หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น
“ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ”
มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู
หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า
“ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้
“เช่นนี้นี่เอง”
แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง
หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน
สามคนแม่ลูกได้พักอยู่ในเรือนหลังของสตรี หม่าหลิงเฟยใจดี รับป้าหลูกับลุงจงเข้ามาอยู่ด้วย ให้คนจัดหาที่พักฝั่งบ่าวรับใช้ให้อยู่ เฉาซูหลิ่งไม่อยากรบกวนพวกเขามากนัก จึงให้บุตรชายนอนห้องเดียวกับตน อีกห้องให้บุตรสาวนอนคนเดียว
“เหยาเอ๋อร์เจ้ามานั่งคุยกับข้าก่อน”
“เจ้าค่ะท่านแม่”
“เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่กันเล่า ไม่ใช่ว่าเจ้ามีกิจการค้าขายอยู่ในเมืองหรอกหรือ”
แม้ไม่มั่นใจว่าเงินทองของบุตรสาวมีมากน้อยเพียงใด แต่เฉาซูหลิ่งคิดว่านางต้องมีมากพอ เลี้ยงดูตนเองกับบุตรชายได้แน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่สั่งให้คนเก็บของ เตรียมย้ายออกมาเช่นนี้
“ข้าก็บอกไปแล้ว ยามนี้หาซื้อเรือนคงยาก ข้าอยากซื้อที่สักแปลงแล้วสร้างเรือนขึ้นมาใหม่”
“ซื้อที่สร้างเรือน ?”
นี่เจ้ามีเงินเท่าใดกันแน่
“ใช่แล้ว เรื่องพวกนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไปใจร้อนไม่ได้ อยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน ข้าจะพยายามหาที่สร้างเรือนให้ได้เร็วที่สุด ท่านแม่วางใจได้”
“หากคนตระกูลหลี่รู้ว่าเจ้ามีเงินทองเช่นนี้”
“เกี่ยวอันใดกับข้า พวกเขาทอดทิ้งเราครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขึ้นยึดเรือนขับไล่ออกมา ท่านแม่คิดว่าข้าจะมีใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่พวกเขารึ” นางเสียงแข็งคล้ายไม่พอใจ
“คนอื่นข้าไม่รู้ แต่บ้านเดิมฮูหยินใหญ่ของพ่อเจ้า ตระกูลจี้ค่อนข้างมีฐานะมั่นคง ข้าคิดว่าพวกเขาต้องส่งเงินทอง มาให้ฮูหยินใหญ่เป็นแน่”
“นั่นเป็นเรื่องของผู้อื่น ไม่เกี่ยวกับพวกเรา”
“ข้าสงสารก็แต่เสี่ยวหยวน” นางเหลือบตาไปมองบุตรชาย ที่กำลังนั่งวาดรูป อยู่บนเก้าอี้ตรงหน้าต่างห้อง
“เมื่อเติบโตขึ้นเขาจะเข้าใจถึงความหวังดีของข้า ท่านแม่เองก็ต้องเข้าใจด้วย ครอบครัวเช่นนั้นข้าไม่อยากได้หรอก ข้ายังหวังให้ท่านแม่ ได้พบเจอกับบุรุษที่ดีสักคน สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่”
“เจ้าไปเอาคำพูดพวกนี้มาจากไหนกัน อย่าไปเอ่ยให้ผู้อื่นได้ยินเข้า เขาจะได้จับข้าเข้ากรงหมูไปถ่วงน้ำ”
“ท่านไม่ใช่อนุของใครแล้ว ตอนนี้ท่านคือสาวโสด จำเอาไว้ให้ดี ๆ ล่ะ”
“จริงด้วย”
เฉาซูหลิ่งแค่นขำให้ตัวเองเบา ๆ กระทั่งหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาอยู่ในมือ นางยังคิดว่าตัวเองเป็นอนุของหลี่หย่วนเจ๋ออยู่อีก
สักพักใหญ่ ๆ สาวใช้ผู้หนึ่งได้เข้ามาเชิญพวกนาง ไปกินข้าวร่วมกันกับเจ้าของเรือน
“หม่าฮูหยินท่านทำเช่นนี้ข้ากับลูก ๆ เกรงใจนะเจ้าคะ ให้พวกข้ากินข้าวในเรือนก็ได้ ท่านจะได้กินกับคุณชายอย่างสบายใจ” เฉาซูหลิ่งนึกเกรงใจเจ้าของเรือนเป็นอย่างมาก
“นั่งลงก่อนเถอะ นี่หยวนเหวินเซียวบุตรชายของข้าเอง” หม่าหลิงเฟยเผยมือไปทางบุตรชาย ที่นั่งอยู่บนรถเข็นด้านข้าง
“เหวินเซียวคำนับท่านน้าขอรับ”
เขาทำเพียงค้อมศีรษะลงเล็กน้อย เขาเรียกอีกฝ่ายตามที่มารดาบอกไว้ก่อนหน้า
“เกรงใจคุณชายหยวนแล้วเจ้าค่ะ เจ้าสองคนมาทักทายคุณชายหยวนเร็วเข้า” นางหันไปกวักมือเรียกลูก ๆ ให้เข้ามา
“เสี่ยวหยวนคำนับพี่ชายหยวนขอรับ”
หลี่เหวินเซียวถึงกับอมยิ้มทันที เขาจำเสียงเจ้าตัวน้อยแสนซุกซนคนนั้นได้ วางมือไปที่เก้าอี้ตัวด้านข้าง “เสี่ยวหยวนมานั่งข้างข้าเร็วเข้า”
เสี่ยวหยวนน้อยหันไปมองหน้ามารดากับพี่สาว ครั้นเห็นพวกนางพยักหน้าให้จึงรีบเอ่ย “ขอรับพี่ชายหยวน”
“เหยาเอ๋อร์เงียบทำไมล่ะ” เฉาซูหลิ่งเห็นบุตรสาวยืนนิ่งจึง กระตุกแขนเสื้อนาง
“เมิ่งเหยาคำนับคุณชายสามเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งเหยาอธิบายไม่ถูกว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร คนผู้นี้เดิมทียืนตัวตรงเป็นสง่า พอได้เห็นใบหน้าของเขาถึงได้จำได้ ว่าหน้าตาเป็นเช่นนี้จริง ๆ
เพียงแต่ตอนนี้เขามีริ้วรอย แห่งความบอบช้ำทางจิตใจ ทั้งยังมีผ้าพันรอบดวงตาเอาไว้ ร่างกายไม่ได้แข็งแรงเหมือนแต่ก่อน ต้องนั่งอยู่บนรถเข็นเช่นนี้
“เจ้าคือเด็กผู้นั้นเมื่อห้าปีก่อนหรือ”
หยวนเหวินเซียวหันหน้าไปทางทิศเสียงของนาง นึกเสียดายที่ไม่ได้เห็นหน้าของนาง ยามเติบโตเป็นผู้ใหญ่
“เป็นข้าเองเจ้าค่ะ”
“เรียกคุณชายสามอันใดกัน เจ้าเรียกข้าว่าท่านป้า เช่นนั้นต้องเรียกเขาว่า พี่เหวินเซียวถึงจะถูก” หม่าหลินเฟยเอ่ย
นี่ไม่สนิทสนมเกินไปหรือ
“เจ้าค่ะท่านป้า” หลี่เมิ่งเหยายิ้มบาง ๆ จากนั้นทุกคนก็นั่งลงพร้อมกินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน
ระหว่างกินข้าวหลี่ เมิ่งเหยาลอบมองหยวนเหวินเซียวเงียบ ๆ แม้ดวงตามืดบอด แต่เขากลับกินข้าวได้ราวกับเป็นคนปกติทั่วไป เพียงแต่จานกับข้าวของเขา ดูเหมือนจะไม่ได้รวมกับผู้อื่น เรียกว่าแยกออกเป็นส่วนตัว เพียงแค่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน
“พี่ชายหยวนท่านกินนี่สิ เนื้อปลานี่อร่อยมาก” เสี่ยวหยวนใช้ตะเกียบกลางคีบเนื้อปลาใส่จานของเขา
“ขอบคุณเจ้ามากเสี่ยวหยวน” หยวนเหวินเซียวยกฝ่ามือขึ้นลูบศีรษะกลมน้อยของเขาเบา ๆ
“พี่ชายหยวนต้องกินเยอะ ๆ นะขอรับ จะได้หายเร็ว ๆ”
คำพูดเจื้อยแจ้วของเสี่ยวหยวน ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหาร ดูไม่เงียบเหงาจนเกินไป หม่าหลิงเฟยแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาอย่างชัดเจน
เฉาซูหลิ่งที่กำลังเอ่ยปากตำหนิบุตรชาย ถูกหลี่เมิ่งเหยาดึงแขนเอาไว้ไม่ให้พูด ดูไปแล้วการมีเสี่ยวหยวนอยู่ที่นี่ นับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับหยวนเหวินเซียว
พอกลับถึงเรือนพักนางถึงได้อธิบายให้มารดาได้เข้าใจ
“เหยาเอ๋อร์เจ้าว่าอะไรนะ”
“ข้าบอกว่าให้เสี่ยวหยวน ไปหาไปเล่นกับพี่เหวินเซียวบ่อย ๆ เถอะ ดูเขาเศร้ากับเรื่องดวงตาและความพิการ การมีเสี่ยวหยวนคอยพูดคุยกับเขา นับว่าส่งผลดีต่อจิตใจของเขาอยู่ไม่น้อย นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้ท่านป้าหม่า ชวนพวกเรามาพักอยู่ที่นี่”
“จริงหรือ” เฉาซูหลิ่งไม่เคยนึกถึงเหตุผลข้อนี้มาก่อน นางจึงรู้สึกประหลาดใจหลังได้ยิน
“จริงสิเจ้าคะ เวลาไปหาพี่เหวินเซียว ก็ให้ลุงจงตามเขาไปด้วย จะได้คอยระมัดระวัง ไม่ทำพี่เหวินเซียวบาดเจ็บได้ ยิ่งซุกซนอยู่ด้วย” นางคิดรอบคอบเข้าไว้
“ได้ข้าจะกำชับเขาเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงไป” บุตรสาวของนางเป็นผู้ใหญ่แล้วจริง ๆ กระทั่งความคิดความอ่าน ยังครอบคลุมทุกด้าน
“ส่วนท่านก็ไปพูดคุยกับท่านป้าหม่าบ่อย ๆ ก็ได้ อยู่ที่นี่ค่อนข้างเงียบเหงาท่านแม่ก็รู้ แต่ไม่ต้องไปละลาบละล้วง ถามเรื่องส่วนตัวของพวกเขาล่ะ ข้ารู้สึกว่าพวกเขา คงมีเรื่องทุกข์ใจอยู่ก่อนหน้าแล้ว ท่านเพียงพูดคุยรับฟังก็พอ”
“เจ้าเป็นลูกหรือเป็นแม่กันแน่ สั่งสอนเสียเหมือนข้าเป็นเด็กไม่รู้ความ” นางกลอกตาใส่บุตรสาวเล็กน้อย
ข้าก็กลัวท่านจะไม่รู้ความนั่นแหละ
“ท่านแม่เลิกคิดเรื่องท่านพ่อนะเจ้าคะ”
“ข้าไปคิดถึงพ่อเจ้าตอนไหนกัน” เฉาซูหลิ่งเอ่ยเหมือนร้อนตัว
“ข้าเห็นหน้าท่านก็รู้แล้ว ข้าไม่อยากพูดตรง ๆ เพราะกลัวท่านจะเสียใจ แต่หากไม่พูดออกไป ก็กลัวท่านจะยังมีเยื่อใยเหลืออยู่” นางรู้จักมารดาผู้ใจอ่อนของตนดี ห้าปีที่ผ่านมานางเฝ้ารอสามีมาโดยตลอด
“ท่านแม่เห็นหรือไม่ ว่านอกจากคนในตระกูลหลี่แล้ว ยังมีบ่าวไพร่ตามมาด้วยสองสามคน”
“เห็นสิมีพ่อบ้านหลัวกับแม่นมสวี แล้วก็สาวใช้เก่าแก่อีกหนึ่งคนกระมัง” เฉาซูหลิ่งนึกใบหน้าของเขาออก
“มันหมายความว่าอันใดท่านรู้หรือไม่”
เฉาซูหลิ่ง “...”
“ในสายตาของคนตระกูลหลี่ ข้ากับท่านไม่มีค่าเท่าบ่าวรับใช้เหล่านั้นด้วยซ้ำ”
นางไม่ได้เอ่ยถึงน้องชาย เพราะพวกเขามีท่าทีอยากได้เขาไว้อยู่ เพียงแต่เอ่ยว่าตัวนางกับมารดานั้น ไร้ความหมายในสายตาของคนตระกูลหลี่เพียงใด
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ยังเป็นบุตรสาวที่ต้องมาเตือนสติมารดาเช่นนาง
นางเอ่ยกับมารดาอีกไม่กี่คำ ก็กลับไปยังห้องนอนของตนเอง ล้มตัวลงนอนเพื่อเข้าไปในเรือนโลกันตร์ เรือนโอสถยังมีตำราเกี่ยวกับการรักษาดวงตาอยู่ ส่วนเรื่องขาพิการนางเหมือนจะเห็นอยู่เหมือนกัน หากได้ศึกษาดี ๆ อาจช่วยเหลือเขาได้
เรือนตระกูลหลี่
เรื่องที่หลี่เมิ่งเหยาเข้าไปในเรือนของเพื่อนบ้าน และไม่กลับออกมาอีกเลย รู้มาถึงหูของคนในตระกูลหลี่ พวกเขาต่างคิดกันไปคนละทิศทาง บางคนถึงกับแอบคิดว่า เฉาซูหลิ่งคบชู้ที่เรือนด้านข้าง ถึงกล้าพาลูก ๆ ไปอยู่ที่นั่น
“พวกเราเพิ่งมาถึงที่นี่ ไม่รู้ความสัมพันธ์ของพวกนางว่าเป็นอย่างไร ก็อย่าเพิ่งคิดเป็นอื่นไปเลย” หลี่หงซวนยังไม่ปักใจเชื่อ แม้จะยังเคลือบแคลงสงสัยอยู่
“เช่นนั้นให้พ่อบ้านหลัว ไปสืบข่าวจากคนแถวนี้ดูก่อนไหม” ฮูหยินผู้เฒ่าเสนอความคิด “อย่างไรเสียเด็กสองคนนั้น ก็เป็นสายเลือดของตระกูลหลี่ เข้าไปอยู่ในเรือนผู้อื่นเช่นนี้ไม่ควรจริง ๆ”
“ไม่ใช่ว่าพวกเราไล่พวกนางออกไปเองรึ พวกนางจะไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลหลี่อีกต่อไป”
หลี่ปิงซือไม่อยากให้บิดามารดาสนใจเรื่องของพวกเขา
“มาคิดถึงพวกเรากันดีกว่า ท่านพ่อจะมอบโฉนดเรือนหลังนี้ ไว้ที่ใครหรือขอรับ”
“ข้าคิดว่าจะมอบไว้กับสหายผู้หนึ่ง เขาเป็นคนเมืองอื่นคบหากันมานานแล้ว” หลี่หงซวนเอ่ยตอบบุตรชายคนรอง
“ไว้ใจได้หรือไม่หากถูกยึดเรือนไปอีก คราวนี้พวกเราได้นอนกลางดินกินกลางทรายกันจริง ๆ” เก่อจิวลู่สะใภ้รองของตระกูลเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นกังวล
“วางใจเถอะสหายผู้นี้เป็นคนดี ข้าส่งจดหมายไปแจ้งไว้แล้ว เดี๋ยววันนี้ข้าจะไปที่ว่าการ โอนโฉนดเป็นชื่อของเขาไว้ อาจติดสินบนนิดหน่อย ให้เปลี่ยนวันเวลาในการมอบเรือน”
หลี่หงซวนแอบเก็บตั๋วเงินไว้กับตัวเล็กน้อย ทหารเหล่านั้นไม่กล้าแตะต้องตัวของเขา น่าจะพอให้ติดสินบนคนที่ว่าการได้
“พวกเจ้าทุกคนมีอะไรขาดเหลือหรือไม่ ที่หลับนอนเป็นอย่างไรกันบ้าง” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม
“เครื่องนอนมีพร้อมเจ้าค่ะท่านแม่ บ้านรองของพวกเรา มีของครบไม่มีขาดอันใด” เก่อจิวลู่ตอบ
“ของบ้านสามก็มีทุกอย่างครบเจ้าค่ะ” จี้ชิวหรงเอ่ยตอบ
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงหันไปทางหลี่เยี่ยนจือ หลานสาวจากบ้านใหญ่ “เจ้าล่ะหลานเอ๋อร์”
“ข้าไม่ขาดอะไรเจ้าคะ”
นางตอบพร้อมยิ้มฝืน ๆ ยามนี้ทุกคนต่างยังมีพ่อแม่อยู่พร้อมหน้า มีเพียงนางที่เหลือตัวคนเดียว
“นับว่าอนุเฉาไม่ได้อยู่ที่นี่ แบบยากลำบากอย่างที่คิด ข้าวของเครื่องใช้พวกนี้ ล้วนแต่มีราคาทั้งนั้น กระทั่งเครื่องนอนก็มีพร้อม เปลี่ยนครบทั้งเจ็ดวัน”
หลี่ปิงซือยังนึกสงสัย ในความเป็นอยู่ของพวกนาง “ไม่รู้ว่าพวกนาง หาเงินมาใช้จ่ายจากไหนกัน”
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน