากที่ตามมาช่วยข้ากับฮูหยินอีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ด้วย' หวังเยี่ยนก้มโค้งคำนับเฉินฮุยอีกครั้ง'ไม่เป็นไร ลืมไปแล้วรึว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ข้าผิดหวังมากนะหวังเยี่ยนที่ไม่เชิญพวกข้าเข้าร่วมงานอภิเษก' เฉินฮุยตำหนิจอมมารยกใหญ่อีกครั้งทั้งๆที่นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เจ้าหวังเยี่ยนยังทำตัวห่างเหินกับพวกเขาอีก หากมิใช่ว่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้าในงานแต่งเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกเซียนชั้นสูงทั้งสิบมาหารือมีหรือที่พวกเขาจะรู้&
จอมมารหนุ่มอุ้มร่างบางที่หลับใหลไปในอ้อมกอดมายังในห้องส่วนตัวและจัดแจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือเพียงเเค่จับเเขนเล็กหรือเเตะเพียงเบาเบาก็ยังเกรงกลัวเหลือเกินว่ากระดูกขาวเช่นเทพเซียนจะแตกหัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มบอบบางราวกับปุยนุ่นเช่นนี้ คนหยาบกระด้างอย่างเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลายวันมานี้ไม่ได้รับโลหิตดับดวงจิตมารภายในร่างจึงรู้สึกกระหายอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้นางกลิ่นหอมรัญจวนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เกรงกลัวจะห้ามใจไม่อยู่'เหว่ยตี้ ข้ากระหายเหลือเกิน''เชิญจอมมารไปที่โถงก่อนเถิด ขุนนางมารรออยู่แล้ว เสี่ยวโม่[1]จะไปเตรียมเครื่องดื่มดับกระหายมาให้''อืม' ร่างองอาจรวบผมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแต่งกายเสียใหม่แล้วจึงเรียกจื่อจิงมาเฝ้าเซียนหญิงแล้วค่อยเดินออกไปครั้นเดินทางมายังโถงใหญ่ก็เห็นชี้ชัดแล้วว่ามีขุนนางมารบางส่วนหายไปจากโถงแห่งนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แจ่มแจ้งว่าขุนนางมารเหล่านั้นคงแยกพรรคพรรคแยกฝ่ายตามเผ่ยอวิ๋น
หลายๆวันมานี้ท่านเซียนหญิงเฟิงจางจิ้งและเสวี๋ยอิงต่างทำหน้าที่ดูแลพวกข้าได้อย่างดีเยี่ยม วิชาเซียนของพวกเขาทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนที่แท้ ข้ายังคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เสมอมิรู้ว่าเลื่อนขั้นไปถึงไหนกันแล้ว เสวี๋ยอิงคนนั้นยามอยู่กับเฟิงจางจิ้งเซียนเพียงลำพังแสนแตกต่างกับตอนที่พูดคุยกับพวกข้าอย่างมากข้าสังเกตเสวี๋ยอิงตั้งแต่วันเเรกจนวันสุดท้ายสรุปความได้ว่า เสวี๋ยอิงคนนี้เป็นวิหคเหมันตกาลโดยแท้ นับถือวิถีเซียนเคร่งครัด และที่สำคัญเขารักของเฟิงจางจิ้งเซียนสหายของข้าอย่างแท้จริง ข้ากับเฟิงจางจิ้งเซียนตกลงกันไว้ว่าหลังจากจบการฝึกปรือครั้งนี้จะรับข้าเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในวังสวรรค์'ความพยายามของพวกเจ้า เปิ่นจวินเห็นแล้วว่าสมควรแก่เวลา กระบี่ของผู้ใดจะกลับคืนสู่เจ้าของ' หลงลี่เสกกระบี่อันทรงฤทธิ์ที่ส่องแสงเรืองรองและส่งคืนสู่เซียนผู้เป็นเจ้าของ กระบี่เหล่านั้นลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าผู้เป็นเจ้าของ'กระบี่มีจิตวิญญาณของมัน ผู้เป็นเจ้าของต้องตั้งชื่อด้วยก่อนจะเซ่นกระบี่ด้วยเลือด''ขอรับ! เจ้าค่ะ! ซือฝุ' เซียนสตรีและเซียนบุรุษทั้งหกขานรับ
'เสวี๋ยอิง เฟิงจางจิ้งเซียนฝากข้ามาตามท่านไปที่เรือนไผ่ด้านหลัง' เรือนไผ่ด้านหลังที่ว่า อยู่ริมธารน้ำตกที่ข้าใช้วิชาสนทนากับหวังเยี่ยนเกอเรือนไผ่นั่นดูเหมือนจะเป็นเรือนไผ่ที่ท่านเซียนเนรมิตขึ้นมาเพราะตอนที่ข้าไปไม่เห็นจะมีเรือนไผ่อยู่พลังเซียนของเฟิงจางจิ้งเซียนเหนือชั้นกว่าเซียนคนอื่นมากอย่างข้าคงเสกได้เพียงแค่เก้าอี้หนึ่งตัวกับวิชาเจ้าเล่ห์เล็กน้อยที่หวังเยี่ยนสอนก็เท่านั้น'รบกวนแม่นางช่วยนำทางไปที' เขากล่าวเสียงเรียบพลางสะบัดชายผ้าขาวอย่างอ่อนโยนยามอยู่ใกล้เขารู้สึกหนาวเหน็บจริงสมแล้วที่เป็นถึงวิหคหิมะ'ตามข้ามาเถิด' เขาเดินตามข้าอย่างสงบเสงี่ยมจริงแท้หรือวิสัยของพวกวิหคหิมะเป็นเช่นนี้เอง แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคร่งครัดวิถีเซียน'ขอบคุณที่มาส่ง''ไม่ต้องเกรงใจ พวกท่านสูงส่งกว่าข้า ข้าย่อมยินดีช่วย' เขาพยักหน้ารับเงียบๆแล้วเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่เฟิงจางจิ้งเซียนนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ พูดได้ว่าน่าเอ็นดู ข้าแอบมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหาที่เหมาะๆสักที เสกกาน้ำชาหนึ
บรรดาเหล่าเซียนยืนเรียงกันเป็นสองแถวแบ่งแยกสตรีและบุรุษเพียงแค่โดดลงเหวก็ตกลงมาโผล่ที่หุบเขาไท่ซาน ไม่คิดว่าหุบเขาแห่งนี้จะยังมีสำนักที่คล้ายสำนักสงฆ์อยู่ เบื้องหน้ามีเสามังกรสีเหลืองอร่ามสลักรูปปั้นมังกรสามหัวขนาดยักษ์มันถูกตั้งไว้กลางโถง ช่างเสมือนจริงเหลือเกิน..'เสวี๋ยอิงคารวะท่านอาจารย์' ชายหนุ่มหัวขาวก้มโค้งคำนับต่อหน้ารูปปั้นมังกรสามหัวอาจารย์ที่ไหนกันไม่เห็นจะมีใครสักคน เฟิงจางจิ้งคิด'ถือว่ามีฝีมือ ส่วนคนอื่นยังต้องฝึกอีกมาก' ร่างมังกรสามหัวแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษสามคน หน้าตางดงาม สวมชุดฮั่นฝูสีดำ รูปร่างแกร่งกำยำ มองแค่ตาเปล่าก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณเซียนของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใดข้ายังเคยได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสามเป็นสัตว์เทพแห่งบรรพกาลที่บังเกิดมาพร้อมกับเหล่าอสูรร้ายแห่งบรรพกาลอย่างเช่น อสูรเถาอู้กับฮุ่นตุ้น[1]'เสี่ยวเซียนทั้งห้าขอคารวะท่านอาจารย์' เฟิงจางจิ้งเซียนกล่าวนำข้าและเพื่อนพ้องอีกสามคนจึงพากันก้มโค้งคารวะดังที่เฟิงจางจิ้งกล่าวนำไว้ ไม่แน่ว่าในช่วงหลายวันมานี้อาจมีแต่เรื่องสนุกเกิดขึ้น'ไม่ต้องมากพิธี ข้าเ
‘ยินดีต้อนรับกลับ' หวังเยี่ยนเดินเข้าไปกอดซ้อนอีกทีหนึ่ง เขาไม่รู้มาก่อนว่าพวกนางรู้จักกันคนหนึ่งก็เปรียบเสมือนน้องสาวในไส้ส่วนอีกคนก็คือภรรยาของเขา จากนี้ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เขาจะเป็นคนปกป้องพวกนางเอง ไม่มีผู้ใด ไม่มีอดีตและแม้อดีตจะลบล้างไม่ได้ หากแต่เมื่อวันวานแห่งความขมขื่นผันผ่านไป หลังจากนี้เขาจะเป็นแสงสว่างชี้นำพวกนางเอง พวกนางคงยังมีความหลังให้ระลึกถึงกันอีกมากเห็นสมควรปล่อยให้สนทนากันเพียงลำพัง กิจของสตรีบุรุษมิควรยุ่งจอมมารสะกิดหลิงหลิวเหว่ยพยักพเยิดหน้าไปทางประตูแล้วพากันเดินออกไปเงียบๆ เซียนหญิงกับมารสาวมองหน้ากันร่ำไห้กันเงียบงัน ก่อนจะบอกเล่าถึงความทรมานแสนสาหัสและเรื่องเขา'คนนั้น''เยว่ถิง ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้แล้วเจ้ากับจอมมารรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่''ไม่เจอกันเพียงไม่กี่แสนปี ท่านหญิงของข้ากลายเป็นคนช่างถามแล้วรึ''เพราะข้าสนิทใจที่พูดคุยกับเจ้าต่างหาก!'
จอมมารหนุ่มอุ้มร่างบางที่หลับใหลไปในอ้อมกอดมายังในห้องส่วนตัวและจัดแจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือเพียงเเค่จับเเขนเล็กหรือเเตะเพียงเบาเบาก็ยังเกรงกลัวเหลือเกินว่ากระดูกขาวเช่นเทพเซียนจะแตกหัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มบอบบางราวกับปุยนุ่นเช่นนี้ คนหยาบกระด้างอย่างเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลายวันมานี้ไม่ได้รับโลหิตดับดวงจิตมารภายในร่างจึงรู้สึกกระหายอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้นางกลิ่นหอมรัญจวนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เกรงกลัวจะห้ามใจไม่อยู่'เหว่ยตี้ ข้ากระหายเหลือเกิน''เชิญจอมมารไปที่โถงก่อนเถิด ขุนนางมารรออยู่แล้ว เสี่ยวโม่[1]จะไปเตรียมเครื่องดื่มดับกระหายมาให้''อืม' ร่างองอาจรวบผมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแต่งกายเสียใหม่แล้วจึงเรียกจื่อจิงมาเฝ้าเซียนหญิงแล้วค่อยเดินออกไปครั้นเดินทางมายังโถงใหญ่ก็เห็นชี้ชัดแล้วว่ามีขุนนางมารบางส่วนหายไปจากโถงแห่งนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แจ่มแจ้งว่าขุนนางมารเหล่านั้นคงแยกพรรคพรรคแยกฝ่ายตามเผ่ยอวิ๋น
หวังเยี่ยนและเฟิงจางจิ้งแยกกันไปถอดเครื่องแต่งกายออกแล้วสวมชุดตามเดิมเพื่อมาหารือกันเรื่องเหล่าองครักษ์มารของเผ่ยอวิ๋นจวิน ผู้อาวุโสทั้งสี่ยินดียื่นมือเข้ามาช่วย หวังเยี่ยนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้เข้าห้องหอแต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักจึงต้องเลื่อนเข้าห้องหอออกไปก่อน อย่างไรกว่าจะได้เข้าห้องหอกันอีกครั้งคงต้องรอหลังพิธีอภิเษกเฟิงจางจิ้งเซียนขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาร....'ต้องขอขอบคุณเฉินฮุยเกอมากที่ตามมาช่วยข้ากับฮูหยินอีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ด้วย' หวังเยี่ยนก้มโค้งคำนับเฉินฮุยอีกครั้ง'ไม่เป็นไร ลืมไปแล้วรึว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ข้าผิดหวังมากนะหวังเยี่ยนที่ไม่เชิญพวกข้าเข้าร่วมงานอภิเษก' เฉินฮุยตำหนิจอมมารยกใหญ่อีกครั้งทั้งๆที่นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เจ้าหวังเยี่ยนยังทำตัวห่างเหินกับพวกเขาอีก หากมิใช่ว่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้าในงานแต่งเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกเซียนชั้นสูงทั้งสิบมาหารือมีหรือที่พวกเขาจะรู้&
วังมังกรเนรมิตถูกจัดตกแต่งด้วยสาหร่ายแดงที่พอจะหาได้และผ้าไหมแดงที่พอจะมีอยู่บ้าง จื่อจิงรับหน้าที่เป็นแม่งานจัดเตรียมหน้างานทั้งหมด ยังรู้สึกผิดหวังที่งานเเต่งอลังการถูกพังทลายลงอีกทั้งตี้จวิน[1]คนนั้นเหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วสามวันกลับไม่มีข่าวคราวจากวังสวรรค์ส่งมาเลยแม้แต่น้อย'จื่อเออร์ เหตุใดจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า' หลิงหลิวเหว่ยเอ่ยถามจื่อจิง'ข้ารู้สึกว่ายังขาดอะไรไปแต่ช่างเถอะ ท่านเห็นเหล่าหลงทั้งสามไหม''ไม่เห็น จริงสิปี้เฉียงก็หายไปด้วย''เดี๋ยวข้าไปตามเอง' จื่อจิงว่าเช่นนั้นแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังวังมังกรเนรมิตยังมีสระน้ำมรกตไป๋ฉุนจิ้งคงต้องไปดูสักหน่อย บังอาจปล่อยให้สตรีร่างบางกับบุรุษอ้อนแอ้นอย่างนางกับหลิงหลิวเหว่ยทำงานอยู่สองคนใช้ได้ที่ไหนกันเสียงน้ำหลั่งไหลผ่านโขดหินใต้ธาราสีใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดบุรุษรูปร่างกำยำทั้งสี่หย่อนกายหย่อนใจลงในสระน้ำนั้น..'พวกท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน' ปี้เฉียงเอ่ยถามมังกรทั้งสาม พวกเขาแลดูเหมือนจะรู้จักทางป่านี้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังนำทางพามาอา
เหล่าหลงทั้งสามพาพวกข้ากลับมายังหุบเขาสิ้นชีวาอีกครั้ง แต่พวกทหารชุดดำเหล่านั้นก็ยังตามข้ามาทันอยู่ดี ข้าจึงลุกขึ้นยืนหยัดสั่งให้หลงลี่พาคนที่บาดเจ็บกลับไปที่วังมังกรเนรมิตก่อนแล้วจึงไปประจันหน้ากับเหล่าทหารชุดดำ'นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเซียนใยต้องยื่นมือเข้ามาด้วยเล่า' หมิงป๋ายยิ้มเย้ยหยัน ข้าต้องระงับโทสะตัวเองหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องทำอย่างมีสติ 'หากพูดว่าไม่ใช่เรื่องข้าคงมิใช่กระมัง งานที่เจ้ามาพังวันนี้คืองานวิวาห์ของข้า คนที่เจ้าปักกระบี่ลงกลางอกคือว่าที่สามีของข้า' 'ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงมิอยากจะตกลงปลงใจกับจอมมารมือเปื้อนโลหิตอย่างเขา มาร่วมมือกับพวกข้าเถอะเฟิงจางจิงเซียน' ข้ากำกระบี่ในมือแน่น'คุณธรรมเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากและถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้ชีวิตของเขาไป'หวังเยี่ยน..ท่านทำเรื่องอะไรมากัน ทำไมมารเหล่านี้ถึงได้มีความแค้นกับเจ้ามากถึงเพียงนี้แปะ แปะ แปะเงาสีดำทมิฬค่อยๆประกอบรูปร่างขึ้นเป็นคน เงาสีดำที่นางรับได้ถึงพลังมหาศาลพลังงานแห่งความมืดความชั่วร้ายที่ถูกล้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรือนผมสีดำแผ่สยายดวงตาเป็นประกายสีเขียวมรกตงดงาม ชุดเกราะสีเงินทรงอา
หลิงหลิวเหว่ยและปี้เฉียงเดินเข้ามาในห้องโถงเงียบๆ เห็นจอมมารกุมมือท่านหญิงเซียนอยู่แต่ท่านหญิงเซียนแลดูมีเรื่องลำบากใจ ตอนนี้จดหมายตอบรับได้มาถึงแล้ว เขาควรนำไปรายงานแก่จอมมาร เจ้าปี้เฉียงนี่ก็ตามติดเป็นเงาตามตัวน่ารำคาญจริง เมื่อไหร่จะกลับเผ่าหงสาไปสักที'ท่านจอมมารขอรับ สาน์สตอบรับมาถึงแล้ว' หลิงหลิวเหว่ยยื่นสาน์สให้จอมมาร จอมมารเปิดอ่านในทันที'เจ้าตอบตกลง?' จอมมารยิ้มกว้าง เขาบรรจงจุมพิตหลังมือของเฟิงจางจิ้ง นางไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวก็ชักมือออก'อืม ใช่ แล้วข้าจะรอเกี้ยวของท่านที่สวรรค์ชั้นฟ้า' นางลุกเดินออกไปอย่างขัดเขินเล็กน้อย นางมองตำแหน่งที่จอมมารจุมพิตไปเมื่อครู่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 'ไปกันเถอะจื่อจิง' จอมมารยังคงตะลึงงันด้วยความดีใจ จนกระทั่งนางกับจื่อจิงเดินลับสายตาไปแล้ว..'ปี้เฉียง ฝากเจ้าคุ้มครองนางถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที' 'รับทราบ!' ปี้เฉียงฟังคำสั่งจอมมารอย่างไม่อิดออด แล้วเดินตามเฟิงจางจิ้งกับจื่อจิงไป...จอมมารนั่งเปิดอ่านเทียบของหมั้นที่เขาส่งไปคราวที่แล้วเพิ่มของไปอีกสักหลายอย่าง..'ของทุกอย่างพร้อมแล้วนะ นี่เป็นรายการที่ข้าเพิ่ม จัดเตรียมให้เสร็จวั