จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย
นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น
'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง
'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง
มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย
'กังวลใจอย่างไร'
'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ'
'อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน'
'อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอมมารผู้รักษาประตูเชื่อมระหว่างสามโลก นรก มนุษย์และสวรรค์ หวังเยี่ยนจะต้องตรวจดูความเรียบร้อยใต้พื้นพิภพเดือนละครั้งหรืออาจจะมากว่านั้นตามดุลยพินิจและความเห็นของหลิงหลิวเหว่ย
'รับทราบขอรับ' ฉินเพลิงชั่วกัลป์ถูกเสกขึ้นมา ปลายนิ้วเรียวจับสายดีดเป็นท่วงทำนองไพเราะและดำดิ่งขับกล่อมจนกระทั่งจอมมารหนุ่มพลอยหลับไป หลิงหลิวเหว่ยเห็นประมุขมารหลับลึกลงไปแล้วถึงเก็บฉินแล้วจึงค่อยค่อยดึงผ้าห่มที่หลุดลุ่ยตรงปลายเตียงมาห่มให้ กว่าจอมมารจะตื่นเห็นทีควรสั่งสาวใช้ให้อบขนมของโปรดและอุ่นชาไว้ให้ หน้าที่ดูแลจอมมารคือหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเขา จิตใจของจอมมารท่านนี้เปรียบดั่งปราการแข็งแกร่งแล้วอย่างไร แท้จริงเขาแบกรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงไม่ว่าจะเป็นเรื่องวุ่นวายในแดนโลกันตร์ หรือ เรื่องขัดแย้งภายใน
หวังเยี่ยนได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุขมารมาหลายแสนกว่าปีแต่ยังมิได้แต่งตั้งฮูหยินมาเป็นประมุขคู่กายคู่ใจอีกคน ปัญหาข้อนี้บรรดาผู้นำและเสนามารเหล่าอื่นหลายท่าน ทั้งที่อาวุโสกว่าและเพิ่งได้เลื่อนขั้นใหม่ต่างเรียกร้องจึงทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นแม้ว่าหวังเยี่ยนจะยังควบคุมได้ก็ตาม แต่กระนั้นยังน่ากังวลอยู่ แม้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มและซุกซนฉะนี้แต่กลับยังมีเรื่องให้คิดมากมาย น่าเห็นใจ
เมื่อถึงเวลานัดหมายเข้าพบเทียนจวิน เจรจาเรื่องตบแต่งให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแม้จะประวิงเวลาหลายวันอยู่ก็เถิด ครั้งนี้คงได้เจอกับหนานอี้หรง เทียนโฮ่วไร้คุณธรรม
'ไม่เจอกันนานหลายแสนปี เป็นเช่นไรบ้างเสี่ยวจิ้ง' ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้มที่มุมปาก ทั้งยังรินชาเอาอกเอาใจเทียนจวิน ใบหน้าแสนสวยสมกับที่มาจากเผ่าจิ้งจอก เห็นชัดว่านางเสแสร้ง แค่เเสร้งพูดดีเท่านั้น
'กรุณาเรียกข้าว่าเฟิงจางจิ้งเซียนด้วยเถิดและข้าอยู่ดีมีสุข ครั้งนี้มีเรื่องสำคัญต้องปรึกษาเทียนจวินหวังว่าท่านจะไม่สอดมือมายุ่ง' ถ้อยคำสุภาพแต่ร้ายกาจของนางทำเอาหนานอี้หรงตะลึงงัน พูดไม่ออก ได้แต่ระบายยิ้มฝืน แต่ไหนไรมาเฟิงจางจิ้งมักจะค่อนแคะนางมาตลอด วันเวลาผ่านมาขนาดนี้ นางก็ยังคงไม่ปล่อยวาง
'เอาล่ะ งั้นเชิญไปที่ริมระเบียงแล้วกัน อากาศดีนัก ให้เจ้าชมแสงจันทร์เสียด้วย' คนกลางอย่างเขาจะทำเช่นไรได้ ในเมื่อเสี่ยวจิ้งไม่ค่อยชอบหน้ากับหนานอี้หรงเซียนอยู่แล้ว เขาก็ไม่ใช่จะรักใคร่นางปานนั้นหากแต่เพราะทางเผ่าของนางอยากให้เขาตบแต่งกับนางและให้นางขึ้นเป็นเทียนโฮ่วหากพูดถึงความเหมาะสมเขาจึงไม่สามารถขัดได้
เฟิงจางจิ้งเดินไปทางริมระเบียงแต่โดยดี มองแสงจันทร์สาดทอท่ามกลางความเงียบงัน
'ท่านพี่แลดูมีความสุขกับหนานอี้หรงเซียนดีนะเพคะ ท่านพี่เคยคิดถึงคนผู้นั้นบ้างหรือไม่' ข้าเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ คนผู้นั้นที่ข้าพูดถึงไม่ใช่ใครที่ไหน นาง คือ'ผานเยว่ถิง' ถึงข้าไม่เอ่ยนามก็รู้ว่าท่านพี่ต้องรู้แน่นอนว่าข้าหมายถึงใคร นางผู้นั้นต้องทุกข์ทรมานอยู่ในคุกน้ำแข็ง ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร เดียวดายเพียงไหน
'คิดถึงสิ..พี่จะลืมลงได้อย่างไร พูดเรื่องสำคัญของเราก่อนเถิด'ดวงตาสีนิลทอดมองดวงจันทร์ตรงหน้า เขาไม่อาจลืมนางผู้นั้นผู้ถูกสลักไว้กลางใจของเขาและยังละอายใจเหลือเกินหากต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้
'เสี่ยวจิ้งเจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องแต่งงาน เจ้าพึงใจในตัวหวังเยี่ยนบ้างหรือไม่ ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากพี่จักไม่บังคับ'
'ช้ายังรู้จักเขาไม่ดีพอ ข้าอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้สักหน่อยแต่ข้าก็มิได้รังเกียจเขาดอก' ดวงตาสีมุกดำไหวหวูบ จู่ๆก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำขึ้นมาเมื่อนึกถึงน้ำเสียงและถ้อยคำของชายผู้นั้น
'อืม ฐานะของเขาไม่ธรรมดา มีเกียรติ ในเมื่อเจ้ามิได้รังเกียจเช่นนั้นคำตอบ… '
'เรื่องนี้ข้าแล้วแต่ท่านพี่จะเห็นสมควร ข้าอยากไปเยี่ยมผานเยว่ถิง' เฟิงจางจิ้งเอ่ยตัดบท
แม้ท่านพี่จะเอ่ยว่าไม่บังคับ ขอเพียงเขาอ้าปาก ข้าก็รู้หมดแล้วว่าเขาคิดเช่นไร
'อีกไม่นานหรอกเสี่ยวจิ้ง เจ้าจะได้พบกับนางอย่างแน่นอน'
เพราะอีกไม่นานเกินรอ..ผานเยว่ถิงจะถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกน้ำแข็งแล้วและเขาก็ไม่รู้จะสู้หน้านางอย่างไร ในเมื่อนางสละตัวตนให้เขา แต่เขากลับไม่ใยดีนางแม้แต่น้อย
'เช่นนั้นข้าก็จะรอ'
'ภายใน 7 วันข้างหน้า พี่จะตอบตกลงและส่งสาน์นสู่แดนโลกันตร์ ครั้งนี้ถือเป็นการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ด้วยจึงต้องจัดงานเอิกเกริกสักหน่อยทั้งเซียนและเหล่ามารต่างต้องเข้าร่วม พี่ทราบมาว่าเจ้าปลีกวิเวกไปนานและอาจไม่ชินกับคนหมู่มากเช่นนี้ อีกทั้งพี่ยังไม่ทราบเกี่ยวกับธรรมเนียมของทางฝ่ายนั้นเท่าใดนัก หากตอบตกลงไปแล้วไม่อาจคืนคำได้แล้วนะเสี่ยวจิ้ง' ไม่ผิดเลย เขาตอบตกลงแทนข้าไปนานแล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สายสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาคงไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
'เสี่ยวจิ้งน้อมรับบัญชาเพคะ' เมื่อพูดคุยเรื่องสำคัญเรียบร้อยจึงสนทนาธรรมและเรื่องทั่วไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้สักเล็กน้อย ฟังมาว่าหลังจากปีนั้นที่หนานอี้หรงเซียนสั่งขังผานเยว่ถิงและท่านพี่ได้ขึ้นครองเป็นประมุขเซียน ภายหลังเกิดข้อพิพาทกับเผ่าหงษาขึ้น
เรื่องนี้ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าแท้จริงแล้วฐานะของผานเยว่ถิงก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน ความจริงแล้วนางคือเจ้าหญิงคนเล็กของประมุขเผ่าหงษา แต่การจะปล่อยตัวผานเยว่ถิงออกมานั้นจำเป็นต้องรอเวลาไม่สามารถปล่อยออกมากลางคันได้เพราะคำสั่งขังได้ถูกจารึกลงในแท่นพิพากษาจารึกสวรรค์[2]แล้ว จนกระทั่งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าหงษาและเผ่ามังกรของนางจึงไม่สู้ดีนัก
ระหว่างที่กำลังเดินออกจากตำหนักต๋าเทียนกง นางเดินผ่านเทียนโฮ่วผู้ร้ายกาจคนนั้น
'ท่านก็ระวังตนให้ดีเถิด' ข้ากล่าวกับนางและก้าวเดินต่อไปอย่างสำรวมเหมือนจะเห็นจื่อจิงอมยิ้ม
เมื่อพ้นจากพระพักตร์ของนางจิ้งจอก จื่อจิงเอ่ยขึ้น
'ข้าเพิ่งเคยเห็นท่านหญิงเซียนเฟิงจางจิ้งวางมาดเหมือนพญามารก็คราวนี้คล้ายท่านประมุขมากเลยเพคะ' คล้าย? คล้ายอย่างไรประมุขมารท่านนั้นดวงตาสีแดงประกายงดงามก็จริง แต่ดุ ดุเหลือเกิน บางครั้งนางยังนึกกลัว จะพูดอย่างไรดี ชายคนนั้นมีความน่ากลัวในความงดงามเช่นนั้น ทว่า ข้าบริสุทธิ์ พูดได้ว่าขาวบริสุทธิ์ดั่งหยกขาวอย่างแน่นอน!
'ข้าจะเป็นพญามารได้อย่างไรกัน ข้าเป็นเทพเซียน เซียนแท้ๆ แต่กำเนิดเชียวล่ะ' ข้าดีดหน้าผากจื่อเออร์เบาเบาเบาแต่เมื่อแต่งออกไปแล้วจะกลายเป็นพญามารหรือไม่ คงต้องพินิจพิเคราะห์กันอีกที
คนเราไม่มีวันเหมือนเดิมไปตลอดกาล กาลเวลาเปลี่ยนไป สิ่งรอบกายเปลี่ยน นิสัยใจคอและจิตใจก็ย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ทุกอย่างล้วนเป็นสัจธรรม
ครั้นเมื่อกลับมาถึงห้องก็ผลัดผมชำระล้างร่างกายจนสบายตัวพลางคิดเรื่องบทสนทนาวันนี้ แม้ไม่อาจคืนคำได้นางก็ไม่คิดจะคืนคำอยู่แล้ว ละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างกลับเห็นดอกอวี้หลันกลีบม่วงพลิ้วไหวตามสายลม นางเพิ่งสังเกตเห็นดอกอวี้หลัน ในยามราตรีนั้นงดงามไม่น้อยแต่กระนั้นกลับมีนกกระเรียนสีทองบินมาแต่ใดไม่ทราบ เมื่อมองอีกครั้งจึงเห็นว่ามันไม่ใช่นกเรียนของจริงแต่เป็นเพียงกระดาษเท่านั้น นกกระเรียนกระดาษสีทองค่อยค่อยโรยตัวลงมาอย่างสง่างามบนฝ่ามือของนาง นางมองอย่างสงสัยอยู่นานจนกระทั่ง…
'นั่นกระเรียนทองกระดาษหรือเพคะ'
'เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือ'
'นกกระเรียนทองกระดาษเป็นการส่งจดหมายลับของแดนโลกันตร์เพคะ หากยังไม่ถึงมือเรานกกระเรียนทองจะเสมือนจริงมากเพคะแต่ถ้าหากตกสู่มือเราแล้วจะกลายเป็นเพียงนกกระเรียนทองกระดาษธรรมดาเพคะ ลองเปิดอ่านดูสิเพคะ'
'เช่นนั้นเอง ข้าเข้าใจแล้ว' ข้าค่อยค่อย คลี่นกกระเรียนทองกระดาษออกมาช้าๆ กลิ่นหอมของบางอย่าง ที่แท้มีถุงหอมกลิ่นหอมรัญจวนติดมาหนึ่งห่อ นางเคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อน แต่กลับนึกไม่ออกอีกแล้วว่าคือกลิ่นหอมของอะไร
'ถุงหอมนั้นคล้ายถุงหอมจอมมารมากเพคะ' ถุงหอมถุงนี้มีลวดลายเป็นวิหคเพลิงฟื้นขึ้นมาจากเถ้าธุลี นางไม่เคยสังเกตถุงหอมของจอมมารจึงไม่ทราบมาก่อน แต่ให้ถุงหอมนางเช่นนี้จะมีความหมายว่าอย่างไรได้อีก?
'ถุงหอมจอมมาร? '
'เพคะ จอมมารท่านชอบทำอะไรด้วยตนเองเสมอเพคะแม้แต่ถุงหอมท่านจอมมารไม่เคยเกี่ยงว่าเป็นงานของสตรีกลับเป็นคนลงมือทำเองเสียทุกครั้งไป'
'ทำเองงั้นหรือ' นางรำพึงรำพันกับตนเองเบาเบา ทำถุงหอมมิใช่งานง่ายๆ สำหรับบุรุษเพศ
นางรู้ความหมายดีว่าการที่เขาให้ถุงหอมแก่นางมีความหมายอะไรแอบแฝง เขามีใจให้นาง นางกุมที่หัวใจของตนที่เต้นระส่ำร้องเรียกอยู่ในอกเป็นจังหวะ นางค่อยๆ แขวนถุงหอมถุงนั้นไว้ข้างตัวแล้วเปิดอ่านจดหมายลับที่เขาแนบมาด้วย..
'พรุ่งนี้ยามซื่อมาพบข้าที่สระมรกตเหลียนไห่ นอกจากถุงหอมนี้ข้ายังมีชาอยากให้เจ้าได้ลิ้มลอง หวังว่าท่านเซียนจะเมตตาข้าและไม่ปฏิเสธข้า (หวังเยี่ยนจวิน) ' ลายมือหวัดๆ เป็นเอกลักษ์ในจดหมายเป็นลายมือของหวังเยี่ยนแน่นอนแต่ไม่คาดคิดเลยว่าประมุขมารท่านนั้นจะทำเช่นนี้เป็นกับเขาด้วย
อย่างนั้นข้าควรไปพบหรือไม่ไปพบเขา…
[1] พิณจีนโบราณชนิดหนึ่ง มี 7 สาย
[2] เซียนที่ต้องโทษจะถูกจารึกไว้บนแท่นนี้และไม่มีวันถูกปลดจนกว่าจะครบกำหนด
เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ
หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ
ภาพขบวนเกี้ยวสีแดงขบวนใหญ่เคลื่อนที่เข้ามาในสวรรค์ชั้นฟ้า หญิงสาวสวมผ้าคลุมหน้าสีแดงและสวมชุดแต่งงานสีแดง'เชิญเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว' เซียนหญิงผู้หนึ่งกล่าวขึ้น นางไม่รู้จักมาก่อน นางก้าวช้าช้า ยามก้าวขาขึ้นบนเกี้ยวนางเห็นชายหนุ่มผมสีดำยาวสลวยสวมชุดสีแดงคล้ายกับนาง เขายืนอยู่ข้างหน้าเกี้ยวแต่เพียงเพราะผ้าคลุมสีแดงจึงไม่เห็นว่าเขาเป็นผู้ใด นางนั่งหลังตรงอยู่ภายในเกี้ยวโดยมีจื่อจิงนั่งอยู่ด้วย ระหว่างที่นั่งอยู่ด้านในได้พักใหญ่ข้างนอกก็มีเสียงคล้ายอาวุธกระทบกัน เกี้ยวนางถูกยกลงกระแทกลงพื้นอย่างแรง เสียงอาวุธกระทบกันดังมาตลอดทางจนกระทั่ง...'ท่านจอมมาร!' เสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้น นางไม่รอช้าก้าวออกจากเกี้ยว นางเห็นชายหนุ่มในชุดสีแดงแผ่นหลังคุ้นเคยที่นางพบเห็นมาตลอดช่วงหลายวันมานี้ ร่างหนาล้มลงกับพื้นเลือดสีแดงสดค่อยๆหลั่งไหลย้อมเป็นสีแดงเข้ากับชุด ก่อนที่ทัพสวรรค์และชายหนุ่มเกศาขาวจะเข้ามาต้านทัพศัตรูให้ถอยหลังไป ชายในชุดแดงลุกขึ้นอย่างห้าวหาญยังคงกวัดไกวกระบี่กับชายชุดดำอีกคนลากออกไปให้ไกลจากเกี้ยวและส่งยิ้มมาทางนาง สองขาของนางวิ่งตามเขาออกไป'ไม่ต้องตามข้ามา รัก
หลิงหลิวเหว่ยและปี้เฉียงเดินเข้ามาในห้องโถงเงียบๆ เห็นจอมมารกุมมือท่านหญิงเซียนอยู่แต่ท่านหญิงเซียนแลดูมีเรื่องลำบากใจ ตอนนี้จดหมายตอบรับได้มาถึงแล้ว เขาควรนำไปรายงานแก่จอมมาร เจ้าปี้เฉียงนี่ก็ตามติดเป็นเงาตามตัวน่ารำคาญจริง เมื่อไหร่จะกลับเผ่าหงสาไปสักที'ท่านจอมมารขอรับ สาน์สตอบรับมาถึงแล้ว' หลิงหลิวเหว่ยยื่นสาน์สให้จอมมาร จอมมารเปิดอ่านในทันที'เจ้าตอบตกลง?' จอมมารยิ้มกว้าง เขาบรรจงจุมพิตหลังมือของเฟิงจางจิ้ง นางไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวก็ชักมือออก'อืม ใช่ แล้วข้าจะรอเกี้ยวของท่านที่สวรรค์ชั้นฟ้า' นางลุกเดินออกไปอย่างขัดเขินเล็กน้อย นางมองตำแหน่งที่จอมมารจุมพิตไปเมื่อครู่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 'ไปกันเถอะจื่อจิง' จอมมารยังคงตะลึงงันด้วยความดีใจ จนกระทั่งนางกับจื่อจิงเดินลับสายตาไปแล้ว..'ปี้เฉียง ฝากเจ้าคุ้มครองนางถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที' 'รับทราบ!' ปี้เฉียงฟังคำสั่งจอมมารอย่างไม่อิดออด แล้วเดินตามเฟิงจางจิ้งกับจื่อจิงไป...จอมมารนั่งเปิดอ่านเทียบของหมั้นที่เขาส่งไปคราวที่แล้วเพิ่มของไปอีกสักหลายอย่าง..'ของทุกอย่างพร้อมแล้วนะ นี่เป็นรายการที่ข้าเพิ่ม จัดเตรียมให้เสร็จวั
เหล่าหลงทั้งสามพาพวกข้ากลับมายังหุบเขาสิ้นชีวาอีกครั้ง แต่พวกทหารชุดดำเหล่านั้นก็ยังตามข้ามาทันอยู่ดี ข้าจึงลุกขึ้นยืนหยัดสั่งให้หลงลี่พาคนที่บาดเจ็บกลับไปที่วังมังกรเนรมิตก่อนแล้วจึงไปประจันหน้ากับเหล่าทหารชุดดำ'นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเซียนใยต้องยื่นมือเข้ามาด้วยเล่า' หมิงป๋ายยิ้มเย้ยหยัน ข้าต้องระงับโทสะตัวเองหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องทำอย่างมีสติ 'หากพูดว่าไม่ใช่เรื่องข้าคงมิใช่กระมัง งานที่เจ้ามาพังวันนี้คืองานวิวาห์ของข้า คนที่เจ้าปักกระบี่ลงกลางอกคือว่าที่สามีของข้า' 'ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงมิอยากจะตกลงปลงใจกับจอมมารมือเปื้อนโลหิตอย่างเขา มาร่วมมือกับพวกข้าเถอะเฟิงจางจิงเซียน' ข้ากำกระบี่ในมือแน่น'คุณธรรมเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากและถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้ชีวิตของเขาไป'หวังเยี่ยน..ท่านทำเรื่องอะไรมากัน ทำไมมารเหล่านี้ถึงได้มีความแค้นกับเจ้ามากถึงเพียงนี้แปะ แปะ แปะเงาสีดำทมิฬค่อยๆประกอบรูปร่างขึ้นเป็นคน เงาสีดำที่นางรับได้ถึงพลังมหาศาลพลังงานแห่งความมืดความชั่วร้ายที่ถูกล้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรือนผมสีดำแผ่สยายดวงตาเป็นประกายสีเขียวมรกตงดงาม ชุดเกราะสีเงินทรงอา
วังมังกรเนรมิตถูกจัดตกแต่งด้วยสาหร่ายแดงที่พอจะหาได้และผ้าไหมแดงที่พอจะมีอยู่บ้าง จื่อจิงรับหน้าที่เป็นแม่งานจัดเตรียมหน้างานทั้งหมด ยังรู้สึกผิดหวังที่งานเเต่งอลังการถูกพังทลายลงอีกทั้งตี้จวิน[1]คนนั้นเหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วสามวันกลับไม่มีข่าวคราวจากวังสวรรค์ส่งมาเลยแม้แต่น้อย'จื่อเออร์ เหตุใดจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า' หลิงหลิวเหว่ยเอ่ยถามจื่อจิง'ข้ารู้สึกว่ายังขาดอะไรไปแต่ช่างเถอะ ท่านเห็นเหล่าหลงทั้งสามไหม''ไม่เห็น จริงสิปี้เฉียงก็หายไปด้วย''เดี๋ยวข้าไปตามเอง' จื่อจิงว่าเช่นนั้นแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังวังมังกรเนรมิตยังมีสระน้ำมรกตไป๋ฉุนจิ้งคงต้องไปดูสักหน่อย บังอาจปล่อยให้สตรีร่างบางกับบุรุษอ้อนแอ้นอย่างนางกับหลิงหลิวเหว่ยทำงานอยู่สองคนใช้ได้ที่ไหนกันเสียงน้ำหลั่งไหลผ่านโขดหินใต้ธาราสีใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดบุรุษรูปร่างกำยำทั้งสี่หย่อนกายหย่อนใจลงในสระน้ำนั้น..'พวกท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน' ปี้เฉียงเอ่ยถามมังกรทั้งสาม พวกเขาแลดูเหมือนจะรู้จักทางป่านี้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังนำทางพามาอา
หลายๆวันมานี้ท่านเซียนหญิงเฟิงจางจิ้งและเสวี๋ยอิงต่างทำหน้าที่ดูแลพวกข้าได้อย่างดีเยี่ยม วิชาเซียนของพวกเขาทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนที่แท้ ข้ายังคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เสมอมิรู้ว่าเลื่อนขั้นไปถึงไหนกันแล้ว เสวี๋ยอิงคนนั้นยามอยู่กับเฟิงจางจิ้งเซียนเพียงลำพังแสนแตกต่างกับตอนที่พูดคุยกับพวกข้าอย่างมากข้าสังเกตเสวี๋ยอิงตั้งแต่วันเเรกจนวันสุดท้ายสรุปความได้ว่า เสวี๋ยอิงคนนี้เป็นวิหคเหมันตกาลโดยแท้ นับถือวิถีเซียนเคร่งครัด และที่สำคัญเขารักของเฟิงจางจิ้งเซียนสหายของข้าอย่างแท้จริง ข้ากับเฟิงจางจิ้งเซียนตกลงกันไว้ว่าหลังจากจบการฝึกปรือครั้งนี้จะรับข้าเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในวังสวรรค์'ความพยายามของพวกเจ้า เปิ่นจวินเห็นแล้วว่าสมควรแก่เวลา กระบี่ของผู้ใดจะกลับคืนสู่เจ้าของ' หลงลี่เสกกระบี่อันทรงฤทธิ์ที่ส่องแสงเรืองรองและส่งคืนสู่เซียนผู้เป็นเจ้าของ กระบี่เหล่านั้นลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าผู้เป็นเจ้าของ'กระบี่มีจิตวิญญาณของมัน ผู้เป็นเจ้าของต้องตั้งชื่อด้วยก่อนจะเซ่นกระบี่ด้วยเลือด''ขอรับ! เจ้าค่ะ! ซือฝุ' เซียนสตรีและเซียนบุรุษทั้งหกขานรับ
'เสวี๋ยอิง เฟิงจางจิ้งเซียนฝากข้ามาตามท่านไปที่เรือนไผ่ด้านหลัง' เรือนไผ่ด้านหลังที่ว่า อยู่ริมธารน้ำตกที่ข้าใช้วิชาสนทนากับหวังเยี่ยนเกอเรือนไผ่นั่นดูเหมือนจะเป็นเรือนไผ่ที่ท่านเซียนเนรมิตขึ้นมาเพราะตอนที่ข้าไปไม่เห็นจะมีเรือนไผ่อยู่พลังเซียนของเฟิงจางจิ้งเซียนเหนือชั้นกว่าเซียนคนอื่นมากอย่างข้าคงเสกได้เพียงแค่เก้าอี้หนึ่งตัวกับวิชาเจ้าเล่ห์เล็กน้อยที่หวังเยี่ยนสอนก็เท่านั้น'รบกวนแม่นางช่วยนำทางไปที' เขากล่าวเสียงเรียบพลางสะบัดชายผ้าขาวอย่างอ่อนโยนยามอยู่ใกล้เขารู้สึกหนาวเหน็บจริงสมแล้วที่เป็นถึงวิหคหิมะ'ตามข้ามาเถิด' เขาเดินตามข้าอย่างสงบเสงี่ยมจริงแท้หรือวิสัยของพวกวิหคหิมะเป็นเช่นนี้เอง แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคร่งครัดวิถีเซียน'ขอบคุณที่มาส่ง''ไม่ต้องเกรงใจ พวกท่านสูงส่งกว่าข้า ข้าย่อมยินดีช่วย' เขาพยักหน้ารับเงียบๆแล้วเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่เฟิงจางจิ้งเซียนนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ พูดได้ว่าน่าเอ็นดู ข้าแอบมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหาที่เหมาะๆสักที เสกกาน้ำชาหนึ
บรรดาเหล่าเซียนยืนเรียงกันเป็นสองแถวแบ่งแยกสตรีและบุรุษเพียงแค่โดดลงเหวก็ตกลงมาโผล่ที่หุบเขาไท่ซาน ไม่คิดว่าหุบเขาแห่งนี้จะยังมีสำนักที่คล้ายสำนักสงฆ์อยู่ เบื้องหน้ามีเสามังกรสีเหลืองอร่ามสลักรูปปั้นมังกรสามหัวขนาดยักษ์มันถูกตั้งไว้กลางโถง ช่างเสมือนจริงเหลือเกิน..'เสวี๋ยอิงคารวะท่านอาจารย์' ชายหนุ่มหัวขาวก้มโค้งคำนับต่อหน้ารูปปั้นมังกรสามหัวอาจารย์ที่ไหนกันไม่เห็นจะมีใครสักคน เฟิงจางจิ้งคิด'ถือว่ามีฝีมือ ส่วนคนอื่นยังต้องฝึกอีกมาก' ร่างมังกรสามหัวแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษสามคน หน้าตางดงาม สวมชุดฮั่นฝูสีดำ รูปร่างแกร่งกำยำ มองแค่ตาเปล่าก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณเซียนของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใดข้ายังเคยได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสามเป็นสัตว์เทพแห่งบรรพกาลที่บังเกิดมาพร้อมกับเหล่าอสูรร้ายแห่งบรรพกาลอย่างเช่น อสูรเถาอู้กับฮุ่นตุ้น[1]'เสี่ยวเซียนทั้งห้าขอคารวะท่านอาจารย์' เฟิงจางจิ้งเซียนกล่าวนำข้าและเพื่อนพ้องอีกสามคนจึงพากันก้มโค้งคารวะดังที่เฟิงจางจิ้งกล่าวนำไว้ ไม่แน่ว่าในช่วงหลายวันมานี้อาจมีแต่เรื่องสนุกเกิดขึ้น'ไม่ต้องมากพิธี ข้าเ
‘ยินดีต้อนรับกลับ' หวังเยี่ยนเดินเข้าไปกอดซ้อนอีกทีหนึ่ง เขาไม่รู้มาก่อนว่าพวกนางรู้จักกันคนหนึ่งก็เปรียบเสมือนน้องสาวในไส้ส่วนอีกคนก็คือภรรยาของเขา จากนี้ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เขาจะเป็นคนปกป้องพวกนางเอง ไม่มีผู้ใด ไม่มีอดีตและแม้อดีตจะลบล้างไม่ได้ หากแต่เมื่อวันวานแห่งความขมขื่นผันผ่านไป หลังจากนี้เขาจะเป็นแสงสว่างชี้นำพวกนางเอง พวกนางคงยังมีความหลังให้ระลึกถึงกันอีกมากเห็นสมควรปล่อยให้สนทนากันเพียงลำพัง กิจของสตรีบุรุษมิควรยุ่งจอมมารสะกิดหลิงหลิวเหว่ยพยักพเยิดหน้าไปทางประตูแล้วพากันเดินออกไปเงียบๆ เซียนหญิงกับมารสาวมองหน้ากันร่ำไห้กันเงียบงัน ก่อนจะบอกเล่าถึงความทรมานแสนสาหัสและเรื่องเขา'คนนั้น''เยว่ถิง ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้แล้วเจ้ากับจอมมารรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่''ไม่เจอกันเพียงไม่กี่แสนปี ท่านหญิงของข้ากลายเป็นคนช่างถามแล้วรึ''เพราะข้าสนิทใจที่พูดคุยกับเจ้าต่างหาก!'
จอมมารหนุ่มอุ้มร่างบางที่หลับใหลไปในอ้อมกอดมายังในห้องส่วนตัวและจัดแจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือเพียงเเค่จับเเขนเล็กหรือเเตะเพียงเบาเบาก็ยังเกรงกลัวเหลือเกินว่ากระดูกขาวเช่นเทพเซียนจะแตกหัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มบอบบางราวกับปุยนุ่นเช่นนี้ คนหยาบกระด้างอย่างเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลายวันมานี้ไม่ได้รับโลหิตดับดวงจิตมารภายในร่างจึงรู้สึกกระหายอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้นางกลิ่นหอมรัญจวนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เกรงกลัวจะห้ามใจไม่อยู่'เหว่ยตี้ ข้ากระหายเหลือเกิน''เชิญจอมมารไปที่โถงก่อนเถิด ขุนนางมารรออยู่แล้ว เสี่ยวโม่[1]จะไปเตรียมเครื่องดื่มดับกระหายมาให้''อืม' ร่างองอาจรวบผมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแต่งกายเสียใหม่แล้วจึงเรียกจื่อจิงมาเฝ้าเซียนหญิงแล้วค่อยเดินออกไปครั้นเดินทางมายังโถงใหญ่ก็เห็นชี้ชัดแล้วว่ามีขุนนางมารบางส่วนหายไปจากโถงแห่งนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แจ่มแจ้งว่าขุนนางมารเหล่านั้นคงแยกพรรคพรรคแยกฝ่ายตามเผ่ยอวิ๋น
หวังเยี่ยนและเฟิงจางจิ้งแยกกันไปถอดเครื่องแต่งกายออกแล้วสวมชุดตามเดิมเพื่อมาหารือกันเรื่องเหล่าองครักษ์มารของเผ่ยอวิ๋นจวิน ผู้อาวุโสทั้งสี่ยินดียื่นมือเข้ามาช่วย หวังเยี่ยนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้เข้าห้องหอแต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักจึงต้องเลื่อนเข้าห้องหอออกไปก่อน อย่างไรกว่าจะได้เข้าห้องหอกันอีกครั้งคงต้องรอหลังพิธีอภิเษกเฟิงจางจิ้งเซียนขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาร....'ต้องขอขอบคุณเฉินฮุยเกอมากที่ตามมาช่วยข้ากับฮูหยินอีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ด้วย' หวังเยี่ยนก้มโค้งคำนับเฉินฮุยอีกครั้ง'ไม่เป็นไร ลืมไปแล้วรึว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ข้าผิดหวังมากนะหวังเยี่ยนที่ไม่เชิญพวกข้าเข้าร่วมงานอภิเษก' เฉินฮุยตำหนิจอมมารยกใหญ่อีกครั้งทั้งๆที่นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เจ้าหวังเยี่ยนยังทำตัวห่างเหินกับพวกเขาอีก หากมิใช่ว่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้าในงานแต่งเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกเซียนชั้นสูงทั้งสิบมาหารือมีหรือที่พวกเขาจะรู้&
วังมังกรเนรมิตถูกจัดตกแต่งด้วยสาหร่ายแดงที่พอจะหาได้และผ้าไหมแดงที่พอจะมีอยู่บ้าง จื่อจิงรับหน้าที่เป็นแม่งานจัดเตรียมหน้างานทั้งหมด ยังรู้สึกผิดหวังที่งานเเต่งอลังการถูกพังทลายลงอีกทั้งตี้จวิน[1]คนนั้นเหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วสามวันกลับไม่มีข่าวคราวจากวังสวรรค์ส่งมาเลยแม้แต่น้อย'จื่อเออร์ เหตุใดจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า' หลิงหลิวเหว่ยเอ่ยถามจื่อจิง'ข้ารู้สึกว่ายังขาดอะไรไปแต่ช่างเถอะ ท่านเห็นเหล่าหลงทั้งสามไหม''ไม่เห็น จริงสิปี้เฉียงก็หายไปด้วย''เดี๋ยวข้าไปตามเอง' จื่อจิงว่าเช่นนั้นแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังวังมังกรเนรมิตยังมีสระน้ำมรกตไป๋ฉุนจิ้งคงต้องไปดูสักหน่อย บังอาจปล่อยให้สตรีร่างบางกับบุรุษอ้อนแอ้นอย่างนางกับหลิงหลิวเหว่ยทำงานอยู่สองคนใช้ได้ที่ไหนกันเสียงน้ำหลั่งไหลผ่านโขดหินใต้ธาราสีใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดบุรุษรูปร่างกำยำทั้งสี่หย่อนกายหย่อนใจลงในสระน้ำนั้น..'พวกท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน' ปี้เฉียงเอ่ยถามมังกรทั้งสาม พวกเขาแลดูเหมือนจะรู้จักทางป่านี้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังนำทางพามาอา
เหล่าหลงทั้งสามพาพวกข้ากลับมายังหุบเขาสิ้นชีวาอีกครั้ง แต่พวกทหารชุดดำเหล่านั้นก็ยังตามข้ามาทันอยู่ดี ข้าจึงลุกขึ้นยืนหยัดสั่งให้หลงลี่พาคนที่บาดเจ็บกลับไปที่วังมังกรเนรมิตก่อนแล้วจึงไปประจันหน้ากับเหล่าทหารชุดดำ'นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเซียนใยต้องยื่นมือเข้ามาด้วยเล่า' หมิงป๋ายยิ้มเย้ยหยัน ข้าต้องระงับโทสะตัวเองหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องทำอย่างมีสติ 'หากพูดว่าไม่ใช่เรื่องข้าคงมิใช่กระมัง งานที่เจ้ามาพังวันนี้คืองานวิวาห์ของข้า คนที่เจ้าปักกระบี่ลงกลางอกคือว่าที่สามีของข้า' 'ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงมิอยากจะตกลงปลงใจกับจอมมารมือเปื้อนโลหิตอย่างเขา มาร่วมมือกับพวกข้าเถอะเฟิงจางจิงเซียน' ข้ากำกระบี่ในมือแน่น'คุณธรรมเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากและถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้ชีวิตของเขาไป'หวังเยี่ยน..ท่านทำเรื่องอะไรมากัน ทำไมมารเหล่านี้ถึงได้มีความแค้นกับเจ้ามากถึงเพียงนี้แปะ แปะ แปะเงาสีดำทมิฬค่อยๆประกอบรูปร่างขึ้นเป็นคน เงาสีดำที่นางรับได้ถึงพลังมหาศาลพลังงานแห่งความมืดความชั่วร้ายที่ถูกล้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรือนผมสีดำแผ่สยายดวงตาเป็นประกายสีเขียวมรกตงดงาม ชุดเกราะสีเงินทรงอา
หลิงหลิวเหว่ยและปี้เฉียงเดินเข้ามาในห้องโถงเงียบๆ เห็นจอมมารกุมมือท่านหญิงเซียนอยู่แต่ท่านหญิงเซียนแลดูมีเรื่องลำบากใจ ตอนนี้จดหมายตอบรับได้มาถึงแล้ว เขาควรนำไปรายงานแก่จอมมาร เจ้าปี้เฉียงนี่ก็ตามติดเป็นเงาตามตัวน่ารำคาญจริง เมื่อไหร่จะกลับเผ่าหงสาไปสักที'ท่านจอมมารขอรับ สาน์สตอบรับมาถึงแล้ว' หลิงหลิวเหว่ยยื่นสาน์สให้จอมมาร จอมมารเปิดอ่านในทันที'เจ้าตอบตกลง?' จอมมารยิ้มกว้าง เขาบรรจงจุมพิตหลังมือของเฟิงจางจิ้ง นางไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวก็ชักมือออก'อืม ใช่ แล้วข้าจะรอเกี้ยวของท่านที่สวรรค์ชั้นฟ้า' นางลุกเดินออกไปอย่างขัดเขินเล็กน้อย นางมองตำแหน่งที่จอมมารจุมพิตไปเมื่อครู่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 'ไปกันเถอะจื่อจิง' จอมมารยังคงตะลึงงันด้วยความดีใจ จนกระทั่งนางกับจื่อจิงเดินลับสายตาไปแล้ว..'ปี้เฉียง ฝากเจ้าคุ้มครองนางถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที' 'รับทราบ!' ปี้เฉียงฟังคำสั่งจอมมารอย่างไม่อิดออด แล้วเดินตามเฟิงจางจิ้งกับจื่อจิงไป...จอมมารนั่งเปิดอ่านเทียบของหมั้นที่เขาส่งไปคราวที่แล้วเพิ่มของไปอีกสักหลายอย่าง..'ของทุกอย่างพร้อมแล้วนะ นี่เป็นรายการที่ข้าเพิ่ม จัดเตรียมให้เสร็จวั