เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2] เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป
'เยี่ยนเยี่ยน ตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้น หลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่อง
ซ่า
'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ
'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น'
'ยามใดแล้ว'
'ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอยหอยมาด้วย
ในวันนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นปกติดีเหลือแค่ไปตรวจเยี่ยมหนักโทษชั้นดีเสียหน่อย
'เอามีดมาหรือเปล่า' มีดจันทราปลายด้ามถูกฝังอัญมณีสีม่วงปลายดาบโค้งงอคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว หลิงหลิวเหว่ยยื่นสิ่งนี้ให้แก่จอมมารพร้อมกับแก้วทรงสูงสีทองอร่าม
'อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ฮึก ฮึก' จอมมารแสยะยิ้มไม่กล่าวคำใดให้มากความหยิบมีดจันทราปักลงที่ลำคอของผู้เคราะห์ร้ายในนั้นและนำแก้วมารองเลือดยกขึ้นดื่มสดๆ ต่อหน้าเหล่านักโทษชั้นดีและหลิงหลิวเหว่ย
'ส่งวิญญาณมันไปชำระความด้วย'
'ขอรับท่านจอมมาร' หลังจากพ้นจากคุกของนักโทษชั้นดีจึงเดินไปต่อที่คุกอีกหลังหนึ่ง
'ข้าจะไปเยี่ยมสหายเก่าสักหน่อย เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่แหละ'
'ขอรับท่านจอมมาร' จอมมารเดินเข้าไปในคุกหลังนั้นโดยปล่อยให้หลิงหลิวเหว่ยยืนรออยู่ด้านนอกคอยอารักขาความปลอดภัย
กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนลอยคลุ้งเข้ามาเขาเดินฝ่าไปเรื่อยๆคุกหลังนี้เอาไว้ขังพวกจอมมารรุ่นก่อน ก่อนที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นจอมมารแน่นอนว่าเขามาพบสหายเก่า สหายเก่าที่มีบุญคุณความแค้นกันอยู่
'เป็นอย่างไรบ้างเผ่ยอวิ๋น ช่วงนี้ข้ามิได้เข้ามาเยี่ยมเจ้าบ่อยเหมือนแต่ก่อน เหงาหรือไม่' จอมมารนั่งท่าขัดสมาธิอยู่หน้ากรงเพื่อสนทนากับเผ่ยอวิ๋น สหายเก่าก่อน
ก่อนนั้นเขากับเผ่ยอวิ๋นจวินเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อนแต่เพราะการแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ตัวเขาต้องเสียบิดามารดาและคู่หมั้นไป นั่นคือสาเหตุที่เขาและเผ่ยอวิ๋นสายสัมพันธ์ขาดสะบั้นไม่สามารถกอปรขึ้นมาใหม่ได้แล้ว
'เฮอะ! ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าตายๆไปสักทีให้มันสมกับความแค้นของเจ้า' เผ่ยอวิ๋นกำมือแน่น
ถ้าหากวันใดเขาหลุดออกจากโซ่ตรวนนี้ได้ เขาจะแก้แค้นและต่อให้มันกลายเป็นการแก้แค้นไปชั่วกัลป์ชั่วกันเขาก็ไม่เสียใจ ทั้งที่เรื่องตอนนั้นเขาไม่ใช่คนผิดและท่านแม่ของเขาก็ไม่ใช่คนผิด แต่หวังเยี่ยนก็…
'ความตายมันง่ายไปหรือเปล่า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าแต่จะทำให้ดวงวิญญาณของเจ้าแตกซ่าน ไร้ตัวตน ฮ่าๆๆ' เสียงหัวเราะของหวังเยี่ยนดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทขอวเผ่ยอวิ๋น ทุกครั้งที่หวังเยี่ยนมา เขามักจะเอ่ยประโยคนี้เสมอ ต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่หวังเยี่ยนลงมือทำจริงดังที่กล่าวไว้
'นี่เจ้า!!'
'ยังไงเจ้าก็เป็นสหายรักของข้า ข้ากำลังจะมีงานมงคลในเร็ววันนี้ ครั้งนี้ข้าจะได้เป็นจักรพรรดิมารอย่างสมบูรณ์อย่างไรล่ะ หึหึ สิ่งที่พอพ่อชั่วช้าของเจ้าใฝ่ฝันสุดท้ายมันก็ตกมาเป็นของข้า ฮ่าๆๆๆ' หวังเยี่ยนจงใจยั่วโมโห ทว่า
'เจ้าทำไม่สำเร็จหรอก ไม่สำเร็จหรอก ฮ่าๆๆ วันมงคลหรือวันนองเลือดกันนะ ฮ่าๆๆ' กวนประสาทนัก! น่าเสียดายที่ เขาไม่รู้วิธีเปิดคุกนี้เช่นกัน มิเช่นนั้นเขาคงได้ทรมานมันจนวิญญาณมันแตกซ่านไม่เหลือชิ้นดีในปรโลกแห่งนี้แล้ว
'หมายความว่าอย่างไร' จอมมารถามเสียงเหี้ยม ดวงตาสีแดงทับทิมส่องแสงเข้มขึ้นแสดงถึงความโมโห
'จุ๊ๆๆ ถ้าบอกตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ' เผ่ยอวิ๋นหลับตาลงและไม่พูดคำใดต่อ เพียงปรากฎรอยยิ้มตรงมุมปากไว้
'บัดซบ!!' จอมมารได้แต่สบถออกมาอย่างเสียอารมณ์ เขาไม่รู้ถึงความหมายของเผ่ยอวิ๋น
อะไรจะเกิดขึ้นในวันแต่งงานของเขา เจ้าบ้านี่! วางแผนอะไรอยู่?
หวังเยี่ยนเดินกระทืบเท้าปึงปังอารมณ์ไม่ดีออกมาจากคุกหลังนั้น หลิงหลิวเหว่ยมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็นำผ้าขาวสะอาดมาซับเหงื่อให้แก่จอมมาร
'ไปโมโหอะไรมา'
'ในวันแต่งงานของข้าเพิ่มกำลังทหารอารักขาเป็นเท่าตัวเลย ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี'
'โถ่ เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน บัดนี้ก็ยามซวี[3]แล้วกลับตำหนักก่อนดีหรือไม่ เดี๋ยวข้าจักเตรียมน้ำไว้ให้อาบ' หวังเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงเดินนำหลิงหลิวเหว่ยเข้าไปในตำหนัก นอนเอกเขนกอยู่บนตั่งทองคำพลางขบคิดในคำพูดของเผ่ยอวิ๋น เจ้านั่นมันวางแผนอะไรอยู่ หากมันยังอยู่ในคุกแต่ยังปากดีฉะนี้แสดงว่ามีคนหนุนหลังมันอยู่
'เหว่ยตี้ ข้ามีอะไรจะถามท่าน'
'หืม?' หลิงหลิวเหว่ยกำลังจัดเตรียมอาบน้ำไว้ใกล้กับหน้าต่างเพื่อให้จอมมารอาบน้ำไปด้วยได้รับพลังจากแสงจันทร์ไปด้วย
'ข้าควรส่งจดหมายไปบอกกล่าวนางก่อนดีหรือไม่ หากว่าข้าอยากจะพบนาง อืม ที่สระมรกตเหลียนไห่'
'ส่งกระเรียนทองไปสิเยี่ยนเยี่ยน' หลิงหลิวเหว่ยแนะนำ วิธีนี้ใช้ออกจะบ่อยแต่เขาจะอ้างอะไรดีล่ะ ระหว่างที่กำลังจะถอดอาภรณ์ออกกลับเหลือบไปเห็นถุงหอมลายวิหคฟื้นจากเถ้าธุลีของตนเลยแนบลงไปด้วยกับกระเรียนทองพร้อมกับเขียนข้อความด้วยลายมือหวัดๆเป็นเอกลักษณ์ ชาโม่หลี่ของเขานางอาจจะยังไม่เคยลองหวังว่านางจะชอบนะ เขาจะเอาให้นางชิมวันพรุ่งนี้ หลังจากส่งกระเรียนทองไปให้เซียนหญิงผู้นั้นเสร็จก็ลงแช่โลหิตที่หลิงหลิวเหว่ยเตรียมไว้ให้ หลิงหลิวเหว่ยเองก็ช่วยตักโลหิตในอ่างชำระร่างกายให้แก่หวังเยี่ยน..
'ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่านจะเคยเป็นเทพเซียนมาก่อน ไม่รังเกียจโลหิตเหล่านี้หรือ' หลิงหลิวเหว่ยยิ้มอ่อนโยนส่งไปให้จอมมาร
'ข้าอยู่กับท่านมาหลายแสนปีแล้ว เกิดเป็นความเคยชิน หากรังเกียจคงไม่มาทำหน้าที่นี้ดอก ข้าเคยเป็นเทพเซียนก็จริงแต่ก็แค่เคย' หลิงหลิวเหว่ยไม่เคยเสียใจที่มาอยู่กับจอมมารท่านนี้ หากตัดเรื่องที่เขาต้องใช้โลหิตจากคนบาปทั้งหลายนี้ เขาก็เป็นจอมมารที่มีคุณธรรมและเด็ดเดี่ยวมากคนหนึ่ง นิสัยตรงไปตรงมาไม่เสเเสร้ง ด้วยความเลื่อยใสจึงทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกเซียนเพื่อรับใช้จอมมารท่านนี้
'ขอบใจมากนะเหว่ยตี้ หากไม่มีท่านข้าคงลำบากมาก ' จอมมารถอนหายใจออกมา หลิงหลิวเหว่ยก็ได้แต่ส่งยิ้มให้พลางนวดผ่อนคลายให้แก่จอมมาร
เป็นมารแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วอย่างไร? ข้าก็คือข้า นั่นคือสิ่งที่หลิงหลิวเหว่ยคิด
เมื่อเลือกภักดีต่อจอมมารแล้ว มิมีวันทรยศ
เดิมทีก็มิได้คิดว่าจะมาตามจดหมายลับนั้น ทว่า รู้ตัวอีกทีกลับมานั่งรอเขาอยู่สระน้ำมรกตนี้เสียแล้ว
'ท่านเซียนหญิงเอาอะไรมาด้วยหรือเพคะ' วันนี้จื่อจิงตื่นสายกว่าเซียนท่านนี้สักหน่อยแต่เพราะเตรียมอ่างล้างหน้าไว้ให้แต่คืนวาน เซียนหญิงท่านนั้นจึงไม่ได้ปลุกนางให้คอยรับใช้กว่านางจะตื่นก็พบว่าเซียนท่านนั้นชำระร่างกายตนเองเสร็จแล้วอีกทั้งยังไม่ลืมที่จะผูกผ้าแพรขาวปิดตาไว้และนำตระกร้าใบหนึ่งเตรียมไว้ด้วยจึงมิรู้ว่าข้างในคือสิ่งใด
'ขนมจากสมุนไพร' เฟิงจางจิ้งตอบเสียงเรียบ หวังลึกๆไว้ในใจว่าจอมมารจะมาตรงเวลา
'ทำให้จอมมารหรือเพคะ' จื่อจิงหัวเราะคิกคัก
'ก็เขาเตรียมชามาให้ข้า ส่วนข้าเตรียมขนม เช่นนี้จะได้มิมีผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบ' เฟิงจางจิ้งชี้แจงแก่จื่อจิงที่ดูเหมือนจะยังหยอกล้อนางไม่เลิก
'เพคะ เพคะ ท่านเซียนหญิง' จื่อจิงนำผ้ามาปูและยกขนมของท่านเซียนหญิงออกมาจัดใส่จานเตรียมไว้ หลังจากนั้นไม่นานจอมมารก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับชุดถ้วยชาที่หลิงหลิวเหว่ยเป็นผู้ถือ จอมมารท่านนั้นก็นิสัยแปลกประหลาด มีใครที่ไหนกันเขาถือถ้วยชาเหินฟ้ากันมาอย่างนี้ จื่อจิงเห็นแล้วก็อยากตำหนินัก ชุดถ้วยชาชุดนั้นเป็นของเก่าแก่เทียว นางจำได้ว่านายท่านใหญ่คนก่อนชื่นชอบชุดเครื่องชาชุดนี้มากเพราะเป็นของที่นายท่านหญิงใหญ่ปั้นเองกับมือด้วยความปราณีตใช้เวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
'คำนับท่านจอมมารเพคะ' หวังเยี่ยนพยักหนารับ เซียนท่านนั้นยังงดงามเช่นเดิมแม้จะยังสวมผ้าแพรขาวนั้นอยู่ก็ตาม
'เสี่ยวจิ้ง ทำไมยังใส่ผ้าแพรขาวนี้อยู่อีก' หวังเยี่ยนขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก
นางงดงามก็จริงแต่ถ้าปลดออกคงจะงามยิ่งกว่า
'ท่านก็เห็นเมืองสวรรค์สว่างปานนี้ ข้าแสบตา ท่านคงไม่ขัดข้องอะไรนะ'
'หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด' เฟิงจางจิ้งยกยิ้มอย่างพอใจพลางนั่งลงตรงที่ที่จื่อจิงจัดเตรียมไว้ให้
'เชิญหวังเยี่ยนจวิน' มือเล็กผายออกมาเป็นการเชื้อเชิญ จอมมารหนุ่มจึงนั่งลงในทันที
'ข้าอยากสนทนากับเทียนจวินสักหน่อย รบกวนจื่อจิงพาข้าไปส่งที'
'ย่อมได้' หลิงหลิวเหว่ยและจื่อจิงมองตากันอย่างรู้ใจและพากันเดินออกไป
'ชานี้คือชาโม่หลี่ เจ้าลองชิมดู' จอมมารหนุ่มบรรจงรินชาและส่งไปให้แก่เฟิงจางจิ้ง
'ทำจากดอกโม่หลี่กระนั้นหรือ'
'อืม'
'บังเอิญจริง ข้าทำขนมจากดอกโม่หลี่มาด้วย ลองชิมดู' เฟิงจางจิ้งหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกมาจากจานแล้วยื่นจ่อริมฝีปากจอมมารอย่างลืมตัว จองมารมองนิ่งแต่ยังมิยอมกิน
'กินสิ' เฟิงจางจิ้งรบเร้าอีกครั้ง จอมมารยกยิ้มตรงมุมปากแล้วกัดเข้าไปที่ขนมคำโตจนริมฝีปากของเขาสัมผัสเบาเบาที่ปลายนิ้วของนาง นางชักมือกลับในทันที
'รสชาติดี ข้า..ชอบ' พวงแก้มขาวใสขึ้นสีแดงปลั่งราวกับลูกตำลึง นางยกชาขึ้นซดอย่างอุกอาจ
'เหตุใดวันนี้จึงนัดข้ามาคงมิใช่ว่าเพียงอยากดื่มน้ำชากับข้าแค่นั้นนะ'
'เสี่ยวจิ้ง ข้าแค่อยากเจอหน้าเจ้าแล้วก็เรื่องคำขอของข้า เจ้าตอบหรือยัง' เขากำลังจ้องมองเซียนชุดขาวอย่างนึกเอ็นดูอยู่
'อืม ข้าตอบแล้ว' เขาจ้องมองนางอย่างคาดคั้น คิดว่านางคงรับรู้ได้แม้มิได้มองเห็นและแน่นอนนางรับรู้ได้
'แต่..เมื่อไหนก็เมื่อนั้น’' เฟิงจางจิ้งยื่นคำขาด ข้างเอวของนางยังมีถุงหอมของเขาแขวนอยู่
'ถุงหอมที่ข้าให้ ชอบหรือไม่' หวังเยี่ยนนั่งเท้าคางมองหน้านางอย่างใกล้ชิด
'คือกลิ่นของอะไร หอมดี'
'กลิ่นบุหงา'
'แบมือหน่อย' ผ้าเช็ดหน้าปักลายบุปผานานาชนิดสลักชื่อเฟิงจางจิ้งไว้ตรงมุมล่างซ้ายอย่างสวยงามและกลมกลืน นางวางลงบนฝ่ามือของหวังเยี่ยน
'ให้ท่านเก็บไว้' เฟิงจางจิ้งมีกลิ่นกายที่หอมอยู่แล้วเพราะบิดาและมารดาของนางผู้หนึ่งเป็นเซียนบุปผาและผู้หนึ่งเป็นเซียนมังกรแต่นางออกจะคล้ายเซียนบุปผามากกว่าจึงมีกลิ่นกายที่หอมมวลบุปผามากและมิจำเป็นต้องใช้เครื่องหอมแม้แต่น้อย แน่นอนว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นสิ่งเดียวที่นางมีและพกติดตัวตลอด ในเมื่อเขามอบถุงหอมให้นางนางย่อมต้องมอบของสักสิ่งหนึ่งให้แก่เขา
'เหตุใดจึงให้' เขาสูดกลิ่นหอมจากผ้าเช็ดหน้าเงียบๆ กลิ่นหอม หอมเหมือนกลิ่นกายนาง
'ท่านให้ถุงหอมประจำกายแก่ข้า ข้าจึงให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แก่ท่านเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน' รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จอมมารจ้องมองรอยยิ้มนั้นอย่างหลงไหล งดงามปานนี้จริงๆ สมดั่งที่หลิงหลิวเหว่ยกล่าวมิมีผิด 'งามล่มนรกล่มสวรรค์' ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันอยู่นั้นกลับมีเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังเดินตรงมาทางนี้ รัศมีเทพสีฟ้าแผ่กระจาย
'เยี่ยนเยี่ยยขึ้นมาแดนสวรรค์แต่ไม่มาเยี่ยมพวกข้า ใจร้าย '
[1] ยามเซิน คือ ช่วงเวลา 15.00 – 16.59 น.
[2]น้ำชาจากดอกมะลิ
[3]ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19.00 – 20.59 น.
หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ
ในโลกนี้ล้วนมีขาว ล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์ชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจและเป็นที่น่าเบื่อแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมากแม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมามากก็เถอะ ท้องฟ้าผันแปร สรรพสิ่งแปรผัน คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...'หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ข้าเหงา อยากหาอะไรสนุกๆทำเสียหน่อย' จอมมารหนุ่มอายุราวๆสามล้านกว่าปีหาววอดๆโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นซ่างเซียนขั้นแรกและแน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไปๆมาๆหลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น จอมมารอย่างเขาสิ่งไหนที่เขาปรารถนา เขาย่อมต้องได้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง 'เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย[1]ของเทียนจวิน[2]เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชี
ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้นเดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอ
หลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ' 'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแ
ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค
จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น 'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย'กังวลใจอย่างไร' 'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ''อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน''อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอ