แชร์

บทที่ 6 ของแทนใจ

เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2] เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป

'เยี่ยนเยี่ยน ตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้น หลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่อง

ซ่า

'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ

'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น' 

'ยามใดแล้ว' 

'ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอยหอยมาด้วย

 ในวันนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะเป็นปกติดีเหลือแค่ไปตรวจเยี่ยมหนักโทษชั้นดีเสียหน่อย

'เอามีดมาหรือเปล่า' มีดจันทราปลายด้ามถูกฝังอัญมณีสีม่วงปลายดาบโค้งงอคล้ายรูปพระจันทร์เสี้ยว หลิงหลิวเหว่ยยื่นสิ่งนี้ให้แก่จอมมารพร้อมกับแก้วทรงสูงสีทองอร่าม

'อย่าทำอะไรข้าเลยนะ ฮึก ฮึก' จอมมารแสยะยิ้มไม่กล่าวคำใดให้มากความหยิบมีดจันทราปักลงที่ลำคอของผู้เคราะห์ร้ายในนั้นและนำแก้วมารองเลือดยกขึ้นดื่มสดๆ ต่อหน้าเหล่านักโทษชั้นดีและหลิงหลิวเหว่ย

'ส่งวิญญาณมันไปชำระความด้วย' 

'ขอรับท่านจอมมาร' หลังจากพ้นจากคุกของนักโทษชั้นดีจึงเดินไปต่อที่คุกอีกหลังหนึ่ง 

'ข้าจะไปเยี่ยมสหายเก่าสักหน่อย เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่แหละ' 

'ขอรับท่านจอมมาร' จอมมารเดินเข้าไปในคุกหลังนั้นโดยปล่อยให้หลิงหลิวเหว่ยยืนรออยู่ด้านนอกคอยอารักขาความปลอดภัย 

กลิ่นน่าสะอิดสะเอียนลอยคลุ้งเข้ามาเขาเดินฝ่าไปเรื่อยๆคุกหลังนี้เอาไว้ขังพวกจอมมารรุ่นก่อน ก่อนที่เขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นจอมมารแน่นอนว่าเขามาพบสหายเก่า สหายเก่าที่มีบุญคุณความแค้นกันอยู่

'เป็นอย่างไรบ้างเผ่ยอวิ๋น ช่วงนี้ข้ามิได้เข้ามาเยี่ยมเจ้าบ่อยเหมือนแต่ก่อน เหงาหรือไม่' จอมมารนั่งท่าขัดสมาธิอยู่หน้ากรงเพื่อสนทนากับเผ่ยอวิ๋น สหายเก่าก่อน 

ก่อนนั้นเขากับเผ่ยอวิ๋นจวินเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อนแต่เพราะการแก่งแย่งชิงดีภายในตระกูลเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ตัวเขาต้องเสียบิดามารดาและคู่หมั้นไป นั่นคือสาเหตุที่เขาและเผ่ยอวิ๋นสายสัมพันธ์ขาดสะบั้นไม่สามารถกอปรขึ้นมาใหม่ได้แล้ว 

'เฮอะ! ทำไมไม่ปล่อยให้ข้าตายๆไปสักทีให้มันสมกับความแค้นของเจ้า' เผ่ยอวิ๋นกำมือแน่น 

ถ้าหากวันใดเขาหลุดออกจากโซ่ตรวนนี้ได้ เขาจะแก้แค้นและต่อให้มันกลายเป็นการแก้แค้นไปชั่วกัลป์ชั่วกันเขาก็ไม่เสียใจ ทั้งที่เรื่องตอนนั้นเขาไม่ใช่คนผิดและท่านแม่ของเขาก็ไม่ใช่คนผิด แต่หวังเยี่ยนก็…

'ความตายมันง่ายไปหรือเปล่า ข้าจะไม่ฆ่าเจ้าแต่จะทำให้ดวงวิญญาณของเจ้าแตกซ่าน ไร้ตัวตน ฮ่าๆๆ' เสียงหัวเราะของหวังเยี่ยนดังกึกก้องอยู่ในโสตประสาทขอวเผ่ยอวิ๋น ทุกครั้งที่หวังเยี่ยนมา เขามักจะเอ่ยประโยคนี้เสมอ ต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่หวังเยี่ยนลงมือทำจริงดังที่กล่าวไว้

'นี่เจ้า!!' 

'ยังไงเจ้าก็เป็นสหายรักของข้า ข้ากำลังจะมีงานมงคลในเร็ววันนี้ ครั้งนี้ข้าจะได้เป็นจักรพรรดิมารอย่างสมบูรณ์อย่างไรล่ะ หึหึ สิ่งที่พอพ่อชั่วช้าของเจ้าใฝ่ฝันสุดท้ายมันก็ตกมาเป็นของข้า ฮ่าๆๆๆ' หวังเยี่ยนจงใจยั่วโมโห ทว่า

'เจ้าทำไม่สำเร็จหรอก ไม่สำเร็จหรอก ฮ่าๆๆ วันมงคลหรือวันนองเลือดกันนะ ฮ่าๆๆ' กวนประสาทนัก! น่าเสียดายที่ เขาไม่รู้วิธีเปิดคุกนี้เช่นกัน มิเช่นนั้นเขาคงได้ทรมานมันจนวิญญาณมันแตกซ่านไม่เหลือชิ้นดีในปรโลกแห่งนี้แล้ว

'หมายความว่าอย่างไร' จอมมารถามเสียงเหี้ยม ดวงตาสีแดงทับทิมส่องแสงเข้มขึ้นแสดงถึงความโมโห 

'จุ๊ๆๆ ถ้าบอกตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ' เผ่ยอวิ๋นหลับตาลงและไม่พูดคำใดต่อ เพียงปรากฎรอยยิ้มตรงมุมปากไว้

'บัดซบ!!' จอมมารได้แต่สบถออกมาอย่างเสียอารมณ์ เขาไม่รู้ถึงความหมายของเผ่ยอวิ๋น

อะไรจะเกิดขึ้นในวันแต่งงานของเขา เจ้าบ้านี่! วางแผนอะไรอยู่?

หวังเยี่ยนเดินกระทืบเท้าปึงปังอารมณ์ไม่ดีออกมาจากคุกหลังนั้น หลิงหลิวเหว่ยมองซ้ายมองขวาเมื่อเห็นว่าไม่มีใครก็นำผ้าขาวสะอาดมาซับเหงื่อให้แก่จอมมาร

'ไปโมโหอะไรมา' 

'ในวันแต่งงานของข้าเพิ่มกำลังทหารอารักขาเป็นเท่าตัวเลย ข้ามีลางสังหรณ์ไม่ดี'

'โถ่ เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน บัดนี้ก็ยามซวี[3]แล้วกลับตำหนักก่อนดีหรือไม่ เดี๋ยวข้าจักเตรียมน้ำไว้ให้อาบ' หวังเยี่ยนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงเดินนำหลิงหลิวเหว่ยเข้าไปในตำหนัก นอนเอกเขนกอยู่บนตั่งทองคำพลางขบคิดในคำพูดของเผ่ยอวิ๋น เจ้านั่นมันวางแผนอะไรอยู่ หากมันยังอยู่ในคุกแต่ยังปากดีฉะนี้แสดงว่ามีคนหนุนหลังมันอยู่ 

'เหว่ยตี้ ข้ามีอะไรจะถามท่าน' 

'หืม?' หลิงหลิวเหว่ยกำลังจัดเตรียมอาบน้ำไว้ใกล้กับหน้าต่างเพื่อให้จอมมารอาบน้ำไปด้วยได้รับพลังจากแสงจันทร์ไปด้วย

'ข้าควรส่งจดหมายไปบอกกล่าวนางก่อนดีหรือไม่ หากว่าข้าอยากจะพบนาง อืม ที่สระมรกตเหลียนไห่'

'ส่งกระเรียนทองไปสิเยี่ยนเยี่ยน' หลิงหลิวเหว่ยแนะนำ วิธีนี้ใช้ออกจะบ่อยแต่เขาจะอ้างอะไรดีล่ะ ระหว่างที่กำลังจะถอดอาภรณ์ออกกลับเหลือบไปเห็นถุงหอมลายวิหคฟื้นจากเถ้าธุลีของตนเลยแนบลงไปด้วยกับกระเรียนทองพร้อมกับเขียนข้อความด้วยลายมือหวัดๆเป็นเอกลักษณ์ ชาโม่หลี่ของเขานางอาจจะยังไม่เคยลองหวังว่านางจะชอบนะ เขาจะเอาให้นางชิมวันพรุ่งนี้ หลังจากส่งกระเรียนทองไปให้เซียนหญิงผู้นั้นเสร็จก็ลงแช่โลหิตที่หลิงหลิวเหว่ยเตรียมไว้ให้ หลิงหลิวเหว่ยเองก็ช่วยตักโลหิตในอ่างชำระร่างกายให้แก่หวังเยี่ยน..

'ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่านจะเคยเป็นเทพเซียนมาก่อน ไม่รังเกียจโลหิตเหล่านี้หรือ' หลิงหลิวเหว่ยยิ้มอ่อนโยนส่งไปให้จอมมาร

'ข้าอยู่กับท่านมาหลายแสนปีแล้ว เกิดเป็นความเคยชิน หากรังเกียจคงไม่มาทำหน้าที่นี้ดอก ข้าเคยเป็นเทพเซียนก็จริงแต่ก็แค่เคย' หลิงหลิวเหว่ยไม่เคยเสียใจที่มาอยู่กับจอมมารท่านนี้ หากตัดเรื่องที่เขาต้องใช้โลหิตจากคนบาปทั้งหลายนี้ เขาก็เป็นจอมมารที่มีคุณธรรมและเด็ดเดี่ยวมากคนหนึ่ง นิสัยตรงไปตรงมาไม่เสเเสร้ง ด้วยความเลื่อยใสจึงทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้โลกเซียนเพื่อรับใช้จอมมารท่านนี้

'ขอบใจมากนะเหว่ยตี้ หากไม่มีท่านข้าคงลำบากมาก ' จอมมารถอนหายใจออกมา หลิงหลิวเหว่ยก็ได้แต่ส่งยิ้มให้พลางนวดผ่อนคลายให้แก่จอมมาร 

เป็นมารแล้วอย่างไร? เป็นเซียนแล้วอย่างไร?  ข้าก็คือข้า นั่นคือสิ่งที่หลิงหลิวเหว่ยคิด 

เมื่อเลือกภักดีต่อจอมมารแล้ว มิมีวันทรยศ

เดิมทีก็มิได้คิดว่าจะมาตามจดหมายลับนั้น ทว่า รู้ตัวอีกทีกลับมานั่งรอเขาอยู่สระน้ำมรกตนี้เสียแล้ว 

'ท่านเซียนหญิงเอาอะไรมาด้วยหรือเพคะ' วันนี้จื่อจิงตื่นสายกว่าเซียนท่านนี้สักหน่อยแต่เพราะเตรียมอ่างล้างหน้าไว้ให้แต่คืนวาน เซียนหญิงท่านนั้นจึงไม่ได้ปลุกนางให้คอยรับใช้กว่านางจะตื่นก็พบว่าเซียนท่านนั้นชำระร่างกายตนเองเสร็จแล้วอีกทั้งยังไม่ลืมที่จะผูกผ้าแพรขาวปิดตาไว้และนำตระกร้าใบหนึ่งเตรียมไว้ด้วยจึงมิรู้ว่าข้างในคือสิ่งใด 

'ขนมจากสมุนไพร' เฟิงจางจิ้งตอบเสียงเรียบ หวังลึกๆไว้ในใจว่าจอมมารจะมาตรงเวลา

'ทำให้จอมมารหรือเพคะ' จื่อจิงหัวเราะคิกคัก

'ก็เขาเตรียมชามาให้ข้า ส่วนข้าเตรียมขนม เช่นนี้จะได้มิมีผู้ใดได้เปรียบเสียเปรียบ' เฟิงจางจิ้งชี้แจงแก่จื่อจิงที่ดูเหมือนจะยังหยอกล้อนางไม่เลิก

'เพคะ เพคะ ท่านเซียนหญิง' จื่อจิงนำผ้ามาปูและยกขนมของท่านเซียนหญิงออกมาจัดใส่จานเตรียมไว้ หลังจากนั้นไม่นานจอมมารก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมกับชุดถ้วยชาที่หลิงหลิวเหว่ยเป็นผู้ถือ จอมมารท่านนั้นก็นิสัยแปลกประหลาด มีใครที่ไหนกันเขาถือถ้วยชาเหินฟ้ากันมาอย่างนี้ จื่อจิงเห็นแล้วก็อยากตำหนินัก ชุดถ้วยชาชุดนั้นเป็นของเก่าแก่เทียว นางจำได้ว่านายท่านใหญ่คนก่อนชื่นชอบชุดเครื่องชาชุดนี้มากเพราะเป็นของที่นายท่านหญิงใหญ่ปั้นเองกับมือด้วยความปราณีตใช้เวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน

'คำนับท่านจอมมารเพคะ' หวังเยี่ยนพยักหนารับ เซียนท่านนั้นยังงดงามเช่นเดิมแม้จะยังสวมผ้าแพรขาวนั้นอยู่ก็ตาม 

'เสี่ยวจิ้ง ทำไมยังใส่ผ้าแพรขาวนี้อยู่อีก' หวังเยี่ยนขมวดคิ้วเข้มเข้าหากันอย่างไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก 

นางงดงามก็จริงแต่ถ้าปลดออกคงจะงามยิ่งกว่า

'ท่านก็เห็นเมืองสวรรค์สว่างปานนี้ ข้าแสบตา ท่านคงไม่ขัดข้องอะไรนะ' 

'หากเป็นเช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด' เฟิงจางจิ้งยกยิ้มอย่างพอใจพลางนั่งลงตรงที่ที่จื่อจิงจัดเตรียมไว้ให้

'เชิญหวังเยี่ยนจวิน' มือเล็กผายออกมาเป็นการเชื้อเชิญ จอมมารหนุ่มจึงนั่งลงในทันที 

'ข้าอยากสนทนากับเทียนจวินสักหน่อย รบกวนจื่อจิงพาข้าไปส่งที'

'ย่อมได้' หลิงหลิวเหว่ยและจื่อจิงมองตากันอย่างรู้ใจและพากันเดินออกไป 

'ชานี้คือชาโม่หลี่ เจ้าลองชิมดู' จอมมารหนุ่มบรรจงรินชาและส่งไปให้แก่เฟิงจางจิ้ง

'ทำจากดอกโม่หลี่กระนั้นหรือ' 

'อืม' 

'บังเอิญจริง ข้าทำขนมจากดอกโม่หลี่มาด้วย ลองชิมดู' เฟิงจางจิ้งหยิบขนมชิ้นหนึ่งออกมาจากจานแล้วยื่นจ่อริมฝีปากจอมมารอย่างลืมตัว จองมารมองนิ่งแต่ยังมิยอมกิน

'กินสิ' เฟิงจางจิ้งรบเร้าอีกครั้ง จอมมารยกยิ้มตรงมุมปากแล้วกัดเข้าไปที่ขนมคำโตจนริมฝีปากของเขาสัมผัสเบาเบาที่ปลายนิ้วของนาง นางชักมือกลับในทันที

'รสชาติดี ข้า..ชอบ' พวงแก้มขาวใสขึ้นสีแดงปลั่งราวกับลูกตำลึง นางยกชาขึ้นซดอย่างอุกอาจ

'เหตุใดวันนี้จึงนัดข้ามาคงมิใช่ว่าเพียงอยากดื่มน้ำชากับข้าแค่นั้นนะ' 

'เสี่ยวจิ้ง ข้าแค่อยากเจอหน้าเจ้าแล้วก็เรื่องคำขอของข้า เจ้าตอบหรือยัง' เขากำลังจ้องมองเซียนชุดขาวอย่างนึกเอ็นดูอยู่ 

'อืม ข้าตอบแล้ว' เขาจ้องมองนางอย่างคาดคั้น คิดว่านางคงรับรู้ได้แม้มิได้มองเห็นและแน่นอนนางรับรู้ได้

'แต่..เมื่อไหนก็เมื่อนั้น’' เฟิงจางจิ้งยื่นคำขาด ข้างเอวของนางยังมีถุงหอมของเขาแขวนอยู่

'ถุงหอมที่ข้าให้ ชอบหรือไม่' หวังเยี่ยนนั่งเท้าคางมองหน้านางอย่างใกล้ชิด

'คือกลิ่นของอะไร หอมดี' 

'กลิ่นบุหงา' 

'แบมือหน่อย' ผ้าเช็ดหน้าปักลายบุปผานานาชนิดสลักชื่อเฟิงจางจิ้งไว้ตรงมุมล่างซ้ายอย่างสวยงามและกลมกลืน นางวางลงบนฝ่ามือของหวังเยี่ยน 

'ให้ท่านเก็บไว้' เฟิงจางจิ้งมีกลิ่นกายที่หอมอยู่แล้วเพราะบิดาและมารดาของนางผู้หนึ่งเป็นเซียนบุปผาและผู้หนึ่งเป็นเซียนมังกรแต่นางออกจะคล้ายเซียนบุปผามากกว่าจึงมีกลิ่นกายที่หอมมวลบุปผามากและมิจำเป็นต้องใช้เครื่องหอมแม้แต่น้อย แน่นอนว่าผ้าเช็ดหน้าผืนนี้เป็นสิ่งเดียวที่นางมีและพกติดตัวตลอด ในเมื่อเขามอบถุงหอมให้นางนางย่อมต้องมอบของสักสิ่งหนึ่งให้แก่เขา 

'เหตุใดจึงให้' เขาสูดกลิ่นหอมจากผ้าเช็ดหน้าเงียบๆ กลิ่นหอม หอมเหมือนกลิ่นกายนาง 

'ท่านให้ถุงหอมประจำกายแก่ข้า ข้าจึงให้ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้แก่ท่านเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน' รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว จอมมารจ้องมองรอยยิ้มนั้นอย่างหลงไหล งดงามปานนี้จริงๆ สมดั่งที่หลิงหลิวเหว่ยกล่าวมิมีผิด 'งามล่มนรกล่มสวรรค์' ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันอยู่นั้นกลับมีเสียงฝีเท้าหลายคู่กำลังเดินตรงมาทางนี้ รัศมีเทพสีฟ้าแผ่กระจาย 

'เยี่ยนเยี่ยยขึ้นมาแดนสวรรค์แต่ไม่มาเยี่ยมพวกข้า ใจร้าย ' 

[1] ยามเซิน คือ ช่วงเวลา 15.00 – 16.59 น.

[2]น้ำชาจากดอกมะลิ

[3]ยามซวี คือ ช่วงเวลา 19.00 – 20.59 น.

 

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status