“ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่”
“มีอะไรให้น่าดูกัน”
“ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ
อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด
“พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้
“ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้องทำได้แน่”
นางเอ่ยอย่างมั่นใจ ลุกขึ้นเดินจากไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้เขาไม่ให้ดูดวงตาแต่ได้รู้ชื่อของพิษ นางก็พอมีวิธีรักษาได้ไม่ยาก
ซ่งหลินต๋ามีวรยุทธ์สูง เขายืนอยู่ไกลแต่ได้ยินคำพูดของทั้งคู่อย่างชัดเจน พอหลี่เมิ่งเหยาเดินออกจากเรือนของคุณชายไปแล้ว เขารีบเดินเข้าไปหาผู้เป็นนายที่ริมสระน้ำ
“คุณชายเหตุใดถึงบอกเรื่องพิษกับนางล่ะขอรับ” หากนับไปแล้ว หลี่เมิ่งเหยาก็คือคนนอก ไม่มีสิทธิ์รู้เรื่องพิษของหยวนเหวินเซียว
“นางบอกว่ามียารักษาดวงตาของข้าได้ ไหน ๆ ข้าก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ลองเล่นสนุกไปกับนางหน่อยก็แล้วกัน” หยวนเหวินเซียวเอ่ยคล้ายมีเรื่องสนุก ให้เขาได้คลายเครียด
“ร่างกายของคุณชายสูงส่งยิ่งนัก ไม่อาจเป็นหนูลองยาของนางได้นะขอรับ”
“ร่างกายของข้าพิการเช่นนี้ มีตรงไหนเหมาะกับคำว่าสูงส่งของเจ้ากัน เจ้าอย่าได้เอ่ยเรื่องนี้ให้คนอื่นได้ยินเข้าล่ะ โดยเฉพาะท่านแม่ของข้า” น้ำเสียงของเขาแข็งกระด้างขึ้น
“แต่ว่าคุณชาย”
“หรือว่าเจ้าไม่อยากเห็นข้าหายดี” คิ้วคมพาดเฉียงเลิกสูง หันหน้าไปทางซ่งหลินต๋า
“เหตุใดจะไม่อยากขอรับ เพียงแต่คุณหนูหลี่เป็นเพียงแม่นางน้อยผู้หนึ่ง จะมีความสามารถเช่นนั้นได้อย่างไร นางคงอ่านตำราโอสถมาก่อน จนคิดว่าตัวเองสามารถรักษาผู้คนได้”
ซ่งหลินต๋าร้อนใจยิ่งนัก ไม่อยากให้คุณชายของตน ต้องกลายเป็นหนูลองยาของนางไป
“เจ้าคิดมากไป เข็นข้าไปหาเสี่ยวหยวนเถอะ” อีกฝ่ายตัดบทไม่อยากเอ่ยเรื่องนี้ต่อ
“ขอรับคุณชาย” ซ่งหลินต๋าไม่อาจขัดคำสั่งของเจ้านายได้ เขาเดินเข้ามาเข็นรถไปยังศาลาริมสระน้ำ เสี่ยวหยวนน้อยเห็นเขาก็ดีใจ รีบนำกระดาษที่คัดตัวอักษรไปมอบให้ซ่งหลินต๋าดู
“พี่หลินต๋าท่านดู ข้าเขียนดีกว่าเมื่อวานหรือไม่”
ซ่งหลินต๋ารับกระดาษแผ่นนั้นมาตรวจดู ก่อนเผยรอยยิ้มจาง ๆ บนหน้า หันไปทางคุณชายของตน พร้อมเอ่ย “ดีขึ้นจริง ๆ ขอรับคุณชาย”
“เสี่ยวหยวนเก่งมาก” รอยยิ้มบนมุมปากของหยวนเหวินเซียววาดโค้งขึ้น
“ข้าไม่ตั้งใจเขียนไม่ได้ พี่หญิงใหญ่จะดุเอา นางโหดร้ายมาก” เด็กน้อยเอ่ยไปตามประสา
“นางโหดร้ายอย่างนั้นรึ” หยวนเหวินเซียวเริ่มสงสัยในความโหดร้ายของนาง ที่ออกมาจากปากของเสี่ยวหยวน
“ขอรับ หากข้าคัดตัวอักษรไม่สวยหรือไม่ถูกต้อง นางจะงดขนมข้า !” เขาเอ่ยออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ “พวกท่านว่านางโหดร้ายหรือไม่เล่า”
ซ่งหลินต๋าถึงกับหลุดขำออกมาเบา ๆ คำว่าโหดร้ายของเด็กนั้น ช่างแตกต่างจากผู้ใหญ่จริง ๆ
“เสี่ยวหยวนข้าถามอะไรเจ้าอย่างได้หรือไม่” คำถามนี้หยวนเหวินเซียวเป็นคนเอ่ย
“ได้ขอรับพี่ชายหยวน” เสี่ยวหยวนเดินเข้าไปเกาะแขนของเขาไว้อย่างเคยชิน
“เมิ่งเหยานางรู้เรื่องยาเรื่องการรักษาหรือไม่”
“อื้ม” เสี่ยวหยวนน้อยพยักหน้าลงอย่างหนักแน่น เอ่ยต่อ “พี่หญิงใหญ่เป็นหมอประจำบ้าน ยามข้ากับท่านแม่ หรือลุงจงกับป้าหลูป่วย นางจะหายามาให้กิน แล้วพวกเราก็จะหายป่วยทันที”
สีหน้าของสองนายบ่าวเปลี่ยนไปเล็กน้อย โดยเฉพาะซ่งหลินต๋าเขาไม่คิดว่าสตรีนางนั้น จะมีความรู้เรื่องการรักษาจริง ๆ
“แต่คุณหนูหลี่นางไม่ใช่หมอ”
เสี่ยวหยวนกอดอกทำท่าคิดหนัก “อื้ม นางไม่ใช่หมอจริง ๆ นั่นแหละ แต่นางมียาวิเศษนางบอกข้าแบบนี้”
“ยาวิเศษ ?” ซ่งหลินต๋าคิดว่าเสี่ยวหยวนยังเด็ก เลยถูกหลอกง่ายดาย ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหวัง
แต่หยวนเหวินเซียวไม่ได้คิดเช่นนั้น สตรีนางนั้นฟังจากน้ำเสียงของนาง เหมือนมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก เขาหันหน้าไปทางซ่งหลินต๋า
“เป็นหนูลองยาก็ไม่เสียหายอันใด ไร้ผลก็อยู่ที่เดิมแต่หากเกิดผลเล่า หลินต๋าเจ้าเคยคิดหรือไม่ ข้าอาจกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีก”
ซ่งหลินต๋ารู้สึกเจ็บปวดอยู่ในอก คนป่วยหากมีความหวังเพียงน้อยนิด คงอยากไขว่คว้าเอาไว้ แต่นี่ไม่เรียกว่าเป็นความหวังอันริบหรี่หรอกหรือ เขาเอ่ยเสียงเบา “ข้าพร้อมทำตามความปรารถนาของคุณชายขอรับ”
อวี่ฟานเป็นแม่นมมารดาของจี้ชิวหรง นางเดินทางมาจากเมืองหลวง เพื่อเยี่ยมจี้ชิวหรงพร้อมรับหน้าที่มาถามไถ่ ถึงความเป็นอยู่ที่นี่ ฮูหยินผู้เฒ่าออกมาต้อนรับนางด้วยตัวเอง
ยามอยู่ต่อหน้าคนทั้งตระกูลหลี่ แม่นมอวี่นอบน้อมและไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องอื่น นอกจากสอบถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป จากนั้นนางจึงขอตัว ตามจี้ชิวหรงไปที่เรือนของนาง
“ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ ไม่เห็นนางเอ่ยถึงเลย” เก่อจิวลู่นึกสงสัยขึ้นมา ในใจแอบคิดว่าแม่นมอวี่ผู้นี้ ไม่ใช่แอบมอบเงิน เป็นการส่วนตัวกับสะใภ้สามหรอกนะ
“หากตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือให้ คงมอบผ่านสะใภ้สามนั่นแหละ เดี๋ยวนางคงนำมามอบให้ส่วนกลางเอง สะใภ้รองอย่าเพิ่งคิดเป็นอื่นไปเลย” ฮูหยินผู้เฒ่ามองความคิดของสะใภ้รองผู้นี้ออก
“ท่านแม่ข้าไม่ได้คิดเป็นอื่นนะเจ้าคะ ข้าแค่สงสัยเหตุใดไม่มอบให้ต่อหน้าทุกคน” เก่อจิวลู่รีบเอ่ยแก้ต่างให้ตัวเอง
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอันใดกับนาง หันไปมองคนอื่น ๆ แทน “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปเถอะ ข้าอยากพักผ่อนแล้ว”
“เจ้าค่ะท่านแม่” เก่อจิวลู่พาบุตรชายบุตรสาวคำนับก่อนจากไป
“จือเอ๋อร์เจ้ามีอะไรถึงไม่ไปกับพวกเขา”
หลี่เยี่ยนจือหันมาทางผู้เป็นย่า “ท่านย่าข้าสามารถออกไปข้างนอกได้หรือไม่ อยู่แต่ในเรือนข้าค่อนข้างอึดอัดเจ้าค่ะ”
“เจ้าเป็นสาวเป็นแส้จะออกไปได้อย่างไร สาวใช้ข้างกายสักคนก็ไม่มี”
“แต่ข้าเห็นพี่เมิ่งเหยาออกไปได้นี่เจ้าคะ”
“เจ้าจะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับนางทำไม นางถูกเลี้ยงดูมาด้วยอนุภรรยา ส่วนเจ้าเป็นบุตรีของภรรยาเอก กลับไปเรือนของเจ้าได้แล้วไป” ฮูหยินผู้เฒ่าสะบัดมือให้นางออกไป
“เจ้าค่ะท่านย่า”
หลี่เยี่ยนจือหันหลังจากไปด้วยความผิดหวัง ทุกคนต่างมีครอบครัว มีเพียงนางที่เหลือตัวคนเดียว มองไปทางไหนก็มีเพียงความเดียวดาย
ทว่ายามที่นางเดินมาถึงเรือนของตนเอง กลับพบหลี่ย่าหลินนั่งร้องไห้อยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง จึงเดินเข้าไปหานาง
“พี่ย่าหลิงเหตุใดมาร้องไห้ที่เรือนของข้าได้เล่า”
หลี่ย่าหลินรีบเช็ดคราบน้ำตาออก “ขอโทษเจ้าด้วยเยี่ยนจือ ข้าไม่อาจร้องไห้ให้ท่านแม่กับท่านพี่เห็นได้ เรือนของเจ้าเงียบสงบดี ข้าก็เลย...”
“ความจริงพี่ย่าหลิน มาอยู่กับข้าที่นี่ก็ได้นะเจ้าคะ ข้าอยู่คนเดียวค่อนข้างเงียบเหงา” เรือนของนางแม้จะเป็นเรือนขนาดเล็กกว่าเรือนอื่น แต่ก็มีถึงสองห้องด้วยกัน แม้จะเป็นห้องเก็บของใช้ แต่สามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องนอนได้
“ข้าจะลองคุยกับท่านแม่ดู”
หลี่เยี่ยนจือเห็นท่าทางโศกเศร้าของนางก็พอเดาออก “พี่ย่าหลิงท่านคิดถึงลูกชายสินะ”
“อืม เขาเพิ่งจะสองขวบเอง ต้องมาถูกพรากจากแม่เสียแล้ว” นางยกผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกเหมย ขึ้นซับคราบน้ำตาบนหน้า
“ตระกูลชุนช่างใจจืดใจดำนัก ถึงขั้นสั่งสามีพี่ย่าหลิน หย่าขาดเช่นนี้” หลี่เยี่ยนจือเอ่ยแล้วหยุดชะงัก คาดว่าทางนั้นคงหาภรรยาเอกคนใหม่ ให้สามีของหลี่ย่าหลินแล้ว และบุตรชายของนางคงถูกสตรีอื่นเลี้ยงดู ไหนจะจดจำมารดาอย่างนางได้ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง คงมีสภาพไม่ต่างกันนัก
“ท่านลุงไม่น่าเลย” หลี่ย่าหลินสะอื้นไห้ออกมาแรง ๆ
หลี่เยี่ยนจือเหมือนถูกตบหน้าเต็มแรง “ข้าขอโทษแทนท่านพ่อด้วย” นางเอ่ยอย่างละอายใจแทนบิดา บิดปลายนิ้วสุดแรงด้วยความเสียใจ
“ไม่เป็นไร ๆ ข้าไม่เคยโทษเจ้าเลยเยี่ยนจือ เจ้าเองก็ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ มีชะตากรรมไม่ต่างจากข้าหรอก” หลี่ย่าหลิงไม่ใช่คนไร้เหตุผล นางเอ่ยปลอบหลี่เยี่ยนจือไปด้วย
หลี่เยี่ยนจือนั่งเป็นเพื่อนนางอยู่พักใหญ่ ๆ ให้นางได้ระบายความอัดอั้นในใจออกมา เผื่อช่วยให้นางคลายความทุกข์ใจได้บ้าง หลังจากนั้นหลี่ย่าหลินนำเรื่องย้ายเรือนไปบอกแก่มารดา
เก่อจิวลู่เห็นว่าหลี่เยี่ยนจืออยู่เพียงลำพังน่าสงสาร อีกอย่างบุตรสาวของนาง ก็เอาแต่ขังตัวอยู่ในห้อง ให้พวกนางได้อยู่เป็นเพื่อนกันย่อมเป็นเรื่องดี
วันนี้หลี่หย่วนเจ๋อไม่อยู่ที่เรือน เขาตามบิดากับพี่ชายออกไปหาลู่ทางทำมาหากินในเมืองฉาง จี้ชิวหรงกำลังพาแม่นมอวี่ เข้าไปในห้องรับแขกของเรือน
“คุณชายน้อยไม่ได้เจอกันตั้งนาน โตขนาดนี้แล้วหรือเจ้าคะ” แม่นมอวี่เข้าไปอุ้มหลี่ซืออี้ พร้อมกับพร่ำบ่นไปด้วย
“เหตุใดถึงไม่ยอมหย่าล่ะเจ้าค่ะ ดูสิสาวใช้สักคนก็ไม่มี”
แม่นมอวี่มองดูสภาพเรือนแสนเก่า แม้จะผ่านการดูแลมาอย่างดี แต่ไหนเลยจะสู้กับจวนเจ้าเมืองถัง หรือว่าเรือนในจวนตระกูลจี้ได้
“แม่นมอวี่ข้ามีสามีที่ดีรักใคร่ข้ากับลูกชาย ยามตระกูลสามีลำบากข้ากลับทอดทิ้งไป จะไม่ผิดต่อความรักที่เขามีให้หรอกหรือ ท่านเลิกพูดเรื่องนี้เถอะ ท่านพ่อท่านแม่ให้ท่านมาที่นี่ มีเรื่องอื่นอีกหรือไม่”
“มีเจ้าค่ะ” แม่นมอวี่วางหลี่ซืออี้ลงให้ยืนที่พื้น เขารีบวิ่งไปหามารดาในทันที
แม่นมอวี่โบกมือให้สาวใช้ที่ตามมาด้วยสองคน นำกล่องขวัญที่ซ่อนเอาไว้ในห่อผ้าออกมาให้
“นี่เจ้าค่ะ นายท่านกับฮูหยินให้ข้า นำตั๋วเงินมามอบให้คุณหนู” กล่องใบน้อยถูกยื่นไปตรงหน้าของจี้ชิวหรง
“ท่านแอบซ่อนไว้เช่นนี้ เจตนาของท่านพ่อท่านแม่คืออย่างไรกันแน่” นางเปิดกล่องออกดูพบตั๋วเงินสามพันตำลึง กับปิ่นปักผมทำจากทองคำอีกสองอัน
“คุณหนูเจ้าคะ ในจวนตระกูลจี้ยังมีบรรดาคุณหนูที่ยังไม่ได้ออกเรือนอีกหลายคน คุณชายที่ต้องแต่งภรรยาอนุภรรยา ก็นับได้ห้าหกคนเลยนะเจ้าคะ”
แม่นมอวี่พยายามอธิบายให้จี้ชิวหรงเข้าใจ
“แม้คุณหนูจะเป็นคุณหนูใหญ่ของจวน แต่ก็ออกเรือนมาอยู่กับสามีแล้ว ฮูหยินใหญ่ไม่อาจมอบเงินช่วยเหลือได้มากกว่านี้ เพราะบรรดาฮูหยินรองกับอนุทั้งหลาย จะหาว่าลำเอียงเจ้าค่ะ”
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทร
2 : ข้าบอกให้เจ้าตื่น หลี่เมิ่งเหยา ! พอบุตรสาวหลับไปแล้ว นางถึงได้มานั่งคอตกคิดถึงอนาคตของตัวเอง ไม่รู้ว่าเรือนร้างที่เมืองฉางเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนเคยรู้มาว่า เป็นเรือนเอาไว้สำหรับพักค้างคืน ระหว่างการเดินทางไปดูแลการค้า ซึ่งเมื่อก่อนตระกูลหลี่เคยมีร้านค้าอยู่ที่นั่น พอหลี่หงซวนได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองถัง คนตระกูลหลี่ก็ขายกิจการที่เมืองฉางทิ้งไป เหลือไว้เพียงเรือนแห่งเดียว ระหว่างทางหลี่เมิ่งเหยาตัวร้อนขึ้นมาจริง ๆ ผู้เป็นมารดารีบเช็ดตัวให้นาง และป้อนยาที่ต้มเอาไว้ก่อนหน้าตามไปด้วย ไข้ถึงลดลงในเวลาต่อมา ต้องใช้เวลาเดินทางสองวัน คืนนี้เลยต้องเข้าพักในโรงเตี๊ยมไปก่อน ตื่นเช้ามาหลี่เมิ่งเหยามีอาการดีขึ้น นางไม่ปวดศีรษะเหมือนเมื่อวานที่ผ่านมา ทำให้สามารถออกเดินทางต่อได้ในทันที รถม้ามาถึงประตูเมืองฉาง เป็นเวลายามเซิน(15.00-16.59)แล้ว จากนั้นรถม้าก็มาจอดอยู่หน้าเรือนร้างในตรอกหนิงอัน “เชิญอนุเฉากับคุณหนูเข้าเรือนเถอะขอรับ ข้าต้องขอตัวกลับก่อน” คนขับรถม้าขนสัมภาระของทั้งคู่ลงจากรถม้า จากนั้นก็รีบจากไปในทันที
3 : ยืมกระโถนฉี่ข้างบ้าน หลังเข้ามาอยู่ในห้องนอนแล้ว สองแม่ลูกกลับพบปัญหาใหญ่ ไม่มีน้ำสะอาดให้ใช้ เฉาซูหลิ่งถึงกับน้ำตาคลอเบ้า นางทำความสะอาดจนเนื้อตัวสกปรกไปหมด ต้องการอาบน้ำให้สดชื่น ขณะที่ผู้เป็นบุตรสาวนั้น กำลังเป็นกังวลกับห้องสุขาของที่นี่ สภาพผุพังเช่นนั้น เข้าไปทำธุระไม่ได้แล้ว “ช่างหัวน้ำมันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยหาทางเอา เหยาเอ๋อร์หากเจ้าปวดเบา ก็ใช้กระโถนไปก่อนก็แล้วกัน” เฉาซูหลิ่งตัดใจจากน้ำสะอาด โชคดีที่ถุงน้ำของนางกับบุตรสาว ยังพอมีน้ำเหลืออยู่ นำมาเทใส่ผ้าสะอาด เช็ดหน้าตาไปก่อนได้ “ท่านแม่กระโถนที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนกัน” หลี่เมิ่งเหยาเห็นเพียงเตียงเก่า ๆ หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในห้อง “มันต้องมีสิ แม่ไปหาห้องอื่นดูก่อน” หลังจากมองหากระโถนฉี่ให้บุตรสาวไม่พบ นางก็รีบเดินออกไปยังห้องอื่น อย่าว่าแต่กระโถนฉี่ไม่มีเลย กระทั่งตะเกียงกับหินจุดไฟก็หาไม่เจอ นางรีบเดินกลับมาหาบุตรสาวในห้อง สีหน้าจนหนทางแล้วจริง ๆ “ท่านแม่อีกหน่อยฟ้ามืดสนิทจะแย่เอานะเจ้าคะ” เอ่ยแล้วรอดูว่ามารดาของตนจะทำอ
4 : ข้ากำลังจะมีน้อง เมื่อคืนที่ผ่านมา หลี่เมิ่งเหยาถูกดีดออกจากความฝันมาอย่างมึนงง อีกทั้งยังไม่ได้สำรวจอะไรมากมายนัก เพราะนางมัวแต่ตะลึงกับสมบัติมากมายตรงหน้า แม้ยามนี้ยังแยกไม่ออก ไหนความจริงไหนความฝัน หรือว่าสมบัติเหล่านั้นมีอยู่จริงไหม แต่หากมีอยู่แค่ในความฝัน คงเป็นเรื่องเศร้าเกินไปแล้ว วันนี้สองแม่ลูก เข้าไปซื้อของกินของใช้ในตัวเมืองฉาง ที่นี่เป็นเมืองขนาดเล็ก ไม่ต่างจากเมืองถังที่เคยอยู่ แต่ข้อดีของที่นี่คืออยู่ใกล้กับเมืองหลวงมากกว่า อีกทั้งของกินของใช้ ยังดูดีกว่าเมืองถังเสียอีก “ท่านแม่ท่านมีเงินติดตัวมามากน้อยเพียงใด” เฉาซูหลิ่งหน้าเจื่อนหลังได้ยิน “มีไม่มากหรอก ท่านปู่ท่านย่าของเจ้า ไม่ได้ให้อะไรติดตัวมาเลย” หลี่เมิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นสูง “ท่านพ่อเล่า” “พ่อเจ้าน่ะหรือ แม้แต่หน้าของข้า ยังไม่อยากมองด้วยซ้ำ” “เงินเก็บส่วนตัวเล่า” “มีอยู่แค่หนึ่งร้อยตำลึง เบี้ยเลี้ยงข้าได้เดือนละห้าตำลึงเท่านั้น ดีที่ก่อนหน้าข้าแอบขอท่านพ่อของเจ้าเอาไว้บ้าง” “หนึ่งร้อยตำลึ
5 : แม่เจ้าโว้ย ! ข้ารวยแล้ว ! บุรุษที่อยู่เรือนด้านข้างเริ่มหงุดหงิด เขาได้ยินเสียงคำพูดคุยหรือเสียงเหมือนคน กำลังทำงานตลอดทั้งวัน ให้ซ่งหลินต๋าไปแอบดู ถึงได้รู้ว่าบ้านของเด็กสาวผู้นั้น กำลังซ่อมแซมห้องสุขา กับล้างบ่อน้ำอยู่ “ความจริงพวกนางก็น่าสงสารนะขอรับ เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามมาด้วย ยังต้องออกไปหาช่าง มาซ่อมห้องสุขาอีก เจอคนดีก็แล้วหากเจอคนไม่ดี คงแย่เหมือนกัน อีกอย่างในตรอกหนิงอันแห่งนี้ คุณชายกว้านซื้อที่ดินทั้งตรอกเอาไว้หมดแล้ว หากพวกเราเดินทางกลับเมืองหลวงไป เกรงว่าจะเงียบวังเวงอาจเป็นเป้าหมายของโจรผู้ร้ายได้” ซ่งหลินต๋าอดนึกสงสารสองแม่ลูกนั่นไม่ได้ “หากสงสารนัก ก็อยู่ดูแลพวกเขาที่นี่แล้วกัน ไม่ต้องตามข้ากลับเมืองหลวงไปหรอก” “ทำเช่นนั้นได้อย่างไร หน้าที่ของข้าคือดูแลคุณชายนะขอรับ ท่านไปไหนข้าไปด้วย” ซ่งหลินต๋ารีบหุบปากไม่เอ่ยถึงสองแม่ลูกนั่นอีก หากถูกคุณชายสั่งให้อยู่ที่นี่จริง ก็ซวยเขาสิ “บัญชีครึ่งปีนี้รวบรวมมาหมดแล้วหรือยัง” หยวนเหวินเซียวปิดสมุดบัญชีในมือลงหลังเอ่ยถาม ซ่งหลินต๋า “
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน