Share

บทที่ 4 ตัวตนของเขา

ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่

จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง

'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย

'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน

'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเอง

เฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา

'ขอบพระทัยเพคะ ' นางตอบอย่างสำรวมก้มโค้งคำนับอีกครั้ง ก่อนจะค่อยค่อยถอยออกไปไม่แม้แต่จะพูดคำอื่นใดอีก

            เมื่อเดินมาจนเข้าเขตตำหนักของตนจึงปลดผ้าแพรขาวออก ตำหนักนี้เมื่อยังวัยเยาว์นางอาศัยอยู่กับพี่เลี้ยงของนางนามว่า 'ผานเยว่ถิง' ปีนั้นเฟิงหวังเหล่ยใกล้จะเข้ารับตำแหน่งเทียนจวินแล้ว จึงมิค่อยมีผู้ใดใส่ใจนางนัก นางยังไปๆมาๆอยู่ระหว่างสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับสถานที่ฝึกตน ห้องของนาง สิ่งของทุกอย่างถูกทำความสะอาดอย่างดีเหมือนเพิ่งเมื่อวานนี้เองที่นางตัดสินใจออกจากที่นี่โดยไม่หันหลังกลับมา

ครั้งนี้หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นเร็วจนนางไม่ทันยั้งคิด ไม่ทันรู้ตัว

'จื่อเออร์' 

'เพคะ' 

'ข้าอยากได้ชาหวงเหมยกุ้ย' นางนึกถึงรสชาเมื่อวันวานที่ได้ดื่มรวมกับท่านประมุขของจื่อจิง ประมุขท่านนั้นเขาเป็นประมุขเมืองใดกัน ระหว่างที่อยู่วังของเขาเอาแต่สวมผ้าแพรปิดตาอยู่ตลอด จึงมิอาจหยั่งรู้ได้ว่าคือเมืองใดอีกทั้งกักตนอยู่ในหุบเขาสิ้นชีวาอยู่นาน ต่อให้เห็นแต่ไม่อาจนึกได้ว่าคือเมืองใดอยู่ดี เพียงสงสัยว่าเขาย่อมต้องเป็นประมุขเมืองใดในแดนมารแน่นอน

'เชิญท่านเซียนเจ้าค่ะ' จื่อจิงนำชาหวงเหมยกุ้ยรินใส่ถ้วยลายวิหคเพลิงอย่างประณีตแล้วยื่นให้แก่เซียนหญิง

'จื่อเออร์ ท่านประมุขของเจ้าครองแดนใดอยู่หรือแล้วเจ้ามาจากเผ่าอะไร' 

'จื่อจิงมาจากเผ่าวิหคเพคะ ท่านประมุขของข้าครองอยู่แดนโลกันตร์อีกชื่อหนึ่งที่ทุกคนต่างทราบกันดีคือนรกอเวจีเพคะ '

เคร้ง เสียงถ้วยชาล่วงหล่นจากมือของเฟิงจางจิ้งอย่างแรง ประมุขผู้นั้นเขาเป็นจอมมารหรือนี่! นางเคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วถึงการได้รับการแต่งตั้งประมุขมารของเขาเพราะปีนั้นเขาได้รับการแต่งตั้งไล่เลี่ยกับพี่ชายของนางเทียว หากจะให้สาธยายถึงความสลับซับซ้อนของดินแดนทั่วทั้งสีทะเลแปดดินแดนเกรงว่าพูดทั้งวันก็ยังคงเล่าไม่หมดกระมัง

'จอมมารผู้นั้นก็คือเผ่าวิหคด้วย?'

'เพคะ ท่านประมุขมาจากเผ่าวิหคเพลิงเพคะ เคยมีคำกล่าวที่ว่า แม้นสูญสลายมลายสิ้นสู่พสุธา วิหคเหินสู่ฟ้าคืนกสิณ[3] คือท่านประมุขเพคะ' นางพิเคราะห์บทกลอนนั้นแล้วยังไม่เข้าใจอยู่หลายส่วน 

ไม่ว่ามนุษย์หรือเทพเซียนก็ต่างมีเพียงชีวิตเดียวมิใช่หรือ?

 ในโลกนี้ไหนเลยความนิรันดร์จะคงอยู่ตลอดไป?

'เช่นนั้นเอง เหตุใดเจ้าถึงภักดีกับเขาเช่นนี้ มิคิดจะเดินวิถีเซียนบ้างหรือจื่อเออร์'

'ข้าโชคดีที่มีท่านประมุขเป็นผู้ปกครองดินแดน เขาปกครองด้วยความยุติธรรมและเที่ยงธรรมเพคะ แม้ว่าเราจะขึ้นชื่อว่าเป็นมารแต่มารย่อมมีคุณธรรมได้ ท่านประมุขกล่าวเช่นนั้นเพคะ เรื่องของวิถีเซียนข้าคิดว่าไม่เหมาะกับข้าสักเท่าใด ข้าไม่เชื่อในกฎเกณฑ์และกฎเกณฑ์จะสำคัญอย่างไรหากเราปฏิบัติตนโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น วิถีเซียนของพวกท่านกฎเกณฑ์มากมาย บางเรื่องข้ายังเห็นว่าไม่จำเป็น' เฟิงจางจิ้งพอจะเข้าใจอยู่หน่อยถึงทรรศนะที่แตกต่างอย่างหนึ่งที่นางเห็นคือพี่ชายของนางผู้เดินวิถีเซียนกลับมีสนมมากมาย มากรัก หลายใจ ผิดกับประมุขมารผู้นั้นแม้แต่สนมสักคนก็ยังไม่มีและมีที่ไหนแค่เห็นนางน่าสนใจกลับฉุดนางกลับวังตนเองถึงเป็นเช่นนั้นแต่เขาก็ส่งเทียบมาสู่ขอตบแต่งเป็นเรื่องเป็นราว

อืม เมื่อย้อนคิดดูแล้ว เขาก็มีความจริงใจอยู่มาก แม้ข้าจะไม่ชมชอบในวิถีมารสักเท่าใดนัก แต่ขอเพียงเขาแสดงความจริงใจ ข้าอาจยอมตบแต่งกับเขา..

'เอาเถอะ เพลานี้ก็ใกล้พลบค่ำเต็มทีช่วยข้าเลือกชุดและเครื่องประดับที่ ข้าต้องเข้าพบเทียนจวินค่ำนี้' ข้าสั่งจื่อจิงเสร็จก็หันหน้าเข้าคันฉ่องบานใหญ่ค่อยค่อยแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมโทนอ่อนพอเหมาะ

'เพคะ' ไม่รู้ว่าเข้าวังครั้งนี้จะได้เจอเทียนโฮ่ว[4]ท่านนั้นไหม 'หนานอี้หรงเซียน' ข้าไม่ชอบเทียนโฮ่วผู้นั้น ผู้มาจากเผ่าจิ้งจอก เจ้าเล่ห์เพทุบาย เพราะนางจิ้งจอกผู้นั้นทำให้ผานเยว่ถิงต้องถูกขังอยู่ในคุกน้ำแข็งหลายแสนปี 

เพราะนางทำให้เกิดเรื่องร้ายมากมาย..

[1] เปรียบเปรยถึงการปลีกวิเวกออกจากแดนเซียน

[2] กวาน  คือ สิ่งที่ชนชั้นสูงชาวจีนในสมัยโบราณใช้สวมครอบบนศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องบอกระดับประดับพระยศพระเกียรติ

[3] เปรียบเปรยว่า ไม่มีวันดับสูญ แม้ดับสูญก็กำเนิดขึ้นมาอีกได้

[4] เทียนโฮ่ว คือ พระอัครมเหสีของจักรพรรดิสูงสุดแดนเซียน(เทียนจวิน)

 

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status