หลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า
อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์
'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน
'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ'
'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ
'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแต่ทำตามหน้าที่เท่านั้น
มิใช่ว่านางมิอยากสนทนากับเซียนชุดขาวผู้นี้แต่อย่างว่าวิถีมารกับเซียนนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางสงบเยือกเย็น ปฏิบัติตนค่อยเป็นค่อยไปแช่มช้า แต่สำหรับแดนมารนั้น มุทะลุ ว่องไว ปราดเปรื่อง แม้แต่ถ้อยคำของนางยังสุภาพอ่อนน้อมเป็นที่สุด
'ท่านหญิงเซียนต้องการอะไรอีกหรือไม่เพคะ' จื่อจิ้งยังคงเคารพนางอยู่ ใจหนึ่งรับรู้ได้ว่าสักวันหนึ่งนางอาจขึ้นมาเป็นนายหญิงอีกคน
'ช่วยสางผมให้ข้าได้หรือไม่'
'เพคะ' จื้อจิงค่อยๆปลดผ้าผูกผมของนางออกผมสีดำมีกลิ่นหอมคล้ายดอกกล้วยไม้บางชนิด หวีไม้ลายหงษ์ถูกนำมาใช้สางผมให้แก่สตรีเซียน
'จื่อจิง ประมุขของเจ้าเป็นคนดีหรือไม่' จื่อจิงชะงักเล็กน้อย
อย่างท่านประมุขงั้นหรือ? เรียกว่า มารก็ไม่ใช่ ปีศาจก็ไม่เชิง อีกทั้งท่านประมุขยังมีส่วนที่ดีเฉกเช่นเทพเซียนอยู่บ้าง หากชั่งน้ำหนักดีชั่วและถูกผิดก็คงครึ่งหนึ่งถูกครึ่งหนึ่งผิดกระมัง ถึงเป็นเช่นนั้นปวงมารวิหคเจ็ดก็ยังคงให้ความเคารพต่อท่านประมุขที่สุด
'ท่านประมุขมีทั้งดีและชั่วเพคะ'
'ชั่ว? แล้วชั่วอย่างไร' จื่อจิงคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่แต่ไม่กล้าตอบสุ่มสี่สุ่มห้าจึงพยายามตอบตามมุมมองของตน แม้ไม่มีกฎใดในบัญญัติมารห้ามมิให้วิจารณ์ท่านประมุขแต่ในฐานะข้ารับใช้ ย่อมเป็นเรื่องไม่สมควร
'บางสิ่งท่านประมุขต้องทำเพราะหน้าที่ สักวันหนึ่งท่านจะรู้และเข้าใจเอง' ถ้อยคำกำกวมของจื่อจิงทำให้นางเคลือบแคลงใจอยู่หลายส่วน แต่เอาเถิดถึงเวลาโชคชะตาฟ้าลิขิตนางคงจะรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของตนเอง
'ข้าง่วงแล้ว เจ้าก็ไปพักเถิด'
'ให้ข้าประคองขึ้นเตียงหรือไม่'
'ไม่เป็นไร' จื่อจิงวางหวีไม้ลงอย่างเบามือแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ
เมื่อเซียนสาวไม่สัมผัสถึงพลังชีวิตของใครในห้องนี้แล้วนางจึงปลดผ้าแพรที่ปิดดวงตาอยู่ลง ใบหน้างดงามราวกับภาพวาดมองสำรวจตนเองในคันฉ่องบานใหญ่ตรงหน้า นางเกลียดความงามล่มนรกล่มสวรรค์ของนาง หากไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เรื่องที่นางเองก็หลงลืมไปแล้วเช่นกัน ไม่ทราบว่าความทรงจำ ณ ห้วงเวลานั้นเลวร้ายเพียงใด เมื่อกลับสู่โลกขาวดำอีกครา นางก็ได้ละทางโลกหันหลังให้แก่ทุกสรรพสิ่งเช่นนี้
ด้วยต้นกำเนิดตระกูลสูงศักดิ์ถูกสอนสั่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่าเรื่องหมั้นหมายและเรื่องแต่งงานเป็นเรื่องที่ครอบครัวต้องจัดการ แต่นางไม่คิดว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วปานนี้ สิ่งหนึ่งที่นางแสนมั่นใจคือ หวังเยี่ยนไม่ได้แต่งกับนางเพราะใบหน้าที่งดงามนี้ คิ้วโก่งดั่งคันศร ริมฝีปากอวบอิ่มสีแดงระเรื่อ ดวงตาสีดำประกายมุก จมูกโด่งเชิดรั้น นางลูบกรอบหน้าของตนเอง ความงามดั่งภาพวาดเช่นนี้บางครั้งก็เป็นทุกข์โดยแท้...
เมื่อถึงยามเฉิน[1] เฟิงจางจิ้งตื่นขึ้นมาเวลาเดิมอย่างเช่นทุกวัน นางรำลึกไว้เสมอว่าสตรีเซียนที่ดีห้ามเกียจคร้านและต้องปฏิบัติเคร่งครัดสม่ำเสมอ ทว่า คิดไม่ถึงว่าจื่อจิงมาคอยแล้วแต่ยามเหมา[2]นำอ่างล้างมาเตรียมไว้
ดูถูกมิได้ คนที่นี่ช่างมีระเบียบวินัยเสียจริง ตรงต่อเวลา ไม่เลวเลยทีเดียว
'จื่อจิง เจ้าตื่นเช้าเช่นนี้ทุกวันเลยหรือ?' จื่อจิงตะลึงงันในความงามของหญิงสาว นี่เป็นครั้งแรกที่ใบหน้าภายใต้ผ้าแพรขาวเป็นที่ประจักษ์ ดวงตาสีดำประกายมุกสุกใสแวววาวมากล้นด้วยเสน่ห์ ริมฝีปากอวบอิ่มสีเดียวกับผลอิงเถา จมูกโด่งเชิดรั้นดั่งคันศรรับกับใบหน้า ความสงสัยก่อนหน้าได้หายไปจนหมดจด ที่แท้เพราะสตรีเซียนท่านนี้งดงามจนน่าตกตะลึง มิแปลกว่าเหตุใดถึงได้ถูกจอมมารจับตัวมา ขนาดว่านางเพิ่งตื่นยังงดงามถึงเพียงนี้ หลังประโคมเครื่องประทินโฉม ในโลกนี้จะมีผู้ใดงามเทียมนางได้อีกเล่า
ใบหน้าเช่นนี้ต้องตายแล้วเกิดใหม่กี่ชาติถึงจะได้มา?
'จื่อจิง'สตรีเซียนกดเสียงหนักจนจื่อจิงหลุดออกจากภวังค์ความงามของนาง
'เพคะ' ราวกับต้องมนต์ แม้เป็นสตรีเหมือนกันยังหลงใหลในรูปลักษณ์ของนาง
'อืม ช่างแปลกเสียจริง' เฟิงจางจิ้งครุ่นคิด นางมั่นใจอยู่ครึ่งส่วนว่าหวังเยี่ยนจะต้องเป็นผู้นับถือวิถีมาร แต่เรื่องนี้ก็ยังแปลกอยู่ดีเพราะผิดวิสัยปกติของพวกเผ่ามาร คนจำพวกนั้นทำสิ่งใดไร้กฎเกณฑ์ ดีแต่ทำตามอำเภอใจ
'เหตุเพราะท่านประมุขตื่นเช้ามากเพคะ ท่านประมุขสั่งไว้ว่ายิ่งเขาตื่นเช้ามากเพียงใดพวกข้าย่อมต้องตื่นก่อนท่านเสมอ' จื่อจิงแสดงความเห็นเพื่อคลายความสงสัยให้เซียนหญิง
ที่แท้ประมุขท่านนี้มีความคิดที่ดีอยู่ไม่น้อย แสดงตนเป็นตัวอย่าง แม้ว่าท่าทางจะเหมือนคนพาลแต่กลับมีความคิดก้าวไกล นับว่าใช้ได้
ก๊อก ก๊อก
'อีกสักครู่ ข้าจะพาท่านหญิงกลับสู่สวรรค์ชั้นฟ้า ' เซียนหญิงนำผ้าแพรขาวกลับมาผูกตาแต่ครานี้มิได้ปิดบังอีกครึ่งใบหน้า เผยริมฝีปากอวบอิ่มระเรื่อนางแต้มชาดแดงขับใบหน้าขาวผ่องเพื่อเตรียมพร้อมกับการเผชิญหน้ากับใครบางคน
'จื่อจิงจะตามไปดูแลท่านหญิงที่สวรรค์ชั้นฟ้าด้วย มิต้องเป็นกังวลเพคะ' เฟิงจางจิ้งพยักหน้ารับรู้
จื่อจิงได้รับหน้าที่ดูแลว่าที่จักรพรรดินีด้วยชีวิตของจื่อจิงย่อมต้องปกป้องและภักดีให้สมกับที่จอมมารไว้ใจ
'อืม' หลังจากแต่งองค์ทรงเครื่องครบครัน จื่อจิงประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง
ส่วนจอมมารเขามิได้ออกไปส่งนางแต่อย่างใด กลับมองเซียนหญิงเดินจากไปจนลับสายตา ตามจริงเขาควรจะให้นางนั่งบนเกี้ยว[3]พร้อมด้วยองค์รักษ์ติดตามขบวนใหญ่ส่งนางให้สมเกียรติแต่ทำเช่นนั้นคงจะเอิกเกริกเกินไป
ช่างเถอะ นางรักสงบเพียงนั้น อาจชอบการมาและจากไปอย่างเงียบเชียบมากกว่า
แต่ว่า เซียนหญิงในชุดขาวท่านนั้น งดงามแม้กระทั่งแผ่นหลังเชียว..
[1] ยามเฉิน คือ ช่วงเวลา 07.00 – 08.59 น.
[2] ยามเหมา คือ ช่วงเวลา 05.00 – 06.59 น.
[3] เกี้ยว คือ คานหามของจีนอย่างหนึ่ง ยิ่งมีคนหามมากก็ยิ่งแสดงถึงมีอำนาจและลำดับศักดิ์ที่มาก
ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค
จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น 'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย'กังวลใจอย่างไร' 'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ''อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน''อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอ
เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ
หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ
ในโลกนี้ล้วนมีขาว ล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์ชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจและเป็นที่น่าเบื่อแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมากแม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมามากก็เถอะ ท้องฟ้าผันแปร สรรพสิ่งแปรผัน คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...'หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ข้าเหงา อยากหาอะไรสนุกๆทำเสียหน่อย' จอมมารหนุ่มอายุราวๆสามล้านกว่าปีหาววอดๆโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นซ่างเซียนขั้นแรกและแน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไปๆมาๆหลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น จอมมารอย่างเขาสิ่งไหนที่เขาปรารถนา เขาย่อมต้องได้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง 'เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย[1]ของเทียนจวิน[2]เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชี
ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้นเดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอ