หมิงเยว่ครางเสียงหวาน ร้อนผ่าวไปทั้งร่าง น้ำในถังคล้ายไม่มีอยู่จริง ทุกการเคลื่อนไหวสอดประสานในจังหวะกร้าวแกร่งดุดัน จึงเสมือนไร้สิ่งใดกีดขวางโดยสิ้นเชิง
เสียงครางผะแผ่วสอดประสานกับเสียงน้ำกระฉอกขึ้นลงตามจังหวะขยับกายลึกล้ำ
หมิงเยว่จับบ่ากว้างแน่น เล็บจิกแผ่นหลังแกร่งจนได้เลือดซึม รู้สึกลุ่มหลงในห้วงอารมณ์อย่างไม่เคยมีมาก่อน
นางจึงปลดปล่อยตัวเองตามใจสามี ยินยอมถูกความรู้สึกหวามไหวครอบงำเนิ่นนาน
ในขณะที่หยางเจี้ยนยิ่งนานยิ่งกำซ่าน เพลิงอารมณ์ไม่มอดดับโดยง่าย จากถังไม้คับแคบคู่ยวนยางจึงมาเล่นน้ำต่อที่เตียงนอนกว้าง ท่วงท่ารัญจวนหลากหลายมากกว่าเดิม เพิ่มความร้อนแรงแห่งเพลิงพิศวาสปานเยี่ยมแดนสวรรค์
หมิงเยว่ครวญเสียงหวิว “ท่านสร้างห้องอาบน้ำใหม่ ให้ใหญ่กว่าเดิมได้ไหม?”
มีเพียงเรื่องนี้ที่หยางเจี้ยนยอมตามใจนาง “อืม...”
สนทนาสิ้นสุดเพียงเท่านั้น เหลือแค่เสียงกลิ้งตัวเสียดสีไปบนเตียง เคล้าเสียงหอบกระเส่าเกิดขึ้นตลอดราตรี ทั้งนางและเขามิได้พูดจาอันใดอีกเลยแม้ครึ่งคำ
แบบนี้ก็ดีจะได้ไม่ต้องถกเถียงกัน ถึงอย่างไรเราสองสามีภรรยาก็มิใช่คู่ที่ชอบสนทนาพาทีหรือร่วมอ่านหนังสือคัดอักษรขับกลอนโต้ตอบบทกวีเหมือนคู่รักอื่น
ยิ่งมิใช่ยวนยางร่วมชื่นชมแสงจันทร์ อ้าปากทีไรเป็นต้องโต้แย้งกันไม่จบไม่สิ้น
ดึกสงัด ลมหนาวพาใจเย็นเยือก เจ็บไปถึงกระดูก
ซู่หลินรู้สึกได้อย่างนั้น เนื่องจากทำได้แค่นั่งซึมเศร้าอยู่ภายในเรือนหยกงามทั้งวันทั้งคืน เมื่อชะเง้อคอมองไปทางเรือนหลักของแม่ทัพหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกหดหู่เหลือเกิน ทว่ายังนับว่าดีไม่น้อยที่นางไม่ถูกส่งกลับบ้านเดิม มิเช่นนั้นคงไม่แคล้วต้องแขวนคอตายเพื่อหนีความอัปยศอับอาย
เรื่องนี้อาจเป็นเพราะได้รับโชคดีจากการที่นังพี่สาวหนังเหนียวของนางที่ไม่ถึงขั้นตาย แค่เจ็บป่วยอ่อนแรง ป่านนี้ย่อมหายดีเป็นปลิดทิ้ง เพราะหากอีกฝ่ายเป็นอะไรไป ย่อมมิใช่แค่ถูกหยางเจี้ยนแอบสืบสาวเรื่องราวแบบเงียบๆ แล้วปล่อยเยี่ยงนี้ แต่นางคงถูกทางการตามจับกุมเพื่อพาตัวไปไต่สวนเอาผิดแน่นอน
ซู่หลินยามนี้ยังคงคิดที่จะฝากชีวิตไว้ในจวนหยาง ถึงอย่างไรที่นี่ย่อมดีกว่าที่บ้านเดิมของนาง
หากแต่การอยู่อย่างไร้ตัวตนไม่อาจส่งผลดีต่อนาง หยางเจี้ยนผู้นั้นยิ่งไม่ควรเข้าใกล้แม้ครึ่งก้าว
หญิงสาวยิ่งคิดยิ่งร้อนรุ่มดั่งมีไฟสุมทรวง
ขืนปล่อยเอาไว้เยี่ยงนี้โดยที่ไม่มีบุตรเป็นหลักยึด ภายภาคหน้าเมื่อแก่ชราลงคงไร้ที่พึ่งแล้ว
‘มีคนกล่าวว่าสตรีก็เหมือนสมบัติของบุรุษ สามารถโยกย้ายหรือยกให้ใครก็ได้ ในเมื่อรับเข้ามาแล้วทว่าผู้มีฐานะเป็นภรรยาเอกไม่ยินยอมให้สามีรับอนุ มิสู้มอบให้ท่านอาไป อาสะใภ้จิตใจกว้างขวางออกปานนี้’
เสียงของหมิงเยว่คล้ายลอยมาตามลมแล้วเข้ายึดตรึงพื้นที่ในโสตประสาทของซู่หลิน
ม่านตาดำของหญิงสาวค่อยๆ หดแคบ เร่งพินิจถึงความเป็นไปได้
แน่นอนว่านางย่อมสืบเรื่องราวของทุกคนในจวน นายท่านใหญ่มีอนุหลายคนและยามนี้สุขภาพมิใคร่จะดีแล้ว
ในขณะที่นายท่านรองไม่มีอนุเลยสักคน แม้เขาจะเข้าวัยกลางคนแล้วแต่กลับยังคงหล่อเหลาสง่างามปานนั้น
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายคล้ายหยางเจี้ยนถึงสี่ส่วน บุคลิกท่าทางหรือก็สุภาพเรียบร้อย มองแล้วเพลินตาไม่น้อย
กลีบปากอวบอิ่มค่อยๆ ยกโค้ง เกิดรอยยิ้มพิลาส งามอย่างมีเสน่ห์ดุจนางฟ้า เมื่อซู่หลินนึกถึงเจียวหั่วขึ้นมา
ก่อนหน้านี้ท่านน้าหั่วดีต่อนางมากจริงๆ หลังจากที่พี่สาวของนางเจ็บป่วยนอนซมไม่อาจตบแต่งได้ ท่านน้าหั่วถึงขั้นชี้นำและทำให้นางได้แต่งเข้าจวนหยางอย่างราบรื่น โดยไม่ยอมเปลี่ยนใจไปคว้าแม่นางจากจวนอื่น
ซู่หลินยิ้มกริ่ม เมื่อนึกถึงเป้าหมายใหม่...
หยาดน้ำค้างโปรยปราย กลิ่นอายวสันต์จางหาย กรุ่นร้อนแผ่ซ่านผ่อนคลาย เรือนกายสิ้นไร้เรี่ยวแรงหมิงเยว่ลำคอแห้งผาก นอนคว่ำหน้าเงียบงัน เผยแผ่นหลังนวลเนียนล้อสายตาในขณะที่หยางเจี้ยนลุกขึ้นนั่งเผยแผงอกตึงแน่น เตรียมตั้งหลักรอรับมือกับปัญหาบนเตียงกับภรรยาหญิงสาวรู้สึกเมื่อยขบไปทั้งร่าง ปวดหนึบไปหมด คลับคล้ายใกล้แตกสลายอยู่รอมร่อ ไหนเลยจะมีแรงโวยวาย ทำได้แค่บ่นตัดพ้อเบาๆ“ไยท่านไม่ใช้ลิ้นอย่างเดียวเล่า? เนื้อตัวของข้าหาใช่ขนมหวานที่ต้องใช้ฟันขบกัดหรือเคี้ยวเล่นก่อนกลืนกินไม่!”ยามเอ่ยยังเห็นภาพผิวเนื้ออ่อนนุ่มของตนถูกฟันคมครูดเป็นทางอย่างเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันกระทั่งผิวนวลเนียนของนางมีรอยแดงเต็มไปหมด ทว่าตัวนางยามนั้นกลับกรีดร้องอย่างสุขสมแทบขาดใจนี่มันเรื่องราวใดกัน?หมิงเยว่ยังคงบ่นอย่างไม่ไว้หน้าทั้งไม่รับความจริง ทว่าหยางเจี้ยนที่เตรียมรับมืออยู่แล้วเพียงแค่นเสียงเย็นชา “มิใช่ว่าเจ้าก็ใช้กรงเล็บนางพญาทำหลังข้าเป็นรอย”ชายหนุ่มพบว่าตนเองเริ่มเก่งกาจในการโต้แย้งเรื่องบนเตียงกับภรรยาแล้ว หากเป็นก่อนนี้เขาคงทำได้แค่ลุกหนีแล้วจากไปอย่างเดือดดาล ต่อมาก็ทำได้แค่ขบคิดเพียงลำพัง ราตรีแล้วราตรีเล่
หลังจากถูกเคี่ยวเข็ญให้ปรนนิบัติสามีตามหน้าที่ภรรยาเอกทุกประการตั้งแต่ช่วยเขาแต่งกายคาดสายรัดเอว ดูแลยกน้ำชา คีบอาหารใส่ถ้วยให้ หมิงเยว่ยังถูกหยางเจี้ยนพาเดินไปคารวะน้ำชาต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโสพร้อมกับเขาทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นแน่นอน ตั้งแต่แต่งงานกันมา ก็มีแค่กิจกรรมสร้างสัมพันธ์บนเตียงโดยไร้ซึ่งวาจาตลอดคืน ยามเช้าก็โต้แย้งอย่างรุนแรง หลังทะเลาะเบาะแว้งก็ต่างแยกย้ายไปคนละทาง แต่ละครั้งก็ต้องห่างกันร่วมเดือน ทว่าครั้งนี้หมิงเยว่ยังไม่ได้รับสิทธิ์ให้แยกจากสามีแม้ครึ่งก้าวใจร้ายเกินไปแล้ว...ยามนี้ท่านแม่ทัพหนุ่มผู้เคร่งขรึมแต่มักเกรี้ยวกราดกำลังปฏิบัติต่อฮูหยินของเขาในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแท้จริงจากที่ไม่เคยตื่นนอนพร้อมกัน ไม่เคยรับอาหารเช้าร่วมกัน ยิ่งไม่เคยจับประคองยามคารวะผู้เฒ่าอย่างเอาใจใส่ หรือชวนพูดคุยเสวนาช่วยสร้างสัมพันธ์อันดีต่อหน้าผู้อาวุโส บัดนี้หยางเจี้ยนกลับทำทุกอย่างเหล่าผู้อาวุโสทุกคนในสกุลหยางรวมถึงบ่าวรับใช้ต่างพากันมองสะใภ้สกุลไป๋ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จากดูแคลนแปรผันเป็นชื่นชม บรรยากาศรื่นรมย์ยิ่งมีเพียงหมิงเยว่ที่รู้สึกว่าคืนวันแสนสุขเปลี่ยนไปแล้ว กล
ครั้นไม่อาจอยู่อย่างสงบในเรือนตน หมิงเยว่จึงจำต้องออกมาเดินเล่นและเลือกพักผ่อนในศาลาแทน“ฮูหยินน้อย...”สาวใช้ตัวน้อยของหมิงเยว่ส่งเสียงอ่อนหวานอยู่นอกศาลา นางเปลี่ยนสรรพนามจากคุณหนูใหญ่ทันทีหลังจากแม่ทัพหยางเปลี่ยนไป“จิ่นซินขอตัวไปรับขนมในห้องครัวชั่วครู่เจ้าค่ะ”นางเดินมาวางตะกร้าไผ่สานที่บรรจุถ้วยชาไว้บนโต๊ะ แล้ววิ่งจากไปอย่างกระตือรือร้น ท่าทางเปี่ยมสุขกว่าทุกวันหมิงเยว่มองตามพลางถอนหายใจ สาวใช้ผู้นี้จะรู้บ้างไหมว่านางต้องเปลืองตัวไปกับสามีผู้กล้าแกร่งเพียงใดถึงแลกความสงบสุขได้แต่เอาเถิด ได้เห็นจิ่นซินยิ้มแป้นก็นับว่าคุ้มแล้ว...หญิงสาวให้รู้สึกเอ็นดูบ่าวคนสนิทจริงๆช่วยมิได้ที่หมิงเยว่จักซาบซึ้งจิ่นซินถึงขั้นนี้ เนื่องจากยามลำบากเพียงลำพัง มองไปทางใดล้วนไม่เคยเห็นใคร ไป๋หมิงเยว่ผู้ถูกทิ้งขว้างก็มีเพียงจิ่นซินเท่านั้น แม้นางจะเป็นวิญญาณมาสวมร่าง หากแต่ความรู้สึกซาบซึ้งมิเคยเจือจางหนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกล สหายรู้ใจหาได้ยากยิ่ง เมื่อมีโอกาสพบเจอย่อมต้องรักษาให้มั่นระหว่างคิดเช่นนั้น สายตาของหมิงเยว่พลันเหลือบเห็นชายอาภรณ์ของสตรีผู้หนึ่ง ชั่วครู่ก็หายไปทางหลังพุ่มไม้ ท่าทางลับๆ
แม้ก่อนหน้านี้หมิงเยว่มักจะผลักไสหยางเจี้ยนให้ไปหาอนุซู่เพื่อแบ่งเบาภาระอันแสนสาหัสทว่าเมื่อถึงเวลาที่คิดว่าเขาต้องไปทำเรื่องเช่นนั้นกับสตรีอื่นจริงๆ หญิงสาวกลับไร้ความคิดที่จะยินยอมหรือยินดี ไม่มีแม้แต่น้อยซึ่งนางก็ไม่รู้ว่าทำไม...เส้นทางลับตาแห่งเดิม ซู่หลินเดินกลับเรือนตนอย่างระมัดระวัง ทว่าอึดใจลำคอระหงพลันถูกรวบกำแล้วฉุดดึงไปหลังพุ่มไม้อย่างไร้สุ้มเสียงซู่หลินเบิกตากว้างอย่างตกใจ พริบตาพลันได้ยินเสียงเย็นเยียบที่ข้างหู “คิดปีนเตียงของสามีข้าด้วยยาชั่ว ถามมารดาเยี่ยงข้าก่อนเถอะ!”สะคราญโฉมผู้หนึ่งคล้ายถูกสูบวิญญาณออกจากร่าง กระทั่งดวงหน้าบิดเบี้ยวหมดความงามเพราะฉาบทับด้วยความรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงแทบสิ้นสติ“ป่ะ...ไป๋หมิงเยว่”เจ้าของนามแสยะยิ้มเหี้ยมให้ในระยะประชิด“ข้าเอง...”ซู่หลินละล่ำละลักถาม “เจ้าได้ยินทุกอย่าง?”หมิงเยว่หัวเราะเสียงต่ำ “อยากให้ข้าเปิดโปงประจานหรือไม่เล่า?”อันที่จริง ทักษะมารยาสาไถยของหมิงเยว่ที่ห่างชั้นกับซู่หลินและเจียวหั่วนั้น นางมิได้มั่นใจเลยว่าจะมีผู้ใดเชื่อ หมิงเยว่ย่อมต้องใช้ไม้แข็งป้องกันไว้ก่อน นางกดร่างนุ่มนิ่มอ่อนแรงลงบนพื้นดินที่มีหญ้าปก
หลังจากประชุมหารือประจำวันเสร็จสิ้นก็เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี หยางเจี้ยนจึงโบกมือเบาๆ ให้ลูกน้องแยกย้ายทำตัวตามสบายค่ายทหารประจำการขุนศึกตระกูลหยางค่อนข้างเข้มงวดชัดเจนในกฎระเบียบ ยามกินจึงมิได้รับอนุญาตให้ออกไปท่องเที่ยวตามเหลาอาหารภายในเรือนบัญชาการ หยางเจี้ยนรับมื้ออาหารพร้อมลูกน้องสนิทหลายคน อาหารจากพ่อครัวประจำค่ายของตระกูลนับว่ามีฝีมือไม่น้อย รสชาติไม่ด้อย ดีกว่ากินดินกินทรายกลางสมรภูมิรบหลายขุมจังหวะคีบเนื้อใส่ปาก หยางเจี้ยนเหลือบตาไปเห็นแม่ทัพขั้นสามผู้มีนัยน์ตาสีเลือดท่าทางดุดันกิริยาแข็งกร้าวและหยาบกระด้างกำลังยกกล่องอาหารขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างทะนุถนอม ก่อนเปิดอาหารออกมากินอย่างมีความสุข รอบกายอบอวลไปด้วยกลิ่นอายละมุนนุ่มนวลผิดกับรูปร่างหน้าตา แม่ทัพน้อยผู้นี้เพิ่งแต่งงานในเวลาไม่ห่างหยางเจี้ยน ทว่าความสัมพันธ์กลับดีกว่า ฮูหยินของอีกฝ่ายใส่ใจอย่างยิ่งหยางเจี้ยนเก็บความรู้สึกสายหนึ่งที่วาบผ่านอกตน พยายามไม่เก็บมาคิดอย่างไม่เข้าใจเหมือนที่ผ่านมา ก้มหน้าก้มตาคีบเนื้อกินต่อ ทว่าสายตากลับเหลือบไปเห็นจิ้นเหออีกฝ่ายกำลังเปิดกล่องอาหารส่วนตัวเช่นกัน“ใครทำให้เจ้า?”น้ำเสียงขุ่นเข้มท
ภายในห้องฝั่งตะวันออก มีแสงเทียนไสวระยิบระยับงดงามจับตา ริมหน้าต่างมีแจกันปักมวลบุปผา บนโต๊ะกลางห้องยังมีสุราและอาหารวางเอาไว้จนเต็ม บรรยากาศดุจสวรรค์สร้าง“แจกันใบนี้ ข้าเห็นปราดเดียวก็นึกไปถึงความงามของบุปผาหลายชนิดที่ถูกสร้างเพื่อมาเคียงคู่กัน จึงบรรจงเด็ดดอกไม้และแต่งกิ่งอย่างประณีตก่อนนำมาปักไว้”หมิงเยว่ส่งเสียงแว่วหวานราวท่องบทกลอนกวีเสมือนแม่นางหลังเรือนคนหนึ่งที่เป็นผู้เพียบพร้อมและบรรลุแจ้งทุกศาสตร์สตรีหยางเจี้ยนมองตามเรียวนิ้วขาวเห็นสิ่งที่นางชี้ชวนให้ชื่นชมก็ขมวดคิ้วเป็นปม นั่นคือบุปผาบนแจกันหรือ? มิใช่ว่าใครบังอาจมาแอบปลูกต้นไม้ใบหญ้าในห้องข้าใช่หรือไม่?หมิงเยว่ไม่รู้ว่าการจัดดอกไม้ฝีมือตนเข้าขั้นวิกฤตปานใด นางยังคงยกยิ้มเปี่ยมเสน่ห์มากไปด้วยเล่ห์และแผนการให้สามี ทำเอาอีกฝ่ายขนลุกตั้งชันไปทั้งกายกำยำเรือนร่างสูงแกร่งของบุรุษหนุ่มถูกมือนุ่มนิ่มจับนั่งลงบนเก้าอี้ เสียงหวานยั่วยวนชวนผวาเริ่มหว่านล้อมเต็มที่“วันนี้ข้ามีเรื่องจะทำการตกลงขั้นเด็ดขาดกับท่านพี่ อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นข้าที่ตั้งใจทำ เรากินไปคุยไปเถอะ”พายุเพลิงก่อนหน้าดุจลมวสันต์หอมเย็นเท่านั้น โทสะคุกรุ่นของหยา
เช้าตรู่วันต่อมาหมิงเยว่ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าซีดเซียวสิ้นไร้เรี่ยวแรง ในขณะที่หยางเจี้ยนมีท่าทีเปี่ยมพลัง อิ่มเอมไปทั้งร่าง หลายครั้งยังเบือนใบหน้าไปทางอื่นแล้วแอบยิ้มหลังจากปฏิบัติกิจวัตรประจำวันเสร็จสรรพ ยืนส่งสามีที่หน้าประตูจวนด้วยท่าทางอิดโรย แทบโยนผ้าเช็ดหน้าใส่อีกฝ่ายแล้วด่าทอให้ไปทำงานที่ชายแดนสักสามเดือนค่อยกลับมาเจอกัน หมิงเยว่ก็ลากสังขารอันปวดเมื่อยช่วงเอวกลับเรือนหลัก แล้วนอนหลับพักผ่อนร่วมสองชั่วยามครั้นตื่นขึ้นมาอีกครายามซื่อสี่เค่อ[1] จึงนึกขึ้นได้ถึงเงื่อนไขของการไม่รับอนุเข้าเรือนของหยางเจี้ยน‘รับป้ายหยกนี่ไปแล้วทำอาหารใส่กล่องไม้ไปส่งข้าที่ค่ายทหารตระกูลหยาง’ช่างเป็นสามีที่เอาแต่ใจเกินไปแล้วคิดว่ารากบัวจะงอกทันหรือไร?หญิงสาวคิดด้วยใจพะวงถึงอาหารที่ชอบถึงขั้นเป็นสิ่งเดียวที่ฝึกทำ เนื่องจากชาติก่อนเรือนที่อาศัยกลางหุบเขากว้างใหญ่ไพศาลก็จริง แต่บัวในสระกลางหุบเขาบนเกาะที่เลี้ยงไว้ก็มีจำนวนจำกัดเหลือเกิน เพราะรอบทิศของหุบเขาล้วนเป็นทะเล ที่มีมากล้นจนกินไม่ไหวคือปลาทะเลสดๆ หาใช่รากบัวอันล้ำค่าที่หายากไม่อีกอย่างสมัยนั้น นางมีบ่าวรับใช้มากมาย เนื่องจากตนเองเป็นถึง
หมิงเยว่คิดไปคิดมาก็เริ่มคิดได้กระจ่างว่ากาลก่อนนางคิดผิดมหันต์ที่เลือกทางเดินเป็นนางโจรต่ำทรามแต่กระนั้นทางเลือกของชีวิตตนเองในชาติก่อนกลับมีเพียงทางเดียวก็คือทางนั้นอย่างเลี่ยงมิได้ เพราะต่อให้ย้อนกลับไปนางก็คงต้องเป็นนางโจรอยู่ดีเนื่องจากท่านตาฝากฝังก่อนสิ้นใจให้นางสืบทอดตำแหน่งนายหญิงใหญ่และส่งต่อเคล็ดวิชาให้เพื่อใช้ดูแลสมุนชั่วช้าหลายร้อยชีวิตภายในหุบเขาบนเกาะกลางทะเลเฮ้อ...แต่อย่างน้อยนางก็ทำเต็มที่ก่อนตายแล้วนี่นา พวกเขาได้รับการแจกจ่ายทรัพย์สมบัติมหาศาลเพื่อไปตั้งต้นชีวิตใหม่ถ้วนหน้า มิต้องฉุดคร่าชีวิตใครอย่างชั่วร้ายอีกอันที่จริงการตายของหมิงเยว่เป็นการปลดผนึกพันธนาการบางอย่างที่เป็นการทำผิดต่อท่านตาในปรโลกนางผิดต่อท่านตาอย่างแท้จริงเพราะใช้ความตายของตนเพื่อหมายจะปลดภาระอันหนักอึ้งให้หลุดออกและหมดสิ้นไปสิ่งนี้ทำหญิงสาวมิใคร่สบายใจสักเท่าใด หลายครั้งที่ยังคิดไม่ตกว่าถ้าหากนางมีปีกที่กล้าแกร่งกว่านี้ยังคงจะโผผินบินทะยานกลับไปสร้างความยิ่งใหญ่ดุจเดิมดีไหม? หรือว่าอยู่เป็นเพียงสตรีหลังเรือนกับแม่ทัพหนุ่มผู้นั้นกันแน่เพราะหยางเจี้ยนผู้นี้ไม่ได้แย่เลยสักนิด...การขบคิดเรื่อ
ผลพวงจากการพาภรรยาออกท่องหล้าเปลี่ยนบรรยากาศ หยางเจี้ยนไม่รู้เลยว่าทำให้คนสนิทของตนคล้ายเปลี่ยนไปตามบรรยากาศตามรายทางเช่นกันนับวันจิ้นเหอยิ่งมองว่าจิ่นซินแน่งน้อยในวันวานนั้น วันนี้ยิ่งน่ารักน่าชังทั้งยังงดงามมากขึ้นอีกด้วยทุกคราที่ต้องคอยดูต้นทางเฝ้าหน้าเรือนให้เจ้านาย เขามักจะต้องอยู่กับจิ่นซิน ฟังเสียงเจื้อยแจ้วมองตากลมใสให้หัวใจสั่นไหวตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาความรู้สึกยิ่งแน่ชัดในหัวใจทว่ายามเจอกัน เสน่หาที่มีนั้นกลับพังครืนลงมา เพราะคำว่าพี่ชายวันนี้ก็เช่นกัน จิ่นซินรีบวิ่งมาพร้อมกล่องไม้ใส่อาหารขึ้นเบื้องหน้า “พี่ชาย...ข้าให้ท่าน”สาวใช้ตัวน้อยแหงนหน้าบอกกล่าวมองเขาด้วยดวงตากระจ่างใส คงรอยยิ้มจริงใจ ไม่มีส่วนใดเป็นการโปรยมารยาแห่งปรารถนาใส่เขาเลยแม้แต่น้อย“ขอบคุณเจ้า รบกวนแล้ว...”จิ้นเหอรับกล่องอาหารมาถือไว้ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง เมื่อใดที่นางจะมองเขาเป็นบุรุษคนหนึ่งมิใช่แค่พี่ชายเล่า?คล้อยหลังจิ้นเหอ จิ่นซินก็ยืนยิ้มมองตามด้วยสายตางุนงง มิค่อยเข้าใจอาการหงุดหงิดของเขาเท่าใดนักทว่านั่นไม่เคยมีปัญหาสำหรับนาง เพราะพี่เหอเป็นคนดีผิดกับแววตาคุกคามอย่างมาก หากอยากได้ข่าวสารน
ย้อนกลับไปสามเดือน ก่อนมีบุตรชายคนแรก ครั้งนั้นต้องอดทนอดกลั้นทำได้เพียงส่งกลอนบอกรักกันซึ่งผิดกับสามเดือนยามนี้มาก เนื่องจากสามีภรรยาเอาแต่บอกรักอย่างดุดันใส่กัน แม้จะเลือกสถานที่ทว่ากลับไม่เลือกยามเวลา เรื่องบทกลอนอันใดเหล่านั้นไม่มีทั้งสิ้น เพราะผนังเรือนไม่มีพื้นที่เหลือให้ติดผืนผ้าแล้วในม่านน้ำเย็นจัดสองร่างกระหวัดกอดเกี่ยวสร้างความร้อนเร่าไม่เข้ากับกระแสธารหลังโขดหิน“อืม...เยว่เอ๋อร์” เจ้าของเสียงทุ้มพร่ากระซิบกระซาบยามจูบซับแนบริมฝีปากคนเป็นภรรยาเพื่อกลืนกินเสียงครวญหวานแผ่วที่ดังเล็ดลอดอย่างต่อเนื่องร่วมชั่วยาม“อื้อ อาเจี้ยน”หมิงเยว่หลับตาแหงนหน้าครางเสียงหวิวปลดปล่อยกายใจของตนให้พร่างพราวราวดวงดาวหล่นใส่ เมื่อไต่ระดับถึงแดนสวรรค์เป็นครั้งที่เท่าใดมิอาจนับในขณะที่หยางเจี้ยนยังคงควบคุมจังหวะรัญจวนเอาไว้ได้เป็นอย่างดีไม่มีตกหล่น แม้จะมอบความสุขสมให้ภรรยาไปแล้วหลายครั้งหลายครา“เปลี่ยนท่าดีหรือไม่?”เขาถามเสียงทุ้มเบา มือขวาเลื่อนไล้จากหน้าท้องแบนราบมากระชับสะโพกผายแล้วจับคนตัวนุ่มให้หันหน้ากลับมา กดจูบหนักหน่วงที่กลับปากแดงเรื่อจนช้ำเพิ่มจังหวะเร่งเร้าเคล้าเสียงน้ำตกอย่างห
ทั้งๆ ที่มองก็รู้ว่าเป็นแผนการตื้นๆ ที่ใช้เรียกร้องความสนใจของสตรีหลังเรือนแต่นางยังอนุญาตให้เขาไปค้างที่เรือนสตรีอื่นด้วยรอยยิ้มซึ่งเมื่อคืนคือวันที่เขาควรจะได้อยู่กับนางทั้งคืน...เด็กชายทั้งสามฉลาดปราดเปรื่องและรู้ความเกินวัย ยามกลางวันปรนนิบัติชงชาบีบนวดไม่ห่างไปไหน กลางคืนยังดูแลท่านปู่ท่านย่าเข้านอนด้วยกันหยางจงแอบยกยิ้มไม่ให้ใครเห็น“ห้ามขัดใจหลาน” เขาหันไปบอกคนเป็นภรรยาที่มองมาทางเขาคล้ายงุนงง ว่าเหตุใดไม่ไปเรือนอนุฟางเหนียงพยักหน้ายิ้มหวานไม่เผยอารมณ์ออกมา นางเองไม่คิดขัดใจหลานอยู่แล้วและทุกวันก็เป็นเช่นนั้น ท่านปู่กับท่านย่าได้อยู่ด้วยกันทุกวันนอนด้วยกันทุกคืน นับแต่หลานชายทั้งสามย้ายตัวเองมาพำนักที่เรือนนายท่านใหญ่เป็นการชั่วคราว เพื่อที่บิดามารดาจะได้ออกตามหาน้องสี่โดยสะดวกกลางวันเด็กชายทั้งสามทำกิจกรรมสร้างรอยยิ้มร่วมกับผู้อาวุโสอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย บรรยากาศรอบกายคล้ายสายลมวสันต์โชยกลิ่นเปี่ยมสุขก่อเกิดความอบอุ่นในแบบที่ไม่เคยมี กลางคืนยังจับมือพาประคองทั้งสองเข้านอนแล้วปรนนิบัติห่มผ้าให้ท่านปู่ท่านย่าได้อยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกันอย่างเอาใจใส่กระทั่งคืนหนึ่ง มีสาวใช้ต้
เนื่องจากในเรือนจวนหยางมีบ่าวไพร่มากมายเกินไป จึงส่งผลให้ทำอะไรตามใจตนเองมิได้มากเท่าใดสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งต่อให้หน้าหนาแค่ไหนก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อแรงอารมณ์ยามปลดปล่อยใส่กันและกันด้วยความรักเปี่ยมล้นแม่ทัพหนุ่มจึงพาฮูหยินของตนท่องหล้าเพียงลำพัง มิให้บ่าวรับใช้ติดตามเอิกเกริก เพียงคนสนิทอย่างจิ้นเหอและจิ่นซินเท่านั้นที่ได้รับสิทธิ์ให้อยู่ข้างกายจิ้นเหอและจิ่นซินจึงมีหน้าที่คือช่วยกันเป็นหูเป็นตาให้เจ้านายได้มีเวลาอยู่ด้วยกันมิให้ใครรบกวนเพราะต้องการเอาอกเอาใจภรรยา หยางเจี้ยนจึงพาหมิงเยว่ปลอมตัวเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา เพื่อพากันไปหาสถานที่บอกรักแบบส่วนตัว เป้าหมายคือทายาทคนที่สี่ โดยได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการจากบิดาและมารดาเช่นนั้นยามนี้บุตรชายทั้งสามคนของหยางเจี้ยนและหมิงเยว่จึงกำลังวิ่งเล่นซุกซนยกยิ้มร่าเริงอยู่รอบกายของฟางเหนียงความน่ารักน่าชังของหลานชายตัวน้อยทำเอาความเงียบเหงาจนความรู้สึกเกิดเป็นหลุมเว้าแหว่งที่ถูกซุกซ่อนในส่วนลึกของจิตใจของผู้เป็นย่าได้รับการเติมเต็มจนล้นปรี่“ท่านย่า...”เส้นเสียงเจื้อยแจ้วของหลานชายทั้งสามแข่งขันกันส่งมาให้ไม่ขาดสาย“ข้าจะร่ายรำกระบี
หมิงเยว่ไม่มีโอกาสได้ตอบว่าไหวหรือไม่ เนื่องจากถูกหยางเจี้ยนเคี่ยวกรำตั้งแต่คืนแรกแบบนับรอบไม่ถ้วน ทุกคืนหลังจากนั้นยังต้องนอนระทดระทวยสิ้นไร้เรี่ยวแรงแทบสลบไสลคาอกแกร่งคืนนี้ก็เช่นกัน สองกายเปล่าเปลือยซ้อนทับในท่วงท่าคล้ายคลึงงูเลื้อยพันกันอยู่บนเตียงนอนเสียงพร่ากระซิบชิดริมหู “ต่อเลยได้หรือไม่? หืม”หยางเจี้ยนถามไปเช่นนั้นเอง เพราะยังไม่ทันได้รับคำตอบซึ่งเป็นสุ้มเสียงอันแหบแห้งจากหมิงเยว่ ริมฝีปากร้อนๆ ก็แนบหน้าผากชื้นเหงื่อของนาง ขบเม้มเบาๆ ลงมาที่ข้างแก้มก่อนจะจรดริมฝีปากอิ่มแล้วจุมพิตลึกซึ้งเนิ่นนานปลายลิ้นร้อนชื้นที่สอดแทรกเข้ามาไล้เลียชิมความหวานในโพรงปากอิ่มถูกกระทำพร้อมฝ่ามือซุกซนที่ลูบไล้เคล้นคลึง ตามด้วยร่างหนาที่พลิกคร่อมทับเป็นรอบที่เท่าใดมิอาจนับ“หยางเจี้ยน...”“หืม...”หมิงเยว่เรียกนามสามีทันทีเมื่อริมฝีปากได้รับอิสระ “ใกล้สว่างแล้วกระมัง”“ใครสนเล่า?”ชายหนุ่มเอ่ยเสียงทุ้มพร่าอย่างเอาแต่ใจพลางเคลื่อนใบหน้าลงต่ำ พ่นลมหายใจกระเส่าที่เริ่มร้อนเร่าตามระดับแรงอารมณ์รอบใหม่ ริมฝีปากขบเม้มลำคอระหงเรื่อยลงไปอย่างที่ชอบทำทุกครั้งเนิ่นนาน หมิงเยว่ได้แต่เสียวซ่านจนต้องส่งเสี
หลังจากคลอดบุตรชายคนที่สามได้สองปีกว่าสตรีที่ประกาศก้องว่าจะไม่ยอมให้สามีรังแกอีก กำลังนั่งเท้าคางมองบุรุษสี่คนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายกันอย่างเบื่อหน่าย ในขณะที่แม่ทัพหนุ่มยามนี้กำลังสอนบุตรชายทั้งสามคนฝึกร่ายรำกระบี่ด้วยท่าทีเคร่งครัด ทว่าแววตากลับเปี่ยมสุขอย่างยิ่ง แขนขาเล็กๆ ของเด็กๆ น่ารักน่าชังทรงพลังอย่างมากหยางจวิน หยางจินอวี่ และน้องเล็กหยางจื่อถง เด็กชายทั้งสามคนเหมือนหยางเจี้ยนเกินไปแล้วมิใช่เหมือนแค่หน้าตาแต่ยังเหมือนไปหมดทั้งท่วงท่ากิริยาและนิสัยใจคอ โดยเฉพาะแววตาสุขุมลึกล้ำคู่นั้นหมิงเยว่ให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินดังนั้น ยามค่ำคืนในวันที่สามีสะสางงานจากค่ายทหารเสร็จสิ้นแล้วได้กลับจวน นางจึงบรรจงแต่งกายประณีตด้วยเสื้อผ้าบางเบาโปร่งใส เผยเนินเนื้ออวบอิ่มรำไร ชวนหวามไหวเต็มขั้น ส่วนเว้าส่วนโค้งดุจดั่งลายเส้นของภาพวาดปานนั้นหญิงสาวนั่งเหยียดขาแอ่นกายด้วยท่วงท่ากรีดกรายคล้ายนางสวรรค์อยู่บนเตียงนอน“หยางเจี้ยน”“หืม...”เจ้าของนามครางรับในลำคอโดยไม่หันมอง เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอีกฝั่งจิบชาอึกหนึ่งเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้าควรปักผ้า มิใช่เอาแต่นั่งมองบุรุษ”หมิงเยว่แค่นเสียงฮึ “
วันเวลาล่วงพ้น ผ่านทิวาที่แปรผันเป็นราตรี อนธการย่ำกรายค่ำแล้วค่ำเล่า หากแต่ชื่นมื่นมิเสื่อมคลายภายในห้องหับมิดชิด กลิ่นอายร้อนผ่าวแผ่ซ่านทั่วตัว หญิงสาวผู้หนึ่งนอนทอดกายอ่อนระทวยบนเตียงนอน ทว่าครู่หนึ่งพลันขมวดเกร็งทุกอณูผิวเนื้อ“หยางเจี้ยน อา...อ๊า” หมิงเยว่ครวญครางสั่นพร่า “ข้าเกลียดท่าน”“...!?”เสียงนั้นดังเล็ดลอดแค่ผะแผ่วออกมาถึงนอกห้อง ทว่ากลับทำเอาบุรุษที่ยืนนิ่งหน้าประตูต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า ไม่พูดจาเนิ่นนาน เขาคือผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเกลียดนั่นล่ะเสียงจากในห้องดังแหบห้วนออกมาอีกครา“ท่านรังแกข้า เพราะท่านข้าถึงต้องทรมานเช่นนี้”“ฮูหยินน้อย เบ่งอีกเจ้าค่ะ”“ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว”“ฮูหยิน อดทนไว้เจ้าค่ะ”“ข้าไม่ไหวแล้ว อ๊า...” หมิงเยว่ร้องลั่น “หยางเจี้ยน ข้าจะไม่ยอมท่านอีกแล้ว อย่าฝันว่าข้าจะมีลูกให้ท่านอีก”“ฮูหยิน เบ่งอีก”“อ๊า...ข้าเกลียดท่าน หยางเจี้ยน!”นอกห้อง บุรุษร่างสูงยืนนิ่งไม่ไหวติง แม้ถูกต่อว่าส่งคำเกลียดมาให้ หากแต่เรือนกายอันโดดเด่นกลับไร้วี่แววว่าจะขยับเขยื้อนไปทางใด ในอ้อมแขนของเขามีเด็กชายน่ารักวัยสามขวบเกาะหนึบอยู่ ชั่วครู่เด็กน้อยก็ขยับกายขยุกขยิกเกยบ่ากว้า
มิคาดว่าหลังจากได้ล่วงรู้ความจริงทั้งหมดเช่นนี้ หัวใจของหมิงเยว่กลับยิ่งหวานล้ำดุจเคลือบด้วยน้ำผึ้งในขณะที่หยางเจี้ยนนั้น เดิมทีรักใคร่หมิงเยว่อยู่แล้วกลับยิ่งเอ็นดูและทะนุถนอม ทั้งยังห่วงหานางอย่างที่สุด แม้แต่ยามจากไปเพื่อสะสางงานที่คั่งค้างในดินแดนห่างไกล ยังแอบปลอมตัวกลับมาหาภรรยาทุกสองเดือนสามเดือน กระทั่งครรภ์ของหมิงเยว่โตมากแล้วยังได้หยางเจี้ยนมาคอยลูบไล้แนบหูฟังเสียงลูกน้อย กล่อมจนทารกหยุดดิ้นชายหนุ่มประคองหญิงสาวให้นอนลงแล้วห่มผ้า “ดึกแล้ว เจ้านอนเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับมาให้ทันเจ้าคลอด ชนะศึกครั้งนี้ข้าจะได้กลับมาประจำเมืองหลวง”หมิงเยว่ยิ้มกว้าง “จริงหรือ?”หยางเจี้ยนก้มลงจุมพิตกลีบปากฉ่ำหวาน คลอเคลียเนิ่นนาน “ข้ารักเจ้าถึงเพียงนี้ ทำใจจากไปได้ยากเย็นจริงๆ แต่เจ้าอย่าได้ห่วง ข้ามีภารกิจผลิตทายาทอีกหลายคน หน้าที่ย่อมตกเป็นของเจ้า อย่างไรก็ต้องหาทางมาบอกรัก”น่าเสียดายที่ภรรยากำลังตั้งครรภ์ การบอกรักกันอย่างที่ชื่นชอบย่อมมิอาจกระทำได้ดังใจ หยางเจี้ยนจึงก้มงับติ่งหูนางอย่างดุดัน หยอกเย้าด้วยปลายจมูกโด่งสันไปทั่วลำคอขาวผ่อง ปล่อยกระแสไฟแล่นพล่านไปทั่วอณูเนื้อกายความร้อนผ่าวเ
ซิงเยว่ตบบ่าของหมิงเยว่อย่างต้องการเรียกคืนสติ “หรือพี่ใหญ่คิดว่าตนเองไม่เหมาะสมกับเขา จะกลับไปเป็นนายหญิงใหญ่ที่อาณาจักรแดนใต้ก็ได้นะ แค่ตัดสัมพันธ์สะบั้นบุพเพให้ไร้วาสนาต่อกันซะ” ท้ายที่สุดหมิงเยว่พลันได้สติ นางยกมือกุมหน้าท้อง ลูบไล้แผ่วเบาอย่างทะนุถนอม “ข้ากลับไปไม่ได้แล้วล่ะ ว่ากันตามตรง นิสัยของข้าออกจะมุทะลุและซุกซนเกินไป ไม่เหมาะเลยสักนิดกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ทว่าเพราะเป็นทายาทคนแรก เป็นพี่ใหญ่ของเจ้า ท่านตาจึงบังคับพี่ทุกทาง แต่ซิงเยว่ เจ้ารู้ดีว่านิสัยของเจ้าต่างหากที่เหมาะกับตำแหน่งหัวหน้าค่ายจันทราแดง ต่อไปเจ้าก็เลิกเป็นโจรเถอะ ทำอาชีพสุจริตหากินอย่างเที่ยงธรรม เพื่อข้า เพื่อหลาน และเพื่อตัวเจ้าเอง ตกลงไหม?”ซิงเยว่เบิกตา “พี่ใหญ่...ท่านตั้งครรภ์หรือ?”กิริยาของหมิงเยว่ล้วนชัดเจนถึงคำตอบ นางคลี่ยิ้ม ลูบหน้าท้อง ผ่อนลมหายใจ พยักหน้าอย่างเขินอายที่สุด “อายุครรภ์ได้สองเดือน อีกไม่นานเจ้าก็จะมีหลานมาวิ่งเล่นใกล้ๆ เรียกเจ้าว่าท่านน้าซิงคนงาม...”ซิงเยว่คลี่ยิ้มกว้าง เอื้อมมือลูบหน้าท้องพี่สาวบรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอายรักใคร่บรรยากาศในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นอาย