พอได้อยู่เพียงลำพัง หยวนเหวินเซียวอดนึกถึงเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยเสี่ยวหยวนไม่ได้ ทำให้หัวใจอันมืดมนของเขาพลันสดชื่นขึ้นมา ย้อนเหตุการณ์ไปยามที่ได้พูดคุย กับเสี่ยวหยวนตัวน้อยนั่น
“พี่ชายเหตุใดมีผ้าคาดตาด้วยเล่า”
เขาสัมผัสได้ถึงฝ่ามือน้อย ๆ จับตรงต้นขาของเขา ท่าทางคงเขย่งเท้าขึ้นอีกด้วย
“ข้ามองไม่เห็น”
“อ่อ ที่นั่นมืดมากไหม”
“ก็เหมือนตอนเจ้าปิดไฟนอนนั่นแหละ”
“ไอหยา เช่นนั้นต้องน่ากลัวแน่ ๆ”
“ข้าไม่กลัว”
“นี่ ๆ พี่ชายพี่หญิงใหญ่ของข้ารักษาเก่งมาก ตอนที่ข้าหกล้มนางเอายามาทาให้ วันเดียวก็หายเลย ท่านว่าข้าให้นางมารักษาท่านดีหรือไม่”
เมื่อเห็นเขาเอาแต่ยิ้ม เสี่ยวหยวนน้อยเลยเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ “ทายาที่ตาท่านวันเดียวต้องหายแน่ ๆ ท่านต้องมองเห็นแน่นอน”
หยวนเหวินเซียวยื่นมือไปประคอง ใบหน้ากลมนุ่มนิ่มราวเจ้าก้อนซาลาเปาน้อย จากนั้นอุ้มเขาขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตนเอง
"พี่ชายท่านจะหนักเอานะ ให้ข้ายืนเองเถอะ" เด็กน้อยรีบขืนตัวออก แต่กลับถูกคนบนรถเข็นรวบเอาไว้ไม่ให้ขยับ
“เสี่ยวหยวนเจ้านั่งอยู่เงียบ ๆ ครู่หนึ่งได้หรือไม่”
เสี่ยวหยวนไม่เข้าใจ แต่ก็ยอมนั่งนิ่งให้อีกฝ่ายกอดเอาไว้ หยวนเหวินเซียวให้หลินซ่งต๋า เข็นรถเข็นพาเที่ยวชมรอบ ๆ เรือนไปด้วย
ตอนแรกเสี่ยวหยวนก็สนุกสนาน ชี้มือชี้ไม้บรรยายสิ่งที่ตนพบเห็นให้เขาฟัง แต่ผ่านไปสักพัก เริ่มอ้าปากหาวทีสองที จากนั้นก็เงียบเสียงลงไปในที่สุด
“คุณชายเขาหลับไปแล้วขอรับ” ซ่งหลินต๋าเกรงว่าผู้เป็นนายจะไม่รู้เลยรีบบอก
“ไม่เป็นไร เจ้าเข็นต่อไป”
เอ่ยแล้วเอนศีรษะของเด็กน้อย ให้พิงอกในท่าที่สบายที่สุด เหตุใดจิตใจที่เคยหมองหม่น กลับเบาสบายขึ้น ยามได้กอดเจ้าตัวนุ่มนิ่มคนนี้
“หลินต๋าหากข้ามีลูกจะน่ารักเหมือนเขาไหม”
ซ่งหลินต๋าหลุบตาลงต่ำ “ต้องน่ารักกว่าเขาแน่นอนขอรับ”
เอ่ยแล้วนึกหนักใจขึ้นมา คุณชายของเขากับคู่หมั้นหมายผู้นั้น จะยังสามารถแต่งงานกันได้อีกหรือ เกรงว่าจะไม่ใช่เรื่องง่ายเสียแล้ว
ไม่ผิดจากที่ซ่งหลินต๋าคิดไว้ ตระกูลคู่หมั้นหมายที่เมืองหลวง กำลังให้คนเตรียมการถอนหมั้นแล้วจริง ๆ เพียงแต่พวกเขาต้องเข้าไปเจรจาที่ตระกูลหยวนก่อน จากนั้นค่อยเดินทางมาถอนหมั้นกับคนที่เมืองฉาง เพราะหนังสือหมั้นหมายกับของหมั้น อยู่กับหม่าหลิงเฟยที่นี่
ณ เมืองถัง
กองทหารหน่วยหนึ่งกำลังเข้าจับกุมคนตระกูลหลี่ ข้อหายักยอกเสบียงที่ส่งไปยังชายแดน เมื่อเสบียงไม่เพียงพอทำให้ทหารชายแดน ไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ในสงครามที่ดุเดือด แม่ทัพจำเป็นต้องสั่งให้ถอยร่นออกมาตั้งหลักใหม่ ไม่อาจพิชิตศัตรูได้อย่างที่วางแผนกันไว้ สร้างความโกรธแค้นให้ผู้คนในค่ายทหารเป็นอย่างมาก
เมืองถังเป็นเพียงทางผ่าน ของคลังเสบียงไปยังชายแดน และผู้ที่ดูแลการขนส่งในครั้งนี้คือหลี่ปิ่งเฉิง บุตรชายคนโตของหลี่หงซวน เขาเกิดละโมบโลภมาก ร่วมมือกับสหายเก่าที่เป็นรองแม่ทัพ มีหน้าที่ดูแลในการขนส่งนำเสบียง พวกเขาร่วมมือกันลักลอบนำเสบียงออกไปขาย ยังเมืองที่มีปัญหาเรื่องขาดแคลนอาหาร โดยขึ้นราคาข้าวสาร จากปกติเป็นเท่าตัว
แม่ทัพที่ดูแลกองทัพ เห็นว่าเสบียงมีจำนวนน้อยผิดปกติ ถึงขั้นขาดแคลน จนทำให้ทหารได้รับอาหารไม่เพียงพอ จึงได้ให้คนตามสืบอย่างลับ ๆ จนพบเจอหลักฐาน และรายงานขึ้นไปยังเบื้องบน
เดิมทีตระกูลหลี่ต้องถูกสั่งประหารทั้งตระกูล เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่ขุนนางทั้งหลาย แต่ท่านโหรหลวงได้ร้องขอเอาไว้ เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ฮ่องเต้ กำลังสะสมบุญบารมี ให้งดสังหารหมู่ผู้คนไปเสียก่อน
ดังนั้นจึงได้ประหารเพียงผู้ที่กระทำความผิด หลี่หงซวนถึงกับล้มทั้งยืน ตำแหน่งเจ้าเมืองถังถูกสั่งปลด บุตรชายคนโตถูกประหารชีวิต คนทั้งตระกูลถูกยึดทรัพย์ ไม่มีผู้ใดกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือ เพราะเป็นความผิดอาญาร้ายแรง เกรงจะติดร่างแหไปด้วย
“ข้าเลี้ยงลูกไม่ดี เป็นความผิดของข้า” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้พลางทุบอกตัวเองไปด้วย
“ข้าก็ผิดเหมือนกัน เจ้าอย่าโทษตัวเองเลย”
หลี่หงซวนไม่เคยคิดมาก่อน บุตรชายคนโตที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมคนนั้น จะสิ้นคิดถึงขั้นยักยอกเสบียงของกองทัพได้
“หรือเพราะตำแหน่งเจ้าเมืองเล็ก ๆ ของข้า ไม่อาจทำให้เขาพึงพอใจ ช่างโลภมากจนทำลายคนทั้งตระกูลไปแล้ว” ชายชราเอ่ยพร้อมดวงตามองเหม่อลอยไปข้างหน้า
“กรี๊ด !” สาวใช้บ้านรองวิ่งหน้าตาตื่นออกมา
ทุกคนจึงได้รู้ว่าชุนเสี่ยวหลิน ภรรยาของหลี่ปิ่งเฉิง ได้ผูกคอตายตามสามีไปด้วย นางไม่ได้รักใคร่สามีมากเพียงนั้น แต่นางสิ้นหวังและไม่อยากมีชีวิตต่อไป เหลือไว้เพียงหลี่เยี่ยนจือบุตรสาวคนเดียวของนาง
ส่วนอนุภรรยาอีกสองคนนั้น ตระกูลหลี่ได้มอบหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาให้ พวกนางจึงพาบุตรสาวของตนเอง กลับบ้านเดิมไป
หลี่เยี่ยนจือในวัยสิบหกปี ต้องมาสูญเสียบิดามารดาพร้อมกัน อีกทั้งชีวิตต่อจากนี้ไม่มีบ่าวไพร่คอยรับใช้อีกแล้ว นางร้องไห้จนน้ำตาแห้งขอด ดวงตาบวมเป่งน่าสงสารเป็นอย่างมาก
พวกทหารปลดเครื่องประดับบนตัวของนางไปจนหมด ท่านปู่ของนางเขียนหนังสือปล่อยตัว เหล่าอนุและบ่าวไพร่ในเรือนไปจนหมด ไม่อยากให้พวกเขาต้องมาร่วมชะตากรรมไปด้วย บ้านใหญ่จึงเลือกนางเพียงคนเดียว
ยามนี้ตระกูลหลี่จึงเหลือเพียง หลี่หงซวนกับฮูหยินผู้เฒ่า บ้านใหญ่มีเพียงหลี่เยี่ยนจือเพียงผู้เดียว ส่วนบ้านรองนั้นบุตรสาวที่เคยแต่งงานออกไป ถูกทางบ้านสามีสั่งหย่าในทันที เลือกเก็บหลานชายเอาไว้แค่คนเดียว
หลี่ย่าหลินจึงต้องกลับมารวมกับคนในตระกูลหลี่ พี่ชายของนาง หลี่หลินฮ่านมีกำหนดแต่งงานเดือนหน้าที่จะถึงนี้ ทุกอย่างกลับพังทลายลงในชั่วพริบตา
บ้านสามนั้นหลี่หย่วนเจ๋ออยากหย่าขาดกับภรรยา เพื่อให้นางได้กลับบ้านเดิมไป ไม่ต้องทนลำบากกับเขาในภายภาคหน้า แต่จี้ชิวหรงไม่ยินยอม นางพร้อมที่จะฝ่าฟันอุปสรรคไปกับเขา พร้อมกับบุตรชายตัวน้อย วัยสามขวบอย่างหลี่ซืออี้
หลี่หงซวนมองดูรายการทรัพย์สินที่ถูกทางการยึดไป เขามองเห็นคนรู้จักอยู่คนหนึ่ง จึงรีบเรียกเขาไปคุยกันเงียบ ๆ
“อาเฉินข้ามีเรือนแห่งหนึ่งที่เมืองฉาง เจ้าละเว้นไม่ยึดได้หรือไม่ ไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเป็นเรือนของตระกูลหลี่ เห็นแก่ที่ข้าเคยช่วยเหลือบิดาเจ้าไว้ได้หรือไม่”
โจวเฉินทำหน้าหนักใจ เขามองโฉนดในมือก่อนยื่นให้หลี่หงซวนไป “ไปถึงที่นั่นท่านรีบเปลี่ยนชื่อเป็นของผู้อื่นเสีย ไม่เช่นนั้นจะเดือดร้อนมาถึงข้าด้วย”
“ได้ ๆ ขอบคุณเจ้ามาก” ชายชรารีบยัดโฉนดใส่อกเสื้อ
หลังจากถูกขับไล่ออกมาจากจวนเจ้าเมืองถัง หลี่หงซวนได้เช่ารถม้า ให้คนพาเดินทางไปยังเมืองฉาง คนที่หนักใจเป็นที่สุดคงไม่พ้นคนบ้านสาม
จี้ชิวหรงอุตส่าห์ลืมเลือนเรื่องนั้นไปแล้ว แต่หากต้องพบเจอกันอีกครั้ง นางจะทำใจยอมรับได้หรือไม่
หลี่หย่วนเจ๋อจับมือนางมาลูบเบา ๆ “ฮูหยินเจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่มีทางรับพวกนาง กลับเข้ามาในตระกูลอีกแน่”
“แต่เหยาเอ๋อร์นางเป็นบุตรสาวของท่านนะเจ้าคะ” จี้ชิวหรงลูบศีรษะบุตรชายตัวน้อย ที่กำลังนอนหลับอยู่ตรงอกของนาง
“ข้าไม่ได้ติดต่อพวกนางมาถึงห้าปีแล้ว ไม่ใช่ตอนนี้นางออกเรือนไปแล้วกระมัง”
“ไม่หรอก หากออกเรือนต้องมาแจ้งท่านพี่แล้ว อย่างไรก็ยังไม่ได้เขียนหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยา ท่านอย่าเข้าใจผิดว่าข้าอยากให้ท่านตัดขาดจากพวกนาง แต่ว่ายามนี้ฐานะของท่าน ไม่สามารถเลี้ยงดูพวกนางได้อย่างแน่นอน”
“เดิมทีข้าก็ไม่เคยเลี้ยงดูพวกนางอยู่แล้ว เจ้าอย่าห่วงไปเลย ข้าไม่มีทางหลงผิดแน่นอน”
จี้ชิวหรงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก นางรู้อยู่เต็มอกว่าเฉาซูหลิ่ง ไม่มีทางทำร้ายตัวเองแน่ แต่กลับไม่คิดเอ่ยปากขอร้องแทนนาง
ยามนั้นเพราะโกรธที่นางโง่ จนถูกคนหลอกใช้ ไม่อยากแม้แต่จะเห็นหน้านางอีกต่อไป แล้วยามนี้เล่าต้องมาพบเจอกัน ในสถานการณ์ยุ่งยากเช่นนี้ คิดไม่ออกว่าจะมองหน้ากันติดได้อย่างไร
สองวันต่อมา
ณ เมืองฉาง ตรอกหนิงอัน
เฉาซูหลิ่งได้เห็นหน้าสามีของตนเองเป็นครั้งแรก นับจากถูกขับไล่ออกมาจากจวนตระกูลหลี่ นางมีความคิดถึงคะนึงหาเขาเป็นอย่างมาก แต่เขากลับไม่แม้แต่จะปรายตา มามองนางด้วยซ้ำ
ได้รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลหลี่แล้ว ทำให้นางตกใจเป็นอย่างมาก แล้วผู้คนมากมายเช่นนี้ จะมาอยู่ในเรือนนี้หมดได้อย่างไร
“เหยาเอ๋อร์ไปไหนแล้วล่ะ ไม่เห็นออกมาทักทายท่านย่าเช่นข้า”
ฮูหยินผู้เฒ่าหันมองซ้ายขวา นางพยักหน้าพึงพอใจในสภาพของเรือน ที่ถูกดูแลรักษาเป็นอย่างดี ครั้นมาถึงบ่าวรับใช้ก็นำน้ำชา มาบริการให้อย่างรู้มารยาท
“นางออกไปเดินเล่นที่ตลาดเจ้าค่ะ”
เฉาซูหลิ่งไม่ได้บอกว่าตนเองมีบุตรชาย เพราะนางเห็นแล้วว่าจี้ชิวหรง ก็มีบุตรชายแล้วเหมือนกัน เสี่ยวหยวนน้อยของนาง จะไปมีความหมายอันใดกับพวกเขา
แม่นมสวีได้รับมอบหมาย ให้ไปตรวจดูบริเวณเรือนทั้งหมด เพื่อที่จะได้แบ่งแยกที่อยู่อาศัยกันได้อย่างเหมาะสม เมื่อได้ความมาแล้ว จึงนำมาบอกให้แก่หลี่หงซวนและฮูหยินผู้เฒ่า พวกเขาหารือกันโดยไม่คิดให้เฉาซูหลิ่งรับรู้ด้วย
เฉาซูหลิ่งรู้สึกว่า พวกเขากำลังจะยึดที่นี่กลับคืนไป ไหนเลยจะมีที่ให้นางได้ยืน นางกำหมัดแน่นน้ำตาคลอเบ้า มองไปทางสามีผู้ไม่เคยสนใจไยดีตัวเองกับลูกแม้แต่น้อย
และเป็นไปตามที่นางคิด เรือนหลักของนาง เป็นของหลี่หงซวนกับฮูหยินผู้เฒ่า ส่วนเรือนของหลี่เมิ่งเหยาเป็นของคนบ้านรอง เรือนอีกหลังเป็นของคนบ้านสาม ที่เรือนหลังเล็กมอบให้บุตรสาวจากบ้านใหญ่
“ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคะ เช่นนั้นข้ากับลูก ๆ และป้าหลูกับลุงจง จะไปอยู่ที่ไหนกัน”
คำถามของเฉาซูหลิ่งทำให้คนอื่น ๆ พากันหันมามองนางกันหมด เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ออกปากเอ่ยขึ้นมา
“เจ้ากับเหยาเอ๋อร์ต้องย้ายออกไปจากที่นี่” เอ่ยแล้วทำหน้าหนักใจขึ้นมา
เฉาซูหลิ่งเซไปด้านหลังในทันที ดีที่ป้าหลูช่วยประคองนางเอาไว้ ลุงจงที่อยู่ในเหตุการณ์คิ้วขมวดเข้าหากันแน่น เขาไม่เดือดร้อนใจแต่อย่างใด คุณหนูของเขามีเงินทองมากมาย จะซื้อเรือนสักหลังคงไม่ยาก แต่ว่าความสัมพันธ์เลวร้ายตรงหน้านี่สิ หากสองพี่น้องคู่นั้นกลับมาจะรู้สึกอย่างไร
“ท่านพี่เจ้าคะ ท่านจะไล่ข้ากับลูก ๆ ออกไปจริงหรือเจ้าคะ”
เฉาซูหลิ่งหันไปหาสามีของตน น้ำตาไหลอาบนองหน้าออกมา แต่เขากลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น
“ท่านแม่เอ่ยสิ่งใด เจ้าก็แค่ทำตามเป็นพอ”
ความเย็นชาที่ได้รับกลับคืนมา ทำให้หัวใจของเฉาซูหลิ่งแหลกสลายกลายเป็นผง นางเฝ้ารอเขามาตลอดห้าปีเต็ม แต่สิ่งที่ได้รับกลับคืนมา มีเพียงความเฉยชาเท่านั้น
“อนุเฉาเจ้ารีบไปเก็บของออกไปเถอะ พวกข้าเดินทางมาเหนื่อย ๆ ต้องการพักผ่อน” หลี่หวงซวนต้องเลือกคนในตระกูลหลี่มาก่อน
“ฮูหยินไปเก็บของกันเถอะเจ้าค่ะ ท่านพี่ไปตามคุณหนูกลับมาเถอะ” ป้าหลูพยุงเฉาฮูหยินพร้อมกันหันไปบอกสามีของตน
“ไม่ต้องตามข้ามาแล้ว”
เสียงของหลี่เมิ่งเหยาดังก้องกังวานขึ้น นางยืนฟังอยู่ข้างนอกตั้งนานแล้ว และเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างดี จูงมือเสี่ยวหยวนน้อยเดินเข้าไปหามารดา
เขาดูตื่นตกใจกับจำนวนคนในบ้านเล็กน้อย แต่สายตาก็มองสอดส่องไปมา ด้วยความอยากรู้อยากเห็น โดยเฉพาะเด็กชายตัวน้อย ที่อยู่ยืนอยู่ข้างบิดามารดาผู้นั้น
10 : อยากตายก็เข้ามาสิ เสี่ยวหยวนน้อยเห็นคนวัยเดียวกันก็ใจชื้นขึ้นมา ยกมือขึ้นมาโบกส่ายเล่นกับเขา เด็กน้อยหลี่ซืออี้ยกมือโบกตอบกลับเขาด้วยความเขินอาย จี้ชิวหรงดึงมือน้อย ๆ ของบุตรชายลงแทบไม่ทัน “เจ้าคือเหยาเอ๋อร์รึ” หลี่หงซวนมองหลานสาวตนเองด้วยความประหลาดใจ เด็กน้อยขี้ขลาดขี้กลัวผู้นั้น ใช่คนตรงหน้านี้จริงหรือ “เจ้าค่ะ ข้าคือเหยาเอ๋อร์ คำนับท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อแม่ใหญ่ ท่านลุงรองท่านป้าสะใภ้รอง” นางคำนับให้เพียงผู้อาวุโสเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ทำเพียงปรายตามองนิ่ง ๆ “เหยาเอ๋อร์พวกเขาจะไล่เราออกจากเรือน” เฉาซูหลิ่งรีบฟ้องบุตรสาว “เอ๋ ไล่ออกจากเรือน แล้วคืนนี้ข้าจะนอนที่ไหนกันเล่า” เสี่ยวหยวนน้อยเงยหน้าขึ้นมอง คนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ “เด็กคนนี้คือ ?” หลี่หย่วนเจ๋อจ้องเสี่ยวหยวนตาเขม็ง เขารู้สึกเหมือนได้พลาดบางอย่างไป เสี่ยวหยวนรีบก้าวเท้าออกมาตรงหน้า “คำนับท่านลุงข้าชื่อหลี่ชงหยวนขอรับ แต่ท่านแม่กับพี่หญิงใหญ่ มักเรียกข้าว่าเสี่ยวหยวน” เจ้าก้อนซาลาเปาน
11 : อี้เอ๋อร์นี่เป็นของขวัญพบหน้าจากพี่สาว หลี่เมิ่งเหยาให้มารดาพาน้องชายกับป้าหลู เข้าไปสอบถามเรื่องเช่าเรือนกับหม่าหลิงเฟย ให้ลุงจงทำหน้าที่ขนของขึ้นรถม้าเพียงลำพัง ส่วนตัวนางเดินไปทวงหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยากับบิดา “เหลวไหล ! นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กจะมาพูดกับผู้ใหญ่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดใส่นางเสียงดังลั่น อารมณ์โกรธก่อนหน้ายังไม่จางลง กลับถูกนางทำให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้มาขอเฉย ๆ แต่ข้ามีของมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยาไม่ได้มีท่าที กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย หลี่หวงซวนรู้สึกไม่รู้จักหลานสาวผู้นี้ของตนจริง ๆ “เจ้าว่ามามีอะไรมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยากระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “พวกท่านรู้หรือไม่ยามที่ข้ากับท่านแม่ ถูกพวกท่านขับไล่ออกจากจวนมาอยู่ที่นี่ เรือนแห่งนี้มีสภาพผุพังเพียงใด แม้แต่ห้องสุขายังไม่มีด้วยซ้ำ ข้าเสียเงินซ่อมแซมไปก็มากโข กระทั่งเครื่องเรือนที่พวกท่านเห็นอยู่นี่ ก็ซื้อใหม่ทั้งหมด พวกท่านทิ้งเรือนไปเสียนาน โจรขโมยมาลักของไปจนเกลี้ยง” นางเอ่ยแล้วก็เดินไปเคาะรูปปั้
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน