ในโลกนี้ล้วนมีขาว ล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์ชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจและเป็นที่น่าเบื่อแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมาก
แม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมามากก็เถอะ
ท้องฟ้าผันแปร สรรพสิ่งแปรผัน คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...
'หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ข้าเหงา อยากหาอะไรสนุกๆทำเสียหน่อย' จอมมารหนุ่มอายุราวๆสามล้านกว่าปีหาววอดๆโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นซ่างเซียนขั้นแรกและแน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไปๆมาๆหลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น จอมมารอย่างเขาสิ่งไหนที่เขาปรารถนา เขาย่อมต้องได้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด
ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง
'เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย[1]ของเทียนจวิน[2]เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชีวาแล้ว เขาลือกันทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนเทียวว่ามีรูปโฉมงดงามดั่งภาพวาด งามล่มสวรรค์ล่มนรกแต่นางรักสันโดษ ละทิ้งทางโลก จนบัดนี้นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายแสนปีที่นางเสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชีวา..' หลิงหลิวเหว่ยกระซิบบอกผู้เป็นนาย
'เดี๋ยวๆ หยุดก่อน ข้าสงสัยจริงในทั่วทั้งสี่ทะเลเเปดดินแดนนี้ยังมีคนที่งดงามกว่าข้าอีกหรือ? น่ามหัศจรรย์ใจ'จอมมารหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ
ข้าคิดไม่เลยว่าในโลกนี้จะยังมีคนที่มีใบหน้างดงามกว่าข้า เช่นนั้นนรลักษณ์ของนางจะเป็นเช่นใด?
หลิงหลิวเหว่ยได้แต่แอบถอดถอนหายใจเบาเบา แต่ไหนแต่ไร ท่านจอมมารผู้นี้แสนจะหลงตัวเองเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขากล่าวผิดไปเสียหมดเหตุเพราะหวังเยี่ยนจวินมีทั้งเทพเซียนชายเอยหญิงเอยและเทพเผ่าอื่นๆ พวกเขาเหล่านั้นต่างหลงใหลในรูปลักษณ์ของหวังเยี่ยนจวินทั้งสิ้น ฉะนั้น การที่จอมมารท่านนี้จะหลงใหลในรูปลักษณ์ของตนจึงมิใช่เรื่องผิดแปลกอะไร คนเราโดนเยินยอนานวันเข้าก็เป็นเช่นนี้
'งามมากทีเดียวฝ่าบาท เขายังลือกันอีกนะว่าแม้อยู่ห่างจากนางหลายร้อยลี้แต่กลิ่นกายมวลบุปผาหอมละมุนอบอวลเหลือเกิน..' นอกจากความงามแล้วก็ยังมีกลิ่นหอม จอมมารหนุ่มฟังคุณสมบัติที่ว่าแล้วแสนพอใจแต่ไหนแต่ไรเขาไม่ค่อยนิยมชมชอบในการเสพนารีเสียเท่าไหร่ นารีล้วนวุ่นวาย มีมากยิ่งปัญหามากตัวอย่างก็มีให้เห็นเช่นวังสวรรค์
กาลก่อนแยกตัวมาปกครองแดนโลกันตร์เห็นเทียนจวินไล่จับเหล่าธิดาเซียนสนมบ่อยครั้งเข้าจนสะอิดสะเอียนเหลือทน นับตั้งแต่เขาสูญเสียคู่หมั้นไปในครั้งอดีตก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสตรีนางใด บางทีมันอาจถึงเวลาที่เขาจะใครสักคนมาเคียงคู่เบื้องบัลลังก์
'ดี! ไปฉุดมาให้ข้าที ' จอมมารหนุ่มออกคำสั่งแก่หลิงหลิวเหว่ย
'เกรงว่าคงมิได้ฝ่าบาท แม่นางผู้นั้นเป็นเทพเซียนชั้นสูง ฝ่าบาทต้องกระทำการนี้เองเท่านั้น' หวังเยี่ยนจ้องเขม็ง
'พวกเจ้านี่เลี้ยงเสียข้าวสุกเสียจริง แล้วถ้าข้าจับนางได้เมื่อไหร่แล้วคุณสมบัติไม่ตรงกับที่เจ้าบอกเตรียมตัวโดนเฉือนเนื้อปากทิ้งได้เลย' หลิงหลิวเหว่ยหน้าซีดเป็นไก่ต้ม
ข่าวลือน่ะ ข่าวลือจะทำข้าซวยแล้วสินี่!
หวังเยี่ยนจวินหยิบกระบี่โลหิตเทวะออกไปด้วย บางทีอาจไม่ต้องลงมือให้มากความแค่นางเห็นใบหน้าเขามิแน่อาจจะเดินตามเขามาแต่โดยดีก็เป็นได้ หากกล่าวถึงหุบเขาสิ้นชีวา..แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะอยู่ได้อย่างแน่แท้ หากจิตไม่แน่วแน่ ไม่หยั่งถึง ไม่ล้ำลึก หมกมุ่น จักมิสามารถออกจากหุบเขาแห่งนี้ได้เลยเว้นแต่เขา เขาผู้ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วนเพราะชีวิตที่แสนทุกข์ลำบากยากแค้นในอดีต ทุกวันนี้เขาจึงกลายเป็นผู้กระหายกลิ่นเลือด กระหายถึงขั้นน้ำทุกหยาดหยดที่ดื่มต้องเป็นเลือด น้ำที่ใช้อาบต่างต้องเป็นเลือด
บางครั้งเขาก็อยากเสพความสวยงามมากกว่าความโสมมเช่นนี้อีกกระมัง เรื่องค่อนแค้นในอดีตหลายปีผ่านมาขนาดนี้แล้วยังมิจางลงไปแม้แต่น้อย เซียนหญิงท่านนั้นกับเฟิงหวังเหล่ยจะมีอุปนิสัยคล้ายกันมากน้อยแค่ไหนต้องสัมผัสด้วยตนเองจึงจะตัดสินได้
เขาเคยสนิทสนมกับเฟิงหวังเหล่ยอยู่ครั้งหนึ่งในชีวิตแต่กลับมิเคยได้ประสบพบเจอกับน้องสาวของเขาแม้แต่ครั้งเดียว เคยได้ยินมาว่าหลังจากที่นางสำเร็จขั้นเป็นซ่างเซียน[3]จนกระทั่งบรรลุขั้นซ่างเสิน[4]นั้นมีกิริยาที่เงียบขรึมและเคร่งครัดในวิถีเซียนอย่างถ่องแท้ มีความเรียบง่ายแต่ยาก พิธีรีตองมากแต่ก้าวล้ำ ครั้งนี้คงได้เจอะเจอกับตาว่าเป็นดังที่เขาเล่าลือกันจริงหรือไม่..
หวังเยี่ยนควบอาชาปีศาจอย่างห้าวหาญ ฉุดสตรีทั้งทีต้องให้เกียรตินางจะทำตัวเหมือนโจรป่าถ่อยถ่อยมิได้ เป็นถึงราชามารจะยอมขายหน้าได้อย่างไร?
'หอม' กลิ่นหอมลอยคละคลุ้งเขาได้กลิ่นบุปผาหลากชนิด มากเสียจนไม่สามารถแยกได้เลยว่าเป็นกลิ่นของบุปผาชนิดใด เขามองไปไกลสุดลิบตากลับเห็นหญิงสาวใส่ชุดขาว มีผ้าแพรขาวผูกปิดตาไว้อำพรางใบหน้าไว้ด้วยผ้าแพรปิดอีกครึ่งหนึ่ง บดบังทั้งใบหน้า ไม่เห็นแม้แต่ริมฝีปาก แลดูเหมือนนางกำลังใช้จมูกในการดมกลิ่นของสมุนไพรในมือยังคงจับใบต้นตังกุย นางคงกำลังฝึกวิชาเซียนวิชาใดวิชาหนึ่งอยู่กระมัง
'แม่นางมีอะไรข้าช่วยหรือไม่' จอมมารหนุ่มตรงดิ่งเขามาไปหานางผู้นั้นในทันที
กลิ่นหอมเช่นนี้มาจากตัวนางจริง หรือนางจะเป็นคนที่เขาตามหา?
ไหนใครว่านางเป็นเทพชั้นสูงกลับเป็นคนตาบอด ทว่า รูปร่างทรวดทรงองค์เอวล้วนงาม งามแม้ไม่เห็นดวงตา แม้ไม่เห็นริมฝีปาก ท่วงท่าสงวนกิริยา อ่อนช้อย ถี่ถ้วน
'ท่านเป็นใคร มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด' สตรีเซียนสัมผัสได้ถึงพลังต่างขั้วจึงชักกระบี่ประจำตัวขึ้นมา มีสลักอักษรตรงด้ามว่า 'เฟิงจางจิ้ง'หวังเยี่ยน จึงคาดเดาว่าคงเป็นชื่อของนาง จากที่เทียนจวินมีนามว่า 'เฟิงหวังเหล่ย' ไม่ผิดต้องเป็นนางแน่
'ข้ามีนามว่าหวังเยี่ยน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?' เขาก้าวขาเข้าไปใกล้นางหนึ่งก้าว นางถอยหลบอีกหนึ่งก้าว เพียงเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่าประสาทสัมผัสของนางดีเลิศเพียงใด แม้ว่านางจะไม่ยอมปลดผ้าแพรขาวที่ปิดดวงตาลงก็ตาม
'ไม่' วาจาของนางสงบเยือกเย็นแฝงไปด้วยความระวังตัว ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงถึงความกลัวหรือหวั่นวิตกใดๆ
ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ น่าครอบครอง เขาชอบสตรีที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวและเยือกเย็นเช่นนี้ ในเมื่อตั้งใจมาฉุด ก็ต้องฉุด!
'จุดประสงค์ของข้า..ก็คือ..' นางกัดริมฝีปากแน่นแต่ทว่า..เพียงแวบเดียวดั่งใจนึกกระบี่ของนางถูกปลดลงอย่างง่ายดาย นางสัมผัสได้ถึงลำแขนล่ำสันแข็งแรงและแผงอกแกร่ง ตัวนางกำลังลอยหวืออยู่กลางอากาศ
‘ท่าน!!’
ใช่! นางอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว! วิชาเซียนของนางใช่จะต่ำต้อยด้อยค่าเพียงแต่นางกำลังฝึกรับประสาทสัมผัสให้แม่นยำมากขึ้น นางประมาทเขาเกินไป ชายผู้นี้เป็นใครกันนะ กล้าแม้แต่กระทั่งบุกมาในที่ของนาง เขาค่อยๆก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาว
'ฉุดเจ้า เทียนจวินมีเทียนโฮ่ว ข้าก็ต้องมีจักรพรรดินีของข้าบ้างสิ จริงไหม'
'บังอาจ!!!' หวังเยี่ยนเหยียดยิ้มร้ายกาจก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากสวย 'หลงใหลในรูปโฉม' อาจจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่า 'โฉมงามชวนให้ลุ่มหลง กลิ่นยวนเย้าชวนให้สุขสม' สมกับที่เขาว่ากันไว้จริงๆ
หลายแสนปีที่ผ่านมานี้นางไม่เคยย่างกรายออกจากหุบเขาสิ้นชีวาแม้แต่ก้าวเดียวจนกระทั่งวันหนึ่ง..เทพเซียนผู้หนึ่ง นางจำได้ว่าเขามีนามว่า 'ซื่อฉิว' หลงเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ ด้วยจิตเมตตาธรรมจึงพาเขาไปส่งถึงหน้าประตูแดนสวรรค์ชั้นฟ้า ทว่า กลับเจอพี่ชายเเท้ๆของตนเอง ฐานะที่ปกปิดมาหลายร้อยปีจึงถูกเปิดเผยมาอย่างไม่น่ายินดีเท่าใดนักและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของข่าวลือที่ทำให้ข้าต้องตกมาอยู่ในเงื้อมมือของคนผู้นี้...
'ก่นด่าข้าในใจอยู่หรือ?' หลังจากอุ้มร่างบางแน่งน้อยมาถึงวังอัสนีย์ก็นำเชือกป่านเซียนมามัดนางไว้ นางไม่ดิ้นไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ออกจะน่าเบื่ออยู่บ้าง
ข้าอยากเห็นนางขัดขืนสักนิด ข้าเคยได้ยินสุภาษิตทำนองที่ว่า สตรีด่าหมายความว่าสตรีรัก
หากแต่ว่านางเมินเฉยนั้นหมายความว่ารำคาญข้าแล้วหรือไม่?
'สนทนากับคนพาลมิสู้สนทนากับสิงสาราสัตว์'
ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ น่าครอบครอง เขาชอบสตรีที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวและเยือกเย็นเช่นนี้ ในเมื่อตั้งใจมาฉุด ก็ต้องฉุด!
'จุดประสงค์ของข้า..ก็คือ..' นางกัดริมฝีปากแน่นแต่ทว่า..เพียงแวบเดียวดั่งใจนึกกระบี่ของนางถูกปลดลงอย่างง่ายดาย นางสัมผัสได้ถึงลำแขนล่ำสันแข็งแรงและแผงอกแกร่ง ตัวนางกำลังลอยหวืออยู่กลางอากาศ
‘ท่าน!!’
ใช่! นางอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว! วิชาเซียนของนางใช่จะต่ำต้อยด้อยค่าเพียงแต่นางกำลังฝึกรับประสาทสัมผัสให้แม่นยำมากขึ้น นางประมาทเขาเกินไป ชายผู้นี้เป็นใครกันนะ กล้าแม้แต่กระทั่งบุกมาในที่ของนาง เขาค่อยๆก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาว
'ฉุดเจ้า เทียนจวินมีเทียนโฮ่ว ข้าก็ต้องมีจักรพรรดินีของข้าบ้างสิ จริงไหม'
'บังอาจ!!!' หวังเยี่ยนเหยียดยิ้มร้ายกาจก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากสวย 'หลงใหลในรูปโฉม' อาจจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่า 'โฉมงามชวนให้ลุ่มหลง กลิ่นยวนเย้าชวนให้สุขสม' สมกับที่เขาว่ากันไว้จริงๆ
หลายแสนปีที่ผ่านมานี้นางไม่เคยย่างกรายออกจากหุบเขาสิ้นชีวาแม้แต่ก้าวเดียวจนกระทั่งวันหนึ่ง..เทพเซียนผู้หนึ่ง นางจำได้ว่าเขามีนามว่า 'ซื่อฉิว' หลงเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ ด้วยจิตเมตตาธรรมจึงพาเขาไปส่งถึงหน้าประตูแดนสวรรค์ชั้นฟ้า ทว่า กลับเจอพี่ชายเเท้ๆของตนเอง ฐานะที่ปกปิดมาหลายร้อยปีจึงถูกเปิดเผยมาอย่างไม่น่ายินดีเท่าใดนักและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของข่าวลือที่ทำให้ข้าต้องตกมาอยู่ในเงื้อมมือของคนผู้นี้...
'ก่นด่าข้าในใจอยู่หรือ?' หลังจากอุ้มร่างบางแน่งน้อยมาถึงวังอัสนีย์ก็นำเชือกป่านเซียนมามัดนางไว้ นางไม่ดิ้นไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ออกจะน่าเบื่ออยู่บ้าง
ข้าอยากเห็นนางขัดขืนสักนิด ข้าเคยได้ยินสุภาษิตทำนองที่ว่า สตรีด่าหมายความว่าสตรีรัก
หากแต่ว่านางเมินเฉยนั้นหมายความว่ารำคาญข้าแล้วหรือไม่?
'สนทนากับคนพาลมิสู้สนทนากับสิงสาราสัตว์'
'นี่..เฟิงจางจิ้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร' หวังเยี่ยนได้แต่หัวเราะแห้งๆ ถ้อยคำของนาง กล่าวอย่างผู้มีอารยะก็จริงแต่เจ็บจี๊ดไปถึงทรวง เดิมทีเขาไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่า เฟิงหวังเหล่ย มีน้องสาวกับเขาด้วยแต่หากเทียบเคียงวิสัยส่วนตัวของทั้งคู่แล้ว เฟิงจางจิ้งกับเฟิงหวังเหล่ยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ก็น่าแปลกใจที่เฟิงหวังเหล่ยไม่เคยพูดถึงน้องสาวให้เขาได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียวแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแล้วความสัมพันธ์ของเขากับเฟิงหวังเหล่ยจะไม่สู้ดีเท่าใดนักก็ตาม
'ชื่อเสียงล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเลื่อนลอย สิ่งใดจริงเท็จหากไม่เห็นด้วยตาไม่อาจเชื่อถือได้' หวังเยี่ยนคิ้วกระตุกอีกครั้ง เขาชอบสตรีนางนี้ วาจาของนางล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยสัจธรรมอยู่ครึ่งส่วน
ดี! เมื่อถูกใจแล้วก็ต้องเอามาให้ได้
'ข้าชอบเจ้ายิ่งนัก หลิงหลิวเหว่ยเจ้าส่งเทียบไปที่สวรรค์ชั้นฟ้าตำหนักต๋าเทียนกง ข้าจะนำสินสอดไปสู่ขอ เทพเซียนบุปผาเฟิงจางจิ้ง..' นางกัดริมฝีปากแน่นอีกครั้ง ชายผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้านางต้องเป็นประมุขของดินแดนใดดินแดนหนึ่งเป็นแน่ ฐานะมิธรรมดา อีกทั้งยังกล้าคิดเช่นนี้กับนาง
ในใต้หล้าจะมีคนซักกี่ผู้ที่กล้ากล่าววาจาห้วนๆกับเทียนจวินผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของนางและยังอาจหาญสู่ขอนางผู้เป็นถึงน้องสาวของผู้ปกครองสวรรค์เก้าชั้นฟ้า
'ข้าไม่แต่ง' นางเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ให้แต่งงานกับคนที่ไม่รู้แม้แต่หัวนอนปลายเท้า มิมีใครเขาทำกันและอีกหนึ่งปณิธานของนาง คือ หากต้องแต่งงานร่วมวิวาห์เคียงหมอนกับใครสักคนหนึ่ง คนผู้นั้นอย่างน้อยต้องเป็นคนที่นางมีใจให้อยู่บ้าง จะดีเลวหรือชั่วช้าก็อีกเรื่องหนึ่ง
'เฟิงจางจิ้ง เจ้าต้องซ้อมเรียกข้าว่า ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพี่เจ้าขา ได้แล้วนะ หลิงหลิวเหว่ยเขียนกำกับไว้ด้วยนะหากไม่ยินยอมข้าจะยกทัพประชิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศทันที' หวังเยี่ยนหยอกล้อนาง จนใบหน้าขาวซีดขึ้นสีแดงปลั่ง ทว่านางมิได้หน้าแดงเพราะความเขินอายแต่เป็นความโมโหมากกว่า..
ใครจะไปยอมเรียกด้วยวาจาน่าเกลียดเช่นนั้น!?
'เทียบเสร็จสิ้นแล้ว ให้ข้าส่งเมื่อใดหรือฝ่าบาท' หลิวหลิงเหว่ยยื่นเทียบนั้นให้หวังเยี่ยนจวินอ่าน ดวงตาสีทับทิมไล่มองไปทั่วเนื้อความ เขาพยักหน้าพึงพอใจพลางเขียนแจกแจงรายการสินสอดด้วยลายมือยึกยือของตัวเองบอกได้คำเดียวว่าทุ่มไม่อั้น เทียบนี้ถือว่าสมบูรณ์ ช่วงต้นเห็นชัดว่าแล้วแต่เทียนจวินจะเห็นควรหรือไม่เห็นควรแล้วแต่จะโปรดแต่ตรงส่วนท้ายเทียบนั้นชี้ชัดว่าเป็นการข่มขู่
'เดี๋ยวนี้ เพลานี้ บอกเทียนจวินด้วย ว่าข้าให้เวลาคิดไม่มาก ข้าใจร้อน'
'หิวหรือไม่' จอมมารหนุ่มเพ่งเล็งไปยังผ้าแพรขาวที่ปกปิดอำพลางใบหน้าของนางไว้พลางคิดในใจ
เมื่อไหร่หนอนางจะปลดผ้าแพรขาวออกสักที
'ข้าไม่ทานเนื้อสัตว์ อาหารของข้าจะต้องเป็นผลไม้หรือธัญพืชเท่านั้น' นางไม่ตอบเขาว่าหิวหรือไม่อย่างไรแต่กลับบอกถึงสิ่งที่นางกินหรือไม่กินแทน เขาคาดเดาว่านางคงหิว เพียงแต่เขินอายเกินกว่าจะกล่าวออกมาว่าหิวกระมัง
'เช่นนั้นแล้วก็ไป'กิน'กันเถอะ แต่ที่นี่ไม่มีผลไม้หรือธัญพืชอะไรนั่นหรอกนะ เพราะข้ากินแต่'เนื้อ' ' จอมมารหนุ่มจงใจกล่าวคำสองแง่สามง่ามแล้วจึงปลดเชือกป่านเซียนที่มัดตัวนางไว้ออก ส่วนนางนั้นสำรวมกิริยาแม้จะชิงชังวาจาน่ารำคาญหูนั้นมากเพียงใดก็ต้องกลั้นใจไว้ ยุบหนอ พองหนอ เพียงสนทนากับคนพาลก็อาจกลายเป็นคนพาลไปแล้วสองในสามส่วน ชำระจิตใจสงบนิ่ง.....
จอมมารจับข้อมือบาง บอบบางจนเขาคิดว่าหากจับแรงไป ข้อมือน้อยน้อยจะแตกหักหรือไม่ จูงมือนางเข้ามาในห้องครัว
ฟุดฟิด ฟุดฟิด เฟิงจางจิ้งพยายามดมกลิ่นว่าที่นี่คือที่ไหน กลิ่นเครื่องเทศแรงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นห้องครัว
‘ข้าไม่ทานเนื้อสัตว์’ นางทักท้วงขึ้นอีกครั้ง
‘เพราะเจ้าไม่ทานเนื้อสัตว์ ข้าจึงลงมือทำอาหารเจ้ากินเอง ดีใจหรือไม่’
‘ท่านทำเป็นหรือ?’ เฟิงจางจิ้งเพียงรู้สึกแปลกใจ บุรุษน้อยคนนักที่สามารถทำงานครัวได้ นับว่าเขายังพอมีคุณสมบัติที่ดีอยู่บ้าง
‘ย่อมต้องเป็นอยู่แล้ว ครั้งหนึ่งเคยมีสตรีนางหนึ่งสอนให้ข้ารู้จักพึ่งพาตนเอง ข้าจึงเรียนรู้จากเรื่องพื้นฐาน’ เขาเอ่ยว่าอยากจะแต่งงานกับข้าแต่กลับพูดถึงสตรีนางอื่นขึ้นมา แปลกคน
เฟิงจางจิ้งไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาเป็นเช่นไร ทว่า นางสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณว่าส่วนลึกในใจของเขากำลังสั่นไหว คลื่นอารมณ์แห่งความโศกเศร้าแผ่ออกมาจนนางรู้สึกได้
บางทีนางผู้นั้นที่เขาเอ่ยถึงอาจเป็นคนรักหรือไม่ก็คงเป็นคนสำคัญของเขากระมัง
‘สตรีนางนั้นคือคนรักของท่านกระนั้นหรือ’
‘ใช่ นางคือคนรักของข้า แต่ว่านางจากโลกนี้ไปนานแล้ว’ น้ำเสียงของเขาราวกับไร้ความรู้สึก ทำให้นางหวนนึกถึงเซียนผู้พี่ของตนเอง คนผู้นั้นเบื้องหน้าแสดงให้เห็นว่ามิได้ระลึกถึงผู้ใดทั้งที่ในใจจริง แสนทุกข์ระทมขมขื่นนัก
‘หวังว่าอาหารที่ท่านทำจะกินได้’
‘เจ้านั่งรอตรงนี้’ ชายหนุ่มลุกขึ้นจูงมือนางมายังเก้าอี้ไม้พานางมานั่งอย่างระแวดระวังแล้วจึงไปหยิบวัตถุดิบมาเตรียม
‘ชอบกินเห็ดหอมหรือไม่’ จอมมารถามพลางหยิบเห็ดหอมขึ้นมาดู เห็ดพวกนี้มิใช่เพียงเห็ดหอมธรรมดาแต่เป็นเห็ดหอมยักษ์ที่เจ้าปีศาจกระต่ายปลูกไว้ริมทะเลแดงล่อเลี้ยงจนโตด้วยกรรมวิธีพิเศษเป็นระยะเวลาถึงสองแสนปี ด้วยความยากในการเพาะปลูก การจะหว่านล้อมให้พวกมันยอมขายไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหากพูดถึงเรื่องพืชผัก ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าวัตถุดิบที่ได้มาจากการปลูกของปีศาจกระต่ายอยู่แล้ว
‘ข้าชอบเห็ดทุกชนิด เห็ดหลินจื่อสวรรค์ยิ่งชอบ’
‘ชอบของล้ำค่าเสียด้วย ไม่เป็นไร ข้ามีของที่เจ้าชอบ งั้นวันนี้ข้าจะทำผัดผักสามจักรพรรดิเห็ดหอมน้ำแดงกับน้ำแกงหลินจื่อสวรรค์ผสมโสมรากเซียนห้าหมื่นปีให้เจ้า’ จอมมารท่านนี้ใจถึงไม่เบา ข้าทราบมาว่าราคาของโสมรากเซียนห้าหมื่นปีกับหลินจื่อสวรรค์นั้นแพงมาก หากจำไม่ผิดต่อให้เอามรกตหยกพิสุทธิ์มาแลกเป็นพันก้อน เกรงว่ายังไม่เพียงพอกับราคาของมัน เพื่อซื้อใจข้าเขายอมทุ่มทุนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
‘ฐานะของท่านไม่ธรรมดา ท่านเป็นใครกันแน่’ นอกจากว่าเขาจะมีสมบัติมากมายถึงขนาดสามารถซื้อวัตถุดิบล้ำค่าเหล่านั้น ทักษะการทำอาหารของเขายังเป็นทักษะชั้นสูง หากเป็นเทพเซียนย่อมต้องมีฐานะสูงศักดิ์หรือในทางเลวร้ายเขาอาจเป็นเทพมารสักตน ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาคือใคร
ช่างน่าเสียดาย ช่วงเวลาที่ข้าขึ้นหุบเขาสิ้นชีวา ไม่อาจทราบความเป็นไปในสี่ทะเลแปดดินแดน ลงเขาครั้งนี้ก็ถูกชิงตัวออกมาก่อน แม้แต่ตอนนี้อยู่ที่ไหนยังไม่อาจหยั่งรู้ได้
หวังเยี่ยนใช้เวลาทำอาหารถึงหนึ่งชั่วยามหันกลับมาอีกทีเซียนหญิงก็หลับไปแล้ว เขาได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกได้ว่านางคลายความระแวดระวังลงบ้างแล้ว
‘เสี่ยวจิ้ง เจ้าตื่นได้แล้ว’ เสี่ยวจิ้ง คำนั้นดังก้องในโสตประสาท จู่ๆก็เกิดอาการปวดหัวพร้อมกับภาพซ้อนของใครคนหนึ่ง ภาพชายหนุ่มผู้หนึ่ง ร่างสูงโปร่ง เกศายาวสีขาว นุ่งกายด้วยผ้าขาวไปทั้งตัว ดวงตาสีเงินประดุจเพชรนิล
เสี่ยวจิ้ง’ น้ำเสียงคุ้นเคยพร่ำเรียกนามของนาง
ความคุ้นเคยอันเลือนลาง ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมายากจะแยกว่าเป็นภวังค์ฝันหรือมันเคยเกิดขึ้นจริง
‘เฮือก!’ เฟิงจางจิ้งสะดุ้งเฮือกขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ
เมื่อครู่นางเผลอหลับไปกระนั้นหรือ?
เช่นนั้นสิ่งที่นางเห็นคงเป็นเพียงฝันใช่หรือไม่?
‘ท่าน!’ ลมหายใจของบางคนเป่ารดใกล้ใบหน้าเพียงเอื้อม คนตรงหน้านี้คงไม่ใช่ใครนอกเสียจากเขา
‘หลับลึกเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะถูกข้าลักหลับบ้างหรือ’
‘บังอาจ!’ เฟิงจางจิ้งตวาดขึ้น ทว่า ไม่ทำให้จอมมารหนุ่มสลดแต่อย่างใดกลับได้รับเสียงระเบิดหัวเราะลั่นกลับมาแทน
‘ฮ่าๆ เจ้ากินข้าวเถอะ ข้าจะออกไปรอด้านนอก’ หวังเยี่ยนรู้ดีว่านางยังไม่คุ้นเคยกับเขาและมันคงไม่ใช่เรื่องดีงามนักที่จะมานั่งเฝ้าจับตามองในทุกอากัปกิริยา
เฟิงจางจิ้งได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไปจึงปลดผ้าแพรลง ครั้งแรกที่ได้เห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มจึงลอบสังเกตร่างสูงโปร่ง ผมดกดำยาวเงางามกับท่าเดินแสนองอาจ แม้จะยังไม่เห็นหน้าแต่ก็รับรู้ได้ว่าคนคนนี้ต้องมีรูปลักษณ์ที่งดงามไม่แพ้นางเป็นแน่
‘เขาดูดีถึงเพียงนี้’ เซียนหญิงเอ่ยขึ้นตามด้วยรอยยิ้มหวานที่แสดงออกมาโดยมิรู้ตัว
เมื่อก้มลงมองอาหารสองอย่างบนโต๊ะ ดวงตากลมโตคู่สวยเบิกตากว้างขึ้นแวววาว เขาไม่ได้โกหก อาหารสองจานนั้น คือ ผัดผักสามจักรพรรดิเห็ดหอมน้ำแดงกับน้ำแกงหลินจื่อสวรรค์ผสมโสมรากเซียนห้าหมื่นปีจริง อีกทั้งกลิ่นยังหอมมากจนเสียงท้องกู่ร้องดังยิ่งกว่าเสียงนภาคำราม
ชิมอาหารเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติล้วนยอดเยี่ยมจนน้ำตาพาลจะไหลลงมาดื้อๆ
‘อร่อยจังเลย’ ริมฝีปากน้อยเคี้ยวตุ้ยๆ พริบตาเดียวอาหารเหล่านั้นก็อันตรธานหายไปหมดแล้ว
จากความไม่ชอบในคราแรกจึงกลายเป็นความประทับใจ ที่จริงแล้วนางก็มิได้เกลียดเขา เพียงแต่หากได้รู้จักเขามากขึ้นกว่านี้ ไม่แน่ว่านางอาจจะชอบพอเขาได้ในสักวันหนึ่ง….
[1] เม่ยเม่ย หมายถึง น้องสาว
[2] เทียนจวิน หมายถึง จักรพรรดิสูงสุดแดนเซียน
[3] ช่างเซียน หมายถึง เซียนชั้นสูง
[4] ซ่างเสิน หมายถึง เทพชั้นสูง
ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้นเดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอ
หลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ' 'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแ
ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค
จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น 'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย'กังวลใจอย่างไร' 'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ''อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน''อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอ
เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ
หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน
เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก
สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ