สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย
‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’
‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง
‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า
‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือโอกาสนี้หาดอกหอมหมื่นลี้มาทำถุงหอมให้แก่จอมมารเนื่องในวันแต่งงานด้วย สำหรับพิธีคงต้องรบกวนเซียนน้อยยกเหล้ามักที่ข้าหมักเองกับมือมาเป็นเวลาสามแสนปีขึ้นมาสวรรค์ชั้นฟ้าในงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอภิเษก
‘จื่อเอ๋อร์ ข้าจะไปที่หุบเขาสิ้นชีวาสักหน่อยเจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือไม่’
‘เพคะ จื่อเอ๋อร์ย่อมต้องตามรับใช้ท่านหญิงอยู่แล้ว’ ครั้งนี้ข้าปลดผ้าแพรขาวแล้ว คิดว่าเวลานี้คงเหมาะสมพอ
กลิ่นอบอวลมวลบุปผาและสมุนไพรตลบอบอวลไปทั่วผืนป่า เฟิงจางจิ้งชำนาญทางอยู่จึงเป็นผู้นำทางแท้จริงเหตุผลที่หลายปีมานี้นางขลุกอยู่ในป่าเพียงเพราะว่านางได้สร้างหอคอยบุปผกาแก้วไว้ภายในหุบเขาแห่งนี้ นางทำหน้าที่ดูแลสมุนไพรดอกไม้นานาชนิดควบคู่กับเหล่าเซียนบุปผาฝึกหัด ต่อจากนี้หวังว่าคงไว้วางใจให้หนึ่งในเซียนบุปผาน้อยทำหน้าที่ดูแลแทนส่วนนางก็ต้องไปทำหน้าที่เป็นประมุขคู่กายของหวังเยี่ยนจวินคงมิได้มีเวลากลับมาดูแลที่นี่เฉกเช่นเดิม
'ท่านหญิงเพคะ เหตุใดทางเดินที่นี่จึงสลับซ้อนพิกลราวกับเขาวงกตเช่นนี้'
'แต่กาลก่อน ป่าแห่งนี้อุดมสมบูรณ์ไปทุกส่วน ทว่า เมื่อหลายแสนปีเผ่ามังกรกับเผ่าหงสามีสงครามกันเกิดขึ้น ทำให้ป่าเเห่งนี้โดนคำสาปบิดเบี้ยวผิดแปลกไป สิ้นสงครามข้าเห็นว่าเป็นเช่นนี้แล้วจึงมาอยู่คอยดูแลเพราะสมุนไพรที่นี่ดีมากทีเดียว' นางหลุบสายตาต่ำลงเหตุผลนี่ก็ส่วนหนึ่ง เหตุผลที่แท้จริงก็อีกอย่างหนึ่ง ความร้ายแรงแม้เจ้าตัวไม่ชดใช้ นางก็ยังยินดีจะชดใช้ให้ ตำแหน่งสูงส่งแล้วไฉนหากแต่ยังมีเรื่องให้ต้องชดใช้อยู่ ชีวิตของนางยังแลกไม่ได้แม้กระทั่งชีวิตของเขา
'ถ้าอย่างนั้นนั้นสิ่งมีชีวิตที่นี่ล่ะ'
'สิ่งมีชีวิตงั้นหรือ ไม่มี หากแต่มีหุบเขานี้จะชื่อหุบเขาสิ้นชีวาหรือ' เฟิงจางจิ้งเดินนำจื่อจิงไปจนถึงกระท่อมหลังเล็กหลังหนึ่งในกระท่อมหลังนั้นมีหอคอยขนาดจิ๋วทำจากหยกเขียวราวสิบแปดชั้นด้านรอบหอคอยนั่นคล้ายกับว่ามีประการเซียนสีขาวขุ่นคอยอ้อมล้อมปกป้องอยู่ อีกทั้งหอคอยนั้นถูกวางอยู่ในกรงมังกรขาวสามเศียร มันกำลังหลับใหลกอดหอคอยไว้กับอุ้งเท้าอย่างหวงแหน
'เหล่าหลงเมิ่ง เหล่าหลงลี่ เหล่าหลงฮั่ว ข้ากลับมาแล้ว' เฟิงจางจิ้งเปร่งเสียงอ่อนหวานเรียกมังกรขาวที่หลับใหลอยู่ เจ้ามังกรขาวทั้งสามเศียรค่อยค่อยอ้าปากหาวและลืมตาตื่นขึ้น
มันแปลงร่างเป็นมนุษย์ แยกออกเป็นสามคน ทั้งสามคนก้มโค้งคารวะท่านเซียนหญิง
'คารวะเฟิงจางจิ้งเซียน' นางยิ้มอ่อนโยนและพยักหน้าให้เป็นที่รับรู้
'เป็นอย่างไรบ้าง ข้าจากไปเสียนาน'
'ทุกอย่างเรียบร้อยดีฝ่าบาทเพียงแต่เจ้าหลงเมิ่งชอบแอบออกจากกรงไปเกี้ยวเซียนเผ่าอสรพิษอยู่บ่อยๆ '
'อย่างงั้นหรือ นางเป็นใครกัน' หลงเมิ่งหันไปค้อนขวับกับพี่ชายของตนเอง
'ฝ่าบาทอย่าเชื่อหลงฮั่ว เขานั่นแหละที่ชอบไปเหล่เซียนวารี' หลงเมิ่งกล่าวฟ้องกลับ ทั้งคู่ตั้งท่าจะวางมวยกันอยู่แต่ทว่า
ผลัวะ ผลัวะ
' พวกเจ้านี่นะ ต่อหน้าท่านเฟิงจางจิ้งมิควรไร้มารยาท' หลงลี่ ตบหัวน้องชายทั้งคู่ ชอบตีกันอยู่เรื่อยเลย
'ต้าเกอ!'
'ต้าเกอ!' ท่าทางกระเง้ากระงอดของทั้งสองคนแสนน่าเอ็นดู จื่อจิงหัวเราะร่วนกับท่าทางของมังกรสามหัวสามพี่น้อง
'เอาล่ะ เลิกเถียงกันก่อนวันนี้ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องสั่งการกับพวกเจ้าทั้งหมด'
'พวกเราทั้งสามต้องเขาไปรับฟังภายในหอบุปผาแก้วด้วยหรือไม่ขอรับ'
'ไม่ต้อง หลังจากข้าออกมาแล้วข้าจะพูดกับพวกเจ้าอีกที'
'รับทราบขอรับฝ่าบาท'
'แล้วแม่นางท่านนั้น ? ' หลงลี่เอ่ยถามจื่อจิงอย่างสุภาพใบหน้าเรียบนิ่ง คลี่ยิ้มบางส่งไปให้
'อ่อ นางเป็นมารน้อยจากเผ่าวิหค มีนามว่า จื่อจิง' มารน้อยงั้นหรือ ? หลงลี่กลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ทั้งๆที่น่าสนใจมากแท้ๆ นานทีจะมีหญิงงามหลุดออกมาให้ได้เชยชม
งามเพียงนี้คิดว่าเป็นเซียนน้อยที่ไหนที่แท้กลับเป็นมารน้อยเสียได้
'จะรังเกียจหรือไม่หากข้าเชิญให้แม่นางจื่อจิงนั่งพูดคุยอยู่ข้างนอก ภายในหอคอยมีเพียงแต่เทพเซียนเท่านั้นที่จะเข้าไปได้' หลงลี่กล่าวอย่างสุภาพที่สุดเพราะหากให้เจ้าน้องชายสองคนนี้พูด คงพูดจาไม่เข้าหูมีแต่จะต่อยตีกันอย่างเดียวเสียมากกว่า
'ลำบากท่านแล้ว เชิญท่านเซียนหญิงเถิดเพคะ จื่อจิงจะรออยู่ข้างนอก'
'อืม เหล่าหลง อย่ารังแกจื่อจิงเชียว นางเป็นแขกคนสำคัญของข้าโดยเฉพาะหลงเมิ่งกับหลงฮั่ว ' นางออกคำสั่งแก่สามเซียนมังกรหนุ่ม
'ขอรับ!' ทั้งสามรับคำสั่งแล้วจึงเดินนำจื่อจิงเข้าไปในวังมังกรอีกหลังที่เฟิงจางจิ้งเคยเนรมิตไว้ให้ ส่วนเฟิงจางจิ้งก็หายเข้าไปในหอคอยบุปผกาแก้ว
หลังจากเข้ามาในหอคอยบุปผกาแก้วเฟิงจางจิ้งก็คอยตรวจดูปราการเซียนที่ตนกับเซียนน้อยร่วมกันสร้างจนแข็งแรงดีว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ นางร่ายมนตร์เพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่ปราการเซียนเพิ่มขึ้นไปอีก
'คารวะท่านเซียนหญิงเพคะ' เหลียนฮวาฮวาเซียนดอกบัวหลวงทิพย์ก้มโค้งคำนับเฟิงจางจิ้งที่กำลังร่ายมนตร์ซ่อมแซมปราการเซียนให้แข็งแรงขึ้น เมื่อเห็นว่าปราการเซียนแข็งแรงขึ้นเป็นเท่าตัวจึงผละออกมาพูดคุยกับเหลียนฮวาฮวา
'อืม ทุกคนอยู่พร้อมหรือไม่'
'เพคะ ท่านเซียนมีอะไรจะรับสั่งหรือเพคะ'
'เรียกทุกคนมาให้พร้อมที่บ่อบัวเบญจมา ข้าจะมีเรื่องสำคัญต้องบอกกล่าว'
'เพคะ' เหลียนฮวาฮวาเมื่อได้รับสั่งจึงทำหน้าที่ไปเรียกเซียนน้อยอื่นๆมา เฟิงจางจิ้งจึงเดินนำไปรอที่บ่อบัวเบญจมาก่อนแล้ว ดอกบัวสีม่วงเบ่งบานเต็มทั่วบ่อไปหมด เซียนน้อยที่นี่แม้ไม่มีนางคอยรับสั่งก็ยังสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี นางวางใจแล้ว ต่อให้นางไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเฉกเช่นแต่ก่อนก็ไม่น่าจะมีปัญหาอันใด
ไม่นานนักเหล่าเซียนทั้งชุดขาวและชุดสีฟ้าครามที่นางแบ่งไว้ก้มากันพร้อมหน้า
'พวกเจ้าอยู่ในหอคอยนี้คงยังไม่รู้ว่าข้ากำลังจะอภิเษกสมรสแล้ว ข้ากำลังจะอภิเษกสมรสกับโม่จวิน หลังจากนี้ข้าขอมอบหน้าที่ให้แก่เหลียนฮวาฮวาเป็นผู้ออกคำสั่งและดูแลหอคอยบุปผกาแก้ว ผู้ที่ออกคำสั่งกับพวกเจ้าได้มีเพียงข้าและเหลียนฮวาฮวาเท่านั้น หน้าที่ทุกอย่างจงทำเช่นเดิม หลังจากนี้ข้าจะหาเวลามาเยี่ยมบ่อยครั้งแต่คงมิได้มาอยู่ค้างอ้างแรมมากนัก' พวกนางยังคงทำหน้าตระหนกตกใจกันอยู่บ้าง พวกนางไม่คาดคิดว่าท่านเซียนหญิงชุดขาวเปี่ยมด้วยคุณธรรมท่านนี้จะตกลงปลงใจยอมแต่งงานกับจอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวิน
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาออกจะทำตัวอันตพาลอยู่สักหน่อยเพราะเที่ยวท้ารบกับวังสวรรค์อยู่เรื่อย ไม่คาดคิดเลยว่าข่าวลือที่หลี่ซู่กล่าวออกมาจะเป็นจริง ท่านเซียนหญิงแต่งงานกับจอมมารผู้นั้นจริง
'เหตุท่านหญิงจึงยอมแต่งงานกับจอมมารเพคะ จอมมารท่านนั้นไม่เหมือนเทพเซียนและพวกมารมิใช่ว่าเป็นผู้ด้อยคุณธรรมอีกทั้งยังทำสิ่งใดล้วนตามใจตนเองทั้งสิ้นไม่สนถูกผิดดีชั่ว' เซียนน้อยในชุดสีฟ้าครามลุกขึ้นถามทั้งยังคาใจและนึกสงสัยแต่โบราณกาลแม้เทียนจวินองค์ก่อนมิได้ตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเหล่ามารแต่ก็มิได้ยอมรับสักเท่าใดนักจนกระทั่งเทียนจวินท่านนี้ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่แลดูเกรงกลัวจอมมารอยู่สักหน่อยแต่นางเองก็เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นเซียนน้อยจึงมิอาจกล่าวสิ่งใดออกไปทั้งที่สารที่ได้รับรู้มายังมิได้กระจ่าง
'เหวินหยาเจ้าถามได้ดี หากเจ้าคิดเช่นนี้ใจเจ้าจะเป็นมารได้ เป็นเทพเซียนใจต้องกว้างดั่งมหาสมุทรแม้เป็นมาร มารก็ย่อมมีทั้งดีและชั่ว เทพเซียนก็มิใช่ว่าจะดีไปเสียหมดย่อมต้องมีดีและชั่วเช่นกัน ที่ข้ายินยอมแต่งกับเขาเพราะว่าเขาไม่เหมือนมารตนอื่น เขามิได้ขืนใจบังคับให้ข้ายินยอมและเขาก็ปฏิบัติกับข้าอย่างดีเสมอมา หากพวกเจ้าได้พบเขาสักครั้งคงเข้าใจว่าทำไมข้าถึงเลือกจอมมารผู้นี้' เหวินหยาพยักหน้ารับและยินยอมอย่างไรก็ตามนางยังคงรักและไว้ใจเฟิงจางจิ้ง เทพเซียนผู้นี้มีพลังมหาศาลมิได้ต่ำต้อยอ่อนน้อมดังที่แสดง ความคิดของท่านยังสูงส่งกว่าเหล่าเซียนน้อยอย่างพวกนางนัก คงเรียกได้ว่าเป็นผู้มีปัญญาโดยแท้
'เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้วเพียงแต่มาบอกกล่าวพวกเจ้าเสียก่อน แล้วค่อยพบกันใหม่' เหล่าเซียนน้อยต่างก้มโค้งคำนับเทพเซียนหญิง นางเดินหันหลังจากออกไปและร่ายมนต์ทับอีกครั้งเพิ่มปราการเซียน นางยังจำได้ดีว่าทำไมถึงสร้างหอคอยบุปผกาแก้วนี้ขึ้นมา พลังฝึกปรือของเหล่าเซียนน้อยต่างน้อยนัก
หากพลังฝึกปรือและวิชาเเพทย์ของพวกนางอยู่ในขั้นยอดเยี่ยมเมื่อใด นางจึงจะส่งเซียนน้อยเหล่านั้นขึ้นสู่สวรรค์ชั้นฟ้า เป็นแพทย์หลวงบ้าง แล้วแต่ความเหมาะสม อยู่ในหอคอยบุปผกาแก้วมีเพียงแต่ฟื้นฟูผลดอกสมุนไพรอย่างเช่นเห็ดหลินจือเอย รากต้นระฟ้าเอย และอีกนานาชนิด ซึ่งเป็นสมุนไพรหายากทั้งแดนสวรรค์และแดนมาร
เฟิงจางจิ้งเดินแช่มช้าไปยังวังมังกรที่นางสร้างจำลองไว้ให้ทั้งสามมังกรอยู่ อย่างไรพวกเขาก็เป็นเทพเซียนที่มีวิชาแก่กล้าทั้งหมด นางยังให้ความเคารพอยู่มากแต่เเค่เพียงเพราะพี่ชายของนางเป็นเทียนจวินและพ่อของนางเป็นราชามังกรต่อให้พวกเขามีฤทธิ์เดชมหาศาลแค่ไหนกลับเกรงใจนางนักและให้ความเคารพมากกว่าเกินควรอยู่ นางเห็นจื่อจิงกับหลงลี่นั่งดวลหมากล้อมโดยมีหลงเมิ่งกับหลงฮั่วนั่งมองคอยช่วยหลงลี่อยู่
'นางโกง! นางโกงชัดๆ ต้าเกอเก่งจะตายจะโดนนางเก็บเรียบแบบนี้ไม่ได้นะ! ' หลงเมิ่งชี้ไปในกระดานจ้องหน้าจื่อจิงอย่างเอาเรื่อง
'แต่ข้ามองว่าต้าเกอโง่มากกว่า ฮ่าๆ' หลงฮั่วผลักหัวหลงเมิ่งเบาๆ
'ขัดคอข้าอีกแล้วนะ!'
'เจ้ามังกรขี้โมโห' ไม่ทันไรทั้งสองคนก็ทำท่าจะล้มโต๊ะเอาหัวชนกันซะแล้ว
'ทำให้แม่นางขบขันแล้ว ฝีมือหลงลี่อ่อนด้อยนัก' เขาคลี่ยิ้มอีกครั้งแสดงความถ่อมตนแก่นาง
'ท่านเพียงแต่ออมมือให้ข้ามิใช่หรือ หากมีโอกาสหน้าโปรดแสดงฝีมือที่แท้จริงให้จื่อจิงเห็นสักครั้งเถิด' จื่อจิงส่งยิ้มให้แก่หลงลี่ทั้งสองมองตากันหวานเชื่อม
'อะแฮ่ม' เฟิงจางจิ้งกระแอมเล็กน้อยทั้งคู่จึงหันมาสนใจเฟิงจางจิ้งแทนแต่ใบหน้าของทั้งสองยังคงแดงก่ำไม่รู้ว่าใบหน้าขึ้นสีเพราะอากาศร้อนอบอ้าวหรือเพราะเหตุเมื่อครู่...
'ข้าต้องกลับแล้วแต่ก่อนอื่น.. ข้ามีเรื่องต้องพูดให้พวกเจ้าทราบ' มังกรทั้งสามคนมองมาที่เฟิงจางจิ้งเพียงคนเดียวพร้อมสดับรับฟังและจื่อจิงอ้อมไปยืนทางด้านหลังของเฟิงจางจิ้ง ลอบมองหนึ่งในมังกรนั้นด้านหลังเงียบๆ
'เชิญท่านเฟิงจางจิ้งเซียนกล่าวขอรับ' หลงเมิ่งกล่าวเชิญทั้งสามขึ้นยกขึ้นเข่าขึ้นมาข้างหนึ่งและคุกเข่าลงอีกข้างหนึ่ง
'ข้ากำลังจะอภิเษกสมรสกับโม่จวินอาจมิได้มาเเวะเวียนมาที่นี่บ่อยครั้งเหมือนแต่กาลก่อนแต่ข้ายังคงต้องฝากหน้าที่ดูแลหอคอยบุปผากแก้วกับพวกท่านอยู่ ฝากด้วยนะ เหล่าหลง'
'ขอรับ!' ทั้งสามคนก้มหัวรับคำสั่งแล้วค่อยยืนหยัดขึ้นมา เฟิงจางจิ้งจึงหันหลังเดินกลับออกไปแต่ทว่า..
'ช้าก่อนขอรับ ข้ามีคำถาม' เป็นหลงลี่ที่เอ่ยถามเฟิงจางจิ้ง ยังมีเรื่องที่เขาอยากรู้..
'เทพเซียนกับมารแต่งงานกันได้ด้วยหรือ' เฟิงจางจิ้งระบายยิ้มอ่อน
'เหตุใดจึงไม่ได้เล่า ไม่มีกฎสวรรค์ข้อไหนที่ห้ามมารและเทพเซียนแต่งงานกันดอกนะ' หลงลี่เบิกตาโพลง ยิ้มกว้างออกมาอย่างไม่ปิดบัง เฟิงจางจิ้งเห็นว่าหลงลี่ไม่ถามอะไรอีกจึงหันหลังเดินอีกครั้งแต่ทว่า..
'เดี๋ยว!..เอ่อ แม่นางจื่อจิง' จื่อจิงส่งสายตามาให้นางคล้ายเป็นการขออนุญาตนางจึงพยักหน้ารับอนุญาตให้จื่อจิงเดินไปหาหลงลี่ได้
'เมื่อครู่ข้าแพ้ท่านหลายครั้ง แม่นางจื่อจิงยินดีจะรับหยกของข้าไปเป็นรางวัลหรือไม่' หยกเขียวเนื้อดีเปร่งประกายเงางาม สลักชื่อเป็นอักษรตัวเล็กว่าเหล่าหลงลี่อีกทั้งยังมีพลังบริสุทธิ์สีขาวขุ่นล้อมรอบหยกชิ้นนี้อยู่ จื่อจิงยิ้มกริ่มพลางรับหยกชิ้นนั้นมาไว้ในมือ
'ครั้งหน้าหากท่านชนะข้าได้ ข้าจะให้ของสิ่งหนึ่งตอบแทน'
'หยกเขียวนี้มีพลังของข้าอยู่ โปรดนำติดตัวไว้ด้วยหยกของข้าจะคอยปกป้องท่าน' จื่อจิงยกมือข้างหนึ่งเอาผมทัดหู ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อขึ้นอีกครั้ง
'ขอบคุณในความปรารถนาดี จื่อจิงจะทำตามที่ท่านบอก'
'ไปได้หรือยัง หลงลี่มีอะไรจะถามอีกหรือไม่ ทีเดียวให้จบสิ้นเดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน' ถึงคราวที่นางจะได้หยอกล้อจื่อจิงขึ้นแล้ว จื่อจิงกลับรีบหันหลังเดินหนีก้าวฉับๆ
'ไม่มีแล้วขอรับ' สิ้นเสียงหลงลี่ เฟิงจางจิ้งจึงเดินนำจื่อจิงพากลับออกจากหุบเขาสิ้นชีวา
ป่านนี้แล้วจอมมารท่านนั้นก้ยังไม่ติดต่อกลับมา แต่ทว่า.. มีนกกระเรียนทองบินโฉบและโปรยปรายลงบนฝ่ามือจื่อจิงอย่างนิ่มนวล จื่อจิงกำจดหมายนกกระเรียนทองในมือไว้แน่น
เมื่อกลับถึงตำหนักเหม่ยฮวาเฟิงจางจิ้งจึงเริ่มทำถุงหอม เมื่อครู่เก็บดอกหอมหมื่นลี่กลับมาด้วยแต่ยังไม่วายจับตามองจื่อจิงที่เริ่มหน้าเคร่งคิ้วขมวดทั้งที่เมื่อกี้ยังยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่แท้ๆ
'มีอะไรหรือจื่อจิง' มือเรียวเล็กยังคงเลือกสีผ้าของถุงหอมอยู่
'เมื่อครู่ข้าเปิดอ่านจดหมายลับ หลิงหลิวเหว่ยแจ้งมาว่าท่านจอมมารประชวรหนักเหตุเพราะนักโทษชั้นเลิศทำลายคุกหนีและมีการต่อสู้กันเกิดขึ้นเพคะ หลิงหลิวเหว่ยบอกว่าถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้ท่านหญิงออกไปไหนเพียงลำพังหรือออกจากสวรรค์ชั้นฟ้าเพคะ'
'เขาบาดเจ็บงั้นหรือ' เฟิงจางจิ้งละทิ้งผ้าหลายสีที่ยังไม่ถูกใจลงและก้าวฉับๆเดินไปทางประตู
เหตุนี้เองที่ทำให้เขาไม่ติดต่อกลับมา คนโง่ เขาน่าจะรู้อยู่แล้วมิใช่หรือว่านางมีวิชาเเพทย์
'จะไปไหนเพคะ ค่ำปานนี้แล้ว' ไวกว่าความคิดทั้งสองมือและสองขากลับเคลื่อนที่โดยฉับพลัน
'ไปแดนโลกันตร์' สีหน้าเรียบนิ่งทำเอาจื่อจิงใจไม่ดี มืดค่ำปานนี้หากปล่อยให้ท่านหญิงออกไปมีหวังได้หัวหลุดออกจากบ่า หลิงหลิวเหว่ยกกำชัดมาเด็ดขาด เมื่อคิดดังนั้นจึงก้าวขาเข้าใกล้ตัวเฟิงจางจิ้งให้เร็วที่สุดและโรยผงหลับลึกจนเฟิงจางจิ้งสลบไสลลงไป นางค่อยประคับประคองร่างบางขึ้นบนเตียงและห่มผ้าห่มให้ หากอยากไปหาจอมมารก็ย่อมได้แต่มิใช่เพลานี้
ขอประทานอภัยให้จื่อจิงด้วย จื่อจิงยังมิอยากหัวหลุดออกจากบ่า ว่าแล้วจึงส่งกระเรียนทองไปหาหลิงหลิวเหว่ยให้ส่งเกี้ยวมารับในวันรุ่งขึ้น เพราะดูแล้วแม่นางเฟิงจางจิ้งคงมิยอมอยู่วังสวรรค์นิ่งๆอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิดที่ตามมารับใช้สตรีเซียนในชุดขาวผู้นี้....
ในโลกนี้ล้วนมีขาว ล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์ชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจและเป็นที่น่าเบื่อแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมากแม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมามากก็เถอะ ท้องฟ้าผันแปร สรรพสิ่งแปรผัน คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...'หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ข้าเหงา อยากหาอะไรสนุกๆทำเสียหน่อย' จอมมารหนุ่มอายุราวๆสามล้านกว่าปีหาววอดๆโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นซ่างเซียนขั้นแรกและแน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไปๆมาๆหลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น จอมมารอย่างเขาสิ่งไหนที่เขาปรารถนา เขาย่อมต้องได้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง 'เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย[1]ของเทียนจวิน[2]เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชี
ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้นเดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอ
หลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ' 'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแ
ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค
จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น 'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย'กังวลใจอย่างไร' 'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ''อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน''อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอ
เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ
หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก