Share

ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร
ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร
Author: 肥鸟神/เทพเจ้านกอ้วน

บทที่ 1 ลักพาตัว

last update Last Updated: 2024-11-10 20:36:55

ในโลกนี้ล้วนมีขาว ล้วนมีดำ เขาทั้งสองผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยิน ผู้หนึ่งเปรียบเสมือนหยาง หลายปีมานี้สวรรค์ชั้นฟ้าและดินแดนใต้พื้นพิภพหรืออีกอย่างที่มนุษย์เรียกกันว่า'นรกอเวจี' ต่างสงบสุขไร้ความขุ่นเคืองใจและเป็นที่น่าเบื่อแก่จอมมารอย่างหวังเยี่ยนจวินเป็นอย่างมาก

แม้ว่าช่วงแปดแสนปีก่อนหน้านี้จะมีเรื่องให้ต้องครุ่นคิดอย่างหนักมามากก็เถอะ 

ท้องฟ้าผันแปร สรรพสิ่งแปรผัน คนที่เคยอยู่เคียงข้างกันลาจากไปจากหนึ่งเป็นสองจากสองเป็นหลายคน...

'หลิงหลิวเหว่ยที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องอะไรหรือไม่ ข้าเหงา อยากหาอะไรสนุกๆทำเสียหน่อย' จอมมารหนุ่มอายุราวๆสามล้านกว่าปีหาววอดๆโดยมีหลิงหลิวเหว่ยผู้สงสารชั้นดีที่แต่ก่อนเคยเป็นซ่างเซียนขั้นแรกและแน่นอนว่าจอมมารไม่ได้ถามความยินยอมจากเขาแต่กลับชิงตัวมาไว้แดนโลกันตร์ไปๆมาๆหลิงหลิวเหว่ยกลับชอบที่นี่เสียอย่างนั้น จอมมารอย่างเขาสิ่งไหนที่เขาปรารถนา เขาย่อมต้องได้สิ่งนั้น ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธีการใด 

 ในมือของหวังเยี่ยนยังคงถือคันฉ่องสีทองอร่ามประดับด้วยเม็ดทับทิมแดงลูกโตชื่นชมความงามของตนเอง 

'เรียนท่านจอมมาร ข้าฟังมาว่าเม่ยเม่ย[1]ของเทียนจวิน[2]เสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชีวาแล้ว เขาลือกันทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนเทียวว่ามีรูปโฉมงดงามดั่งภาพวาด งามล่มสวรรค์ล่มนรกแต่นางรักสันโดษ ละทิ้งทางโลก จนบัดนี้นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายแสนปีที่นางเสด็จลงมาจากหุบเขาสิ้นชีวา..' หลิงหลิวเหว่ยกระซิบบอกผู้เป็นนาย

'เดี๋ยวๆ หยุดก่อน ข้าสงสัยจริงในทั่วทั้งสี่ทะเลเเปดดินแดนนี้ยังมีคนที่งดงามกว่าข้าอีกหรือ? น่ามหัศจรรย์ใจ'จอมมารหนุ่มทำหน้าประหลาดใจ 

ข้าคิดไม่เลยว่าในโลกนี้จะยังมีคนที่มีใบหน้างดงามกว่าข้า เช่นนั้นนรลักษณ์ของนางจะเป็นเช่นใด? 

หลิงหลิวเหว่ยได้แต่แอบถอดถอนหายใจเบาเบา แต่ไหนแต่ไร ท่านจอมมารผู้นี้แสนจะหลงตัวเองเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขากล่าวผิดไปเสียหมดเหตุเพราะหวังเยี่ยนจวินมีทั้งเทพเซียนชายเอยหญิงเอยและเทพเผ่าอื่นๆ พวกเขาเหล่านั้นต่างหลงใหลในรูปลักษณ์ของหวังเยี่ยนจวินทั้งสิ้น ฉะนั้น การที่จอมมารท่านนี้จะหลงใหลในรูปลักษณ์ของตนจึงมิใช่เรื่องผิดแปลกอะไร คนเราโดนเยินยอนานวันเข้าก็เป็นเช่นนี้

'งามมากทีเดียวฝ่าบาท เขายังลือกันอีกนะว่าแม้อยู่ห่างจากนางหลายร้อยลี้แต่กลิ่นกายมวลบุปผาหอมละมุนอบอวลเหลือเกิน..' นอกจากความงามแล้วก็ยังมีกลิ่นหอม จอมมารหนุ่มฟังคุณสมบัติที่ว่าแล้วแสนพอใจแต่ไหนแต่ไรเขาไม่ค่อยนิยมชมชอบในการเสพนารีเสียเท่าไหร่ นารีล้วนวุ่นวาย มีมากยิ่งปัญหามากตัวอย่างก็มีให้เห็นเช่นวังสวรรค์ 

กาลก่อนแยกตัวมาปกครองแดนโลกันตร์เห็นเทียนจวินไล่จับเหล่าธิดาเซียนสนมบ่อยครั้งเข้าจนสะอิดสะเอียนเหลือทน นับตั้งแต่เขาสูญเสียคู่หมั้นไปในครั้งอดีตก็ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับสตรีนางใด บางทีมันอาจถึงเวลาที่เขาจะใครสักคนมาเคียงคู่เบื้องบัลลังก์ 

'ดี! ไปฉุดมาให้ข้าที ' จอมมารหนุ่มออกคำสั่งแก่หลิงหลิวเหว่ย

'เกรงว่าคงมิได้ฝ่าบาท แม่นางผู้นั้นเป็นเทพเซียนชั้นสูง ฝ่าบาทต้องกระทำการนี้เองเท่านั้น' หวังเยี่ยนจ้องเขม็ง

'พวกเจ้านี่เลี้ยงเสียข้าวสุกเสียจริง แล้วถ้าข้าจับนางได้เมื่อไหร่แล้วคุณสมบัติไม่ตรงกับที่เจ้าบอกเตรียมตัวโดนเฉือนเนื้อปากทิ้งได้เลย' หลิงหลิวเหว่ยหน้าซีดเป็นไก่ต้ม 

ข่าวลือน่ะ ข่าวลือจะทำข้าซวยแล้วสินี่! 

หวังเยี่ยนจวินหยิบกระบี่โลหิตเทวะออกไปด้วย บางทีอาจไม่ต้องลงมือให้มากความแค่นางเห็นใบหน้าเขามิแน่อาจจะเดินตามเขามาแต่โดยดีก็เป็นได้ หากกล่าวถึงหุบเขาสิ้นชีวา..แน่นอนว่านั่นไม่ใช่สถานที่ที่ใครจะอยู่ได้อย่างแน่แท้ หากจิตไม่แน่วแน่ ไม่หยั่งถึง ไม่ล้ำลึก หมกมุ่น จักมิสามารถออกจากหุบเขาแห่งนี้ได้เลยเว้นแต่เขา เขาผู้ผ่านความเป็นความตายมานับครั้งไม่ถ้วนเพราะชีวิตที่แสนทุกข์ลำบากยากแค้นในอดีต ทุกวันนี้เขาจึงกลายเป็นผู้กระหายกลิ่นเลือด กระหายถึงขั้นน้ำทุกหยาดหยดที่ดื่มต้องเป็นเลือด น้ำที่ใช้อาบต่างต้องเป็นเลือด

บางครั้งเขาก็อยากเสพความสวยงามมากกว่าความโสมมเช่นนี้อีกกระมัง เรื่องค่อนแค้นในอดีตหลายปีผ่านมาขนาดนี้แล้วยังมิจางลงไปแม้แต่น้อย เซียนหญิงท่านนั้นกับเฟิงหวังเหล่ยจะมีอุปนิสัยคล้ายกันมากน้อยแค่ไหนต้องสัมผัสด้วยตนเองจึงจะตัดสินได้ 

เขาเคยสนิทสนมกับเฟิงหวังเหล่ยอยู่ครั้งหนึ่งในชีวิตแต่กลับมิเคยได้ประสบพบเจอกับน้องสาวของเขาแม้แต่ครั้งเดียว เคยได้ยินมาว่าหลังจากที่นางสำเร็จขั้นเป็นซ่างเซียน[3]จนกระทั่งบรรลุขั้นซ่างเสิน[4]นั้นมีกิริยาที่เงียบขรึมและเคร่งครัดในวิถีเซียนอย่างถ่องแท้ มีความเรียบง่ายแต่ยาก พิธีรีตองมากแต่ก้าวล้ำ ครั้งนี้คงได้เจอะเจอกับตาว่าเป็นดังที่เขาเล่าลือกันจริงหรือไม่..

หวังเยี่ยนควบอาชาปีศาจอย่างห้าวหาญ ฉุดสตรีทั้งทีต้องให้เกียรตินางจะทำตัวเหมือนโจรป่าถ่อยถ่อยมิได้ เป็นถึงราชามารจะยอมขายหน้าได้อย่างไร? 

'หอม' กลิ่นหอมลอยคละคลุ้งเขาได้กลิ่นบุปผาหลากชนิด มากเสียจนไม่สามารถแยกได้เลยว่าเป็นกลิ่นของบุปผาชนิดใด เขามองไปไกลสุดลิบตากลับเห็นหญิงสาวใส่ชุดขาว มีผ้าแพรขาวผูกปิดตาไว้อำพรางใบหน้าไว้ด้วยผ้าแพรปิดอีกครึ่งหนึ่ง บดบังทั้งใบหน้า ไม่เห็นแม้แต่ริมฝีปาก แลดูเหมือนนางกำลังใช้จมูกในการดมกลิ่นของสมุนไพรในมือยังคงจับใบต้นตังกุย นางคงกำลังฝึกวิชาเซียนวิชาใดวิชาหนึ่งอยู่กระมัง

'แม่นางมีอะไรข้าช่วยหรือไม่' จอมมารหนุ่มตรงดิ่งเขามาไปหานางผู้นั้นในทันที 

กลิ่นหอมเช่นนี้มาจากตัวนางจริง หรือนางจะเป็นคนที่เขาตามหา? 

ไหนใครว่านางเป็นเทพชั้นสูงกลับเป็นคนตาบอด ทว่า รูปร่างทรวดทรงองค์เอวล้วนงาม งามแม้ไม่เห็นดวงตา แม้ไม่เห็นริมฝีปาก ท่วงท่าสงวนกิริยา อ่อนช้อย ถี่ถ้วน

'ท่านเป็นใคร มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์ใด' สตรีเซียนสัมผัสได้ถึงพลังต่างขั้วจึงชักกระบี่ประจำตัวขึ้นมา มีสลักอักษรตรงด้ามว่า 'เฟิงจางจิ้ง'หวังเยี่ยน จึงคาดเดาว่าคงเป็นชื่อของนาง จากที่เทียนจวินมีนามว่า 'เฟิงหวังเหล่ย' ไม่ผิดต้องเป็นนางแน่

'ข้ามีนามว่าหวังเยี่ยน เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?' เขาก้าวขาเข้าไปใกล้นางหนึ่งก้าว นางถอยหลบอีกหนึ่งก้าว เพียงเท่านี้เขาก็รู้แล้วว่าประสาทสัมผัสของนางดีเลิศเพียงใด แม้ว่านางจะไม่ยอมปลดผ้าแพรขาวที่ปิดดวงตาลงก็ตาม

'ไม่' วาจาของนางสงบเยือกเย็นแฝงไปด้วยความระวังตัว ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงถึงความกลัวหรือหวั่นวิตกใดๆ 

ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ น่าครอบครอง เขาชอบสตรีที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวและเยือกเย็นเช่นนี้ ในเมื่อตั้งใจมาฉุด ก็ต้องฉุด! 

'จุดประสงค์ของข้า..ก็คือ..' นางกัดริมฝีปากแน่นแต่ทว่า..เพียงแวบเดียวดั่งใจนึกกระบี่ของนางถูกปลดลงอย่างง่ายดาย นางสัมผัสได้ถึงลำแขนล่ำสันแข็งแรงและแผงอกแกร่ง ตัวนางกำลังลอยหวืออยู่กลางอากาศ

‘ท่าน!!’ 

ใช่! นางอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว! วิชาเซียนของนางใช่จะต่ำต้อยด้อยค่าเพียงแต่นางกำลังฝึกรับประสาทสัมผัสให้แม่นยำมากขึ้น นางประมาทเขาเกินไป ชายผู้นี้เป็นใครกันนะ กล้าแม้แต่กระทั่งบุกมาในที่ของนาง เขาค่อยๆก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาว

'ฉุดเจ้า เทียนจวินมีเทียนโฮ่ว ข้าก็ต้องมีจักรพรรดินีของข้าบ้างสิ จริงไหม' 

'บังอาจ!!!' หวังเยี่ยนเหยียดยิ้มร้ายกาจก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากสวย 'หลงใหลในรูปโฉม' อาจจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่า 'โฉมงามชวนให้ลุ่มหลง กลิ่นยวนเย้าชวนให้สุขสม' สมกับที่เขาว่ากันไว้จริงๆ

หลายแสนปีที่ผ่านมานี้นางไม่เคยย่างกรายออกจากหุบเขาสิ้นชีวาแม้แต่ก้าวเดียวจนกระทั่งวันหนึ่ง..เทพเซียนผู้หนึ่ง นางจำได้ว่าเขามีนามว่า 'ซื่อฉิว' หลงเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ ด้วยจิตเมตตาธรรมจึงพาเขาไปส่งถึงหน้าประตูแดนสวรรค์ชั้นฟ้า ทว่า กลับเจอพี่ชายเเท้ๆของตนเอง ฐานะที่ปกปิดมาหลายร้อยปีจึงถูกเปิดเผยมาอย่างไม่น่ายินดีเท่าใดนักและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของข่าวลือที่ทำให้ข้าต้องตกมาอยู่ในเงื้อมมือของคนผู้นี้...

'ก่นด่าข้าในใจอยู่หรือ?' หลังจากอุ้มร่างบางแน่งน้อยมาถึงวังอัสนีย์ก็นำเชือกป่านเซียนมามัดนางไว้ นางไม่ดิ้นไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ออกจะน่าเบื่ออยู่บ้าง

ข้าอยากเห็นนางขัดขืนสักนิด ข้าเคยได้ยินสุภาษิตทำนองที่ว่า สตรีด่าหมายความว่าสตรีรัก

หากแต่ว่านางเมินเฉยนั้นหมายความว่ารำคาญข้าแล้วหรือไม่?

'สนทนากับคนพาลมิสู้สนทนากับสิงสาราสัตว์' 

ช่างเป็นหญิงสาวที่น่าสนใจ น่าครอบครอง เขาชอบสตรีที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวและเยือกเย็นเช่นนี้ ในเมื่อตั้งใจมาฉุด ก็ต้องฉุด! 

'จุดประสงค์ของข้า..ก็คือ..' นางกัดริมฝีปากแน่นแต่ทว่า..เพียงแวบเดียวดั่งใจนึกกระบี่ของนางถูกปลดลงอย่างง่ายดาย นางสัมผัสได้ถึงลำแขนล่ำสันแข็งแรงและแผงอกแกร่ง ตัวนางกำลังลอยหวืออยู่กลางอากาศ

‘ท่าน!!’ 

ใช่! นางอยู่ในอ้อมกอดของเขาแล้ว! วิชาเซียนของนางใช่จะต่ำต้อยด้อยค่าเพียงแต่นางกำลังฝึกรับประสาทสัมผัสให้แม่นยำมากขึ้น นางประมาทเขาเกินไป ชายผู้นี้เป็นใครกันนะ กล้าแม้แต่กระทั่งบุกมาในที่ของนาง เขาค่อยๆก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาว

'ฉุดเจ้า เทียนจวินมีเทียนโฮ่ว ข้าก็ต้องมีจักรพรรดินีของข้าบ้างสิ จริงไหม' 

'บังอาจ!!!' หวังเยี่ยนเหยียดยิ้มร้ายกาจก่อนจะประทับริมฝีปากลงบนหน้าผากสวย 'หลงใหลในรูปโฉม' อาจจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่า 'โฉมงามชวนให้ลุ่มหลง กลิ่นยวนเย้าชวนให้สุขสม' สมกับที่เขาว่ากันไว้จริงๆ

หลายแสนปีที่ผ่านมานี้นางไม่เคยย่างกรายออกจากหุบเขาสิ้นชีวาแม้แต่ก้าวเดียวจนกระทั่งวันหนึ่ง..เทพเซียนผู้หนึ่ง นางจำได้ว่าเขามีนามว่า 'ซื่อฉิว' หลงเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้ ด้วยจิตเมตตาธรรมจึงพาเขาไปส่งถึงหน้าประตูแดนสวรรค์ชั้นฟ้า ทว่า กลับเจอพี่ชายเเท้ๆของตนเอง ฐานะที่ปกปิดมาหลายร้อยปีจึงถูกเปิดเผยมาอย่างไม่น่ายินดีเท่าใดนักและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของข่าวลือที่ทำให้ข้าต้องตกมาอยู่ในเงื้อมมือของคนผู้นี้...

'ก่นด่าข้าในใจอยู่หรือ?' หลังจากอุ้มร่างบางแน่งน้อยมาถึงวังอัสนีย์ก็นำเชือกป่านเซียนมามัดนางไว้ นางไม่ดิ้นไม่ขัดขืนแม้แต่น้อย ออกจะน่าเบื่ออยู่บ้าง

ข้าอยากเห็นนางขัดขืนสักนิด ข้าเคยได้ยินสุภาษิตทำนองที่ว่า สตรีด่าหมายความว่าสตรีรัก

หากแต่ว่านางเมินเฉยนั้นหมายความว่ารำคาญข้าแล้วหรือไม่?

'สนทนากับคนพาลมิสู้สนทนากับสิงสาราสัตว์' 

'นี่..เฟิงจางจิ้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร' หวังเยี่ยนได้แต่หัวเราะแห้งๆ ถ้อยคำของนาง กล่าวอย่างผู้มีอารยะก็จริงแต่เจ็บจี๊ดไปถึงทรวง เดิมทีเขาไม่เคยรู้มาก่อนด้วยซ้ำว่า เฟิงหวังเหล่ย มีน้องสาวกับเขาด้วยแต่หากเทียบเคียงวิสัยส่วนตัวของทั้งคู่แล้ว เฟิงจางจิ้งกับเฟิงหวังเหล่ยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแต่ก็น่าแปลกใจที่เฟิงหวังเหล่ยไม่เคยพูดถึงน้องสาวให้เขาได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียวแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแล้วความสัมพันธ์ของเขากับเฟิงหวังเหล่ยจะไม่สู้ดีเท่าใดนักก็ตาม

'ชื่อเสียงล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งเลื่อนลอย สิ่งใดจริงเท็จหากไม่เห็นด้วยตาไม่อาจเชื่อถือได้' หวังเยี่ยนคิ้วกระตุกอีกครั้ง เขาชอบสตรีนางนี้ วาจาของนางล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยสัจธรรมอยู่ครึ่งส่วน

 ดี! เมื่อถูกใจแล้วก็ต้องเอามาให้ได้

'ข้าชอบเจ้ายิ่งนัก หลิงหลิวเหว่ยเจ้าส่งเทียบไปที่สวรรค์ชั้นฟ้าตำหนักต๋าเทียนกง ข้าจะนำสินสอดไปสู่ขอ เทพเซียนบุปผาเฟิงจางจิ้ง..' นางกัดริมฝีปากแน่นอีกครั้ง ชายผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้านางต้องเป็นประมุขของดินแดนใดดินแดนหนึ่งเป็นแน่ ฐานะมิธรรมดา อีกทั้งยังกล้าคิดเช่นนี้กับนาง

ในใต้หล้าจะมีคนซักกี่ผู้ที่กล้ากล่าววาจาห้วนๆกับเทียนจวินผู้มีศักดิ์เป็นพี่ชายของนางและยังอาจหาญสู่ขอนางผู้เป็นถึงน้องสาวของผู้ปกครองสวรรค์เก้าชั้นฟ้า

'ข้าไม่แต่ง' นางเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง ให้แต่งงานกับคนที่ไม่รู้แม้แต่หัวนอนปลายเท้า มิมีใครเขาทำกันและอีกหนึ่งปณิธานของนาง คือ หากต้องแต่งงานร่วมวิวาห์เคียงหมอนกับใครสักคนหนึ่ง คนผู้นั้นอย่างน้อยต้องเป็นคนที่นางมีใจให้อยู่บ้าง จะดีเลวหรือชั่วช้าก็อีกเรื่องหนึ่ง

'เฟิงจางจิ้ง เจ้าต้องซ้อมเรียกข้าว่า ท่านพี่เจ้าคะ ท่านพี่เจ้าขา ได้แล้วนะ หลิงหลิวเหว่ยเขียนกำกับไว้ด้วยนะหากไม่ยินยอมข้าจะยกทัพประชิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศทันที' หวังเยี่ยนหยอกล้อนาง จนใบหน้าขาวซีดขึ้นสีแดงปลั่ง ทว่านางมิได้หน้าแดงเพราะความเขินอายแต่เป็นความโมโหมากกว่า..

ใครจะไปยอมเรียกด้วยวาจาน่าเกลียดเช่นนั้น!? 

'เทียบเสร็จสิ้นแล้ว ให้ข้าส่งเมื่อใดหรือฝ่าบาท' หลิวหลิงเหว่ยยื่นเทียบนั้นให้หวังเยี่ยนจวินอ่าน ดวงตาสีทับทิมไล่มองไปทั่วเนื้อความ เขาพยักหน้าพึงพอใจพลางเขียนแจกแจงรายการสินสอดด้วยลายมือยึกยือของตัวเองบอกได้คำเดียวว่าทุ่มไม่อั้น เทียบนี้ถือว่าสมบูรณ์ ช่วงต้นเห็นชัดว่าแล้วแต่เทียนจวินจะเห็นควรหรือไม่เห็นควรแล้วแต่จะโปรดแต่ตรงส่วนท้ายเทียบนั้นชี้ชัดว่าเป็นการข่มขู่

'เดี๋ยวนี้ เพลานี้ บอกเทียนจวินด้วย ว่าข้าให้เวลาคิดไม่มาก ข้าใจร้อน' 

'หิวหรือไม่' จอมมารหนุ่มเพ่งเล็งไปยังผ้าแพรขาวที่ปกปิดอำพลางใบหน้าของนางไว้พลางคิดในใจ

เมื่อไหร่หนอนางจะปลดผ้าแพรขาวออกสักที

'ข้าไม่ทานเนื้อสัตว์ อาหารของข้าจะต้องเป็นผลไม้หรือธัญพืชเท่านั้น' นางไม่ตอบเขาว่าหิวหรือไม่อย่างไรแต่กลับบอกถึงสิ่งที่นางกินหรือไม่กินแทน เขาคาดเดาว่านางคงหิว เพียงแต่เขินอายเกินกว่าจะกล่าวออกมาว่าหิวกระมัง

'เช่นนั้นแล้วก็ไป'กิน'กันเถอะ แต่ที่นี่ไม่มีผลไม้หรือธัญพืชอะไรนั่นหรอกนะ เพราะข้ากินแต่'เนื้อ' ' จอมมารหนุ่มจงใจกล่าวคำสองแง่สามง่ามแล้วจึงปลดเชือกป่านเซียนที่มัดตัวนางไว้ออก ส่วนนางนั้นสำรวมกิริยาแม้จะชิงชังวาจาน่ารำคาญหูนั้นมากเพียงใดก็ต้องกลั้นใจไว้ ยุบหนอ พองหนอ เพียงสนทนากับคนพาลก็อาจกลายเป็นคนพาลไปแล้วสองในสามส่วน ชำระจิตใจสงบนิ่ง.....

จอมมารจับข้อมือบาง บอบบางจนเขาคิดว่าหากจับแรงไป ข้อมือน้อยน้อยจะแตกหักหรือไม่ จูงมือนางเข้ามาในห้องครัว

ฟุดฟิด ฟุดฟิด เฟิงจางจิ้งพยายามดมกลิ่นว่าที่นี่คือที่ไหน กลิ่นเครื่องเทศแรงเพียงนี้ แน่นอนว่าต้องเป็นห้องครัว

‘ข้าไม่ทานเนื้อสัตว์’ นางทักท้วงขึ้นอีกครั้ง

‘เพราะเจ้าไม่ทานเนื้อสัตว์ ข้าจึงลงมือทำอาหารเจ้ากินเอง ดีใจหรือไม่’ 

‘ท่านทำเป็นหรือ?’ เฟิงจางจิ้งเพียงรู้สึกแปลกใจ บุรุษน้อยคนนักที่สามารถทำงานครัวได้ นับว่าเขายังพอมีคุณสมบัติที่ดีอยู่บ้าง

‘ย่อมต้องเป็นอยู่แล้ว ครั้งหนึ่งเคยมีสตรีนางหนึ่งสอนให้ข้ารู้จักพึ่งพาตนเอง ข้าจึงเรียนรู้จากเรื่องพื้นฐาน’  เขาเอ่ยว่าอยากจะแต่งงานกับข้าแต่กลับพูดถึงสตรีนางอื่นขึ้นมา แปลกคน  

เฟิงจางจิ้งไม่รู้ว่าสีหน้าของเขาเป็นเช่นไร ทว่า นางสัมผัสได้ด้วยจิตวิญญาณว่าส่วนลึกในใจของเขากำลังสั่นไหว คลื่นอารมณ์แห่งความโศกเศร้าแผ่ออกมาจนนางรู้สึกได้

 บางทีนางผู้นั้นที่เขาเอ่ยถึงอาจเป็นคนรักหรือไม่ก็คงเป็นคนสำคัญของเขากระมัง

‘สตรีนางนั้นคือคนรักของท่านกระนั้นหรือ’

‘ใช่ นางคือคนรักของข้า แต่ว่านางจากโลกนี้ไปนานแล้ว’ น้ำเสียงของเขาราวกับไร้ความรู้สึก ทำให้นางหวนนึกถึงเซียนผู้พี่ของตนเอง คนผู้นั้นเบื้องหน้าแสดงให้เห็นว่ามิได้ระลึกถึงผู้ใดทั้งที่ในใจจริง แสนทุกข์ระทมขมขื่นนัก

‘หวังว่าอาหารที่ท่านทำจะกินได้’ 

‘เจ้านั่งรอตรงนี้’ ชายหนุ่มลุกขึ้นจูงมือนางมายังเก้าอี้ไม้พานางมานั่งอย่างระแวดระวังแล้วจึงไปหยิบวัตถุดิบมาเตรียม

‘ชอบกินเห็ดหอมหรือไม่’ จอมมารถามพลางหยิบเห็ดหอมขึ้นมาดู เห็ดพวกนี้มิใช่เพียงเห็ดหอมธรรมดาแต่เป็นเห็ดหอมยักษ์ที่เจ้าปีศาจกระต่ายปลูกไว้ริมทะเลแดงล่อเลี้ยงจนโตด้วยกรรมวิธีพิเศษเป็นระยะเวลาถึงสองแสนปี ด้วยความยากในการเพาะปลูก การจะหว่านล้อมให้พวกมันยอมขายไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะหากพูดถึงเรื่องพืชผัก ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าวัตถุดิบที่ได้มาจากการปลูกของปีศาจกระต่ายอยู่แล้ว

‘ข้าชอบเห็ดทุกชนิด เห็ดหลินจื่อสวรรค์ยิ่งชอบ’ 

‘ชอบของล้ำค่าเสียด้วย ไม่เป็นไร ข้ามีของที่เจ้าชอบ งั้นวันนี้ข้าจะทำผัดผักสามจักรพรรดิเห็ดหอมน้ำแดงกับน้ำแกงหลินจื่อสวรรค์ผสมโสมรากเซียนห้าหมื่นปีให้เจ้า’ จอมมารท่านนี้ใจถึงไม่เบา ข้าทราบมาว่าราคาของโสมรากเซียนห้าหมื่นปีกับหลินจื่อสวรรค์นั้นแพงมาก หากจำไม่ผิดต่อให้เอามรกตหยกพิสุทธิ์มาแลกเป็นพันก้อน เกรงว่ายังไม่เพียงพอกับราคาของมัน เพื่อซื้อใจข้าเขายอมทุ่มทุนถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

‘ฐานะของท่านไม่ธรรมดา ท่านเป็นใครกันแน่’ นอกจากว่าเขาจะมีสมบัติมากมายถึงขนาดสามารถซื้อวัตถุดิบล้ำค่าเหล่านั้น ทักษะการทำอาหารของเขายังเป็นทักษะชั้นสูง หากเป็นเทพเซียนย่อมต้องมีฐานะสูงศักดิ์หรือในทางเลวร้ายเขาอาจเป็นเทพมารสักตน ไม่อาจรู้ได้เลยว่าเขาคือใคร 

ช่างน่าเสียดาย ช่วงเวลาที่ข้าขึ้นหุบเขาสิ้นชีวา ไม่อาจทราบความเป็นไปในสี่ทะเลแปดดินแดน ลงเขาครั้งนี้ก็ถูกชิงตัวออกมาก่อน แม้แต่ตอนนี้อยู่ที่ไหนยังไม่อาจหยั่งรู้ได้ 

หวังเยี่ยนใช้เวลาทำอาหารถึงหนึ่งชั่วยามหันกลับมาอีกทีเซียนหญิงก็หลับไปแล้ว เขาได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ บ่งบอกได้ว่านางคลายความระแวดระวังลงบ้างแล้ว 

‘เสี่ยวจิ้ง เจ้าตื่นได้แล้ว’ เสี่ยวจิ้ง คำนั้นดังก้องในโสตประสาท จู่ๆก็เกิดอาการปวดหัวพร้อมกับภาพซ้อนของใครคนหนึ่ง ภาพชายหนุ่มผู้หนึ่ง ร่างสูงโปร่ง เกศายาวสีขาว นุ่งกายด้วยผ้าขาวไปทั้งตัว ดวงตาสีเงินประดุจเพชรนิล 

เสี่ยวจิ้ง’ น้ำเสียงคุ้นเคยพร่ำเรียกนามของนาง 

ความคุ้นเคยอันเลือนลาง ครั้นเมื่อตื่นขึ้นมายากจะแยกว่าเป็นภวังค์ฝันหรือมันเคยเกิดขึ้นจริง

‘เฮือก!’ เฟิงจางจิ้งสะดุ้งเฮือกขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ

เมื่อครู่นางเผลอหลับไปกระนั้นหรือ?  

เช่นนั้นสิ่งที่นางเห็นคงเป็นเพียงฝันใช่หรือไม่?

‘ท่าน!’ ลมหายใจของบางคนเป่ารดใกล้ใบหน้าเพียงเอื้อม คนตรงหน้านี้คงไม่ใช่ใครนอกเสียจากเขา

‘หลับลึกเช่นนี้ ไม่กลัวว่าจะถูกข้าลักหลับบ้างหรือ’

‘บังอาจ!’ เฟิงจางจิ้งตวาดขึ้น ทว่า ไม่ทำให้จอมมารหนุ่มสลดแต่อย่างใดกลับได้รับเสียงระเบิดหัวเราะลั่นกลับมาแทน

‘ฮ่าๆ เจ้ากินข้าวเถอะ ข้าจะออกไปรอด้านนอก’ หวังเยี่ยนรู้ดีว่านางยังไม่คุ้นเคยกับเขาและมันคงไม่ใช่เรื่องดีงามนักที่จะมานั่งเฝ้าจับตามองในทุกอากัปกิริยา

เฟิงจางจิ้งได้ยินเสียงฝีเท้าไกลออกไปจึงปลดผ้าแพรลง ครั้งแรกที่ได้เห็นแผ่นหลังของชายหนุ่มจึงลอบสังเกตร่างสูงโปร่ง ผมดกดำยาวเงางามกับท่าเดินแสนองอาจ แม้จะยังไม่เห็นหน้าแต่ก็รับรู้ได้ว่าคนคนนี้ต้องมีรูปลักษณ์ที่งดงามไม่แพ้นางเป็นแน่

‘เขาดูดีถึงเพียงนี้’ เซียนหญิงเอ่ยขึ้นตามด้วยรอยยิ้มหวานที่แสดงออกมาโดยมิรู้ตัว

เมื่อก้มลงมองอาหารสองอย่างบนโต๊ะ ดวงตากลมโตคู่สวยเบิกตากว้างขึ้นแวววาว  เขาไม่ได้โกหก อาหารสองจานนั้น คือ ผัดผักสามจักรพรรดิเห็ดหอมน้ำแดงกับน้ำแกงหลินจื่อสวรรค์ผสมโสมรากเซียนห้าหมื่นปีจริง อีกทั้งกลิ่นยังหอมมากจนเสียงท้องกู่ร้องดังยิ่งกว่าเสียงนภาคำราม

ชิมอาหารเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติล้วนยอดเยี่ยมจนน้ำตาพาลจะไหลลงมาดื้อๆ

‘อร่อยจังเลย’ ริมฝีปากน้อยเคี้ยวตุ้ยๆ พริบตาเดียวอาหารเหล่านั้นก็อันตรธานหายไปหมดแล้ว

จากความไม่ชอบในคราแรกจึงกลายเป็นความประทับใจ ที่จริงแล้วนางก็มิได้เกลียดเขา เพียงแต่หากได้รู้จักเขามากขึ้นกว่านี้ ไม่แน่ว่านางอาจจะชอบพอเขาได้ในสักวันหนึ่ง….

[1] เม่ยเม่ย หมายถึง น้องสาว

[2] เทียนจวิน หมายถึง จักรพรรดิสูงสุดแดนเซียน

[3] ช่างเซียน หมายถึง เซียนชั้นสูง

[4] ซ่างเสิน หมายถึง เทพชั้นสูง

Related chapters

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 2 สู่ขอ

    ครั้นเมื่อหลิงหลิวเหว่ยก้าวเข้าสู่แดนสวรรค์ชั้นฟ้า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือจากที่นี่ไปนานจึงเห็นเป็นเช่นนั้นเดิมทีเขาเองไม่อยากก้าวเข้ามาในแดนเซียนอีกครั้งเพราะยังละอายใจอยู่ไม่น้อยที่แปรเปลี่ยนพรรคจากซ่างเซียนเข้าสู่วิถีมารและยิ่งเขาเพิ่งเข้ารับพิธีแต่งตั้งตำแหน่งกุนสือมารฝ่ายซ้ายยิ่งแล้วใหญ่ เกรงกลัวว่าจะได้บังเอิญเจอคนรู้จักที่เคยใช้งานเขาเยี่ยงทาส ครานั้นเขาเป็นเซียนรับใช้อยู่ที่สวรรค์ชั้นฟ้ามีเรื่องให้ต้องทำไม่เว้นแต่ละวัน น่าเบื่อหน่ายเหลือทน..'ไม่เจอกันนานนะ หลิงหลิวเหว่ยจวิน' เฟิงหวังเหล่ยสำรวจใบหน้าของอดีตคนรู้จักยังพอจำได้เลือนลางว่าแต่ก่อนหลิงหลิวเหว่ยเป็นเพียงแค่ซ่างเซียนขั้นแรกรับใช้อยู่ตำหนักเทพดวงชะตาซื่อมิ่ง เขาไม่ค่อยสนใจเหล่าเทพเซียนน้อยๆซักเท่าใดแต่ก็มิใช่ว่าเมินเฉยไม่ใส่ใจ หากกล่าวถึงคนที่ชอบมาฉกชิงเหล่าเซียนเข้าพรรคตนอย่างหวังเยี่ยน เมื่อปีนั้นยังเคยเป็นสหายร่วมสำนักสนิทชิดเชื้อพอควรหลังจากเขาได้รับตำแหน่งเหง็กเซียนฮ่องเต้แดนสวรรค์ได้ไม่นาน หวังเยี่ยนก็เข้ารับตำแหน่งประมุขมารเช่นเดียวกัน เขากับจอมมารมีเรื่องให้ขุ่นเคืองใจเป็นอดีตอ

    Last Updated : 2024-11-10
  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 3 กลับสวรรค์ชั้นฟ้า

    หลังจากสนทนาพาทีกับหวังเยี่ยนเสร็จสิ้น เขาก็ให้สาวใช้นามว่า'จื่อจิง'มาเป็นผู้ติดตามส่วนตัวแก่ข้า อย่างน้อยชายผู้นั้นก็ยังเห็นความสำคัญของลำดับศักดิ์อยู่บ้าง นับว่าเขาพอจะรู้ธรรมเนียมปฏิบัติกับสตรีสูงศักดิ์'ขอบใจแม่นางจื่อจิงมากที่มาส่งข้า' แม้ดวงตามองไม่เห็นแต่นางรู้ทันทีว่าห้องที่ถูกจัดเตรียมไว้เหมาะสมกับนาง กลิ่นหอมอ่อนๆคล้ายคลึงกับกลิ่นที่นางสัมผัสที่แก้มของเขา สิ่งนั้นมันคือกลิ่นอะไรกันแน่ หอมนวลละมุน'เรียกอาจื่อเถิดเจ้าค่ะ อย่าเรียกบ่าวเช่นนั้นเลยหากท่านประมุขได้ยินเข้าเกรงว่าจะต้องโทษเอาได้เพคะ' 'เอาเถิด งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจื่อหรือไม่ก็จื่อเอ๋อร์ก็แล้วกัน ข้าสะดวกแบบนี้ มีข้าอยู่ไหนเลยเขาจะกล้าเอาเปรียบผู้ใดต่อหน้าข้า' ร่างงามระหงย่างก้าวช้าช้าอย่างคิดคำนึงจนปลายเท้าสัมผัสกับวัตถุแข็งๆจึงเข้าใจว่าเป็นพื้นต่างระดับ'ข้าอยากส่องคันฉ่อง รบกวนจื่อเอ๋อร์ประคองข้าหน่อยได้หรือไม่' มือทั้งสองข้างยังคงลอยหวืออยู่กลางอากาศจนกระทั่งจื่อจิงจับแขนเล็กค่อยประคับประคองด้วยความระมัดระวังไปจนถึงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ในสายตาของนางส่วนหนึ่งมีความอคติกับเทพเซียนจึงยั้งไมตรีไว้ครึ่งส่วนเพียงแ

    Last Updated : 2024-11-10
  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 4 ตัวตนของเขา

    ครั้นเมื่อถึงสวรรค์เก้าชั้นฟ้าเฟิงจางจิ้งเห็นทิวทัศน์แปลกตาราวกับว่าไม่ได้มาที่นี่เสียนาน หลายแสนปีมาแล้วที่นางจากเมืองสุขาวดีสู่พงไพรขจีวนา[1]จึงไม่รู้สึกยินดีเท่าใดนักที่ต้องกลับมาที่นี่จื่อจิงคอยประคับประคองเฟิงจางจิ้งอย่างระมัดระวัง'เสี่ยวจิ้ง' เสียงเรียกของประมุขสวรรค์ดังขึ้นพร้อมกับร่างสูงผู้มีเกศาสีเงินประดับด้วยกวานเงินลวดลายมังกร[2] สวมชุดสีขาวทั้งร่าง สง่างาม ปกคลุมด้วยไอเซียนรัศมีอบอุ่นแผ่กำจาย'คำนับเทียนจวิน' เฟิงจางจิ้งย่อตัวคำนับเล็กน้อยตามธรรมเนียม จื่อจิงเองก็เช่นกันแม้ว่านางจะเป็นสาวใช้แดนมารแต่ก็เป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นสูงรู้ธรรมเนียมปฏิบัติทั้งแดนเซียนและแดนมารอย่างถี่ถ้วน'ตำหนักเหม่ยฮวาของเจ้า พี่ยังให้สาวใช้มาปัดกวาดเช็ดถูอยู่เสมอ เจ้าเดินทางมาไกลคงเหนื่อยมาก พักผ่อนเถิดแล้วพลบค่ำค่อยมาพบพี่ที่ตำหนักต๋าเทียนกง' เฟิงหวังเหล่ยกล่าวอย่างเป็นกันเองเฟิงจางจิ้งเอ่ยกับเขาราวกับเขาเป็นคนนอกทั้งๆที่พวกเราก็ต่างเป็นพี่น้องร่วมสายเลือด สมัยก่อนยังพูดคุยวิ่งเล่นและปรึกษาเรื่องส่วนตัวกันอย่างไม่มีปิดบัง ผิดกันกับตอนนี้ เหตุใดนางถึงได้ทำท่าทีราวกับรังเกียจเขา'ขอบพระทัยเพค

    Last Updated : 2024-11-10
  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 5 ความกังวลของจอมมาร

    จอมมารหนุ่มนอนเอกเขนกอย่างเบื่อหน่าย จิตใจว้าวุ่น เอาแต่คิดไปคิดมาเรื่องอภิเษกสมรสกับธิดาเซียน เรื่องนี้แท้จริงก็ออกจะด่วนตัดสินใจอย่างขาดสติไปสักหน่อย นางเพียงแต่เหมาะสมและตราตรึงใจเขาเท่านั้น 'เยี่ยนเยี่ยน มีเรื่องกังวลใจหรือไร'หลิงหลิ่วเวายถามพลางลอบมองอาการอดอาลัยตายยากของจอมมารไปด้วย เมื่ออยู่กับประมุขมารเพียงลำพังจึงเรียกขานกันอย่างเป็นกันเอง'เหว่ยตี้ ข้ากังวลใจเรื่องแต่งงาน' หลิงหลิวเหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพลางขบคิดคำนึง มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวลกันธิดาเซียนท่านนั้นกิริยาวาจาล้วนน่ามอง ล้วนน่าฟังทั้งสิ้นและนางก็มิได้ดูแคลนจอมมารเลย'กังวลใจอย่างไร' 'ตอนที่ข้าสนทนากับนางเมื่อคราก่อน นางดูไม่ค่อยชอบข้านัก ข้ากลัวว่านางจะปฏิเสธข้า เจ้าคิดดู หากนางปฏิเสธข้าจริงคงมิใช่ว่ากลายเป็นเรื่องน่าขำขันไปทั่วทั้งสี่ทะเลแปดดินแดนดอกรึ''อย่าได้กังวลไปเลย ระหว่างรอคำตอบท่านก็ไปสวรรค์ชั้นฟ้าสักหน่อยเถิด แสดงความจริงใจ เผื่อนางจะใจอ่อน''อืม..ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล เช่นนั้นพรุ่งนี้เลยแล้วกัน อ่อ..แล้วก็ดีดฉิน[1]ให้ข้าฟังที ข้าจะงีบพักสักหน่อยช่วงใกล้ค่ำปลุกข้าไปตรวจขุมนรกด้วย' ตามหน้าที่ของจอ

    Last Updated : 2024-11-10
  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 6 ของแทนใจ

    เมื่อถึงยามเซิน[1]หลิงหลิวเหว่ยจึงเดินมาปลุกจอมมารให้ตื่นเพื่อไปตรวจขุมนรกแล้วให้สาวใช้นำของว่างมาให้มีทั้งขนมกะโหลกอบกรอบและลิ้นแห้งทอดรวมถึงน้ำชาโม่หลี่[2]เมื่อของว่างมาถึงจึงไล่สาวใช้ทั้งหมดออกไป'เยี่ยนเยี่ยนตื่นได้แล้ว' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวคนตัวใหญ่กว่า ทว่า คนตัวใหญ่กว่ากลับปัดป่ายแขนเล็กราวกับรำคานอย่างนั้นหลิงหลิวเหว่ยจึงจำใจต้องใช้มาตรการสำคัญโดยการเสกน้ำขึ้นมาหนึ่งถังแล้วสาดลงไปยังหน้าหล่อเหลาที่หลับสนิทไม่รู้เรื่องซ่า'เหว่ยตี้!' จอมมารขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างโกรธเคืองพลางแยกเคี้ยวใส่หลิงหลิวเหว่ยที่ยิ้มได้ใจ'เยี่ยนเยี่ยนหนอเยี่ยนเยี่ยน ท่านโกรธข้าไม่ได้ ข้าปลุกท่านแล้วแต่ท่านก็มิยอมตื่น''ยามใดแล้ว''ยามเซินแล้ว ข้าเตรียมของว่างมาให้ กินสิ' จอมมารหนุ่มลงมือกินอาหารให้เรียบร้อยก่อนที่จะแต่งตัวเสียใหม่ สวมชุดดำทั้งชุดเพื่อนไปตรวจขุมนรกโดยมีหลิงหลิวเหว่ยเดินติดตามสอ

    Last Updated : 2024-11-11
  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 7 ทำเนียบมาร

    หวังเยี่ยนได้ยินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยแล้วค่อยค่อยกลับหลังหันมองเหล่าเทพเซียนทั้งสี่ทิศจากเผ่ามัจฉา เป็นเออร์หลิงเซียน ผู้ปกครองมหาสมุทรประจิมที่เอ่ยทักเขา'คารวะศิษย์พี่ทั้งสี่ ข้ามิทราบมาก่อนว่าศิษย์พี่จะเสด็จขึ้นมาบนสวรรค์เก้าชั้นฟ้า ต้องขออภัยที่มิได้ส่งข่าวไปเสียนาน' เขาโต้ตอบพร้อมกับก้มโค้งคำนับ เมื่อราวๆแปดแสนปีก่อน เขาเคยมีวาสนาฝึกร่ำเรียนวิชามาบ้างกับเหล่าเทพเซียน แต่ไหนแต่ไรสวรรค์เก้าชั้นฟ้ากับนรกแปดขุมก็มีข้อธรรมเนียมและกฎคละคล้ายกันจึงไม่ผิดแปลกแต่อย่างใดที่ทั้งเทพเซียนและเหล่ามารจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ เขาเคยเข้ารับการฝึกตนพร้อมกับเทพเซียนทั้งสี่จนมีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากอยู่'หลายปีมานี้เจี่ยเจียไม่ได้ออกจากวัง พอได้ยินข่าวลือมาว่าเยี่ยนเยี่ยนจะแต่งงาน จริงเท็จอย่างไรหรือ' ป๋ายอวิ๋นเซียนยิ้มอย่างอ่อนโยนเช่นเคยพลางหยิบพัดจีบขึ้นมาพัดเบาเบา ป๋ายอวิ๋นเซียนเป็นหนึ่งในผู้ปกครองทะเลบูรพาและเป็นเซียนสาวที่สนิทสนมที่สุดของหวังเยี่ยน นางเอ็นดูหวังเยี่ยนเสมือนเป็นน้องชายในสายเลือดแม้ในอดีตจะเคยชอบพอเขา เพียงแต่หลังจากเขาได้รับตำแหน่งประมุขมารก็มิได้สนทน

    Last Updated : 2024-11-12
  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 8 ดินแดนหงษา

    เผ่าหงษาตั้งอยู่ไม่ไกลจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้ามากนักใช้เวลาเดินทางไม่นานก็มาถึง‘จอมมาร ถึงแล้ววังวสันต์วายุแล้วขอรับ' หลิงหลิวเหว่ยเขย่าตัวจอมมาร จอมมารสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์เรื่องราวในครั้งนั้น…ครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอผานเยว่ถิงเหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง'คารวะโม่จวิน โม่เจิ้นจวิน' ปี้เฉียง องครักษ์หนุ่มออกมารับจอมมารหนุ่ม ไม่ทราบมาก่อนว่าจอมมารหนุ่มจะเสด็จมาครั้งสุดท้ายก็เมื่อสองพันกว่าปีก่อน โดยทั่วไปแล้วเขามักจะส่งนกกระเรียนทองมาบอกก่อนล่วงหน้าว่าจะเสด็จมาแต่ครั้งนี้คงมีเรื่องสำคัญจึงมาเร่งด่วนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสาเหตุที่มาครั้งเพราะเหตุใด หรือว่าเขาจะมาเพราะเรื่องของคุณหนูเล็ก?'อืม ท่านอาอยู่ไหม''อยู่ขอรับ เสี่ยวเซียนจะไปเชิญมาให้ เชิญนั่งรอก่อนขอรับ' จอมมารพยักหน้าและเดินเข้าไปนั่งข้างในตำหนักเช่นเคย เขาคุ้นเคยกับที่นี่ดีอยู่แล้วเพราะมักมาบ่อยครั้งหลังจากผานเยว่ถิงจากไปจาก

    Last Updated : 2024-11-13
  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 9 ห่วงหา

    สองวันล่วงเลยผ่านไปแล้วข้ายังมิได้ข่าวสารหรือการติดต่อจากจอมมาร วันนั้นก่อนจากกันเขาดูรีบร้อนคล้ายว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการย้อนนึกดูแล้วก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาอยู่บ้าง ไม่น่าเชื่อว่าจอมมารท่านนั้นเขายังมีเรื่องต้องทำกับคนอื่นเขาด้วย‘จื่อเออร์ จอมมารเขายุ่งมากเลยหรือ’‘ท่านหญิงคิดถึงจอมมารหรือเพคะ’ จื่อจิงยิ้มกริ่ม นึกอยากจะหยอกล้อเซียนหญิงในชุดขาวผู้นี้เหลือเกินแม้มิได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่กลับแสดงออกให้เห็นอย่างไม่ปิดบัง‘สำรวมกิริยาหน่อย จื่อเออร์’ ข้ามิได้ปฏิเสธแต่ก็มิได้ยอมรับ หากจะคิดถึงคงจะคิดถึงในแบบที่ว่ากังวลใจว่าเขาจะไปก่อเรื่องอะไรเสียมากกว่า‘เพคะท่านหญิง’ ข้าปรายตามองจิ่อจิงที่ยังยิ้มล้อเลียนไม่เลิก จอมมารท่านนั้นเหตุใดถึงได้หายไปเงียบๆ ชีวิตของข้ากลับสู่ความสงบสุขแล้วก็จริงแต่กลับรู้สึกใจหายอย่างไรมิรู้ หลายวันมานี้มัวแต่ยุ่งวุ่นวายเกี่ยวกับเรื่องแต่งงานกับจอมมารจึงยังไม่ได้กลับไปจัดการเรื่องราวที่หุบเขาสิ้นชีวาป่านนี้แล้วคงโกลาหลน่าดู อย่างไรเสียก็ควรเข้าไปบอกกล่าวแก่เซียนน้อยสักหน่อยอีกทั้งยังถือ

    Last Updated : 2024-11-14

Latest chapter

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 19 กระบี่เฟิงจางจิ้ง

    หลายๆวันมานี้ท่านเซียนหญิงเฟิงจางจิ้งและเสวี๋ยอิงต่างทำหน้าที่ดูแลพวกข้าได้อย่างดีเยี่ยม วิชาเซียนของพวกเขาทั้งสองเรียกได้ว่าเป็นเทพเซียนที่แท้ ข้ายังคอยเป็นที่ปรึกษาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่อยู่เสมอมิรู้ว่าเลื่อนขั้นไปถึงไหนกันแล้ว เสวี๋ยอิงคนนั้นยามอยู่กับเฟิงจางจิ้งเซียนเพียงลำพังแสนแตกต่างกับตอนที่พูดคุยกับพวกข้าอย่างมากข้าสังเกตเสวี๋ยอิงตั้งแต่วันเเรกจนวันสุดท้ายสรุปความได้ว่า เสวี๋ยอิงคนนี้เป็นวิหคเหมันตกาลโดยแท้ นับถือวิถีเซียนเคร่งครัด และที่สำคัญเขารักของเฟิงจางจิ้งเซียนสหายของข้าอย่างแท้จริง ข้ากับเฟิงจางจิ้งเซียนตกลงกันไว้ว่าหลังจากจบการฝึกปรือครั้งนี้จะรับข้าเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงในวังสวรรค์'ความพยายามของพวกเจ้า เปิ่นจวินเห็นแล้วว่าสมควรแก่เวลา กระบี่ของผู้ใดจะกลับคืนสู่เจ้าของ' หลงลี่เสกกระบี่อันทรงฤทธิ์ที่ส่องแสงเรืองรองและส่งคืนสู่เซียนผู้เป็นเจ้าของ กระบี่เหล่านั้นลอยกลับมาอยู่ตรงหน้าผู้เป็นเจ้าของ'กระบี่มีจิตวิญญาณของมัน ผู้เป็นเจ้าของต้องตั้งชื่อด้วยก่อนจะเซ่นกระบี่ด้วยเลือด''ขอรับ! เจ้าค่ะ! ซือฝุ' เซียนสตรีและเซียนบุรุษทั้งหกขานรับ

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 18 รักครั้งเก่า

    'เสวี๋ยอิง เฟิงจางจิ้งเซียนฝากข้ามาตามท่านไปที่เรือนไผ่ด้านหลัง' เรือนไผ่ด้านหลังที่ว่า อยู่ริมธารน้ำตกที่ข้าใช้วิชาสนทนากับหวังเยี่ยนเกอเรือนไผ่นั่นดูเหมือนจะเป็นเรือนไผ่ที่ท่านเซียนเนรมิตขึ้นมาเพราะตอนที่ข้าไปไม่เห็นจะมีเรือนไผ่อยู่พลังเซียนของเฟิงจางจิ้งเซียนเหนือชั้นกว่าเซียนคนอื่นมากอย่างข้าคงเสกได้เพียงแค่เก้าอี้หนึ่งตัวกับวิชาเจ้าเล่ห์เล็กน้อยที่หวังเยี่ยนสอนก็เท่านั้น'รบกวนแม่นางช่วยนำทางไปที' เขากล่าวเสียงเรียบพลางสะบัดชายผ้าขาวอย่างอ่อนโยนยามอยู่ใกล้เขารู้สึกหนาวเหน็บจริงสมแล้วที่เป็นถึงวิหคหิมะ'ตามข้ามาเถิด' เขาเดินตามข้าอย่างสงบเสงี่ยมจริงแท้หรือวิสัยของพวกวิหคหิมะเป็นเช่นนี้เอง แม้แต่เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เคร่งครัดวิถีเซียน'ขอบคุณที่มาส่ง''ไม่ต้องเกรงใจ พวกท่านสูงส่งกว่าข้า ข้าย่อมยินดีช่วย' เขาพยักหน้ารับเงียบๆแล้วเดินเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ฝั่งตรงข้ามกับฝั่งที่เฟิงจางจิ้งเซียนนั่งกึ่งหลับกึ่งตื่นอยู่ พูดได้ว่าน่าเอ็นดู ข้าแอบมองอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหาที่เหมาะๆสักที เสกกาน้ำชาหนึ

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 17 คนแซ่เสวี่ย

    บรรดาเหล่าเซียนยืนเรียงกันเป็นสองแถวแบ่งแยกสตรีและบุรุษเพียงแค่โดดลงเหวก็ตกลงมาโผล่ที่หุบเขาไท่ซาน ไม่คิดว่าหุบเขาแห่งนี้จะยังมีสำนักที่คล้ายสำนักสงฆ์อยู่ เบื้องหน้ามีเสามังกรสีเหลืองอร่ามสลักรูปปั้นมังกรสามหัวขนาดยักษ์มันถูกตั้งไว้กลางโถง ช่างเสมือนจริงเหลือเกิน..'เสวี๋ยอิงคารวะท่านอาจารย์' ชายหนุ่มหัวขาวก้มโค้งคำนับต่อหน้ารูปปั้นมังกรสามหัวอาจารย์ที่ไหนกันไม่เห็นจะมีใครสักคน เฟิงจางจิ้งคิด'ถือว่ามีฝีมือ ส่วนคนอื่นยังต้องฝึกอีกมาก' ร่างมังกรสามหัวแปรเปลี่ยนเป็นบุรุษสามคน หน้าตางดงาม สวมชุดฮั่นฝูสีดำ รูปร่างแกร่งกำยำ มองแค่ตาเปล่าก็สัมผัสได้แล้วว่าปราณเซียนของพวกเขาแข็งแกร่งเพียงใดข้ายังเคยได้ยินมาว่าพวกเขาทั้งสามเป็นสัตว์เทพแห่งบรรพกาลที่บังเกิดมาพร้อมกับเหล่าอสูรร้ายแห่งบรรพกาลอย่างเช่น อสูรเถาอู้กับฮุ่นตุ้น[1]'เสี่ยวเซียนทั้งห้าขอคารวะท่านอาจารย์' เฟิงจางจิ้งเซียนกล่าวนำข้าและเพื่อนพ้องอีกสามคนจึงพากันก้มโค้งคารวะดังที่เฟิงจางจิ้งกล่าวนำไว้ ไม่แน่ว่าในช่วงหลายวันมานี้อาจมีแต่เรื่องสนุกเกิดขึ้น'ไม่ต้องมากพิธี ข้าเ

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 16 เรื่องในอดีต

    ‘ยินดีต้อนรับกลับ' หวังเยี่ยนเดินเข้าไปกอดซ้อนอีกทีหนึ่ง เขาไม่รู้มาก่อนว่าพวกนางรู้จักกันคนหนึ่งก็เปรียบเสมือนน้องสาวในไส้ส่วนอีกคนก็คือภรรยาของเขา จากนี้ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร เขาจะเป็นคนปกป้องพวกนางเอง ไม่มีผู้ใด ไม่มีอดีตและแม้อดีตจะลบล้างไม่ได้ หากแต่เมื่อวันวานแห่งความขมขื่นผันผ่านไป หลังจากนี้เขาจะเป็นแสงสว่างชี้นำพวกนางเอง พวกนางคงยังมีความหลังให้ระลึกถึงกันอีกมากเห็นสมควรปล่อยให้สนทนากันเพียงลำพัง กิจของสตรีบุรุษมิควรยุ่งจอมมารสะกิดหลิงหลิวเหว่ยพยักพเยิดหน้าไปทางประตูแล้วพากันเดินออกไปเงียบๆ เซียนหญิงกับมารสาวมองหน้ากันร่ำไห้กันเงียบงัน ก่อนจะบอกเล่าถึงความทรมานแสนสาหัสและเรื่องเขา'คนนั้น''เยว่ถิง ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้แล้วเจ้ากับจอมมารรู้จักมักจี่กันตั้งแต่เมื่อไหร่''ไม่เจอกันเพียงไม่กี่แสนปี ท่านหญิงของข้ากลายเป็นคนช่างถามแล้วรึ''เพราะข้าสนิทใจที่พูดคุยกับเจ้าต่างหาก!'

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 15 การกลับมาของผานเยว่ถิง

    จอมมารหนุ่มอุ้มร่างบางที่หลับใหลไปในอ้อมกอดมายังในห้องส่วนตัวและจัดแจงวางร่างบางลงบนเตียงอย่างเบามือเพียงเเค่จับเเขนเล็กหรือเเตะเพียงเบาเบาก็ยังเกรงกลัวเหลือเกินว่ากระดูกขาวเช่นเทพเซียนจะแตกหัก เนื้อตัวนุ่มนิ่มบอบบางราวกับปุยนุ่นเช่นนี้ คนหยาบกระด้างอย่างเขาต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหลายวันมานี้ไม่ได้รับโลหิตดับดวงจิตมารภายในร่างจึงรู้สึกกระหายอย่างมาก ยิ่งอยู่ใกล้นางกลิ่นหอมรัญจวนยิ่งเพิ่มทวีคูณ เกรงกลัวจะห้ามใจไม่อยู่'เหว่ยตี้ ข้ากระหายเหลือเกิน''เชิญจอมมารไปที่โถงก่อนเถิด ขุนนางมารรออยู่แล้ว เสี่ยวโม่[1]จะไปเตรียมเครื่องดื่มดับกระหายมาให้''อืม' ร่างองอาจรวบผมขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับแต่งกายเสียใหม่แล้วจึงเรียกจื่อจิงมาเฝ้าเซียนหญิงแล้วค่อยเดินออกไปครั้นเดินทางมายังโถงใหญ่ก็เห็นชี้ชัดแล้วว่ามีขุนนางมารบางส่วนหายไปจากโถงแห่งนี้ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แจ่มแจ้งว่าขุนนางมารเหล่านั้นคงแยกพรรคพรรคแยกฝ่ายตามเผ่ยอวิ๋น

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 14 แตกหัก

    หวังเยี่ยนและเฟิงจางจิ้งแยกกันไปถอดเครื่องแต่งกายออกแล้วสวมชุดตามเดิมเพื่อมาหารือกันเรื่องเหล่าองครักษ์มารของเผ่ยอวิ๋นจวิน ผู้อาวุโสทั้งสี่ยินดียื่นมือเข้ามาช่วย หวังเยี่ยนออกจะเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้เข้าห้องหอแต่เพราะสถานการณ์ตอนนี้ไม่สู้ดีนักจึงต้องเลื่อนเข้าห้องหอออกไปก่อน อย่างไรกว่าจะได้เข้าห้องหอกันอีกครั้งคงต้องรอหลังพิธีอภิเษกเฟิงจางจิ้งเซียนขึ้นเป็นจักรพรรดินีมาร....'ต้องขอขอบคุณเฉินฮุยเกอมากที่ตามมาช่วยข้ากับฮูหยินอีกทั้งยังเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าบ่าวให้ด้วย' หวังเยี่ยนก้มโค้งคำนับเฉินฮุยอีกครั้ง'ไม่เป็นไร ลืมไปแล้วรึว่าพวกเราคือพี่น้องกัน ข้าผิดหวังมากนะหวังเยี่ยนที่ไม่เชิญพวกข้าเข้าร่วมงานอภิเษก' เฉินฮุยตำหนิจอมมารยกใหญ่อีกครั้งทั้งๆที่นับถือกันเป็นพี่น้องร่วมสาบานกันแล้ว เจ้าหวังเยี่ยนยังทำตัวห่างเหินกับพวกเขาอีก หากมิใช่ว่าเรื่องที่เกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้าในงานแต่งเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนต้องเรียกเซียนชั้นสูงทั้งสิบมาหารือมีหรือที่พวกเขาจะรู้&

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 13 คำนับฟ้าดิน

    วังมังกรเนรมิตถูกจัดตกแต่งด้วยสาหร่ายแดงที่พอจะหาได้และผ้าไหมแดงที่พอจะมีอยู่บ้าง จื่อจิงรับหน้าที่เป็นแม่งานจัดเตรียมหน้างานทั้งหมด ยังรู้สึกผิดหวังที่งานเเต่งอลังการถูกพังทลายลงอีกทั้งตี้จวิน[1]คนนั้นเหตุใดจึงละเลยเรื่องนี้ ผ่านมาแล้วสามวันกลับไม่มีข่าวคราวจากวังสวรรค์ส่งมาเลยแม้แต่น้อย'จื่อเออร์ เหตุใดจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นนั้นเล่า' หลิงหลิวเหว่ยเอ่ยถามจื่อจิง'ข้ารู้สึกว่ายังขาดอะไรไปแต่ช่างเถอะ ท่านเห็นเหล่าหลงทั้งสามไหม''ไม่เห็น จริงสิปี้เฉียงก็หายไปด้วย''เดี๋ยวข้าไปตามเอง' จื่อจิงว่าเช่นนั้นแล้วเดินลัดเลาะไปด้านหลังวังมังกรเนรมิตยังมีสระน้ำมรกตไป๋ฉุนจิ้งคงต้องไปดูสักหน่อย บังอาจปล่อยให้สตรีร่างบางกับบุรุษอ้อนแอ้นอย่างนางกับหลิงหลิวเหว่ยทำงานอยู่สองคนใช้ได้ที่ไหนกันเสียงน้ำหลั่งไหลผ่านโขดหินใต้ธาราสีใสจนเห็นตัวปลานานาชนิดบุรุษรูปร่างกำยำทั้งสี่หย่อนกายหย่อนใจลงในสระน้ำนั้น..'พวกท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน' ปี้เฉียงเอ่ยถามมังกรทั้งสาม พวกเขาแลดูเหมือนจะรู้จักทางป่านี้เป็นอย่างดีอีกทั้งยังนำทางพามาอา

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 12 สองดวงจิตในร่างเดียว

    เหล่าหลงทั้งสามพาพวกข้ากลับมายังหุบเขาสิ้นชีวาอีกครั้ง แต่พวกทหารชุดดำเหล่านั้นก็ยังตามข้ามาทันอยู่ดี ข้าจึงลุกขึ้นยืนหยัดสั่งให้หลงลี่พาคนที่บาดเจ็บกลับไปที่วังมังกรเนรมิตก่อนแล้วจึงไปประจันหน้ากับเหล่าทหารชุดดำ'นี่ไม่ใช่เรื่องของท่านเซียนใยต้องยื่นมือเข้ามาด้วยเล่า' หมิงป๋ายยิ้มเย้ยหยัน ข้าต้องระงับโทสะตัวเองหากจะกระทำการสิ่งใดย่อมต้องทำอย่างมีสติ 'หากพูดว่าไม่ใช่เรื่องข้าคงมิใช่กระมัง งานที่เจ้ามาพังวันนี้คืองานวิวาห์ของข้า คนที่เจ้าปักกระบี่ลงกลางอกคือว่าที่สามีของข้า' 'ข้ารู้ว่าท่านเองก็คงมิอยากจะตกลงปลงใจกับจอมมารมือเปื้อนโลหิตอย่างเขา มาร่วมมือกับพวกข้าเถอะเฟิงจางจิงเซียน' ข้ากำกระบี่ในมือแน่น'คุณธรรมเขาสูงส่งกว่าพวกเจ้ามากและถ้าข้ายังมีชีวิตอยู่ก็อย่าหวังว่าจะได้ชีวิตของเขาไป'หวังเยี่ยน..ท่านทำเรื่องอะไรมากัน ทำไมมารเหล่านี้ถึงได้มีความแค้นกับเจ้ามากถึงเพียงนี้แปะ แปะ แปะเงาสีดำทมิฬค่อยๆประกอบรูปร่างขึ้นเป็นคน เงาสีดำที่นางรับได้ถึงพลังมหาศาลพลังงานแห่งความมืดความชั่วร้ายที่ถูกล้อมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เรือนผมสีดำแผ่สยายดวงตาเป็นประกายสีเขียวมรกตงดงาม ชุดเกราะสีเงินทรงอา

  • ปราการรักจักรพรรดิจอมมาร   บทที่ 11 วิวาห์ย้อมโลหิต

    หลิงหลิวเหว่ยและปี้เฉียงเดินเข้ามาในห้องโถงเงียบๆ เห็นจอมมารกุมมือท่านหญิงเซียนอยู่แต่ท่านหญิงเซียนแลดูมีเรื่องลำบากใจ ตอนนี้จดหมายตอบรับได้มาถึงแล้ว เขาควรนำไปรายงานแก่จอมมาร เจ้าปี้เฉียงนี่ก็ตามติดเป็นเงาตามตัวน่ารำคาญจริง เมื่อไหร่จะกลับเผ่าหงสาไปสักที'ท่านจอมมารขอรับ สาน์สตอบรับมาถึงแล้ว' หลิงหลิวเหว่ยยื่นสาน์สให้จอมมาร จอมมารเปิดอ่านในทันที'เจ้าตอบตกลง?' จอมมารยิ้มกว้าง เขาบรรจงจุมพิตหลังมือของเฟิงจางจิ้ง นางไม่ทันตั้งตัว พอรู้สึกตัวก็ชักมือออก'อืม ใช่ แล้วข้าจะรอเกี้ยวของท่านที่สวรรค์ชั้นฟ้า' นางลุกเดินออกไปอย่างขัดเขินเล็กน้อย นางมองตำแหน่งที่จอมมารจุมพิตไปเมื่อครู่ รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นอย่างไม่รู้ตัว 'ไปกันเถอะจื่อจิง' จอมมารยังคงตะลึงงันด้วยความดีใจ จนกระทั่งนางกับจื่อจิงเดินลับสายตาไปแล้ว..'ปี้เฉียง ฝากเจ้าคุ้มครองนางถึงสวรรค์ชั้นฟ้าที' 'รับทราบ!' ปี้เฉียงฟังคำสั่งจอมมารอย่างไม่อิดออด แล้วเดินตามเฟิงจางจิ้งกับจื่อจิงไป...จอมมารนั่งเปิดอ่านเทียบของหมั้นที่เขาส่งไปคราวที่แล้วเพิ่มของไปอีกสักหลายอย่าง..'ของทุกอย่างพร้อมแล้วนะ นี่เป็นรายการที่ข้าเพิ่ม จัดเตรียมให้เสร็จวั

DMCA.com Protection Status