หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา
'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่
'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทนาพาทีกันเลยและดูเหมือนนิสัยของหวังเยี่ยนจะแปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
'เป็นความจริงอยู่ครึ่งส่วน ข้าส่งเทียบสู่ขอเทพบุปผาเฟิงจางจิ้งจริงแต่ยังมิทราบว่านางจะตอบตกลงหรือไม่อย่างไร..' เขาลอบมองไปที่หญิงสาวข้างกายเขาที่สวมผ้าแพรขาวปิดดวงตาไว้ในมือนางยังคงถือถ้วยชาค่อยละเลียดชิมแช่มช้าอย่างสบายอารมณ์ บทสนทนาเมื่อครู่ นางก็ได้ยินทั้งหมดแต่หากไม่ใช่เรื่องของนาง นางก็จะไม่ยืนมือเข้าไปสอด
'โอ้..แม่นางเฟิงจางจิ้ง เม่ยเมยของเทียนจวินผู้มีกลิ่นกายหอมร้อยมวลบุปผา ใบหน้างดงามล่มนรกล่มสวรรค์คนนั้นนะหรือ ' ฉินเชิงเซียน ผู้ปกครองทะเลพายัพ มองหวังเยี่ยนอย่างตกตะลึง พลางคิดในใจ
ต่างราวกับฟ้ากับเหว เช่นนี้ เยี่ยนเยี่ยนของพวกเขายังมีความหวังไหมหนอแล้วสตรีข้างกายคนนั้นไม่ใช่ว่าเป็นเทพบุปผาเฟิงจางจิ้งหรอกหรือ
'ถูกแล้วศิษย์พี่และนางก็คือหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายของข้าอย่างไรล่ะ' ฉินเชิงเซียน ป๋ายอวิ๋น เออร์หลิงและเฉินฮุย ชะโงกหน้ามองตามที่หวังเยี่ยนบอก ยลโฉมแล้วก็ถือว่าเพียงแต่นางยังสวมผ้าแพรขาวอยู่จึงมิอาจคาดเดาได้ว่าความงามอย่างจดสมบูรณ์อย่างที่เขาเล่าลือกันจริงเท็จอย่าง
'เหลือเชื่อจริงๆว่าหวังเยี่ยนของเรากำลังจะได้คู่ครองที่งามและสมฐานะเช่นนี้ ' เฉินฮุยถือเป็นศิษย์พี่ใหญ่และเป็นผู้ปกครองทะเลทักษิน เขารู้สึกชื่นชมจอมมารผู้นี้ ผู้เป็นศิษย์น้องของเขา เขายังเคยสั่งสอนหวังเยี่ยนตั้งแต่ยังเป็นโม่กุ้ยหรือมารปีศาจน้อย จนกระทั่งเติบใหญ่กลายเป็นจอมมารที่ทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนยังต้องเกรงกลัว
'ท่านพี่ใหญ่ชื่นชมเกินไปแล้ว ขึ้นมาบนสวรรค์ครั้งนี้คงมิได้ตั้งใจมาหยอกข้า เช่นนั้นพวกท่านมาทำอะไรกันหรือ'
'จริงอย่างเจ้าว่า พวกข้าแค่บังเอิญผ่านมาเจอเจ้า ข้ากำลังไปประชุมเทพา' เฉินฮุยถอดถอนหายใจ ครั้งนี้เทียนจวินเรียกพวกเขาเข้าพบกะทันหัน ทั้งสี่เทพจึงรีบกุลีกุจอขึ้นมาให้เร็วที่สุด
'เรื่องสำคัญอย่างนั้นหรือ'
'ใช่ หากเสร็จการประชุมแล้ว ค่อยหาเวลาพบปะ สนทนากันสักหน่อย ข้าต้องไปละ'
'ขอรับ' เฉินฮุยรีบกล่าวลาแต่ยังคงแสดงถึงความเป็นห่วงเขาอยู่มากก่อนจะรีบหายตัวไปพร้อมกับเทพอีกสามตน
'ท่านสนิทกับเทพเซียนท่านอื่นด้วยหรือ' นางนั่งเงียบมานานจนกระทั่งเหล่าเซียนพวกนั้นไปแล้วจึงเอ่ยปากพูด
'ก็มีบ้างเทพทั้งสี่ตนนั้นเป็นศิษย์พี่ของข้าทั้งหมด'
'อ่อ ที่ท่านรู้จักกับพี่ชายของข้าก็เพราะเคยศึกษาร่วมสำนักกันมาก่อนด้วยใช่หรือไม่ ' แม้มิได้เห็นแววตาของนางแต่กิริยาท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นจนออกนอกหน้าเลยทีเดียว
'ใช่ แต่เป็นช่วงระยะเวลาไม่เกินสามแสนปี ข้ามิได้สนิทกับพี่ชายเจ้าถึงเพียงนั้น' เมื่อนึกถึงครั้งที่ยังฝึกตนร่วมสำนักกับเฟิงหวังเหล่ยก็ยังขนลุกพิลึก เขายังจำได้ดีชายหนุ่มใบหน้างดงามราวกับรูปปั้นผู้มีเกศาขาวและนัยน์ตาที่ทรงเสน่ห์ไม่แพ้กันกับเขา ชายผู้นั้นแม้จะได้รับการยกย่องจากทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนแต่นิสัยส่วนตัวประหลาดพิลึก บ้าในกามตัณหา ชายหรือหญิงก็ไม่เว้น มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาแอบหนีมานอนหลับอยู่ในถ้ำ ตื่นขึ้นมาชายผู้นั้นก็ยื่นหน้าเขามาใกล้เพียงลมหายใจ ไม่ทราบว่าเขาตามมาได้อย่างไรและครั้งนั้นก็ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้ประลองกระบี่กับเฟิงหวังเหล่ย
'ข้าไม่คิดว่าจอมมารเช่นท่านจะยังมีนิสัยเป็นมิตรกับเทพเซียนด้วย?' นางยกยิ้มที่มุมหากไร้ผ้าแพรปิดตาอยู่ เขาคงได้ชื่นชมแววตาเป็นประกายที่เปี่ยมไปด้วยความรู้สึกประทับใจ นางประทับใจเขา ยกย่องเขา จริงอยู่ที่นางไม่โปรดปรานวิถีมารแต่นางชื่นชอบในวิสัยทัศน์ของเขา
'จอมมารแล้วอย่างไรเป็นจอมมารย่อมต้องมีคุณธรรมอยู่ด้วย'
'ท่านช่างเป็นมารที่แปลกประหลาดที่สุดที่ข้าเคยพบเจอ'
'หากเจ้าแต่งงานกับข้า เจ้าก็จะได้เรื่องแปลกประหลาดที่ชาตินี้ก็ไม่อาจพบเจอจากที่ไหนได้อีกแล้ว' จอมมารหนุ่มฉวยโอกาสโอบเอวบางเข้ามาใกล้มากขึ้น..
'นี่ท่าน!!' นางตีเข้าที่ไหล่เขาแล้วผลักร่างหนาออกห่างจากตัว แก้มขาวดุจหิมะเริ่มขึ้นสีแดงขึ้นเรื่อยๆ...
'ทำตัวรุ่มร่าม คนไร้ยางอาย!!'
'หึ'
'ไม่มีจิตสำนึก ไร้จริย..' จอมมารหนุ่มยัดขนมโม่หลี่เข้าปากนางพลางหัวเราะสะใจ นางเอื้อมมือใบบิดหูเขาเต็มแรง
'โอ้ยๆๆ เจ็บ สตรีอะไรแรงเยอะปานนี้ ' เขายั่วโทสะ นางจึงบิดให้แรงขึ้นไปอีก เขายังคงมองนางด้วยแววตาอบอุ่น สนอกสนใจ หากเป็นหญิงสาวผู้อื่นคงถูกเข้าใช้พลังมารเผาใหม่เป็นจุณไปแล้วกระมัง ต้องเป็นเช่นนี้ถึงได้เรียกว่าสนิทกับนางอีกขั้น แผนเกี้ยวนางวันนี้ของเขาถือว่าสำเร็จ..
ระหว่างที่หวังเยียนจวินกำลังหยอกล้อและสนทนาหลายร้อยพันเรื่องเล่าอีกทั้งยังแสดงฝีมือการตกปลาสุดล้ำให้เฟิงจางจิ้งชื่นชม หลิงหลิวเหว่ยและจื่อจิงก็เดินเคียงกันมาอย่างแช่มช้า ทั้งคู่แอบมองนายหญิงและประมุขหยอกล้อกันชั่วครู่จนได้จังหวะจึงเดินเข้าไปทำหน้าที่ดังเดิมอีกทั้งหลิงหลิวเหว่ยก็มีเรื่องสำคัญต้องทูลให้หวังเยี่ยนจวินทราบด้วย
'เรียนหวังเยี่ยนจวิน มีเรื่องด่วนฝ่าบาท' จอมมารหนุ่มผายมือออกเป็นสัญญาณให้หลิงหลิวเหว่ยเริ่มพูดได้แม้ว่าหลิงหลิวเหว่ยจะยักคิ้วหลิ่วตาส่งสัญญาณว่าเรื่องนี้เป็นความลับของแดนมาร จอมมารกับหนุ่มกับไม่ยี่หระ
เห้อ จอมมารหนุ่มผู้นี้ไม่ระวังตนเอาซะเลยแม้เฟิงจางจิ้งจะเป็นถึงคู่หมายโดยปริยายแต่ก็มิควรไว้ใจมากถึงเพียงนั้น
'มีรายชื่อตำแหน่งโม่เจิ้นจวินเพิ่มมาหนึ่งรายชื่อ รอการมอบตำแหน่งอย่างเป็นทางการอีก 20000 ปี '
'ใคร'
'ผานเยว่ถิง' หลิงหลิวเหว่ยเขยิบเข้าไปใกล้จอมมารและกระซิบเบาๆแต่กาลก่อนนามชื่อนี้ถือเป็นชื่อต้องห้ามของสวรรค์ชั้นฟ้า ชะตารักที่พัวพันต่อใครหลายคนโศกนาฏกรรมความรักอันน่าเวทนาที่เลื่องลือและฉาวโฉ่
'เป็นทางที่นางเลือกเอง?'
'ขอรับ' นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อยู่ๆก็ผุดรายชื่อมารผู้ได้รับเลือกกลางคัน ผานเยว่ถิงคงสละตัวตนละทิ้งวิถีเซียนและเลือกทางมารบำเพ็ญตบะจนได้เลื่อนขั้นจนเป็นโม่เจิ้นจวินตำแหน่งมารชั้นกลาง
'วันพรุ่งข้าจะไปเผ่าหงษาด้วยตนเอง อย่างไร'เขา'ก็ต้องรู้เรื่องนี้ก่อน' หวังเยียนกระซิบหลิงหลิวเหว่ย ก่อนสั่งให้หลิงหลิวเหว่ยนำเกี้ยวมารับเพราะตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เขาไม่อยากให้เฟิงจางจิ้งรับลมหนาวมากจนเกินไป
'ห่มไว้ อากาศบนสวรรค์ชั้นฟ้าช่างเหน็บหนาวปานนี้แม้ขนนกจะไม่อบอุ่นเท่าขนจิ้งจอกแต่ก็พอป้องลมหนาวให้เจ้าได้' หวังเยี่ยนนำผ้าคลุมที่ทำจากขนวิหคเพลิงของเขาให้แก่นาง แม้ว่าจะเป็นเพียงขนนกใบเล็กๆแต่เขาเป็นวิหคเพลิง ขนเพียงใบเดียวก็ให้ความอบอุ่นนางได้มากโขเทียว
'ขอบคุณท่านมาก' นางเอ่ยลาสั้นกระชับสมกับนิสัยของนาง
อย่างไรก็ตามวันนี้ทั้งวันเพียงแค่ได้เห็นรอยยิ้มอันงดงามก็ถือว่าคุ้มค่าที่ดั้นด้นมาไกล วันพรุ่งนี้ยังมีเรื่องยุ่งๆให้จัดการ เขาคาดคะเนได้ว่าการที่ผานเยว่ถิงตัดสินใจละทิ้งวิถีเซียนเข้าสู่ทางมารอาจไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่..
หากกล่าวถึงเผ่าหงษาเรื่องราวเมื่อครั้งกาลก่อนหลายปีล่วงเลยไป เขากำเนิดจากเถ้าธุลีโดยมีหัวหน้าเผ่าวิหคเป็นผู้เลี้ยงดู ยุคนั้นยังมีเหง็กเซียนฮ่องเต้สวรรค์เป็นผู้ปกครองทั้งสามโลก มนุษย์ สวรรค์ นรก
ปีนั้นเขากำเนิดมาพร้อมกับเฟิงหวังเหล่ย จึงมีคำทำนายออกมาว่าเขาและเฟิงหวังเหล่ยเปรียบเสมือนดั่งหยินและหยางทั้งสองมิอาจแยกขาดจากกันได้ หากใครผู้หนึ่งตายตกเมื่อนั้นทั้งสามโลกจะเสียสมดุลถึงกัลปาวสาน นั่นเป็นสาเหตุที่เหง็กเซียนฮ่องเต้สวรรค์ผู้นั้นยกนรกหรือแดนโลกันตร์ให้แก่หัวหน้าเผ่าวิหคเป็นผู้ปกครอง รอจนเขาเติบใหญ่จึงมอบตำแหน่งที่คู่ควรมาแต่กำเนิดให้เขา
ปีนั้นส่วนปกครองแต่ก่อนกาลจึงตกเป็นของเผ่าหงษาส่วนเผ่าวิหคมีหน้าที่ดูแลแดนโลกันตร์อันร้อนระอุที่อยู่ข้างเคียงกับเผ่าอสรพิษ เรื่องยุ่งวุ่นวายเมื่อปีนั้นเขาก็เป็นในผู้ร่วมชะตาด้วย 'ผานเยว่ถิง' เขาเห็นนางเป็นน้องสาวคนหนึ่ง นางรักและเทิดทูนในตัวเฟิงหวังเหล่ยคนนั้นมาก จิตวิญญาณของนางล้วนมอบให้เขา นางลดฐานะตัวเองจากองค์หญิงคนเล็กของ'ผานเป่าเฉิง' หัวหน้าเผ่าหงษาผู้มีศักดิ์เป็นอาของเขาไปเป็นสาวใช้ในวังสวรรค์ เขาเองก็มีส่วนผิดที่ไม่ปกป้องดูแลนางให้ดี ชาติกำเนิดของเขาเป็นมารมาแต่กำเนิดแต่กับนางเป็นเทพเซียน นางทำลายแก่นเซียนของตนเองแล้วเปลี่ยนเป็นมาร เขายังรู้สึกเป็นห่วงนาง ยังนึกถึงคำถามที่นางเคยถามเขามาก่อน
'เยี่ยนเกอ ถ้าข้าอยากเป็นมารเช่นท่านต้องทำอย่างไร' รอยยิ้มงดงาม ยิ้มให้จนดวงตาเหลือเล็กเท่าดวงดาวเปร่งประกายสุกใส
'ถ้าเช่นนั้นเจ้าต้องละทิ้งวิถีเซียน ทำลายแก่นเซียน จงรักภักดีแก่เยี่ยนเกออย่างไรล่ะ' เขาหยอกล้อนางเล่นพลางบีบจมูกนั่นอย่างเบามือ
'อ่า แล้วข้าจะสามารถแต่งงานกับบุรุษผู้นั้นได้ไหมนะ' นางครุ่นคิด เขายีหัวนางเบาเบา เอ็นดู ในความไร้เดียงสา
'ไม่ว่าเจ้าจะเป็นมารหรือเทพเซียน ความรักก็มิอาจแบ่งแยกฐานะหรือแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ หากเจ้ารักและมั่นคงต่อกันพร้อมจะก้าวข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านั้น' นางยังคงมองเขาในฐานะพี่ชายที่แสนดี คงเป็นเหมือนเขากับนางแม้จะอยู่ต่างเผ่า แต่เขาก็ดีกับนาง ดีอย่างล้นเหลือ เตี่ยเคยบอกกับนางไว้ว่า หวังเยี่ยนจวินในวันหน้าจะเป็นผู้ปกครองแดนโลกันตร์ มีฐานะศักดิ์ใหญ่และให้นางวางตัวให้เหมาะสมกับหวังเยี่ยน หวังเยี่ยนไม่เหมือนเทพตนอื่นที่กำเนิดมาจากครรภ์ทิพย์แต่เขากำเนิดมาจากเถ้าธุลีเพลิงไฟบรรลัยกัลป์
'เยี่ยนเกอ ทุกอย่างจะดีจริงๆใช่ไหม' นางหลุบตาต่ำลงพาลยังนึกถึงเรื่องข่าวลือคู่หมายของเฟิงหวังเหล่ยกับหนานอี้หรง
'ถิงถิงไม่ต้องกลัวยังมีเยี่ยนเกอ'
'หากข้าทำอะไรผิดพลาด เยี่ยนเกออย่าโกรธข้านะต้องอยู่เคียงข้างข้า' เขาปาดน้ำตาของผานเยว่ถิงและพยักหน้ารับคำนาง นางมีจิตใจที่อ่อนโยนถึงเพียงนี้ หากต้องไปแย่งชิงสตรีนับร้อยที่หลงใหลในรูปลักษณ์ของเฟิงหวังเหล่ยคงมีแต่ถูกรังแกกลับมาแต่หากมันเป็นโชคชะตา เขาก็ควรปล่อยให้นางไปเผชิญกับเคราะห์รักตัวเอง ครั้งนั้นเป็นครั้งที่เขารู้สึกผิดที่สุด เขาไม่น่าปล่อยผานเยว่ถิงเข้าไปในวังสวรรค์ เขาไม่น่าปล่อยให้นางไปเจอกับนางจิ้งจอก เขาไม่น่าปล่อยไปเลยจริงๆ
จนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังเสียใจกับตัวเอง ยังต้องแบกหน้าไปหาผานเป่าเฉิงเพื่อบอกว่าตอนนี้ผานเยว่ถิงตัดสินใจเข้าสู่ทางมาร...
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ
ในโลกนี้ล้วนมีขาว ล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์ชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจและเป็นที่น่าเบื่อแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมากแม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมามากก็เถอะ ท้องฟ้าผันแปร สรรพสิ่งแปรผัน คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...'หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ข้าเหงา อยากหาอะไรสนุกๆทำเสียหน่อย' จอมมารหนุ่มอายุราวๆสามล้านกว่าปีหาววอดๆโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นซ่างเซียนขั้นแรกและแน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไปๆมาๆหลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น จอมมารอย่างเขาสิ่งไหนที่เขาปรารถนา เขาย่อมต้องได้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง 'เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย[1]ของเทียนจวิน[2]เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชี
ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้นเดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอ
หลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ' 'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแ
ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค
จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น 'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย'กังวลใจอย่างไร' 'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ''อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน''อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอ
เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ