จงกุ้ยเดิมทีเคยทำงาน ตำแหน่งพ่อบ้านใหญ่มาก่อน ส่วนหลูเพ่ยเคยเป็นแม่นมภรรยาเอกของเจ้านาย ดังนั้นเรื่องการดูแลสตรีตั้งครรภ์จึงไม่ใช่เรื่องยาก
หลี่เมิ่งเหยาเคยถามถึงลูก ๆ ของทั้งคู่ จึงได้คำตอบว่ามีบุตรสาวเพียงหนึ่งคน แต่งงานออกเรือนไปอยู่กับสามี ที่เมืองติดชายทะเล
ยามอยู่ในเรือนพ่อค้าทาส พวกเขาไม่กล้าเขียนจดหมายไปบอกบุตรสาว เพราะเกรงว่านางจะเป็นห่วง ยามนี้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่งแล้ว จึงสามารถเขียนจดหมาย ไปเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้นางรับรู้ได้
หลี่เมิ่งเหยารู้ว่าจงกุ้ยมีวรยุทธ์ จึงให้เขาชี้แนะเรื่องที่นางไม่ค่อยเข้าใจ ในตำราของเรือนโลกันตร์ ซึ่งเขาก็ช่วยเหลือนางได้เป็นอย่างดี
เฉาซูหลิ่งหอบท้องโตในช่วงแปดเดือน ออกมานั่งมองบุตรสาวฝึกฝนวิชาศิลปะการต่อสู้ ใบหน้าของนางไม่ค่อยพึงพอใจเท่าใดนัก
“ข้าอยากให้นางเก็บเนื้อเก็บตัว เป็นคุณหนูอยู่ในเรือนเหมือนผู้อื่น ท่านดูสินางทำเป็นที่ไหนกัน”
ป้าหลูได้ยินแล้วยิ้มบาง ๆ บนหน้า การได้มาดูแลสองแม่ลูกคู่นี้ นับว่าเป็นบุญวาสนาของนางแล้ว
“ฮูหยินเจ้าคะ ข้าได้ยินคุณหนูเอ่ยว่านางอยากเก่ง วันข้างหน้าจะได้ปกป้องฮูหยิน กับน้องที่กำลังจะเกิดมาได้เจ้าค่ะ”
“นางเอ่ยเช่นนั้นรึ”
เฉาซูหลิ่งคาดไม่ถึงในเรื่องนี้ เดิมทีคิดว่าการมาอยู่ที่นี่ จะลำบากจนทนไม่ได้ แต่ตรงกันข้ามบุตรสาวของนาง สามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้น จนมารดาอย่างนางต้องละอายใจ
“เจ้าค่ะ ท่านอย่าห่วงไปเลย สามีข้าก่อนหน้าเป็นพ่อบ้านก็จริง แต่อดีตเขาเคยเป็นหัวหน้าโรงฝึกมาก่อน สามารถสั่งสอนคุณหนูได้ นับว่าเป็นความโชคดีของเขาแล้ว”
“ข้าเองก็ต้องขอบคุณป้าหลูมาก หากไม่มีท่านคอยดูแลข้ากับเหยาเอ๋อร์ ป่านนี้ไม่รู้เราสองแม่ลูก สามารถใช้ชีวิตได้เรียบง่ายเช่นนี้หรือไม่”
เฉาซูหลิ่งหันไปมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยน ได้สองคนนี้มาอยู่ในเรือน ช่วยเบาแรงพวกนางสองแม่ลูกไปไม่น้อย
“เป็นโชคชะตาและวาสนา ของข้ากับสามีมากกว่าเจ้าค่ะ” หากวันนั้นหลี่เมิ่งเหยาไม่เดินไปชี้ตัวเขาสองคน ชีวิตคงได้แต่นั่งมองผู้อื่น ถูกซื้อออกไปในแต่ละวัน ไหนเลยจะมาถึงคราวของพวกเขา
ด้านลานการฝึกฝน ลุงจงนิ่วหน้าอย่างแปลกใจ หลังเห็นว่าหลี่เมิ่งเหยา มีพลังลมปราณที่แปลกประหลาด เขาไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
“คุณหนูขอรับ ท่านไปฝึกพลังลมปราณเหล่านี้มาจากไหนหรือ”
“ข้าฝึกในความฝัน”
“อะไรนะขอรับ”
“ความฝันไงเล่าลุงจง”
หลี่เมิ่งเหยาลอบสังเกตสีหน้าปั้นยากของเขา ก่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ “ล้อเล่นเจ้าค่ะ ข้าฝึกตามตำรา ที่พบเจอมาก่อน ทำไมหรือ ไม่ดีหรืออย่างไร”
“ไม่ใช่ขอรับ แต่พลังลมปราณแบบนี้ คนส่วนใหญ่ต้องฝึกฝนกัน นับสิบปีเลยนะขอรับ”
โอ๊ะโอ ข้าฝึกเดือนสองเดือน ก็หมุนเวียนพลังได้แล้ว
“ข้ามีแต่พลังลมปราณนี่แหละที่ฝึกฝนได้ดี แต่ฝีมือการต่อสู้ยังอ่อนด้อยนัก ต้องอาศัยลุงจงช่วยสั่งสอนให้อีกเยอะเลย”
นี่เป็นความจริงที่นางต้องการครูสอนวรยุทธ์ ก่อนหน้านางออกหมัดในความฝัน ยังกะต่อยลมต่อยฝนก็ไม่ปาน พอได้ลุงจงช่วยสอนท่วงท่าที่ถูกต้องให้ ฝีมือของนางรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
“คุณหนูอายุยังน้อย ค่อย ๆ ฝึกไปขอรับ”
“อืม”
หลังรู้ว่าลุงจงเคยเป็นพ่อบ้าน ดูแลกิจการของตระกูลเจ้านายมาก่อน หลี่เมิ่งเหยาจึงมอบหมายให้เขา ออกไปมองหากิจการร้านค้าในเมืองฉาง ให้เลือกมาสักร้านสองร้านลองทำดูก่อน
ลุงจงได้ยินก็ตกใจ “เกรงว่าคุณหนูจะไม่รู้ ทำร้านค้าต้องมีเงินสำรองอยู่ไม่น้อย”
“ข้ารู้แล้ว ข้ามีสำรองไว้อยู่ อ้อ ท่านอย่าไปบอกท่านแม่ล่ะ นางไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้ เอาไว้กิจการไปได้ดีข้าค่อยบอกนางเอง”
“ได้ขอรับคุณหนู” ลุงจงตอบรับแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร คุณหนูของเขาจะมีเงินมากมาย พอทำกิจการค้าขายได้จริงหรือ
แต่พอถึงเวลาเข้าจริง ๆ ร้านค้าที่ลุงจงแนะนำมานั้น หลี่เมิ่งเหยาไม่พอใจเลยสักร้าน นางรู้สึกว่ามันยุ่งยากจนเกินไป
ในที่สุดก็เลือกที่จะซื้อเรือน เพื่อปล่อยให้คนเช่า นางให้ลุงจงกว้านซื้อเรือนที่อยู่ติด ๆ กัน จากนั้นก็ทำการปรับปรุงให้สวยงาม โดยเน้นการออกแบบให้ทันสมัย แลดูแตกต่างทว่ากลมกลืนไปกับเมืองฉางได้ด้วย
ที่เหลือก็แค่รอรับค่าเช่าในแต่ละเดือนไป หากคำนวณไม่ผิดสามสี่ปีนางก็ได้ทุนคืนแล้ว หลังจากนั้นถือว่าเป็นกำไร
เมื่อฝึกฝนวรยุทธ์จนชำนาญแล้ว คราวนี้หลี่เมิ่งเหยาจึงหันมาให้ความสำคัญกับโอสถในเรือน ยามนี้นางสามารถควบคุม การเข้าออกเรือนโลกันตร์ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอให้ฝันเท่านั้น นับเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
เพียงแค่หมุนเวียนพลังลมปราณให้กลมกลืน เป็นหนึ่งเดียวกับกำไลหยกโลกันตร์ นางก็สามารถเดินทางเข้าออกเรือนโลกันตร์ได้อย่างใจนึก
เมื่อจิตใจเจ้าหลอมรวมเป็นหนึ่ง กับกำไลหยกโลกันตร์ได้ ภายภาคหน้าย่อมสุขสบายอย่างไร้ทุกข์
เป็นเช่นนี้นี่เอง นางเพิ่งเข้าใจ
วันเวลาผ่านไปช่างเร็วนัก เช้าของวันนี้เฉาซูหลิ่งปวดท้องพร้อมคลอดเสียแล้ว ลุงจงรีบนำรถม้าไปรับตัวหมอตำแย ที่เคยตกลงกันไว้
หลี่เมิ่งเหยาไม่ถือเรื่องเด็กหรือสตรี อยู่ในห้องทำคลอดด้วย แม้หมอตำแยจะไล่นางออกจากห้องทำคลอด นางก็ไม่ไป ตั้งใจอยู่เป็นกำลังใจให้มารดา ข้างเตียงทำคลอด
ราวครึ่งชั่วยามทารกตัวจ้ำม่ำ ก็คลอดออกมาพร้อมส่งเสียงร้องไห้ดังลั่นจ้า ตามมาด้วยรอยยิ้มอย่างโล่งอก ของทุกคนในห้องคลอด
“ฮูหยินเป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ”
หมอตำแยทำความสะอาดทารก นำไปมอบให้ผู้เป็นมารดาได้เห็นใบหน้าอมชมพูของเขา
“ได้ลูกชายจริงด้วย”
เฉาซูหลิ่งคลายรอยยิ้มออก แต่พอคิดว่าตนคลอดบุตรชายทั้งที แต่สามีกลับไม่รับรู้การมีอยู่ของเขา น้ำตาของนางไหลเอ่อนองหน้า
“ส่งน้องมาให้ข้าเถอะ ท่านป้าหมอตำแยทำความสะอาดท่านแม่ไปก่อน ข้าจะพาน้องไปอยู่อีกห้อง”
หลี่เมิ่งเหยาไม่อยากให้มารดาคิดมาก จึงอุ้มน้องชายไปยังห้องด้านข้าง ซึ่งป้าหลูเตรียมไว้สำหรับห้องเด็ก
เดิมทีต้องซื้อแม่นมมาไว้ แต่หลี่เมิ่งเหยาค้านเสียงแข็ง นางให้เหตุผลท่านหมอที่โรงหมอบอกไว้ นมมารดาดีที่สุดทำให้ทารกสุขภาพแข็งแรง พวกเขาจึงไม่พูดถึงเรื่องซื้อแม่นมอีกเลย
“ดูคุณหนูอุ้มเด็กเป็นนะเจ้าคะ”
ป้าหลูมองท่าทางคล่องแคล่วของนางอย่างไม่เข้าใจ ก่อนหน้านางแปลกใจตั้งแต่เปลเด็กเล็ก ที่หลี่เมิ่งเหยาออกแบบได้อย่างแปลกตา การตกแต่งห้องนอนเด็กก็แสนน่ารักน่าชัง ดูไม่เหมือนเด็กสาวในวัยยังไม่ปักปิ่นเลยจริง ๆ
หลี่เมิ่งเหยาไม่ได้ตอบนาง เพื่อนของนางมีลูกตอนเรียนจบมหาลัย นางจึงได้อุ้มหลานตั้งแต่ยามนั้น พออุ้มบ่อยครั้งเข้าก็ชินมือไปเอง เพียงเอ่ยออกไปสั้น ๆ
“ลำบากป้าหลูแล้ว”
“ลำบากอันใดเจ้าคะ ในเรือนมีเด็กเล็กทำให้คนแก่อย่างข้ามีความสุขเสียอีก”
การได้เลี้ยงเด็กสักคนในวัยเช่นนาง เป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดฝันมาก่อนจริง ๆ “ว่าแต่ฮูหยินตั้งชื่อ ไว้ให้คุณชายน้อยหรือยังเจ้าคะ”
หลี่เมิ่งเหยาแค่นขำออกมาหนึ่งคำ ก่อนเอ่ย “น่าจะยังไม่ได้ตั้ง”
พูดถึงเรื่องชื่อเฉาซูหลิ่งไม่ได้ตั้งไว้ก่อนหน้าจริง ๆ นางบอกบุตรสาวไปว่าตัวเองไร้ความรู้ ตัวอักษรก็เขียนไม่เป็น จะมีปัญญาไปตั้งชื่อให้บุตรชายได้อย่างไร หลี่เมิ่งเหยาจึงเป็นคนตั้งให้ด้วยตัวเอง
นางใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยออกมา “ให้เขาชื่อหลี่ชงหยวนก็แล้วกัน จะได้ฉลาด ๆ หน่อย” ท้ายคำพูดปรายตามองมารดาเบา ๆ
“หลี่ชงหยวน อืม ไม่เลวจริง ๆ เสี่ยวหยวนน้อยของแม่” เฉาซูหลิ่งค่อนข้างพึงพอใจต่อชื่อนี้
“ท่านแม่ข้าว่าท่านต้องให้นมน้องแล้วล่ะ ดูท่าคงหิวแล้ว”
เฉาซูหลิ่งตกตะลึงเล็กน้อยรีบเอ่ย “ข้าเคยให้นมลูกที่ไหนกัน”
“นี่ท่านเลี้ยงข้ามาด้วยนมผู้อื่นหรอกรึ” แม้จะเข้าใจแต่ว่าหลี่เมิ่งเหยากลับรู้สึกแปลก ๆ อยู่ไม่น้อย
“ตอนเจ้าเกิดท่านย่าของเจ้า ได้ซื้อแม่นมมาเลี้ยงเจ้า พอเจ้าได้สามขวบ นางมาขอไถ่ตัวกลับบ้านเกิดไป ตอนนั้นเจ้ายังเล็กคงจำความไม่ได้”
หลี่เมิ่งเหยาถอนลมหายใจเบา ๆ หันไปทางหมอตำแย
“ท่านป้าหมอตำแย วานท่านช่วยสอนท่านแม่ข้า ให้นมน้องได้หรือไม่”
หมอตำแยยิ้มอย่างเอ็นดูนาง “ย่อมได้อยู่แล้ว” จากนั้นนางก็เข้าไปหาคนบนเตียง พร้อมกับจัดท่าทางการอุ้มเด็ก และสอนวิธีให้นมบุตร
หลี่เมิ่งเหยา “ข้าได้ยินมาว่า หากเด็กไม่ดูดนมให้ใช้นิ้วก้อยเขี่ยมุมปากเขาเบา ๆ”
ผู้ใหญ่ทั้งสามคนภายในห้อง หันไปมองนางเป็นสายตาเดียวกัน
“ข้าพูดสิ่งใดผิดรึ”
หมอตำแยยิ้มเจื่อน ๆ “ไม่ผิดเจ้าค่ะ เป็นอย่างที่คุณหนูเอ่ยมาจริง ๆ”
แต่ที่ผิดคือเด็กสาวเช่นท่านเหตุใดถึงรอบรู้นักนะ หมอตำแยเอ่ยกำชับเรื่องการดูแลร่างกาย และสอนวิธีการอยู่เดือนให้พวกเขาได้รู้ จากนั้นจึงได้ขอตัวกลับ ลุงจงเป็นคนขับรถม้าไปส่งนางถึงเรือน
หลังจากหลี่ชงหยวนเกิดมา ทุกคนภายในบ้านต่างรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะการเลี้ยงดูเด็กทารกคนหนึ่ง ต้องทำให้ร่างกายตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
และช่วงหลายปีต่อมา กิจการให้เช่าเรือนของหลี่เมิ่งเหยา เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ โดยมีลุงจงเป็นคนดูแลทั้งหมด นางแทบไม่ต้องได้ทำอันใดเลย
ส่วนทางป้าหลูได้ดูแลมารดา กับน้องชายของนางเป็นอย่างดี การซื้อพวกเขามาจากนายหน้า นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว
ระหว่างนี้หลี่เมิ่งเหยาได้ฝึกฝนความรู้ ที่อยู่ในเรือนโลกันตร์ นางอ่านตำราในเรือนโอสถ แทบหมดทุกเล่มแล้ว ได้ทดลองปรุงยาด้วยตัวเอง และตอนนี้นางสามารถปรุงยาออกมาใช้เองได้ด้วย
ส่วนวรยุทธ์แน่นอนว่าล้ำหน้ากว่าอาจารย์ อย่างลุงจงไปไกลนัก เพราะนางแอบฝึกฝนอยู่ที่เรือนโลกันตร์ตลอดเวลา สถานที่แห่งนั้น เหมือนมีพลังหมุนเวียนล้ำค่า ทำให้ร่างกายซึมซับ พลังงานที่ดีของที่นั่นไปด้วย
เมื่อนางอายุสิบเจ็ดปี ก็บรรลุเกือบทุกความรู้ ที่อยู่ในเรือนโลกันตร์ กลายเป็นเศรษฐีน้อย ๆ ของเมืองฉางไป เพราะกิจการกว้านซื้อเรือนให้เช่า ส่งผลกำไรอย่างมหาศาล
อีกทั้งยังแอบนำทองคำ ไปแลกเปลี่ยนเป็นตั๋วเงินมาอีกด้วย สรุปแล้วนางใช้เท่าไรก็คงไม่มีวันหมด เพียงแต่นางจะร่ำรวยขึ้น โดยไม่มีที่มาที่ไปไม่ได้ จึงทำตัวให้เหมือนเดิมทุกประการ
แต่เรื่องโอสถล้ำค่าที่นางครอบครองอยู่นั้น ล้วนแต่เป็นของหายากทั้งสิ้น เพราะบรรดาสมุนไพรที่ใช้ทำยา ล้วนอยู่ในสถานที่บนกำไลหยกโลกันตร์ นางมาเข้าใจภายหลัง ป่าดงพงไพรรกร้าง ที่อยู่บนกำไลหยก ล้วนแต่เป็นแหล่งของยาสมุนไพรหายากทั้งนั้น
กว่าจะเข้าใจได้ ก็ใช้เวลาไปหลายปีอยู่เหมือนกัน แต่นางไม่อยากเปิดหอโอสถ ยาพวกนี้ไม่สามารถจำหน่ายในราคาถูกได้ เพราะตัวสมุนไพรที่ใช้ทำยานั้นหาได้ยากยิ่งนัก
นางไม่อาจบอกเรื่องโอสถล้ำค่าแก่คนในเรือนได้ เรื่องกำไลหยกโลกันตร์ต้องเป็นความลับ ที่มีเพียงนางคนเดียวที่รู้ ไม่เช่นนั้นความยุ่งยากจะตามมาภายหลัง
จึงแอบนำยาที่ปรุงไว้ออกมาติดต่อซื้อขาย กับเถ้าแก่ของหอโอสถใหญ่ ประจำเมืองฉางอย่างเงียบ ๆ
7 : พี่หญิงใหญ่บ้านข้าง ๆ เรามีคนกลับมาอยู่แล้วนะ ยามนำโอสถล้ำค่าไปขายที่หอโอสถ นางจะสวมหมวกตาข่ายปิดหน้าตาเอาไว้ และตั้งกฎกับเถ้าแก่ของหอโอสถไว้ ห้ามถามไถ่ถึงตัวตนของนางเด็ดขาด มิเช่นนั้นนางจะยุติการซื้อขายนี้ลง ตอนแรกเถ้าแก่หอโอสถไม่เชื่อนาง เกรงว่าจะเป็นพวกมาตุ้มตุ๋นหลอกลวง แต่พอได้เห็นยาที่นางนำออกมาให้ดู เขาถึงกับหัวใจแทบหยุดเต้น “นี่มันยาอะไร เหตุใดถึงมีกลิ่นหอมสดชื่นเช่นนี้ สีสันก็สวยงามเหมือนลูกกวาดก็ไม่ปาน” จางฉวนเปิดหอโอสถแห่งนี้มาร่วมสามสิบปี นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอ เม็ดยาที่กลิ่นหอมละมุนกลมกล่อมเช่นนี้ รีบเก็บใส่ขวดกระเบื้องเคลือบตามเดิม “นี่เรียกว่ายาลู่เฟิน” เพราะสีเหมือนหยก รสชาติหอมหวานสดชื่น นางเลยเลือกใช้ชื่อนี้ ในเรือนโลกันตร์ไม่มีชื่อยา เขียนไว้เพียงสรรพคุณเท่านั้น นางจึงต้องลำบากคิดค้นชื่อให้พวกมัน “ยาเม็ดนี้เอาไว้ยื้อลมหายใจสุดท้ายของคนป่วย หากใครหมดลมไปไม่เกินสองเฟิน(สองนาที) เมื่อป้อนยาเม็ดนี้เข้าไป จะทำให้กลับมาหายใจได้อีกครั้ง ยานี้ทำมาจากสมุนไพรล้ำค่า ราคาของมันจึงค่อนข
8 : เจ้าจะเอ่ยออกมาทำไม ขายหน้าชะมัด ทันใดนั้นสายตานางมองไปเห็นบุรุษผู้หนึ่ง สายตาของเขาเหมือนจะมองมาทางนี้ จึงรีบทิ้งตัวลงมาจากต้นไม้ คนผู้นั้นสายตากว้างไกล เกรงว่าวรยุทธ์สูงส่งอยู่ไม่น้อย หน้าตาคุ้น ๆ แต่นางนึกไม่ออก ว่าเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน รีบเดินกลับเข้าห้องนอนของตัวเองไป ซ่งหลินต๋ารู้สึกเหมือนมีสายตา ของใครบางคนจ้องมองอยู่ ครั้นมองกลับไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ผู้ใดมาสอดส่องเรือนคุณชายของเขา ก่อนฉุกคิดขึ้นมาได้ ที่ดินตรอกหนิงอัน เป็นของหยวนเหวินเซียวทั้งหมด ยกเว้นเรือนที่อยู่ด้านข้าง คงคิดมากไปเอง เรือนนั้นน่าจะมีเพียง เด็กและสตรีอาศัยอยู่ ภายในห้องนอนของหยวนเหวินเซียว ยามนี้เขามีผ้าสีขาวผูกปิดดวงตาเอาไว้ เนื่องจากได้รับพิษร้าย จนทำให้ดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิท หม่าหลิงเฟยมารดาของเขา กำลังจัดแจงให้บุตรชายขึ้นนอนพักผ่อนบนเตียง “เป็นเพราะข้าทำให้ท่านแม่ต้องพลอยลำบากไปด้วย” เพราะดวงตามองไม่เห็น ทำให้คนในตระกูลนึกรังเกียจ อีกทั้งเขายังเป็นเพียงบุตรชายของฮูหยินรอง ซึ่งบิดาไม่ได้โปรดปรานแม้แต่น้อย “ลำบากอ
9 : ยึดทรัพย์ตระกูลหลี่พอได้อยู่เพียงลำพัง หยวนเหวินเซียวอดนึกถึงเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยเสี่ยวหยวนไม่ได้ ทำให้หัวใจอันมืดมนของเขาพลันสดชื่นขึ้นมา ย้อนเหตุการณ์ไปยามที่ได้พูดคุย กับเสี่ยวหยวนตัวน้อยนั่น “พี่ชายเหตุใดมีผ้าคาดตาด้วยเล่า” เขาสัมผัสได้ถึงฝ่ามือน้อย ๆ จับตรงต้นขาของเขา ท่าทางคงเขย่งเท้าขึ้นอีกด้วย “ข้ามองไม่เห็น” “อ่อ ที่นั่นมืดมากไหม” “ก็เหมือนตอนเจ้าปิดไฟนอนนั่นแหละ” “ไอหยา เช่นนั้นต้องน่ากลัวแน่ ๆ” “ข้าไม่กลัว” “นี่ ๆ พี่ชายพี่หญิงใหญ่ของข้ารักษาเก่งมาก ตอนที่ข้าหกล้มนางเอายามาทาให้ วันเดียวก็หายเลย ท่านว่าข้าให้นางมารักษาท่านดีหรือไม่” เมื่อเห็นเขาเอาแต่ยิ้ม เสี่ยวหยวนน้อยเลยเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ “ทายาที่ตาท่านวันเดียวต้องหายแน่ ๆ ท่านต้องมองเห็นแน่นอน” หยวนเหวินเซียวยื่นมือไปประคอง ใบหน้ากลมนุ่มนิ่มราวเจ้าก้อนซาลาเปาน้อย จากนั้นอุ้มเขาขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตนเอง "พี่ชายท่านจะหนักเอานะ ให้ข้ายืนเองเถอะ" เด็กน้อยรีบขืนตัวออก แต่กลับถูกคนบนรถเข
10 : อยากตายก็เข้ามาสิ เสี่ยวหยวนน้อยเห็นคนวัยเดียวกันก็ใจชื้นขึ้นมา ยกมือขึ้นมาโบกส่ายเล่นกับเขา เด็กน้อยหลี่ซืออี้ยกมือโบกตอบกลับเขาด้วยความเขินอาย จี้ชิวหรงดึงมือน้อย ๆ ของบุตรชายลงแทบไม่ทัน “เจ้าคือเหยาเอ๋อร์รึ” หลี่หงซวนมองหลานสาวตนเองด้วยความประหลาดใจ เด็กน้อยขี้ขลาดขี้กลัวผู้นั้น ใช่คนตรงหน้านี้จริงหรือ “เจ้าค่ะ ข้าคือเหยาเอ๋อร์ คำนับท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อแม่ใหญ่ ท่านลุงรองท่านป้าสะใภ้รอง” นางคำนับให้เพียงผู้อาวุโสเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ทำเพียงปรายตามองนิ่ง ๆ “เหยาเอ๋อร์พวกเขาจะไล่เราออกจากเรือน” เฉาซูหลิ่งรีบฟ้องบุตรสาว “เอ๋ ไล่ออกจากเรือน แล้วคืนนี้ข้าจะนอนที่ไหนกันเล่า” เสี่ยวหยวนน้อยเงยหน้าขึ้นมอง คนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ “เด็กคนนี้คือ ?” หลี่หย่วนเจ๋อจ้องเสี่ยวหยวนตาเขม็ง เขารู้สึกเหมือนได้พลาดบางอย่างไป เสี่ยวหยวนรีบก้าวเท้าออกมาตรงหน้า “คำนับท่านลุงข้าชื่อหลี่ชงหยวนขอรับ แต่ท่านแม่กับพี่หญิงใหญ่ มักเรียกข้าว่าเสี่ยวหยวน” เจ้าก้อนซาลาเปาน
11 : อี้เอ๋อร์นี่เป็นของขวัญพบหน้าจากพี่สาว หลี่เมิ่งเหยาให้มารดาพาน้องชายกับป้าหลู เข้าไปสอบถามเรื่องเช่าเรือนกับหม่าหลิงเฟย ให้ลุงจงทำหน้าที่ขนของขึ้นรถม้าเพียงลำพัง ส่วนตัวนางเดินไปทวงหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยากับบิดา “เหลวไหล ! นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กจะมาพูดกับผู้ใหญ่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดใส่นางเสียงดังลั่น อารมณ์โกรธก่อนหน้ายังไม่จางลง กลับถูกนางทำให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้มาขอเฉย ๆ แต่ข้ามีของมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยาไม่ได้มีท่าที กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย หลี่หวงซวนรู้สึกไม่รู้จักหลานสาวผู้นี้ของตนจริง ๆ “เจ้าว่ามามีอะไรมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยากระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “พวกท่านรู้หรือไม่ยามที่ข้ากับท่านแม่ ถูกพวกท่านขับไล่ออกจากจวนมาอยู่ที่นี่ เรือนแห่งนี้มีสภาพผุพังเพียงใด แม้แต่ห้องสุขายังไม่มีด้วยซ้ำ ข้าเสียเงินซ่อมแซมไปก็มากโข กระทั่งเครื่องเรือนที่พวกท่านเห็นอยู่นี่ ก็ซื้อใหม่ทั้งหมด พวกท่านทิ้งเรือนไปเสียนาน โจรขโมยมาลักของไปจนเกลี้ยง” นางเอ่ยแล้วก็เดินไปเคาะรูปปั้
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน