ภาพขบวนเกี้ยวสีแดงขบวนใหญ่เคลื่อนที่เข้ามาในสวรรค์ชั้นฟ้า หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงและสวมชุดแต่งงานสีแดง
'เชิญเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว' เซียนหญิงผู้หนึ่งกล่าวขึ้น นางไม่รู้จักมาก่อน นางก้าวช้าช้า ยามก้าวขาขึ้นบนเกี้ยวนางเห็นชายหนุ่มผมสีดำยาวสลวยสวมชุดสีแดงคล้ายกับนาง เขายืนอยู่ข้างหน้าเกี้ยวแต่เพียงเพราะผ้าคลุมสีแดงจึงไม่เห็นว่าเขาเป็นผู้ใด นางนั่งหลังตรงอยู่ภายในเกี้ยวโดยมีจื่อจิงนั่งอยู่ด้วย ระหว่างที่นั่งอยู่ด้านในได้พักใหญ่ข้างนอกก็มีเสียงคล้ายอาวุธกระทบกัน เกี้ยวนางถูกยกลงกระแทกลงพื้นอย่างแรง เสียงอาวุธกระทบกันดังมาตลอดทาง จนกระทั่ง...
'ท่านจอมมาร!' เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น นางไม่รอช้าก้าวออกจากเกี้ยว นางเห็นชายหนุ่มในชุดสีแดงแผ่นหลังคุ้นเคยที่นางพบเห็นมาตลอดช่วงหลายวันมานี้ ร่างหนาล้มลงกับพื้นเลือดสีแดงสดค่อยๆหลั่งไหลย้อมเป็นสีแดงเข้ากับชุด ก่อนที่ทัพสวรรค์และชายหนุ่มเกศาขาวจะเข้ามาต้านทัพศัตรูให้ถอยหลังไป ชายในชุดแดงลุกขึ้นอย่างห้าวหาญยังคงกวัดไกวกระบี่กับชายชุดดำอีกคนลากออกไปให้ไกลจากเกี้ยวและส่งยิ้มมาทางนาง สองขาของนางวิ่งตามเขาออกไป
'ไม่ต้องตามข้ามา รักษาตัวเองให้ดี เฮือก' เขากระอักเลือดมาแต่ยังคงกวัดไกวดาบกับชายชุดดำอย่างไม่ลดละ จนกระทั่ง.. กระบี่ของชายชุดดำคนนั้นปักลงไปกลางอกเขา ร่างหนาล้มลงทันทีเลือดหลั่งไหลอาบหยดลู่ลงสู่พสุธา นางรีบวิ่งไปกอดร่างเขาเอาไว้ ไม่สนแม้คำทัดทานของพี่ชายตนเอง ร่างบางประคองเขาไว้ในอ้อมอก ใบหน้านางยังคงเรียบนิ่งมีเพียงธารน้ำสีใสที่ไหลออกมาจากตา ดวงตาแข็งกร้าวจ้องมองไปที่ชายหนุ่มชุดดำผู้นั้น
'ข้าบอกว่าไม่ต้องตามข้ามาได้ยินไหม' นางดึงดาบที่ปักอกเขาออก ชายชุดดำแค่นยิ้ม เรียกกระบี่กลับเข้าสู่มือตนเอง
'เงียบ!' นางตวาดเขาและรวบร่างหนาไว้ในอ้อมกอดเพียงแค่นางจ้องไปที่ชายชุดดำผู้นั้นราวกับมีลูกดอกนับพันเล่มพุ่งเข้ามาชนเกราะพยัคฆ์เมฆาแผ่รัศมีสีดำออกมา
'ท่านเซียนหญิงร้ายกาจไม่เบา ' ชายหนุ่มในชุดดำเค้นเสียงกล่าวออกมา
'ข้าไม่เป็นไร โถ่ๆห่วงพระสวามีดอกรึ'ฝ่ามืออบอุ่นลูบแก้มนาง
'เงียบ!' นางตวาดเขาอีกรอบ เวลาเล่นไม่รู้จักเล่น เวลาจริงจังก็ยังจะทำเป็นเล่นไป
'หุบเขาสูงตระหง่านเพียงลำพัง ภาพเซียนสาวประดุจดั่งประติมา
พานพบเจอเพื่อบรรจบวาสนา วอนไพรีส่งอัปสราคืนสวงสวรรค์
อนึ่งนั้นเข้าจิตมารลิ้มรสรัก อนึ่งเฝ้าฝักใฝ่หวังเป็นเซียน
เฝ้าหมั่นเพียรบำเพ็ญตบะ ร้อยหมื่นพันชาติภพจวบสิ้นอสงไขย
ขอเป็นตำนานเคียงใจหฤทัย ขอให้เป็นเรื่องเล่าสู่สัมปรายภพ
ขอบรรจบเรื่องราวแปดเปื้อนทรหด ขอจงจดจำข้าชั่วชีวี' เขายังคงลูบใบหน้าอันงดงามจนกระทั่งบัดนี้เขาก็ยังไม่อาจได้มองเห็นดวงตาของนาง แววตางดงามคู่นั้นมองมาที่เขาเป็นเช่นไร มือหนากำลังกระตุกผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวให้หลุดออกเผื่อเชยชมใบหน้างดงามนั้นสักครั้งก่อนสิ้นลมหายใจ นางกลับกุมมือเขาไว้
'ท่านจะทำเช่นนั้นได้ก็ต่อเมื่อดื่มเหล้ามงคล คำนับฟ้าดิน และเข้าห้องหอพร้อมข้าเท่านั้น' เขายังคงยิ้มให้นางอยู่ สองมือของนางมีแต่เลือดเต็มไปหมด ร่างกายของเขาเริ่มขาวซีดขึ้นเรื่อยๆ
'ข้าจะไปรอเจ้าในสัมปรายภพ[1]' ร่างของเขาเริ่มสลายกลายเป็นผุยผง...
'ไม่! หวังเยี่ยน!!!' เสียงเซียนสาวกรีดร้องลั่น ร่างบางผวาตื่นขึ้นมาจากฝันอันโหดร้าย
จื่อจิงเขย่าตัวนางมานานแล้วแต่นางกลับมิตื่นสักที
'ฝันร้ายหรือเพคะ' หญิงสาวปาดเหงื่อที่ผุดขึ้นเต็มใบหน้าไปหมด
'ข้าจะไปหาหวังเยี่ยน เดี๋ยวนี้!' นางออกคำสั่งและไม่ตอบคำถามอะไรกับจื่อจิง โชคดีที่จื่อจิงสั่งหลิงหลิวเหว่ยไว้แล้วว่าท่านเซียนหญิงเฟิงจางจิ้งต้องการเข้าพบจอมมารเร่งด่วน นี่ขนาดทั้งฝันร้ายแล้วยิ่งฝันถึงจอมมารด้วย บัดนี้ท่านเซียนหญิงมิน่าเข้าใกล้แม้แต่จั้ง[2]เดียว นางกลับเข้าไปอาบน้ำผลัดหน้าตาแต่งผมและสวมผ้าแพรขาวปิดตาไว้ วันนี้นางทำทุกอย่างเร่งด่วนกว่าทุกวัน จิตใจดูกระวนกระวายไม่สมกับเป็นเทพเซียนในชุดขาวคนเดิมเลยแม้แต่น้อย
ร่างงามระหงก้าวขึ้นเกี้ยวอารมณ์ขุ่น พาลเอาหลิงหลิวเหว่ยกับจื่อจิงขนลุกไปพร้อมๆกัน
'ท่านเฟิงจางจิ้งเซียนเป็นอะไรหรือ' หลิงหลิวเหว่ยสะกิดจื่อจิงกระซิบเสียงเบาที่สุดพอให้ได้ยินกันสองคน
'ดูเหมือนจะห่วงจอมมารมาก'
'ห่วงรึ ? มิใช่ว่าเจ้าไปพูดใส่สีตีไข่ให้ท่านเซียนโกรธกริ้วจอมมารจนต้องโร่เข้ามาคุยกับจอมมารให้รู้เรื่องดอกรึ'
'ปากเจ้านี่นะ! ข้าพูดจริง นางเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อคืนตอน อีกทั้งท่านเซียนยังฝันร้ายเรียกชื่อจอมมารเสียงดังเชียว'
'เงียบ!' กริบ สิ้นเสียงของเฟิงจางจิ้ง บรรยากาศโดยก็ตึงเครียดไปหมด เงียบเป็นเป่าสาก ได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจ เฟิงจางจิ้งได้ยินทั้งหมดที่ทั้งสองคุยกัน วันนี้อารมณ์นางไม่คงที่และไม่สบอารมณ์อย่างมาก อย่างไรกันถึงเรียกว่าเป็นห่วง
แม้ความฝันจะเป็นเพียงแค่ความฝันแต่เสมือนจริงเช่นนั้นจะให้นางไม่หวั่นใจได้อย่างไร
คงมิใช่เป็นห่วงเขา ข้าเพียงแต่คิดว่าหากเขาตายจากไปพี่ชายของนาง โลกใบนี้ รวมถึงเหล่าจอมมารน้อยใหญ่คงถึงกัลปาวสาน
ใช่! นางไม่ได้เป็นห่วงเขาสักนิด นางเป็นเทพเซียนจะมีความรู้สึกเช่นนั้นอยู่ได้อย่างไร ทุกอย่างที่นางทำเพื่อความผาสุกของทั้งสามโลก ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น
ทุกสิ่งที่คิดก่อนหน้านี้อันตรธานหายไปโดยพลัน
สีหน้าโกรธจัดของเซียนหญิงมองไปที่ร่างกำยำของชายหนุ่มเกศาดำที่ยังหลับตาปิดสนิทนอนอยู่บนเตียงไม้แกะสลัก มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาวางหัวลงบนฝ่ามือตั้งฉากขนานกับเตียงส่วนมืออีกข้างก็กุมแผลไว้ที่ข้างเอว นางย่างก้าวอย่างช้าช้า อังมือลงบนหน้าผากมนของจอมมารหนุ่ม สัมผัสได้ถึงความร้อนระอุซึ่งน่าจะมาจากพิษไข้ นางไม่พูดพร่ำอะไร ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆจอมมารคอยดูอาการจอมมาร ในใจนึกอยากจะตำหนิติเตียนนัก ทำไมถึงต้องหาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวเช่นนี้ น่าตีซ้ำสักทีสองทีจริงๆ
'ยังมีพิษไข้อยู่ให้เขากินยาหรือยัง' ดวงตาโฉบเฉี่ยวฉายแววไม่พอใจทะลุผ้าแพรขาวหันไปคาดคั้นกับหลิงหลิวเหว่ย ทั้งๆที่อากาศวันนี้เย็นดีแท้ๆ ใยถึงรู้สึกร้อนอบอ้าวจนเหงื่อแตกพลักเช่นนี้
จื่อจิงหันไปสบตากับหลิงหลิวเหว่ยเลิกลั่ก ที่แท้ท่านเซียนท่านนี้เวลาโกรธหรือไม่พอใจกลับน่าเกรงกลัวไม่แพ้กับจอมมารเลยทีเดียว ออกจะน่ากลัวมากกว่าจอมมารด้วยซ้ำ
'หลังจากทำแผลท่านจอมมารก็มิได้รับยาเพียงแต่ขอนอนพักขอรับ'
'ใช้ไม่ได้! ไปตามแพทย์หลวงมาหาข้า' นางออกคำสั่งไร้ซึ้งความหยั่งคิดหรือปราณี หลิงหลิวเหว่ยปาดเหงื่อลวกๆแล้วทำตามรับสั่งรีบวิ่งแจ้นออกไปทันที แต่เหมือนว่าเขาจะนำหมอหลวงมาซวยโดนท่านเซียนหญิงตำหนิแต่ยังดีที่ได้รับเทียบยาใหม่จากท่านเซียนหญิงด้วย หน้าเจื่อนกันเป็นแทบๆ
'อืม..เสียงดังอะไรกัน' ดวงตาของจอมมารค่อยๆเบิกกว้างกระพริบตาถี่ๆปรับรับแสง ครั้นลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าเทพธิดาตนเฝ้าคะนึงหาอยู่ทุกคืนวัน หรือนี้ยังไปเพียงความฝัน?
'ทำไมไม่กินยา'
'พิษไข้ขึ้นแล้ว' ราวกับว่าเขาตกอยู่ในห้วงฝันอีกครั้ง สีหน้าและแววตาของนางดูเป็นห่วงเขามาก เขาดูออก แม้ยังไม่เห็นดวงตางดงามแต่ก็รู้ว่านางมองเขาเช่นไร นางกำลังไม่พอใจ ริมฝีปากได้รูปบ่นเขาไม่หยุด..
แปะ
จอมมารเอื้อมไปสัมผัสแก้มร่างบางตรงหน้า
'ท่านล่วงเกินข้า' นางพูดกับเขาเบาๆแล้วจับมือของเขาออกจากใบหน้าตนเอง ริมฝีปากได้รูปยังคงบ่นขมุบขมิบแต่คงเพราะพิษไข้ เขาถึงฟังไม่ได้ศัพท์จับไม่ได้ความ นางล้วงมือหายาเม็ดที่นางบดเองกับมือในแขนเสื้อ เม็ดยาสีโอรสอันทำมาจากเกร็ดมังกรผสมกับใบตังกุยและเห็ดหลินจือสวรรค์ สรรพคุณช่วยยับยั้งพิษไข้และสมานแผลได้ดี
'ท่านต้องกินยา' นางพูดแกมบังคับเขา เขาชั่งใจแต่ยังมิได้ตอบรับเพียงแต่มองนางนิ่งๆ
'ไม่กินได้ไหม' เขามองหน้านางราวกับสุนัขเชื่องๆกำลังอ้อนเจ้าของ เขาจับมือนางทาบกับแก้มของตนเอง
'นะ' เปร่งเสียงอ้อนวอนสุดฤทธิ์ นางปรายตามองเขา แล้วสะบัดมือสิ้นความใยดี
'มา' นางยื่นยาให้แก่เขา
'ข้ามองดูอยู่ อย่าให้ข้าต้องลงมือเอง' นางพูดขู่เขาอีกประโยคหนึ่ง จอมมารจำใจกระเดือกเม็ดยาเท่าลูกประคำลงคอ เห็นสีหน้าจริงจังของเฟิงจางจิ้งแล้วไหนเลยจะกล้าขัด เขายังอยากเเต่งงานกับนางอยู่!
แท้จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย เขาไม่คิดว่านางจะมาดูแลถึงที่นี่ สั่งการแพทย์หลวงด้วยตนเอง นางดูห่วงเขามากจริงๆ
'เสี่ยวจิ้งข้าดีขึ้นแล้ว' หลังจากกลืนยาเม็ดเท่าลูกประคำลงคอก็กลายเป็นว่าเขาตื่นดีเสียแล้ว อยากพูดคุยสนทนากับนางมากกว่านอนเป็นผักแบบนี้
'เงียบแล้วนอนลง'
'เสี่ยวจิ้ง แต่ว่าข้า..'
'นอน' นางไม่ฟังคำทัดทานของเขาเลยแม้แต่น้อยเอาแต่ตัดบทเขาอย่างเดียว เขาคงต้องยอมนอนสักตื่น หวังแต่ว่านางจะไม่ไปไหน เขาเอื้อมมือไปกุมมือของนางไว้ข้างแก้มอีกครั้งแล้วหลับตาพริ้มอมยิ้มอย่างเปี่ยมสุข นางหันหน้ามาเหมือนจะต่อว่าเขาอีกครั้ง แต่ทว่า..
'เยี่ยนเยี่ยนจะยอมนอนถ้าเสี่ยวจิ้งให้เยี่ยนเยี่ยนนอนแบบนี้' นางลอบถอนหายใจ ความดื้อรั้นเช่นนี้ คงต้องยอมเขาสักวันจะได้เลิกดื้อกับนางสักที
'เช่นนั้นก็หลับเถิด' หลังจากที่จอมมารหลับตาลงลมหายใจเริ่มสม่ำเสมอ นางก็ได้แต่มองเขาหน้าเขายามหลับไหล ความคิดตีกันมากมายถึงความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ มิใช่นางไม่รู้ตัวเพียงแต่ยังรู้สึกว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป
เพียงไม่เกินสามก้านธูปโดยประมาณ แผลน่าจะสมานดี พิษไข้ก็น่าจะทุเลาลง นางมีเรื่องต้องพูดกับเขาสักหลายเรื่อง
'หลิงหลิวเหว่ย' หลิงหลิวเหว่ยสะดุ้งเฮือกราวกับมีไอเย็นล้อมรอบ หันไปยิ้มแห้งๆให้แก่เฟิงจางจิ้ง
วันนี้ความซวยจะตกลงมาที่เขาอีกหรือ?
'ขอรับ'
'ข้าต้องการใช้ห้องครัว ช่วยไปจัดการให้ที'
'ได้ขอรับท่านเซียนหญิง' หลิงหลิวเหว่ยหายไปสั่งการจัดเตรียมครัวอยู่พักใหญ่ เห็นเซียนหญิงนั่งดื่มชามองจอมมารอย่างไม่คลาดสายตาก็สบายใจ ดูเหมือนอารมท่านเซียนจะเย็นลงขึ้นมาก
'ห้องครัวพร้อมแล้วขอรับ'
'อืม' จื่อจิงยื่นมือคอยประคองเซียนหญิงไปที่ห้องครัว ก่อนจะกำชับหลิงหลิวเหว่อย่างเด็ดขาดว่า
'หากข้ายังไม่ออกมาก็ห้ามใครเข้ามาโดยเด็ดขาด' นางกำลังจะตุ๋นน้ำแกงไปให้จอมมารบำรุงเลือด ร่างกาย ว่าแล้วจึงปลดผ้าแพรขาวออกยังดีที่มีจื่อจิงคอยช่วยหาวัตถุดิบ ที่นี่มีวัตถุดิบแปลกตาเยอะแยะเต็มไปหมดแต่หากยังไม่รู้สรรพคุณของมัน ก็ไม่ควรไปแตะต้องแม้แต่นิดน้อย น้ำแกงฝีมือข้าถือว่าเลิศรสแต่ข้าก็ไม่เห็นว่าจะมีใครทนกินน้ำแกงของข้าได้หมดถ้วย เพราะน้ำแกงของข้าเปรียบเปรยได้ดังที่เขาพูดกันว่า 'ยาหม้อใหญ่'[3] ที่ไม่ใช่ใครๆก็กินกันได้หรือนิยมชมชอบกันได้ง่ายๆ..
ตู้มต้าม! โครมคราม!
'มีใครฝึกพลังอยู่หรือ' ปี้เฉียงเอ่ยถามวันนี้เขาตั้งใจเดินทางมาหาหลิงหลิวเหว่ยโม่เจิ้นจวิน เพราะถูกชะตามาหลายครั้งแล้ว อยากสู่ขอเข้าจวนเหลือเกิน โม่เจิ้นจวินคนนี้แม่ภายนอกจะเป็นเพียงบุรุษชายหุ่นอ้อนแอ้นคนหนึ่ง แต่เป็นเพราะหุ่นอ้อนแอ้นบอบบางน่าทะนุถนอมไม่แพ้สตรีเซียน เขาถึงสนใจนึกอยากจะสู่ขอเข้าจวน เขาไม่ใช่พวกชอบตัดแขนเสื้อแต่เพราะโม่เจิ้นจวินผู้นี้พิเศษกว่าใครที่เขาเคยเจอ
'แหะๆ ไม่มีอะไรหรอก ท่านเซียนประมุขหญิงกำลังตุ๋นน้ำแกงให้จอมมารน่ะ' หลิงหลิวเหว่ยได้แต่หัวเราะแห้งๆ ไม่อยากจะคิดเลยว่าหลังจากท่านเฟิงจางจิ้งออกมาแล้วสภาพห้องครัวจะเป็นเช่นไร
'แสดงว่ากำลังจะมีข่าวดีเร็วๆนี้?'
'ใช่ ว่าแต่ท่านมาหาข้าวันนี้มีกิจสำคัญกับข้าหรือจอมมาร'
'ไม่มี ข้าแค่อยากมาพูดคุยกับเจ้า' ปี้เฉียงยกมือเกาท้ายทอยแก้เก้อเขินพลางหยิบกระบี่ที่ตีด้วยเหล็กผลึกนิลให้กับหลิงหลิวเหว่ย เขาลงทุนตีเองกับมือรวมถึงออกแบบปลอกเก็บกระบี่เองอีกด้วย พู่อันนั้นที่ห้อยตรงด้ามกระบี่ก็ทำมาจากขนหงส์ของเขา ไม่ว่าหลิงหลิวเหว่ยจะไปที่ใด เขาก็จะรับรู้ได้ทันที
'ข้าตั้งใจนำกระบี่นี่มาให้เจ้า' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเข้มชนกัน
เขาไม่รู้หรือไงว่า ข้าไม่ถนัดจับกระบี่? เรื่องต่อยตีก็มิใช่วิสัยเสียด้วย หรือเขากำลังจะบอกเป็นนัยๆว่าอยากต่อยตีกับข้า
'ข้าไม่นิยมชมชอบจับกระบี่หรอกนะ' ปี้เฉียงพลันหน้าแดงให้กับประโยคสองแง่สองง่ามพลางจับมือของเขาขึ้นมา ลากนิ้วชี้ตนเองลงบนฝ่ามือนุ่มๆของหลิงหลิวเหว่ย ลากผ่านลายเส้นบนฝ่ามือแผ่วเบา
'มือนุ่มจริงแสดงว่าไม่เคยจับกระบี่ แต่รับไว้เถอะข้าให้'
'นี่เจ้า!!!! ได้งั้นมาลองดูว่าข้าจะฟาดกระบี่ลงบนแขนเจ้าได้สักข้างไหม' ใบหน้าแดงระเรื่อ ชี้หน้าชายหนุ่มอีกคนที่แอบจับมือเมื่อครู่ รับกระบี่มาแล้วดึงออกจะฝักฟาดฟันชายหนุ่มต่อหน้าแต่ก็ถูกเขาป้องไว้ได้
ปี้เฉียง! เจ้าจะสามหาวเกินไปแล้วนะ
จื่อจิงชะเง้อคอมองเซียนหญิงที่แลดูตั้งใจกับการทำอาหารมากอีกทั้งยังตุ๋นน้ำแกงให้จอมมารอีกแต่หากใครได้มาอยู่ตรงนี้คงหวาดเสียวไม่แพ้นาง ไฟลุกโขมงรอบที่เก้าของวันคงไม่ต้องพูดถึงเรื่องเทอาหารไหม้ทิ้งว่ากี่รอบเพราะนับไม่ถ้วนทีเดียวเชียว ส่วนเรื่องรสชาติ ไม่เอ่ยถึงคงจะดีเสียกว่า
'ท่านเซียนหญิงมิเคยเข้าครัวมาก่อนหรือ' นางตวัดสายตาดุๆมามองข้า
'เข้าออกบ่อย' แต่ล้วนทานไม่ค่อยได้... จื่อจิงมองถ้วยน้ำแกง ยากจะขาดเดาถึงรสชาติ
'ยกออกไป' แค่กลิ่นที่โชยมาก็น่าพิศวง..
'เพคะ' ขอให้จอมมารยังรอดชีวิตถึงวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด จื่อจิงภาวนา
เมื่อจัดการโรงครัวเรียบร้อย เฟิงจางจิ้งจึงหยิบผ้าแพรขาวมาสวมไว้เช่นเดิมแล้วเดินตามจื่อจิงออกไป..
จอมมารนอนหลับฝันถึงวันแต่งงานนองเลือดรอบที่สองของวันและนี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อยากจะหลับตาฝันเลยทีเดียว หรือจะเป็นเพราะเรื่องราวในวันวานที่เขาประดาบกับเผ่ยอวิ๋นจวินตามมาหลอกหลอน เขาควรหรือมิควรกังวลเรื่องนี้..
ไม่นานเกินรอจื่อจิงยกสำรับอาหารมาวางไว้บนโต๊ะเล็กๆกลางห้อง เขาค่อยๆลุกขึ้นมองอาหารหน้าตาแปลกประหลาด..
'ข้าตุ๋นน้ำแกงไว้ให้ มากินสิ' เซียนหญิงในชุดขาวผายมือชวนพลางนั่งลงตรงข้ามฝั่งกับจอมมาร จอมมารไม่อิดออดยอมลุกตามมาแต่โดยดี
'เจ้าก็ทำอาหารเป็นด้วย?'
'ท่านลืมไปหรือเปล่าว่าข้าถือว่าเป็นแพทย์คนหนึ่ง ทำยาได้แล้วเหตุใดจะทำอาหารได้ไม่ดี' ยากับอาหารมีข้อแตกต่างที่ชัดเจน สำหรับยานั้นมิต้องคำนึงถึงรสชาติหากแต่ว่าคำนึงถึงเพียงสรรพคุณ ส่วนอาหารแม้จะมีขั้นตอนที่พิถีพิถันไม่แพ้การปรุงยาแต่คำนึกถึงรสชาติเป็นสำคัญ
'อืม..งั้นข้ากินแล้วนะ' เขาไม่พูดพร่ำมากมาย ยกน้ำแกงขึ้นซดทันที รสชาติขมปี๋จุกอยู่ในลำคอ นางกรีดยิ้มตรงมุมปาก
รอยยิ้มนั้นหมายความว่าอย่างไร นางกำลังเย้ยข้าหรือไร คงได้แต่กลั้นใจกระเดือกลงคอ
'นี่น้ำแกงอะไรหรือ'
'น้ำแกงดีงูน่ะ บำรุงร่างกายดีนัก ' รอยยิ้มอาบยาพิษชัดๆ ขมปานนี้ งั้นลองชิมซุปอันนั้นดูอาจช่วยได้
ชายหนุ่มใช้ช้อนตักซุปละเลียดชิม หวาน! หวานจัด นางใส่อะไรลงไป อ้อยทั้งสวนหรือไร
'แล้วซุปนี้'
'ไม่อร่อยหรือ ซุปผักรวมน่ะ'
'แหะๆ อร่อย ไม่เคยกินอาหารที่ไหนอร่อยเท่าฝีมือเสี่ยวจิ้งมาก่อน' จำไว้เลยว่าหลังจากนี้ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ให้นางเข้าครัวโดยเด็ดขาดแม้แต่ย่างก้าวเดียวก็ไม่มีวัน!
'เช่นนั้น ข้าจะทำให้เจ้ากินบ่อยๆ' เขาว่าเขาคงคิดผิดจริงๆที่มาแต่งงานกับเซียนในชุดขาวผู้นี้ หลังจากทนกินอาหารที่รสชาติหวานก็หวานเลย ขมก็ขมเลย เค็มก็เค็มเลยของนาง จึงมานั่งรับลมข้างนอก นั่งต่อกลอนกับนางอย่างเพลิดเพลินแต่กลอนแต่ละบรรทัดล้วนมีแต่เรื่องธรรมะบ้างอะไรบ้าง ออกจะน่าเบื่อเหลือเกิน
'หวังเยี่ยน' เสียงหวานเอ่ยเรียกเขา..
'ว่าอย่างไร'
'ทีนี้ท่านพร้อมจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ข้าฟังหรือยัง'
'อืม ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง' หวังเยี่ยนหวนนึกเรื่องราวที่เกิดในวันนั้น
หลังจากที่เขากลับมาจากวังวสันต์วายุเป็นอันเรียบร้อย เดินกลับเข้าในแดนโลกันตร์ได้ไม่กี่ก้าว นายทหารที่ดูแลคุกฝั่งทิศตะวันตกก็โร่เข้ามารายงานว่ามีบุคคลปริศนาไม่ทราบที่มาบุกเข้ามาชิงตัวเผ่ยอวิ๋นออกมา หนำซ้ำโซ่ตรวนที่เขาเคยพันธนาการเผ่ยอวิ๋นเซียนยังหลุดออกอีก ที่มาที่ไปของผู้ที่บุกมาช่วยเผยอวิ๋นยังคลุมเครือ..
'เผ่ยอวิ๋นจวินคือคนที่ข้าสู้ด้วยในวันนั้น เขาเป็นนักโทษผู้มีสายเชื้อราชวงษ์ของจอมมารรุ่นก่อน ข้ากับเขาเรายังเคยเป็นสหายรักกัน ปีนั้นมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นและเขาถูกขังอยู่ที่นั่น เมื่อสองวันก่อนข้าไปยังที่ที่หนึ่งพอกลับมาที่วัง ทหารก็รายงานว่าเผ่ยอวิ๋นหลุดออกมาจากคุก ข้าจึงรีบไปตรวจสอบทันที มีคนมาช่วยเขาและข้าก็ได้ประกระบี่กับเขาที่นั่นจนบาดเจ็บกลับมาอย่างที่เจ้าเห็นนี่แหละ' เจ้ามารเล่าอย่างไม่สบอารมณ์นั้น วันนั้นเขาประมาทมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้ตัวตัวการทั้งหมด
'ร้ายกาจขนาดนั้นเชียว'
'ข้าเจ็บตัวไปหมดเลย รู้ไหมว่าข้านึกเจ้าคนแรก'
'นึกถึงข้าคนแรกแต่กลับไม่บอกกล่าวข้าแม้แต่น้อย' นางยังคงนึกน้อยใจอยู่เพียงเล็กน้อย รู้อยู่แก่ใจว่าเขาน่ะเก่งแต่อย่างไรก็ต้องห่วงตัวเองบ้าง
'เจ้ายินยอมมาดูแลข้า มีใจให้ข้าแล้วใช่หรือไม่' นางรินชาให้แก่จอมมาร นางยังคงยิ้มบางบางให้แก่จอมมารอยู่ นางไม่รู้จักความรู้สึกเหล่านั้น รักเป็นเช่นไร ชอบเป็นเช่นไร
'ข้าย่อมไม่รู้สึกอะไร ข้าเป็นหมอ เห็นใครบาดเจ็บก็ย่อมช่วยเหลือทุกคน'แท้จริง นางกำลังโกหกเขา หากตอบว่าไม่รู้สึกอะไรเลยคงพูดได้ว่าเป็นการมุสา นางยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดเพียงได้ยินว่าเขาบาดเจ็บถึงได้กระวนกระวายใจอยากมาดูเขาให้เห็นกับตา ความรู้สึกแบบนี้ นางเพิ่งเคยเป็น นางไม่เคยได้ยุ่งเกี่ยวกับบุรุษคนใด ช่วงเวลาที่ผ่านมานางเพียงรู้ว่าตนเองต้องเดียวดาย ความเดียวดายไม่ทำให้นางเจ็บปวด นางเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า รสรักแสนหอมหวานแต่ยามแปรเปลี่ยนเป็นพิษแสนเจ็บปวดสุดขั้วหัวใจ..
'ข้าชอบเจ้าด้วยใจจริง ได้โปรดมาเป็นมหาเทวีของข้าเถอะ' เขากุมมือของนางไว้..
'หน้าที่ก็คือหน้าที่ ข้าให้คำตอบไปแล้ว'ริมฝีปากได้รูปเม้มเข้าหากัน จะให้นางพูดได้อย่างไร
หากสุดท้ายแล้วความรักจะเป็นเพียงความว่างเปล่าในวันหนึ่ง นางเฝ้าใคร่ครวญคิดมาตลอดหรือความจริงแล้ว นางก็มีใจให้กับเขาเหมือนกัน ความรักระหว่างเทพเซียนกับจอมมารไหนเลยจะมั่นคงยั่งยืนได้..
[1] สัมปรายภพ หมายถึง ภพหน้าชาติหน้าหรือโลกหน้าอันเป็นที่มนุษย์และสัตว์ไปเกิดใหม่ หลังจากตายไป มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า ปรโลก โลกหน้า
[2] มาตรวัดระยะทาง 1 จั้ง (丈) = 10 ฉื่อ (尺) 1 ฉื่อ ประมาณ 3.33 เดซิเมตร (หนึ่งเดซิเมตร เท่ากับ สิบเซนติเมตร)
[3] หมายถึง สิ่งที่น่าเบื่อ
หลิงหลิวเหว่ยและปี้เฉียงเดินเข้ามาในห้องโถงเงียบๆ เห็นจอมมารกุมมือท่านหญิงเซียนอยู่แต่ท่านหญิงเซียนแลดูมีเรื่องลำบากใจ ตอนนี้จดหมายตอบรับได้มาถึงแล้ว เขาควรนำไปรายงานแก่จอมมาร เจ้าปี้เฉียงนี่ก็ตามติดเป็นเงาตามตัวน่ารำคาญจริง เมื่อไหร่จะกลับเผ่าหงสาไปสักที'ท่านจอมมารขอรับ สาน์สตอบรับมาถึงแล้ว' หลิงหลิวเหว่ยยื่นสาน์สให้จอมมาร จอมมารเปิดอ่านในทันที'เจ้าตอบตกลง?' จอมมารยิ้มกว้าง เขาบรรจงจุมพิตหลังมือของเฟิงจางจิ้ง นางไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวก็ชักมือออก'อืม ใช่ แล้วข้าจะรอเกี้ยวของท่านที่สวรรค์ชั้นฟ้า' นางลุกเดินออกไปอย่างขัดเขินเล็กน้อย นางมองตำแหน่งที่จอมมารจุมพิตไปเมื่อครู่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 'ไปกันเถอะจื่อจิง' จอมมารยังคงตะลึงงันด้วยความดีใจ จนกระทั่งนางกับจื่อจิงเดินลับสายตาไปแล้ว..'ปี้เฉียง ฝากเจ้าคุ้มครองนางถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที' 'รับทราบ!' ปี้เฉียงฟังคำสั่งจอมมารอย่างไม่อิดออด แล้วเดินตามเฟิงจางจิ้งกับจื่อจิงไป...จอมมารนั่งเปิดอ่านเทียบของหมั้นที่เขาส่งไปคราวที่แล้วเพิ่มของไปอีกสักหลายอย่าง..'ของทุกอย่างพร้อมแล้วนะ นี่เป็นรายการที่ข้าเพิ่ม จัดเตรียมให้เสร็จวั
เหล่าหลงทั้งสามพาพวกข้ากลับมายังหุบเขาสิ้นชีวาอีกครั้ง แต่พวกทหารชุดดำเหล่านั้นก็ยังตามข้ามาทันอยู่ดี ข้าจึงลุกขึ้นยืนหยัดสั่งให้หลงลี่พาคนที่บาดเจ็บกลับไปที่วังมังกรเนรมิตก่อนแล้วจึงไปประจันหน้ากับเหล่าทหารชุดดำ'นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเซียนใยต้องยื่นมือเข้ามาด้วยเล่า' หมิงป๋ายยิ้มเย้ยหยัน ข้าต้องระงับโทสะตัวเองหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องทำอย่างมีสติ 'หากพูดว่าไม่ใช่เรื่องข้าคงมิใช่กระมัง งานที่เจ้ามาพังวันนี้คืองานวิวาห์ของข้า คนที่เจ้าปักกระบี่ลงกลางอกคือว่าที่สามีของข้า' 'ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงมิอยากจะตกลงปลงใจกับจอมมารมือเปื้อนโลหิตอย่างเขา มาร่วมมือกับพวกข้าเถอะเฟิงจางจิงเซียน' ข้ากำกระบี่ในมือแน่น'คุณธรรมเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากและถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้ชีวิตของเขาไป'หวังเยี่ยน..ท่านทำเรื่องอะไรมากัน ทำไมมารเหล่านี้ถึงได้มีความแค้นกับเจ้ามากถึงเพียงนี้แปะ แปะ แปะเงาสีดำทมิฬค่อยๆประกอบรูปร่างขึ้นเป็นคน เงาสีดำที่นางรับได้ถึงพลังมหาศาลพลังงานแห่งความมืดความชั่วร้ายที่ถูกล้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรือนผมสีดำแผ่สยายดวงตาเป็นประกายสีเขียวมรกตงดงาม ชุดเกราะสีเงินทรงอา
วังมังกรเนรมิตถูกจัดตกแต่งด้วยสาหร่ายแดงที่พอจะหาได้และผ้าไหมแดงที่พอจะมีอยู่บ้าง จื่อจิงรับหน้าที่เป็นแม่งานจัดเตรียมหน้างานทั้งหมด ยังรู้สึกผิดหวังที่งานเเต่งอลังการถูกพังทลายลงอีกทั้งตี้จวิน[1]คนนั้นเหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วสามวันกลับไม่มีข่าวคราวจากวังสวรรค์ส่งมาเลยแม้แต่น้อย'จื่อเออร์ เหตุใดจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า' หลิงหลิวเหว่ยเอ่ยถามจื่อจิง'ข้ารู้สึกว่ายังขาดอะไรไปแต่ช่างเถอะ ท่านเห็นเหล่าหลงทั้งสามไหม''ไม่เห็น จริงสิปี้เฉียงก็หายไปด้วย''เดี๋ยวข้าไปตามเอง' จื่อจิงว่าเช่นนั้นแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังวังมังกรเนรมิตยังมีสระน้ำมรกตไป๋ฉุนจิ้งคงต้องไปดูสักหน่อย บังอาจปล่อยให้สตรีร่างบางกับบุรุษอ้อนแอ้นอย่างนางกับหลิงหลิวเหว่ยทำงานอยู่สองคนใช้ได้ที่ไหนกันเสียงน้ำหลั่งไหลผ่านโขดหินใต้ธาราสีใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดบุรุษรูปร่างกำยำทั้งสี่หย่อนกายหย่อนใจลงในสระน้ำนั้น..'พวกท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน' ปี้เฉียงเอ่ยถามมังกรทั้งสาม พวกเขาแลดูเหมือนจะรู้จักทางป่านี้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังนำทางพามาอา
หวังเยี่ยนและเฟิงจางจิ้งแยกกันไปถอดเครื่องแต่งกายออกแล้วสวมชุดตามเดิมเพื่อมาหารือกันเรื่องเหล่าองครักษ์มารของเผ่ยอวิ๋นจวิน ผู้อาวุโสทั้งสี่ยินดียื่นมือเข้ามาช่วย หวังเยี่ยนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้เข้าห้องหอแต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักจึงต้องเลื่อนเข้าห้องหอออกไปก่อน อย่างไรกว่าจะได้เข้าห้องหอกันอีกครั้งคงต้องรอหลังพิธีอภิเษกเฟิงจางจิ้งเซียนขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาร....'ต้องขอขอบคุณเฉินฮุยเกอมากที่ตามมาช่วยข้ากับฮูหยินอีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ด้วย' หวังเยี่ยนก้มโค้งคำนับเฉินฮุยอีกครั้ง'ไม่เป็นไร ลืมไปแล้วรึว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ข้าผิดหวังมากนะหวังเยี่ยนที่ไม่เชิญพวกข้าเข้าร่วมงานอภิเษก' เฉินฮุยตำหนิจอมมารยกใหญ่อีกครั้งทั้งๆที่นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เจ้าหวังเยี่ยนยังทำตัวห่างเหินกับพวกเขาอีก หากมิใช่ว่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้าในงานแต่งเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกเซียนชั้นสูงทั้งสิบมาหารือมีหรือที่พวกเขาจะรู้&
จอมมารหนุ่มอุ้มร่างบางที่หลับใหลไปในอ้อมกอดมายังในห้องส่วนตัวและจัดแจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือเพียงเเค่จับเเขนเล็กหรือเเตะเพียงเบาเบาก็ยังเกรงกลัวเหลือเกินว่ากระดูกขาวเช่นเทพเซียนจะแตกหัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มบอบบางราวกับปุยนุ่นเช่นนี้ คนหยาบกระด้างอย่างเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลายวันมานี้ไม่ได้รับโลหิตดับดวงจิตมารภายในร่างจึงรู้สึกกระหายอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้นางกลิ่นหอมรัญจวนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เกรงกลัวจะห้ามใจไม่อยู่'เหว่ยตี้ ข้ากระหายเหลือเกิน''เชิญจอมมารไปที่โถงก่อนเถิด ขุนนางมารรออยู่แล้ว เสี่ยวโม่[1]จะไปเตรียมเครื่องดื่มดับกระหายมาให้''อืม' ร่างองอาจรวบผมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแต่งกายเสียใหม่แล้วจึงเรียกจื่อจิงมาเฝ้าเซียนหญิงแล้วค่อยเดินออกไปครั้นเดินทางมายังโถงใหญ่ก็เห็นชี้ชัดแล้วว่ามีขุนนางมารบางส่วนหายไปจากโถงแห่งนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แจ่มแจ้งว่าขุนนางมารเหล่านั้นคงแยกพรรคพรรคแยกฝ่ายตามเผ่ยอวิ๋น
‘ยินดีต้อนรับกลับ' หวังเยี่ยนเดินเข้าไปกอดซ้อนอีกทีหนึ่ง เขาไม่รู้มาก่อนว่าพวกนางรู้จักกันคนหนึ่งก็เปรียบเสมือนน้องสาวในไส้ส่วนอีกคนก็คือภรรยาของเขา จากนี้ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เขาจะเป็นคนปกป้องพวกนางเอง ไม่มีผู้ใด ไม่มีอดีตและแม้อดีตจะลบล้างไม่ได้ หากแต่เมื่อวันวานแห่งความขมขื่นผันผ่านไป หลังจากนี้เขาจะเป็นแสงสว่างชี้นำพวกนางเอง พวกนางคงยังมีความหลังให้ระลึกถึงกันอีกมากเห็นสมควรปล่อยให้สนทนากันเพียงลำพัง กิจของสตรีบุรุษมิควรยุ่งจอมมารสะกิดหลิงหลิวเหว่ยพยักพเยิดหน้าไปทางประตูแล้วพากันเดินออกไปเงียบๆ เซียนหญิงกับมารสาวมองหน้ากันร่ำไห้กันเงียบงัน ก่อนจะบอกเล่าถึงความทรมานแสนสาหัสและเรื่องเขา'คนนั้น''เยว่ถิง ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้แล้วเจ้ากับจอมมารรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่''ไม่เจอกันเพียงไม่กี่แสนปี ท่านหญิงของข้ากลายเป็นคนช่างถามแล้วรึ''เพราะข้าสนิทใจที่พูดคุยกับเจ้าต่างหาก!'
บรรดาเหล่าเซียนยืนเรียงกันเป็นสองแถวแบ่งแยกสตรีและบุรุษเพียงแค่โดดลงเหวก็ตกลงมาโผล่ที่หุบเขาไท่ซาน ไม่คิดว่าหุบเขาแห่งนี้จะยังมีสำนักที่คล้ายสำนักสงฆ์อยู่ เบื้องหน้ามีเสามังกรสีเหลืองอร่ามสลักรูปปั้นมังกรสามหัวขนาดยักษ์มันถูกตั้งไว้กลางโถง ช่างเสมือนจริงเหลือเกิน..'เสวี๋ยอิงคารวะท่านอาจารย์' ชายหนุ่มหัวขาวก้มโค้งคำนับต่อหน้ารูปปั้นมังกรสามหัวอาจารย์ที่ไหนกันไม่เห็นจะมีใครสักคน เฟิงจางจิ้งคิด'ถือว่ามีฝีมือ ส่วนคนอื่นยังต้องฝึกอีกมาก' ร่างมังกรสามหัวแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษสามคน หน้าตางดงาม สวมชุดฮั่นฝูสีดำ รูปร่างแกร่งกำยำ มองแค่ตาเปล่าก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณเซียนของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใดข้ายังเคยได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสามเป็นสัตว์เทพแห่งบรรพกาลที่บังเกิดมาพร้อมกับเหล่าอสูรร้ายแห่งบรรพกาลอย่างเช่น อสูรเถาอู้กับฮุ่นตุ้น[1]'เสี่ยวเซียนทั้งห้าขอคารวะท่านอาจารย์' เฟิงจางจิ้งเซียนกล่าวนำข้าและเพื่อนพ้องอีกสามคนจึงพากันก้มโค้งคารวะดังที่เฟิงจางจิ้งกล่าวนำไว้ ไม่แน่ว่าในช่วงหลายวันมานี้อาจมีแต่เรื่องสนุกเกิดขึ้น'ไม่ต้องมากพิธี ข้าเ
'เสวี๋ยอิง เฟิงจางจิ้งเซียนฝากข้ามาตามท่านไปที่เรือนไผ่ด้านหลัง' เรือนไผ่ด้านหลังที่ว่า อยู่ริมธารน้ำตกที่ข้าใช้วิชาสนทนากับหวังเยี่ยนเกอเรือนไผ่นั่นดูเหมือนจะเป็นเรือนไผ่ที่ท่านเซียนเนรมิตขึ้นมาเพราะตอนที่ข้าไปไม่เห็นจะมีเรือนไผ่อยู่พลังเซียนของเฟิงจางจิ้งเซียนเหนือชั้นกว่าเซียนคนอื่นมากอย่างข้าคงเสกได้เพียงแค่เก้าอี้หนึ่งตัวกับวิชาเจ้าเล่ห์เล็กน้อยที่หวังเยี่ยนสอนก็เท่านั้น'รบกวนแม่นางช่วยนำทางไปที' เขากล่าวเสียงเรียบพลางสะบัดชายผ้าขาวอย่างอ่อนโยนยามอยู่ใกล้เขารู้สึกหนาวเหน็บจริงสมแล้วที่เป็นถึงวิหคหิมะ'ตามข้ามาเถิด' เขาเดินตามข้าอย่างสงบเสงี่ยมจริงแท้หรือวิสัยของพวกวิหคหิมะเป็นเช่นนี้เอง แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคร่งครัดวิถีเซียน'ขอบคุณที่มาส่ง''ไม่ต้องเกรงใจ พวกท่านสูงส่งกว่าข้า ข้าย่อมยินดีช่วย' เขาพยักหน้ารับเงียบๆแล้วเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่เฟิงจางจิ้งเซียนนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ พูดได้ว่าน่าเอ็นดู ข้าแอบมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหาที่เหมาะๆสักที เสกกาน้ำชาหนึ
หลายๆวันมานี้ท่านเซียนหญิงเฟิงจางจิ้งและเสวี๋ยอิงต่างทำหน้าที่ดูแลพวกข้าได้อย่างดีเยี่ยม วิชาเซียนของพวกเขาทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนที่แท้ ข้ายังคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เสมอมิรู้ว่าเลื่อนขั้นไปถึงไหนกันแล้ว เสวี๋ยอิงคนนั้นยามอยู่กับเฟิงจางจิ้งเซียนเพียงลำพังแสนแตกต่างกับตอนที่พูดคุยกับพวกข้าอย่างมากข้าสังเกตเสวี๋ยอิงตั้งแต่วันเเรกจนวันสุดท้ายสรุปความได้ว่า เสวี๋ยอิงคนนี้เป็นวิหคเหมันตกาลโดยแท้ นับถือวิถีเซียนเคร่งครัด และที่สำคัญเขารักของเฟิงจางจิ้งเซียนสหายของข้าอย่างแท้จริง ข้ากับเฟิงจางจิ้งเซียนตกลงกันไว้ว่าหลังจากจบการฝึกปรือครั้งนี้จะรับข้าเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในวังสวรรค์'ความพยายามของพวกเจ้า เปิ่นจวินเห็นแล้วว่าสมควรแก่เวลา กระบี่ของผู้ใดจะกลับคืนสู่เจ้าของ' หลงลี่เสกกระบี่อันทรงฤทธิ์ที่ส่องแสงเรืองรองและส่งคืนสู่เซียนผู้เป็นเจ้าของ กระบี่เหล่านั้นลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าผู้เป็นเจ้าของ'กระบี่มีจิตวิญญาณของมัน ผู้เป็นเจ้าของต้องตั้งชื่อด้วยก่อนจะเซ่นกระบี่ด้วยเลือด''ขอรับ! เจ้าค่ะ! ซือฝุ' เซียนสตรีและเซียนบุรุษทั้งหกขานรับ
'เสวี๋ยอิง เฟิงจางจิ้งเซียนฝากข้ามาตามท่านไปที่เรือนไผ่ด้านหลัง' เรือนไผ่ด้านหลังที่ว่า อยู่ริมธารน้ำตกที่ข้าใช้วิชาสนทนากับหวังเยี่ยนเกอเรือนไผ่นั่นดูเหมือนจะเป็นเรือนไผ่ที่ท่านเซียนเนรมิตขึ้นมาเพราะตอนที่ข้าไปไม่เห็นจะมีเรือนไผ่อยู่พลังเซียนของเฟิงจางจิ้งเซียนเหนือชั้นกว่าเซียนคนอื่นมากอย่างข้าคงเสกได้เพียงแค่เก้าอี้หนึ่งตัวกับวิชาเจ้าเล่ห์เล็กน้อยที่หวังเยี่ยนสอนก็เท่านั้น'รบกวนแม่นางช่วยนำทางไปที' เขากล่าวเสียงเรียบพลางสะบัดชายผ้าขาวอย่างอ่อนโยนยามอยู่ใกล้เขารู้สึกหนาวเหน็บจริงสมแล้วที่เป็นถึงวิหคหิมะ'ตามข้ามาเถิด' เขาเดินตามข้าอย่างสงบเสงี่ยมจริงแท้หรือวิสัยของพวกวิหคหิมะเป็นเช่นนี้เอง แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคร่งครัดวิถีเซียน'ขอบคุณที่มาส่ง''ไม่ต้องเกรงใจ พวกท่านสูงส่งกว่าข้า ข้าย่อมยินดีช่วย' เขาพยักหน้ารับเงียบๆแล้วเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่เฟิงจางจิ้งเซียนนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ พูดได้ว่าน่าเอ็นดู ข้าแอบมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหาที่เหมาะๆสักที เสกกาน้ำชาหนึ
บรรดาเหล่าเซียนยืนเรียงกันเป็นสองแถวแบ่งแยกสตรีและบุรุษเพียงแค่โดดลงเหวก็ตกลงมาโผล่ที่หุบเขาไท่ซาน ไม่คิดว่าหุบเขาแห่งนี้จะยังมีสำนักที่คล้ายสำนักสงฆ์อยู่ เบื้องหน้ามีเสามังกรสีเหลืองอร่ามสลักรูปปั้นมังกรสามหัวขนาดยักษ์มันถูกตั้งไว้กลางโถง ช่างเสมือนจริงเหลือเกิน..'เสวี๋ยอิงคารวะท่านอาจารย์' ชายหนุ่มหัวขาวก้มโค้งคำนับต่อหน้ารูปปั้นมังกรสามหัวอาจารย์ที่ไหนกันไม่เห็นจะมีใครสักคน เฟิงจางจิ้งคิด'ถือว่ามีฝีมือ ส่วนคนอื่นยังต้องฝึกอีกมาก' ร่างมังกรสามหัวแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษสามคน หน้าตางดงาม สวมชุดฮั่นฝูสีดำ รูปร่างแกร่งกำยำ มองแค่ตาเปล่าก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณเซียนของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใดข้ายังเคยได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสามเป็นสัตว์เทพแห่งบรรพกาลที่บังเกิดมาพร้อมกับเหล่าอสูรร้ายแห่งบรรพกาลอย่างเช่น อสูรเถาอู้กับฮุ่นตุ้น[1]'เสี่ยวเซียนทั้งห้าขอคารวะท่านอาจารย์' เฟิงจางจิ้งเซียนกล่าวนำข้าและเพื่อนพ้องอีกสามคนจึงพากันก้มโค้งคารวะดังที่เฟิงจางจิ้งกล่าวนำไว้ ไม่แน่ว่าในช่วงหลายวันมานี้อาจมีแต่เรื่องสนุกเกิดขึ้น'ไม่ต้องมากพิธี ข้าเ
‘ยินดีต้อนรับกลับ' หวังเยี่ยนเดินเข้าไปกอดซ้อนอีกทีหนึ่ง เขาไม่รู้มาก่อนว่าพวกนางรู้จักกันคนหนึ่งก็เปรียบเสมือนน้องสาวในไส้ส่วนอีกคนก็คือภรรยาของเขา จากนี้ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เขาจะเป็นคนปกป้องพวกนางเอง ไม่มีผู้ใด ไม่มีอดีตและแม้อดีตจะลบล้างไม่ได้ หากแต่เมื่อวันวานแห่งความขมขื่นผันผ่านไป หลังจากนี้เขาจะเป็นแสงสว่างชี้นำพวกนางเอง พวกนางคงยังมีความหลังให้ระลึกถึงกันอีกมากเห็นสมควรปล่อยให้สนทนากันเพียงลำพัง กิจของสตรีบุรุษมิควรยุ่งจอมมารสะกิดหลิงหลิวเหว่ยพยักพเยิดหน้าไปทางประตูแล้วพากันเดินออกไปเงียบๆ เซียนหญิงกับมารสาวมองหน้ากันร่ำไห้กันเงียบงัน ก่อนจะบอกเล่าถึงความทรมานแสนสาหัสและเรื่องเขา'คนนั้น''เยว่ถิง ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้แล้วเจ้ากับจอมมารรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่''ไม่เจอกันเพียงไม่กี่แสนปี ท่านหญิงของข้ากลายเป็นคนช่างถามแล้วรึ''เพราะข้าสนิทใจที่พูดคุยกับเจ้าต่างหาก!'
จอมมารหนุ่มอุ้มร่างบางที่หลับใหลไปในอ้อมกอดมายังในห้องส่วนตัวและจัดแจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือเพียงเเค่จับเเขนเล็กหรือเเตะเพียงเบาเบาก็ยังเกรงกลัวเหลือเกินว่ากระดูกขาวเช่นเทพเซียนจะแตกหัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มบอบบางราวกับปุยนุ่นเช่นนี้ คนหยาบกระด้างอย่างเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลายวันมานี้ไม่ได้รับโลหิตดับดวงจิตมารภายในร่างจึงรู้สึกกระหายอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้นางกลิ่นหอมรัญจวนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เกรงกลัวจะห้ามใจไม่อยู่'เหว่ยตี้ ข้ากระหายเหลือเกิน''เชิญจอมมารไปที่โถงก่อนเถิด ขุนนางมารรออยู่แล้ว เสี่ยวโม่[1]จะไปเตรียมเครื่องดื่มดับกระหายมาให้''อืม' ร่างองอาจรวบผมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแต่งกายเสียใหม่แล้วจึงเรียกจื่อจิงมาเฝ้าเซียนหญิงแล้วค่อยเดินออกไปครั้นเดินทางมายังโถงใหญ่ก็เห็นชี้ชัดแล้วว่ามีขุนนางมารบางส่วนหายไปจากโถงแห่งนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แจ่มแจ้งว่าขุนนางมารเหล่านั้นคงแยกพรรคพรรคแยกฝ่ายตามเผ่ยอวิ๋น
หวังเยี่ยนและเฟิงจางจิ้งแยกกันไปถอดเครื่องแต่งกายออกแล้วสวมชุดตามเดิมเพื่อมาหารือกันเรื่องเหล่าองครักษ์มารของเผ่ยอวิ๋นจวิน ผู้อาวุโสทั้งสี่ยินดียื่นมือเข้ามาช่วย หวังเยี่ยนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้เข้าห้องหอแต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักจึงต้องเลื่อนเข้าห้องหอออกไปก่อน อย่างไรกว่าจะได้เข้าห้องหอกันอีกครั้งคงต้องรอหลังพิธีอภิเษกเฟิงจางจิ้งเซียนขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาร....'ต้องขอขอบคุณเฉินฮุยเกอมากที่ตามมาช่วยข้ากับฮูหยินอีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ด้วย' หวังเยี่ยนก้มโค้งคำนับเฉินฮุยอีกครั้ง'ไม่เป็นไร ลืมไปแล้วรึว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ข้าผิดหวังมากนะหวังเยี่ยนที่ไม่เชิญพวกข้าเข้าร่วมงานอภิเษก' เฉินฮุยตำหนิจอมมารยกใหญ่อีกครั้งทั้งๆที่นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เจ้าหวังเยี่ยนยังทำตัวห่างเหินกับพวกเขาอีก หากมิใช่ว่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้าในงานแต่งเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกเซียนชั้นสูงทั้งสิบมาหารือมีหรือที่พวกเขาจะรู้&
วังมังกรเนรมิตถูกจัดตกแต่งด้วยสาหร่ายแดงที่พอจะหาได้และผ้าไหมแดงที่พอจะมีอยู่บ้าง จื่อจิงรับหน้าที่เป็นแม่งานจัดเตรียมหน้างานทั้งหมด ยังรู้สึกผิดหวังที่งานเเต่งอลังการถูกพังทลายลงอีกทั้งตี้จวิน[1]คนนั้นเหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วสามวันกลับไม่มีข่าวคราวจากวังสวรรค์ส่งมาเลยแม้แต่น้อย'จื่อเออร์ เหตุใดจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า' หลิงหลิวเหว่ยเอ่ยถามจื่อจิง'ข้ารู้สึกว่ายังขาดอะไรไปแต่ช่างเถอะ ท่านเห็นเหล่าหลงทั้งสามไหม''ไม่เห็น จริงสิปี้เฉียงก็หายไปด้วย''เดี๋ยวข้าไปตามเอง' จื่อจิงว่าเช่นนั้นแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังวังมังกรเนรมิตยังมีสระน้ำมรกตไป๋ฉุนจิ้งคงต้องไปดูสักหน่อย บังอาจปล่อยให้สตรีร่างบางกับบุรุษอ้อนแอ้นอย่างนางกับหลิงหลิวเหว่ยทำงานอยู่สองคนใช้ได้ที่ไหนกันเสียงน้ำหลั่งไหลผ่านโขดหินใต้ธาราสีใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดบุรุษรูปร่างกำยำทั้งสี่หย่อนกายหย่อนใจลงในสระน้ำนั้น..'พวกท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน' ปี้เฉียงเอ่ยถามมังกรทั้งสาม พวกเขาแลดูเหมือนจะรู้จักทางป่านี้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังนำทางพามาอา
เหล่าหลงทั้งสามพาพวกข้ากลับมายังหุบเขาสิ้นชีวาอีกครั้ง แต่พวกทหารชุดดำเหล่านั้นก็ยังตามข้ามาทันอยู่ดี ข้าจึงลุกขึ้นยืนหยัดสั่งให้หลงลี่พาคนที่บาดเจ็บกลับไปที่วังมังกรเนรมิตก่อนแล้วจึงไปประจันหน้ากับเหล่าทหารชุดดำ'นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเซียนใยต้องยื่นมือเข้ามาด้วยเล่า' หมิงป๋ายยิ้มเย้ยหยัน ข้าต้องระงับโทสะตัวเองหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องทำอย่างมีสติ 'หากพูดว่าไม่ใช่เรื่องข้าคงมิใช่กระมัง งานที่เจ้ามาพังวันนี้คืองานวิวาห์ของข้า คนที่เจ้าปักกระบี่ลงกลางอกคือว่าที่สามีของข้า' 'ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงมิอยากจะตกลงปลงใจกับจอมมารมือเปื้อนโลหิตอย่างเขา มาร่วมมือกับพวกข้าเถอะเฟิงจางจิงเซียน' ข้ากำกระบี่ในมือแน่น'คุณธรรมเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากและถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้ชีวิตของเขาไป'หวังเยี่ยน..ท่านทำเรื่องอะไรมากัน ทำไมมารเหล่านี้ถึงได้มีความแค้นกับเจ้ามากถึงเพียงนี้แปะ แปะ แปะเงาสีดำทมิฬค่อยๆประกอบรูปร่างขึ้นเป็นคน เงาสีดำที่นางรับได้ถึงพลังมหาศาลพลังงานแห่งความมืดความชั่วร้ายที่ถูกล้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรือนผมสีดำแผ่สยายดวงตาเป็นประกายสีเขียวมรกตงดงาม ชุดเกราะสีเงินทรงอา
หลิงหลิวเหว่ยและปี้เฉียงเดินเข้ามาในห้องโถงเงียบๆ เห็นจอมมารกุมมือท่านหญิงเซียนอยู่แต่ท่านหญิงเซียนแลดูมีเรื่องลำบากใจ ตอนนี้จดหมายตอบรับได้มาถึงแล้ว เขาควรนำไปรายงานแก่จอมมาร เจ้าปี้เฉียงนี่ก็ตามติดเป็นเงาตามตัวน่ารำคาญจริง เมื่อไหร่จะกลับเผ่าหงสาไปสักที'ท่านจอมมารขอรับ สาน์สตอบรับมาถึงแล้ว' หลิงหลิวเหว่ยยื่นสาน์สให้จอมมาร จอมมารเปิดอ่านในทันที'เจ้าตอบตกลง?' จอมมารยิ้มกว้าง เขาบรรจงจุมพิตหลังมือของเฟิงจางจิ้ง นางไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวก็ชักมือออก'อืม ใช่ แล้วข้าจะรอเกี้ยวของท่านที่สวรรค์ชั้นฟ้า' นางลุกเดินออกไปอย่างขัดเขินเล็กน้อย นางมองตำแหน่งที่จอมมารจุมพิตไปเมื่อครู่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 'ไปกันเถอะจื่อจิง' จอมมารยังคงตะลึงงันด้วยความดีใจ จนกระทั่งนางกับจื่อจิงเดินลับสายตาไปแล้ว..'ปี้เฉียง ฝากเจ้าคุ้มครองนางถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที' 'รับทราบ!' ปี้เฉียงฟังคำสั่งจอมมารอย่างไม่อิดออด แล้วเดินตามเฟิงจางจิ้งกับจื่อจิงไป...จอมมารนั่งเปิดอ่านเทียบของหมั้นที่เขาส่งไปคราวที่แล้วเพิ่มของไปอีกสักหลายอย่าง..'ของทุกอย่างพร้อมแล้วนะ นี่เป็นรายการที่ข้าเพิ่ม จัดเตรียมให้เสร็จวั