จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย
นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น
'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง
'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง
มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย
'กังวลใจอย่างไร'
'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ'
'อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน'
'อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอมมารผู้รักษาประตูเชื่อมระหว่างสามโลก นรก มนุษย์และสวรรค์ หวังเยี่ยนจะต้องตรวจดูความเรียบร้อยใต้พื้นพิภพเดือนละครั้งหรืออาจจะมากว่านั้นตามดุลยพินิจและความเห็นของหลิงหลิวเหว่ย
'รับทราบขอรับ' ฉินเพลิงชั่วกัลป์ถูกเสกขึ้นมา ปลายนิ้วเรียวจับสายดีดเป็นท่วงทำนองไพเราะและดำดิ่งขับกล่อมจนกระทั่งจอมมารหนุ่มพลอยหลับไป หลิงหลิวเหว่ยเห็นประมุขมารหลับลึกลงไปแล้วถึงเก็บฉินแล้วจึงค่อยค่อยดึงผ้าห่มที่หลุดลุ่ยตรงปลายเตียงมาห่มให้ กว่าจอมมารจะตื่นเห็นทีควรสั่งสาวใช้ให้อบขนมของโปรดและอุ่นชาไว้ให้ หน้าที่ดูแลจอมมารคือหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของเขา จิตใจของจอมมารท่านนี้เปรียบดั่งปราการแข็งแกร่งแล้วอย่างไร แท้จริงเขาแบกรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงไม่ว่าจะเป็นเรื่องวุ่นวายในแดนโลกันตร์ หรือ เรื่องขัดแย้งภายใน
หวังเยี่ยนได้รับการแต่งตั้งเป็นประมุขมารมาหลายแสนกว่าปีแต่ยังมิได้แต่งตั้งฮูหยินมาเป็นประมุขคู่กายคู่ใจอีกคน ปัญหาข้อนี้บรรดาผู้นำและเสนามารเหล่าอื่นหลายท่าน ทั้งที่อาวุโสกว่าและเพิ่งได้เลื่อนขั้นใหม่ต่างเรียกร้องจึงทำให้เกิดข้อกังขาขึ้นแม้ว่าหวังเยี่ยนจะยังควบคุมได้ก็ตาม แต่กระนั้นยังน่ากังวลอยู่ แม้ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มและซุกซนฉะนี้แต่กลับยังมีเรื่องให้คิดมากมาย น่าเห็นใจ
เมื่อถึงเวลานัดหมายเข้าพบเทียนจวิน เจรจาเรื่องตบแต่งให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแม้จะประวิงเวลาหลายวันอยู่ก็เถิด ครั้งนี้คงได้เจอกับหนานอี้หรง เทียนโฮ่วไร้คุณธรรม
'ไม่เจอกันนานหลายแสนปี เป็นเช่นไรบ้างเสี่ยวจิ้ง' ริมฝีปากสีแดงสดเหยียดยิ้มที่มุมปาก ทั้งยังรินชาเอาอกเอาใจเทียนจวิน ใบหน้าแสนสวยสมกับที่มาจากเผ่าจิ้งจอก เห็นชัดว่านางเสแสร้ง แค่เเสร้งพูดดีเท่านั้น
'กรุณาเรียกข้าว่าเฟิงจางจิ้งเซียนด้วยเถิดและข้าอยู่ดีมีสุข ครั้งนี้มีเรื่องสำคัญต้องปรึกษาเทียนจวินหวังว่าท่านจะไม่สอดมือมายุ่ง' ถ้อยคำสุภาพแต่ร้ายกาจของนางทำเอาหนานอี้หรงตะลึงงัน พูดไม่ออก ได้แต่ระบายยิ้มฝืน แต่ไหนไรมาเฟิงจางจิ้งมักจะค่อนแคะนางมาตลอด วันเวลาผ่านมาขนาดนี้ นางก็ยังคงไม่ปล่อยวาง
'เอาล่ะ งั้นเชิญไปที่ริมระเบียงแล้วกัน อากาศดีนัก ให้เจ้าชมแสงจันทร์เสียด้วย' คนกลางอย่างเขาจะทำเช่นไรได้ ในเมื่อเสี่ยวจิ้งไม่ค่อยชอบหน้ากับหนานอี้หรงเซียนอยู่แล้ว เขาก็ไม่ใช่จะรักใคร่นางปานนั้นหากแต่เพราะทางเผ่าของนางอยากให้เขาตบแต่งกับนางและให้นางขึ้นเป็นเทียนโฮ่วหากพูดถึงความเหมาะสมเขาจึงไม่สามารถขัดได้
เฟิงจางจิ้งเดินไปทางริมระเบียงแต่โดยดี มองแสงจันทร์สาดทอท่ามกลางความเงียบงัน
'ท่านพี่แลดูมีความสุขกับหนานอี้หรงเซียนดีนะเพคะ ท่านพี่เคยคิดถึงคนผู้นั้นบ้างหรือไม่' ข้าเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ คนผู้นั้นที่ข้าพูดถึงไม่ใช่ใครที่ไหน นาง คือ'ผานเยว่ถิง' ถึงข้าไม่เอ่ยนามก็รู้ว่าท่านพี่ต้องรู้แน่นอนว่าข้าหมายถึงใคร นางผู้นั้นต้องทุกข์ทรมานอยู่ในคุกน้ำแข็ง ผ่านมาเนิ่นนานเพียงนี้ไม่รู้ว่าเป็นเช่นไร เดียวดายเพียงไหน
'คิดถึงสิ..พี่จะลืมลงได้อย่างไร พูดเรื่องสำคัญของเราก่อนเถิด'ดวงตาสีนิลทอดมองดวงจันทร์ตรงหน้า เขาไม่อาจลืมนางผู้นั้นผู้ถูกสลักไว้กลางใจของเขาและยังละอายใจเหลือเกินหากต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้
'เสี่ยวจิ้งเจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องแต่งงาน เจ้าพึงใจในตัวหวังเยี่ยนบ้างหรือไม่ ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากพี่จักไม่บังคับ'
'ช้ายังรู้จักเขาไม่ดีพอ ข้าอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้สักหน่อยแต่ข้าก็มิได้รังเกียจเขาดอก' ดวงตาสีมุกดำไหวหวูบ จู่ๆก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายเต้นระส่ำขึ้นมาเมื่อนึกถึงน้ำเสียงและถ้อยคำของชายผู้นั้น
'อืม ฐานะของเขาไม่ธรรมดา มีเกียรติ ในเมื่อเจ้ามิได้รังเกียจเช่นนั้นคำตอบ… '
'เรื่องนี้ข้าแล้วแต่ท่านพี่จะเห็นสมควร ข้าอยากไปเยี่ยมผานเยว่ถิง' เฟิงจางจิ้งเอ่ยตัดบท
แม้ท่านพี่จะเอ่ยว่าไม่บังคับ ขอเพียงเขาอ้าปาก ข้าก็รู้หมดแล้วว่าเขาคิดเช่นไร
'อีกไม่นานหรอกเสี่ยวจิ้ง เจ้าจะได้พบกับนางอย่างแน่นอน'
เพราะอีกไม่นานเกินรอ..ผานเยว่ถิงจะถูกปล่อยตัวออกมาจากคุกน้ำแข็งแล้วและเขาก็ไม่รู้จะสู้หน้านางอย่างไร ในเมื่อนางสละตัวตนให้เขา แต่เขากลับไม่ใยดีนางแม้แต่น้อย
'เช่นนั้นข้าก็จะรอ'
'ภายใน 7 วันข้างหน้า พี่จะตอบตกลงและส่งสาน์นสู่แดนโลกันตร์ ครั้งนี้ถือเป็นการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ด้วยจึงต้องจัดงานเอิกเกริกสักหน่อยทั้งเซียนและเหล่ามารต่างต้องเข้าร่วม พี่ทราบมาว่าเจ้าปลีกวิเวกไปนานและอาจไม่ชินกับคนหมู่มากเช่นนี้ อีกทั้งพี่ยังไม่ทราบเกี่ยวกับธรรมเนียมของทางฝ่ายนั้นเท่าใดนัก หากตอบตกลงไปแล้วไม่อาจคืนคำได้แล้วนะเสี่ยวจิ้ง' ไม่ผิดเลย เขาตอบตกลงแทนข้าไปนานแล้ว ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน สายสัมพันธ์ระหว่างข้ากับเขาคงไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
'เสี่ยวจิ้งน้อมรับบัญชาเพคะ' เมื่อพูดคุยเรื่องสำคัญเรียบร้อยจึงสนทนาธรรมและเรื่องทั่วไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้สักเล็กน้อย ฟังมาว่าหลังจากปีนั้นที่หนานอี้หรงเซียนสั่งขังผานเยว่ถิงและท่านพี่ได้ขึ้นครองเป็นประมุขเซียน ภายหลังเกิดข้อพิพาทกับเผ่าหงษาขึ้น
เรื่องนี้ไม่มีใครรู้มาก่อนว่าแท้จริงแล้วฐานะของผานเยว่ถิงก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน ความจริงแล้วนางคือเจ้าหญิงคนเล็กของประมุขเผ่าหงษา แต่การจะปล่อยตัวผานเยว่ถิงออกมานั้นจำเป็นต้องรอเวลาไม่สามารถปล่อยออกมากลางคันได้เพราะคำสั่งขังได้ถูกจารึกลงในแท่นพิพากษาจารึกสวรรค์[2]แล้ว จนกระทั่งตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเผ่าหงษาและเผ่ามังกรของนางจึงไม่สู้ดีนัก
ระหว่างที่กำลังเดินออกจากตำหนักต๋าเทียนกง นางเดินผ่านเทียนโฮ่วผู้ร้ายกาจคนนั้น
'ท่านก็ระวังตนให้ดีเถิด' ข้ากล่าวกับนางและก้าวเดินต่อไปอย่างสำรวมเหมือนจะเห็นจื่อจิงอมยิ้ม
เมื่อพ้นจากพระพักตร์ของนางจิ้งจอก จื่อจิงเอ่ยขึ้น
'ข้าเพิ่งเคยเห็นท่านหญิงเซียนเฟิงจางจิ้งวางมาดเหมือนพญามารก็คราวนี้คล้ายท่านประมุขมากเลยเพคะ' คล้าย? คล้ายอย่างไรประมุขมารท่านนั้นดวงตาสีแดงประกายงดงามก็จริง แต่ดุ ดุเหลือเกิน บางครั้งนางยังนึกกลัว จะพูดอย่างไรดี ชายคนนั้นมีความน่ากลัวในความงดงามเช่นนั้น ทว่า ข้าบริสุทธิ์ พูดได้ว่าขาวบริสุทธิ์ดั่งหยกขาวอย่างแน่นอน!
'ข้าจะเป็นพญามารได้อย่างไรกัน ข้าเป็นเทพเซียน เซียนแท้ๆ แต่กำเนิดเชียวล่ะ' ข้าดีดหน้าผากจื่อเออร์เบาเบาเบาแต่เมื่อแต่งออกไปแล้วจะกลายเป็นพญามารหรือไม่ คงต้องพินิจพิเคราะห์กันอีกที
คนเราไม่มีวันเหมือนเดิมไปตลอดกาล กาลเวลาเปลี่ยนไป สิ่งรอบกายเปลี่ยน นิสัยใจคอและจิตใจก็ย่อมต้องเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน ทุกอย่างล้วนเป็นสัจธรรม
ครั้นเมื่อกลับมาถึงห้องก็ผลัดผมชำระล้างร่างกายจนสบายตัวพลางคิดเรื่องบทสนทนาวันนี้ แม้ไม่อาจคืนคำได้นางก็ไม่คิดจะคืนคำอยู่แล้ว ละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างกลับเห็นดอกอวี้หลันกลีบม่วงพลิ้วไหวตามสายลม นางเพิ่งสังเกตเห็นดอกอวี้หลัน ในยามราตรีนั้นงดงามไม่น้อยแต่กระนั้นกลับมีนกกระเรียนสีทองบินมาแต่ใดไม่ทราบ เมื่อมองอีกครั้งจึงเห็นว่ามันไม่ใช่นกเรียนของจริงแต่เป็นเพียงกระดาษเท่านั้น นกกระเรียนกระดาษสีทองค่อยค่อยโรยตัวลงมาอย่างสง่างามบนฝ่ามือของนาง นางมองอย่างสงสัยอยู่นานจนกระทั่ง…
'นั่นกระเรียนทองกระดาษหรือเพคะ'
'เจ้ารู้จักสิ่งนี้หรือ'
'นกกระเรียนทองกระดาษเป็นการส่งจดหมายลับของแดนโลกันตร์เพคะ หากยังไม่ถึงมือเรานกกระเรียนทองจะเสมือนจริงมากเพคะแต่ถ้าหากตกสู่มือเราแล้วจะกลายเป็นเพียงนกกระเรียนทองกระดาษธรรมดาเพคะ ลองเปิดอ่านดูสิเพคะ'
'เช่นนั้นเอง ข้าเข้าใจแล้ว' ข้าค่อยค่อย คลี่นกกระเรียนทองกระดาษออกมาช้าๆ กลิ่นหอมของบางอย่าง ที่แท้มีถุงหอมกลิ่นหอมรัญจวนติดมาหนึ่งห่อ นางเคยได้กลิ่นเช่นนี้มาก่อน แต่กลับนึกไม่ออกอีกแล้วว่าคือกลิ่นหอมของอะไร
'ถุงหอมนั้นคล้ายถุงหอมจอมมารมากเพคะ' ถุงหอมถุงนี้มีลวดลายเป็นวิหคเพลิงฟื้นขึ้นมาจากเถ้าธุลี นางไม่เคยสังเกตถุงหอมของจอมมารจึงไม่ทราบมาก่อน แต่ให้ถุงหอมนางเช่นนี้จะมีความหมายว่าอย่างไรได้อีก?
'ถุงหอมจอมมาร? '
'เพคะ จอมมารท่านชอบทำอะไรด้วยตนเองเสมอเพคะแม้แต่ถุงหอมท่านจอมมารไม่เคยเกี่ยงว่าเป็นงานของสตรีกลับเป็นคนลงมือทำเองเสียทุกครั้งไป'
'ทำเองงั้นหรือ' นางรำพึงรำพันกับตนเองเบาเบา ทำถุงหอมมิใช่งานง่ายๆ สำหรับบุรุษเพศ
นางรู้ความหมายดีว่าการที่เขาให้ถุงหอมแก่นางมีความหมายอะไรแอบแฝง เขามีใจให้นาง นางกุมที่หัวใจของตนที่เต้นระส่ำร้องเรียกอยู่ในอกเป็นจังหวะ นางค่อยๆ แขวนถุงหอมถุงนั้นไว้ข้างตัวแล้วเปิดอ่านจดหมายลับที่เขาแนบมาด้วย..
'พรุ่งนี้ยามซื่อมาพบข้าที่สระมรกตเหลียนไห่ นอกจากถุงหอมนี้ข้ายังมีชาอยากให้เจ้าได้ลิ้มลอง หวังว่าท่านเซียนจะเมตตาข้าและไม่ปฏิเสธข้า (หวังเยี่ยนจวิน) ' ลายมือหวัดๆ เป็นเอกลักษ์ในจดหมายเป็นลายมือของหวังเยี่ยนแน่นอนแต่ไม่คาดคิดเลยว่าประมุขมารท่านนั้นจะทำเช่นนี้เป็นกับเขาด้วย
อย่างนั้นข้าควรไปพบหรือไม่ไปพบเขา…
[1] พิณจีนโบราณชนิดหนึ่ง มี 7 สาย
[2] เซียนที่ต้องโทษจะถูกจารึกไว้บนแท่นนี้และไม่มีวันถูกปลดจนกว่าจะครบกำหนด
เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ
หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ
ในโลกนี้ล้วนมีขาว ล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์ชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจและเป็นที่น่าเบื่อแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมากแม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมามากก็เถอะ ท้องฟ้าผันแปร สรรพสิ่งแปรผัน คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...'หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ข้าเหงา อยากหาอะไรสนุกๆทำเสียหน่อย' จอมมารหนุ่มอายุราวๆสามล้านกว่าปีหาววอดๆโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นซ่างเซียนขั้นแรกและแน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไปๆมาๆหลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น จอมมารอย่างเขาสิ่งไหนที่เขาปรารถนา เขาย่อมต้องได้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง 'เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย[1]ของเทียนจวิน[2]เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชี
ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้นเดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอ
หลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ' 'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแ
ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค