ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย
ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว
“ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง
“ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ”
“แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง”
“ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ”
“นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ
“เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง ก็ให้เรียกเฉาซูหลิ่งเป็นพอ” หลี่หงซวนอยากแก้การเรียกขานให้ถูกต้อง
จี้ชิวหรงลอบมองหน้าสามีของตน เห็นเขาคิ้วขมวดยุ่งเหยิงเข้าหากัน ในใจคงสับสนอยู่ไม่น้อย เฉาซูหลิ่งยามนี้ดูเปล่งประกายสดใสกว่าเมื่อก่อน ใบหน้ายังงดงามไม่เสื่อมคลาย ในใจกลับรู้สึกเหมือนมีหนาม ทิ่มแทงอกอยู่ตลอดเวลา
“ท่านพ่อเจ้าคะ ข้าจะเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือไปยังบ้านเดิม แต่ข้าไม่รู้ว่าท่านพ่อกับท่านแม่จะเห็นด้วยหรือไม่ จึงอยากถามพวกท่านเสียก่อน” จี้ชิวหรงอยากมีตัวตนในสายตาของทุกคน
“สะใภ้สามนับว่ามีน้ำใจแล้ว”
หลี่หงซวนพยักหน้าให้นาง หากตระกูลจี้ยื่นมือช่วยเหลือคงดีไม่น้อย แต่ว่าพวกเขาจะยอมช่วยเหลือทุกคน ในตระกูลหลี่ด้วยหรือ จึงเอ่ยกำชับไปอีกเรื่อง “เจ้าทำอะไรให้เงียบอย่าส่งเสียงดัง ข้าไม่อยากทำให้ตระกูลจี้ต้องลำบากไปด้วย”
“ลูกสะใภ้จะจดจำไว้เจ้าค่ะ”
เก่อจิวลู่ก้มหน้ากัดริมฝีปากตนเองเอาไว้ บ้านเดิมของนางแทบจะตัดขาดหลังเกิดเรื่อง นางคงไม่มีหน้าไปขอความช่วยเหลือเหมือนน้องสะใภ้สาม นี่เป็นการหักหน้านางชัด ๆ
เก่อจิวลู่ “ท่านแม่เจ้าคะในเมื่อเป็นเพื่อนบ้านกัน เราควรไปทักทายพวกเขาดีหรือไม่”
“ตามมารยาทต้องทำเช่นนั้น” ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าเห็นด้วย “ไปดูเสียหน่อยว่าเฉาซูหลิ่งไปอยู่ที่นั่นทำไม และบอกให้หม่าหลิงเฟยรู้ไว้หน่อยก็ดี ว่าหากเฉาซูหลิ่งทำอะไรร้ายกาจขึ้นมา ย่อมไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่อีกต่อไป”
“เจ้าค่ะท่านแม่” เก่อจิวลู่ขานรับ นางเข้าใจเจตนารมณ์ของแม่สามีแล้ว หันไปทางจี้ชิวหรง “น้องสะใภ้สามเจ้าไปเป็นเพื่อนข้าดีหรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ”
จี้ชิวหรงฝากบุตรชายไว้กับสามี เดินตามหลังเก่อจิวลู่ไปยังเรือนด้านข้าง
บ่าวรับใช้เข้ามารายงานหม่าหลิงเฟย มีสตรีสองนางจากเรือนด้านข้าง มาขอพบนางเพื่อทักทายกัน
“ให้พวกนางเข้ามา”
หม่าหลิงเฟยเอ่ยแล้วหันไปทางแม่นมหู อีกฝ่ายพลันเข้าใจความหมาย สั่งสาวใช้ให้ไปเตรียมน้ำชามาต้อนรับแขก
ทันทีที่ก้าวเข้ามาภายในเรือนของหม่าหลิงเฟย เก่อจิวลู่กับจี้ชิวหรงรู้สึกประหม่าทันที เรือนแห่งนี้เพียบพร้อมไปด้วยเครื่องเรือนราคาแพง บรรยากาศของเรือนก็เงียบสงบ บ่าวรับใช้ท่าทางเหมือนถูกอบรมมาเป็นอย่างดี
“ข้าเก่อจิวลู่เป็นสะใภ้รองตระกูลหลี่เรือนด้านข้าง นี่น้องสะใภ้สามจี้ชิวหรง มาน้อมทักทายหม่าฮูหยินเจ้าค่ะ”
“เชิญพวกท่านทั้งสองนั่งลงก่อนเถอะ” หม่าหลินเฟยอมยิ้มเล็กน้อย คงสืบเรื่องของนางมาแล้วกระมัง ถึงได้รู้จักว่านางแซ่หม่า
สาวใช้ยกถาดน้ำชามาต้อนรับแขกตามมารยาท มีขนมกินเล่นยกตามมาด้วย
“เดิมทีข้าเองก็เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในเรือนหลังนี้ เลยไม่ได้ออกไปทักทายเพื่อนบ้านที่ไหน นับเป็นโอกาสดีที่ได้รู้จักกัน” หม่าหลิงเฟยเอ่ยอย่างเกรงใจ
เก่อจิวลู่เอ่ย “หม่าฮูหยินเจ้าคะ ข้าควรจะมีของติดไม้ติดมือมาเยี่ยมท่าน แต่ว่าเกิดเรื่องที่ตระกูลหลี่ขึ้นเสียก่อน จึงไม่ได้มีทรัพย์สินอันใดติดมือมา ต้องขออภัยหม่าฮูหยินด้วย” เมื่อมาถึงแล้วถึงรู้ว่าตนเองเสียมารยาทเกินไป
“ไม่เป็นไรข้าไม่ถือสาเรื่องนั้นหรอก แค่มาทักทายกันก็พอแล้ว” หม่าฮูหยินยื่นมือไปยกถ้วยชาขึ้นจิบ
จี้ชิวหรงเห็นนางไม่สนใจตนเองกับพี่สะใภ้ เหมือนถามมาตอบไปตามมารยาท จึงมองไปรอบ ๆ บริเวณห้องโถงรับแขก กลับไม่พบเห็นเฉาซูหลิ่งกับลูก ๆ ของนางเลย
“จี้ฮูหยินมองหาใครหรือ” ไม่ได้รอดพ้นสายตาของเจ้าของเรือนไปได้
จี้ชิวหรงถูกถามตรง ๆ ก็สะดุ้งเล็กน้อย
“ไม่ปิดบังหม่าฮูหยิน ข้าได้ยินมาว่าเฉาซูหลิ่งกับลูก ๆ ของนาง มาอยู่ที่เรือนของท่าน เป็นเรื่องจริงหรือเจ้าคะ”
“เป็นเรื่องจริง”
“เหตุใดท่านถึงให้นางมาอยู่ในเรือนได้เล่า” เก่อจิวลู่รีบเอ่ยถาม ท่าทางนางเหมือนมีความลับบางอย่างอยากบอก
“ทำไมรึ” หม่าหลินเฟยทำหน้า เหมือนคนไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน
เก่อจิวลู่รีบมองซ้ายมองขวา “นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก”
จี้ชิวหรงเอ่ย “พี่สะใภ้รอง”
“เจ้าก็อย่าห้ามข้า เกือบตายก็เพราะนางมาแล้วไม่ใช่รึ”
เก่อจิวลู่ส่งสายตาให้อีกฝ่ายหยุดพูด แล้วหันกลับมาทางหม่าหลินเฟย
“เมื่อห้าปีก่อนสะใภ้สามตั้งครรภ์ ยามนั้นเฉาซูหลิ่งยังเป็นอนุของน้องสามอยู่ นางเกิดริษยาจึงได้วางยาขับเลือด ในน้ำแกงบำรุงครรภ์ สะใภ้สามไม่ได้ระแคะระคายสงสัยนางเลย จนเกิดเรื่องร้ายขึ้น ทำให้ต้องสูญเสียเด็กในท้องไป ช่างน่าสงสารนัก”
หม่าหลินเฟยทำหน้าเคร่งขรึม ทว่าไม่ได้เอ่ยคำพูดใดออกมา
“ที่นางมาอยู่ที่นี่เพราะถูกขับไล่ ออกจากตระกูลหลี่เจ้าค่ะ ข้าหวังดีไม่อยากให้ท่าน ต้องรับคนนิสัยใจคอโหดร้ายแบบนั้นไว้ในเรือน”
“ความจริงแล้วเฉาซูหลิ่ง มาขอเช่าเรือนหลังอื่นในตรอกหนิงอันอยู่อาศัย แต่ข้าเห็นว่าบ้านนางมีแต่เด็กกับสตรี หากให้ไปอยู่เรือนหลังอื่น ที่ยังไม่ได้ทำความสะอาด คงลำบากอยู่ไม่น้อย เลยให้อยู่ที่นี่ไปก่อนชั่วคราว หากได้เรือนอยู่อาศัย พวกนางก็จะออกไปเอง” หม่าหลินเฟยเอ่ยเสียงราบเรียบ
“เช่นนี้เองรึ” เก่อจิวลู่มีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย คิดว่าอีกฝ่ายจะรีบไล่เฉาซูหลิ่ง ออกจากเรือนไปเสียอีก
หม่าหลินเฟยหันไปมอง สองสะใภ้จากตระกูลหลี่ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“ตระกูลหลี่ไล่พวกนางสามแม่ลูก ออกมาอย่างกะทันหัน เลยทำให้ไม่มีเวลาหาเรือนอยู่อาศัย ข้าทำเช่นนี้ถือว่าเป็นน้ำใจต่อเพื่อนบ้านเท่านั้น”
จี้ชิวหรงถึงกับสะอึกอยู่ในอก เหตุใดจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกล่าวหา ว่าตระกูลหลี่แล้งน้ำใจต่อสามแม่ลูกนั้นก่อน
“พี่สะใภ้รองข้าว่าเรารีบกลับกันเถอะ ข้าเป็นห่วงอี้เอ๋อร์”
“จริงด้วย เช่นนั้นพวกข้าขอลานะเจ้าคะ” เก่อจิวลู่เองก็รู้สึกได้เหมือนกัน
หม่าหลินเฟยทำเพียงพยักหน้าลง หันไปทางคนของตนเอง “แม่นมส่งแขกด้วย”
“เชิญฮูหยินทั้งสองเจ้าค่ะ” แม่นมหูผายมือเชิญพวกนาง
หลังส่งแขกกลับเรือนไปแล้ว แม่นมหูได้เข้ามาพูดคุยกับฮูหยินของตน
“ฮูหยินท่านคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้”
หม่าหลินเฟยแค่นขำออกมาคำหนึ่ง “พวกนางจงใจไม่เอ่ยถึงฮูหยินรองตัวต้นเหตุผู้นั้น กลับโยนความผิดมาที่เฉาซูหลิ่งผู้เดียว แม่นมหูท่านคิดว่าพวกนางมีเจตนาเช่นไรรึ”
“สร้างความบาดหมาง และไม่ต้องการให้เฉาซูหลิ่งกับลูก ๆ ของนาง ได้รับการช่วยเหลือจากท่านเจ้าค่ะ”
“ยังคงเป็นท่านที่มองออก”
“วันนี้เสี่ยวหยวนน้อยผู้นั้น ไปเล่นที่เรือนของคุณชายเจ้าค่ะ มีจงกุ้ยตามไปดูแลเขาด้วย” แม่นมหูเอ่ยต่อ
“เด็กน้อยไร้เดียงสาช่างเจรจาคนนั้น ใครได้พูดคุยด้วยย่อมสบายใจ เฮ้อ เมื่อไหร่ข้าจะมีหลานกับเขาเสียที”
แม่นมหูเอ่ยไม่ออกอีกต่อไป ก่อนหน้าเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายที่สุด ยามนี้เห็นทีจะยากเสียแล้ว
“แล้วพี่สาวของนางเล่า”
“อยู่กับมารดาในเรือน ไม่ได้ออกไปไหนเจ้าค่ะ อายุไม่น้อยแล้ว อีกหน่อยคงได้กลายเป็นสาวแก่ทึนทึก”
“มารดานางไม่ค่อยฉลาด น้องชายก็ยังเด็ก หากเป็นข้าคงไม่กล้าออกเรือนเหมือนกัน นับว่านางยังเป็นคนกตัญญูรู้คุณ อีกอย่างฐานะแบบพวกนาง คงหาคู่ครองได้ยากอยู่เหมือนกัน”
“นั่นสิเจ้าคะ ถูกตระกูลหลี่ขับไล่ออกมา ถึงสองครั้งสองคราด้วยกัน เป็นใครคงคิดหนักเรื่องนี้ ยิ่งตอนนี้พวกเขาให้หนังสือปลดปล่อยอนุภรรยามาด้วยแล้ว ยิ่งไร้ตระกูลหนุนหลังอย่างแท้จริง”
หม่าหลินเฟยเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ
“หนังสือนั่นเมิ่งเหยาเป็นคนบังคับเอามา ส่วนตระกูลหนุนหลังนั้น ข้าคิดว่าพวกนางไม่สนใจด้วยซ้ำ แม่นมหูท่านไม่คิดว่าชีวิตเฉาซูหลิ่ง ไม่คล้ายกับข้าหรอกหรือ ข้าก็ได้หนังสือปลดปล่อยภรรยามาเหมือนกัน”
“จะเหมือนกันได้อย่างไร ฮูหยินเต็มใจออกมาเองนี่เจ้าคะ”
“ทำไมจะไม่เหมือนกันเล่า ท่านพี่ไม่สนใจเหวินเซียว ก็คงเหมือนบิดาของเมิ่งเหยา ที่ไม่สนใจนางเหมือนกัน”
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ แววตาของหม่าหลินเฟยพลันหม่นแสงลง เหตุใดคนเป็นพ่อถึงได้ไร้หัวใจถึงเพียงนี้
“ท่านไปทำงานของท่านเถอะ ข้าขอคิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียวก่อน”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” แม่นมหูเอ่ยแล้วหันหลัง เดินออกจากห้องโถงรับแขกไป
เรือนตระกูลหลี่
สองสะใภ้รีบเข้าไปพบแม่สามีที่เรือนของนาง และเล่าเรื่องราวที่พูดคุยกับหม่าหลินเฟย ให้อีกฝ่ายได้รับรู้
“หม่าหลินเฟยผู้นี้ไม่รู้ว่าอยู่เมืองหลวงดี ๆ เหตุใดถึงออกมาอยู่กับลูกชายที่นี่ พวกเจ้าไม่ได้เห็นลูกชายของนางรึ” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเพราะความสงสัย
“ไม่เห็นเจ้าค่ะ เฉาซูหลิ่งกับลูก ๆ ของนางก็ไม่เห็น ไม่รู้ไปหลบอยู่มุมไหนของเรือน” เก่อจิวลู่เอ่ย
“ท่านแม่สงสัยเรื่องใดหรือเจ้าคะ” จี้ชิวหรงเห็นท่านคิ้วขมวดเหมือนมีเรื่องราวในใจจึงเอ่ยถาม
“ข้าแค่แปลกใจ ตระกูลหยวนที่เมืองหลวง ข้ารู้มาว่าลูกสะใภ้ใหญ่ไม่ได้แซ่หม่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าเคยพบปะสหายที่มาจากเมืองหลวงอยู่บ้าง จึงพอรู้เรื่องราวของตระกูลใหญ่ ๆ ของที่นั่น มีครั้งหนึ่งที่สหายของนางเอ่ยถึงลูกสะใภ้ของตระกูลหยวน ว่างดงามเพียบพร้อมยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นบุตรีเอกของเสนาบดีลู่อีกด้วย
“ฮูหยินเอกน่าจะแซ่ลู่” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยต่อ
“หรือว่านางจะเป็นเพียงอนุภรรยา” เก่อจิวลู่คาดเดา
“ข้าว่าไม่น่าใช่เจ้าค่ะพี่สะใภ้รอง ดูไปแล้วน่าจะเป็นฮูหยินรองมากกว่า” จี้ชิวหรงรีบเอ่ย นางมองอย่างไร หม่าหลินเฟยก็มาจากตระกูลใหญ่โต ไม่ใช่อนุภรรยาทั่วไปอย่างแน่นอน
“เอาเถอะ อยู่เรือนติดกันเช่นนี้ วันนี้ไม่รู้วันหน้าก็ได้รู้อยู่ดี ไม่ต้องรีบร้อนไปหรอก เมื่อพวกเจ้าบอกนางเรื่องเฉาซูหลิ่งแล้ว วันข้างหน้าหากเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้วล่ะ”
“เจ้าค่ะท่านแม่ แล้วท่านพ่อไม่อยู่หรือเจ้าคะ” เก่อจิวลู่พยักหน้าขานรับ
“เขาพาปิงซือไปโอนโฉนดเป็นชื่อผู้อื่นอยู่ คงเดินดูรอบ ๆ เมืองฉางไปด้วย เผื่อจะได้หาลู่ทางทำมาหากิน พวกเจ้าก็รู้ตระกูลหลี่ถูกขึ้นบัญชีดำ ห้ามรับราชการไปอีกสามรุ่น วันข้างหน้าต้องพึ่งพาตัวเองแล้วล่ะ ลำบากพวกเจ้าแล้ว”
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทร
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน