หลี่เมิ่งเหยาให้มารดาพาน้องชายกับป้าหลู เข้าไปสอบถามเรื่องเช่าเรือนกับหม่าหลิงเฟย ให้ลุงจงทำหน้าที่ขนของขึ้นรถม้าเพียงลำพัง ส่วนตัวนางเดินไปทวงหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยากับบิดา
“เหลวไหล ! นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กจะมาพูดกับผู้ใหญ่ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดใส่นางเสียงดังลั่น อารมณ์โกรธก่อนหน้ายังไม่จางลง กลับถูกนางทำให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่ได้มาขอเฉย ๆ แต่ข้ามีของมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยาไม่ได้มีท่าที กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย
หลี่หวงซวนรู้สึกไม่รู้จักหลานสาวผู้นี้ของตนจริง ๆ
“เจ้าว่ามามีอะไรมาแลกเปลี่ยน”
หลี่เมิ่งเหยากระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
“พวกท่านรู้หรือไม่ยามที่ข้ากับท่านแม่ ถูกพวกท่านขับไล่ออกจากจวนมาอยู่ที่นี่ เรือนแห่งนี้มีสภาพผุพังเพียงใด แม้แต่ห้องสุขายังไม่มีด้วยซ้ำ ข้าเสียเงินซ่อมแซมไปก็มากโข กระทั่งเครื่องเรือนที่พวกท่านเห็นอยู่นี่ ก็ซื้อใหม่ทั้งหมด พวกท่านทิ้งเรือนไปเสียนาน โจรขโมยมาลักของไปจนเกลี้ยง”
นางเอ่ยแล้วก็เดินไปเคาะรูปปั้นเณรน้อยเบา ๆ
“พวกท่านไล่ข้ากับแม่ ออกจากเรือนแห่งนี้ย่อมได้ แต่ข้าจะนำของของข้าออกไปด้วย โต๊ะ ตู้ เตียง เก้าอี้ ผ้าม่าน เครื่องครัว กระทั่งกระเบื้องบนหลังคา ห้องสุขาก็จะทุบทิ้งเสีย !”
ฮูหยินผู้เฒ่าถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเบา ๆ หากทำเช่นนี้เรือนนี้จะยังเหลือสิ่งใดอยู่อีก
“เจ้าเอ่ยสิ่งใดออกมา ของในเรือนแห่งนี้ ย่อมเป็นของตระกูลหลี่” หลี่หงซวนไม่เชื่อ
หลี่เมิ่งเหยาหันไปทางผู้เป็นปู่
“ท่านปู่อยากได้หลักฐานหรือไม่ ช่างทำไม้ในเมืองนี้ มีรายการซื้อขายของของข้าทุกชิ้น ช่างซ่อมแซมห้องสุขาข้าก็รู้จัก ช่างซ่อมกระเบื้องให้คนไปตามพวกเขา มาเป็นพยานให้ข้าเดี๋ยวนี้ยังได้”
“หลี่เมิ่งเหยาอย่าให้มันเกินไปนัก”
บิดาของนางเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“ข้าทำเกินไปหรือท่านพ่อ ข้าขอแค่หนังสือปลดปล่อยอนุภรรยา เหตุใดรั้งรอไม่เขียนให้เล่า ห้าปีเต็มที่ท่านไม่เคยมาสนใจข้ากับท่านแม่ เหตุใดยามนี้ถึงไม่อยากปล่อยนางไป จะให้นางเฝ้ารอคอยความรัก ที่ไม่เคยมีอยู่จริงอย่างนั้นรึ อีกอย่างท่านพ่อเองก็มีครอบครัวสุขสันต์อยู่แล้ว มีทั้งภรรยาและบุตรชายที่น่ารัก เหตุใดยังต้องการให้ท่านแม่ของข้า แขวนชื่อเป็นอนุภรรยาของท่านอีก คนที่เห็นแก่ตัวคือตัวท่านนั่นแหละ หากท่านไม่มอบหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาให้ท่านแม่ ข้าจะขนของทั้งหมด ออกไปจากเรือนแห่งนี้อย่างแน่นอน หากพวกท่านไม่ยอม ข้าจะไปฟ้องทางการให้มาตัดสิน”
หลี่เมิ่งเหยายืดอกเชิดหน้า ไม่มีความหวั่นกลัวแต่อย่างใด ต่อให้สายตาของคนตระกูลหลี่จ้องมาที่นาง นางก็จะจ้องตอบกลับอย่างไม่ลดละ จนพวกเขาเบนสายตาหลบหนีไปเอง
หลี่ปิงซือรีบกระซิบกับบิดา “เรื่องนี้ถึงทางการไม่ได้นะขอรับ เรายังไม่ได้โอนชื่อเรือนเป็นของผู้อื่นเลย”
ดวงตาของชายชราเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ รีบเอ่ยขึ้น
“หย่วนเจ๋อเจ้ามอบหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยา ให้พวกนางไปเถอะ จะได้ตัดขาดจากกันไปให้จบ ๆ”
“ท่านพ่อแต่ว่า”
“ท่านปู่เอ่ยมาถูกต้องแล้ว ตัดขาดกันไปให้มันจบ ๆ”
น้ำเสียงเย็นชาของหลี่เมิ่งเหยา ทำให้หลี่หย่วนเจ๋อรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา แต่สายตาของคนในตระกูล กำลังบีบบังคับให้เขา ยอมรับการตัดสินใจของบิดา
“ก็ได้เจ้าไปเอากระดาษกับพู่กันมาเถอะ” เขายอมถอดใจในที่สุด
หลี่เมิ่งเหยาแย้มรอยยิ้มในทันที นางเดินเข้าไปในห้องหนังสือ หยิบกระดาษกับพู่กันออกมาให้บิดา มองดูเขาเขียนหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยา ด้วยสายตาว่างเปล่า หนังสือถูกเขียนออกมาสองฉบับ ต่างเก็บไว้คนละฉบับ
หลี่เมิ่งเหยามองตัวอักษรบนกระดาษ รู้สึกว่าปัญหาใหญ่ที่คาใจนาง มาตลอดห้าปีได้ปลดวางลงแล้ว “ข้าต้องเอาไปให้นายทะเบียนประทับตรา ถึงจะมีผลใช่หรือไม่”
“ใช่” หลี่หย่วนเจ๋อตอบ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง แต่พอคิดว่าเขาทอดทิ้งบุตรสาวผู้นี้ไปถึงห้าปีเต็ม ไม่ผิดหากนางจะหมางเมินเช่นนี้ “แล้วแม่กับน้องชายเจ้าเล่า”
“ข้าให้ท่านแม่ไปขอเช่าเรือนผู้อื่นอยู่ ไม่รู้จะได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ อาจไปหาโรงเตี๊ยมในเมืองอยู่ไปก่อน”
นางเอ่ยโดยไม่ได้มองสีหน้าเจ็บปวด แกมละอายใจของเขา ม้วนเก็บหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาอย่างวางใจ
“หืม” มีเจ้าก้อนแป้งตัวน้อยมาเกาะที่ขาของนาง
“อี้เอ๋อร์ออกมานี่ลูก”
จี้ชิวหรงวิ่งตามบุตรชายมาติด ๆ แต่เจ้าตัวน้อยกลับกอดขาของหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้แน่น
“อา..อุ้ม ๆ” อี้เอ๋อร์ตัวน้อยดึงกระโปรงของพี่สาวแรง ๆ
ความเย็นชาในสายตาของหลี่เมิ่งเหยาค่อย ๆ จางหายไป นางย่อตัวลงอุ้มน้องชายต่างมารดาขึ้นมา ตัวของเขาเบากว่าเสี่ยวหยวนน้อย จึงทำให้อุ้มได้สบาย อยากหอมแก้มนิ่ม ๆ นี่จัง แต่ไม่เหมาะจะเอ็นดูจริง ๆ
คนตระกูลหลี่เห็นภาพตรงหน้า พลันขอบตาร้อนผ่าวกันหมด นี่ไม่ใช่พี่สาวได้พบหน้าน้องชายหรอกรึ แต่พวกเขากลับขับไล่พวกนางออกจากเรือนไป
โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่านางถอนหายใจเบา ๆ จนสามีต้องจับมือเอาไว้
“ในเมื่อท่านพ่อเขียนหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาให้แล้ว เช่นนั้นพวกท่าน ก็ใช้ข้าวของในเรือนนี้ได้ตามสบายเถอะ ข้าหาซื้อใหม่เอาก็ได้”
นางเอ่ยแล้วยื่นน้องชายให้บิดาอุ้ม ล้วงหยิบถุงเงินออกมาถุงหนึ่งยื่นให้เจ้าตัวน้อย
เด็กน้อยไร้เดียงสา ไร้ซึ่งความผิด
“ชื่ออี้เอ๋อร์สินะ นี่เป็นของขวัญพบหน้าจากพี่สาว เก็บเอาไว้ดี ๆ ล่ะ” นางจับมือน้อย ๆ ของเขา ให้รับถุงเงินของนางไป แล้วหันไปทางผู้ใหญ่ของตระกูล โค้งคำนับให้ทุกคนพอเป็นพิธี “ข้าขอลา”
“เดี๋ยวก่อน แล้วแม่กับน้องชายเจ้า ไม่คิดมาลาข้าเลยรึ” หลี่หย่วนเจ๋อยังอยากเห็นหน้าบุตรชายอีกครั้ง
“ไม่จำเป็น” หลี่เมิ่งเหยาเดินจากไป โดยไม่สนใจเสียงทักท้วงของเขาอีก
จี้ชิวหรงอุ้มบุตรชายมาจากสามี นางเปิดถุงเงินดูพบว่ามีก้อนเงินอยู่ราวสิบตำลึง คิ้วนางขมวดเข้าหากันแน่น เหตุใดหลี่เมิ่งเหยาถึงมอบเงินจำนวนนี้ ให้บุตรชายของนางได้
พวกนางอยู่ที่นี่หาเงินใช้จ่ายจากช่องทางไหนกัน ได้แต่เก็บความสงสัยนี้เอาไว้
“แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าโบกมือให้ลูกหลานกลับห้องของตัวเองไป
ฝ่ายหลี่เมิ่งเหยาที่ขึ้นรถม้า ออกจากเรือนไปพร้อมกับลุงจง นางให้เขาจอดรออยู่ที่หน้าเรือนของหม่าหลิงเฟย และเคาะห่วงให้คนมาเปิดประตูให้ ไม่รู้มารดาของนาง เจรจาได้ความว่าอย่างไร ตั้งใจให้นางพาเสี่ยวหยวนไปออดอ้อนเสียด้วยสิ
“คุณหนูหลี่เชิญขอรับ”
บ่าวรับใช้เหมือนรู้ว่านางต้องมา จึงรีบเชิญไปที่ห้องโถงของเรือน เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของมารดาดังลอดออกมาข้างนอก
ขายหน้ายิ่งนัก
“เมิ่งเหยาคำนับหม่าฮูหยินเจ้าค่ะ” นางวางมือตรงเอวน้อมตัวคำนับเจ้าของเรือน
“นั่งลงก่อนเถอะ” หม่าหลิงเฟยผายมือเชิญนางให้นั่ง
หลี่เมิ่งเหยานั่งแล้วหันไปทางมารดา พร้อมเอ่ยตำหนินาง
“ท่านแม่ข้าให้ท่านมาขอเช่าเรือนนะเจ้าคะ ไม่ใช่มาเล่าเรื่องทุกข์ใจของตัวเองให้หม่าฮูหยินฟัง”
“เอ่อ ข้า ข้า ขออภัยหม่าฮูหยินเจ้าค่ะ” เฉาซูหลิ่งรีบเช็ดน้ำตา หันไปเอ่ยขอโทษกับหม่าหลิงเฟย
“ไม่เป็นไร ๆ เพื่อนบ้านกันทั้งนั้น แต่ว่าเรื่องเช่าเรือนนั้น คงไม่จำเป็นหรอก”
“เหตุใดท่านเอ่ยเช่นนั้นเจ้าคะ หรือว่าไม่สะดวกใจให้เช่า เช่นนั้นข้าก็จะไม่รบเร้าท่านอีกต่อไป”
หลี่เมิ่งเหยาไม่ใช่คนไร้เหตุผล หากเจ้าของเรือนไม่อนุญาตนางก็ไม่คิดดื้อดึง เหตุที่อยากเช่าเรือนของพวกเขา เป็นเพราะนางชินกับการอาศัยอยู่ในตรอกหนิงอันแห่งนี้แล้ว เลยไม่อยากจากไปไหนไกล อีกทั้งละแวกนี้ตรอกแห่งนี้ดูสงบเงียบ ไม่วุ่นวายที่สุดแล้ว
“เมิ่งเหยาเจ้าก็อย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป เรือนของข้านั้นยังว่างอยู่หลายห้อง ข้าคิดว่าให้พวกเจ้า พักอาศัยอยู่ไปก่อนชั่วคราว จนกว่าจะหาเรือนแห่งใหม่ได้ ขืนไปเช่าเรือนร้างพวกนั้น เกรงว่าจะไม่สะดวก ตัวเรือนผุพังไปหลายส่วน ยังไม่มีเวลาไปซ่อมแซม”
หม่าหลินเฟยพยายามหาข้ออ้างมาเอ่ย
“จะดีหรือเจ้าคะ”
หลี่เมิ่งเหยาไม่ค่อยแน่ใจ สภาพเรือนไม่น่าจะผุพัง ดังที่อีกฝ่ายกล่าวมา เพราะนางเห็นมีคนเข้าไป ทำความสะอาดเรือนพวกนั้นอยู่ตลอดเวลา
“ย่อมดีแน่นอน อีกอย่างข้าอยู่ที่นี่ตามลำพัง ค่อนข้างเงียบเหงา หากมีพวกเจ้าเป็นเพื่อนคงดีไม่น้อย”
หลี่เมิ่งเหยาเข้าใจในเจตนารมณ์ของนางแล้ว
“หม่าฮูหยินเจ้าคะเกรงว่าจะไม่ดี ข้ายังเป็นอนุของตระกูลหลี่ หากมาอาศัยเรือนของผู้อื่นอยู่ ย่อมไม่เหมาะสม” เฉาซูหลิ่งยังมีหน้าไปคิดถึงคนตระกูลหลี่
หลี่เมิ่งเหยารู้สึกเอือมระอามารดาตนเองเล็กน้อย “ท่านแม่ท่านไม่ใช่คนตระกูลหลี่แล้วเจ้าค่ะ” นางล้วงม้วนกระดาษออกมาส่งยื่นให้มารดา
“นี่อะไร” เฉาซูหลิ่งคลี่ม้วนกระดาษออกอ่าน แต่ลืมไปว่าตัวเองอ่านไม่ออก ได้แต่เงยหน้าขึ้นมองบุตรสาว
“หนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาเจ้าค่ะ ข้าไปขอให้ท่านพ่อเขียนให้”
ดวงตาของเฉาซูหลิ่งพลันเปิดกว้างขึ้นอย่างตกใจ “หนังสือปลดปล่อยอนุภรรยา...”
“ใช่เจ้าค่ะ เดิมทีท่านพ่อไม่อยากเขียนหนังสือนี่หรอก ข้าจึงยื่นคำขาดไปว่า หากไม่เขียนหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยา ข้าจะเอาเครื่องเรือนของใช้ทั้งหมดออกมาด้วย กระเบื้องหลังคาก็จะเอามา ห้องสุขาก็จะทุบทิ้ง พวกเขาจึงยอมให้ท่านพ่อเขียนมัน”
หลี่เมิ่งเหยาเอ่ยอย่างไม่รู้สึกว่าตัวเองทำสิ่งใดผิด
“ไอหยา พี่หญิงใหญ่จะทุบส้วมทิ้ง แล้วข้าจะไปปล่อยทุกข์ที่ไหนล่ะ” เสี่ยวหยวนน้อยจับก้นตนเองทันที ใครได้ยินก็ต้องขำออกเสียงให้ได้ยิน
หม่าหลิงเฟยเหมือนได้เปิดมุมมองใหม่ บุตรสาวของบ้านนี้ดูเหมือนจะสามารถตัดสินใจแทนมารดาได้ด้วยซ้ำ นางเห็นเฉาซูหลิ่งมีอาการเหม่อลอย คล้ายยังทำใจไม่ได้กับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาในมือ จึงหันไปเอ่ยกับคนเป็นบุตรสาวแทน
“ไหน ๆ ก็ออกมาแล้ว อยู่ที่นี่ไปก่อนดีหรือไม่”
“ดีเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งเหยาตอบรับทันที
“เหยาเอ๋อร์” เฉาซูหลิ่งรู้สึกแปลก ๆ ที่ต้องอาศัยเพื่อนบ้านอยู่เช่นนี้
“อยู่ที่นี่ไปก่อนเถอะท่านแม่ เอาไว้พร้อมเมื่อไหร่ค่อยออกไปหาซื้อเรือนหลังใหม่ ยามนี้พระอาทิตย์ใกล้ตกดินแล้วด้วย ลุงจงขนของมาเต็มรถม้า ไปไหนมาไหนลำบากเจ้าค่ะ”
หลี่เมิ่งเหยามีเหตุผลมากกว่านั้น นางอยากรู้อาการของคุณชายสามผู้นั้น ยิ่งหม่าหลิงเฟยยื่นมือเข้าช่วยเหลือครอบครัวของนางด้วยแล้ว หากจะตอบแทนนางเสียหน่อย คงไม่ยากเย็นเท่าใด
หม่าหลินเฟย “เฉาฮูหยินเจ้าทำตามที่เมิ่งเหยาพูดเถอะ”
“ท่านไม่ต้องเรียกข้าเช่นนี้ ตอนนี้ข้าเป็นอิสระแล้ว เรียกข้าว่าซูหลิ่งก็พอเจ้าค่ะ”
“ได้ซูหลิ่ง ส่วนเจ้าสองคนก็เรียกข้าว่าท่านป้าเถอะ คนกันเองทั้งนั้น” แม้ได้พบเจอพวกเขาไม่กี่วัน แต่ความรู้สึกสบายใจกลับสัมผัสได้อย่างง่ายดาย หันไปทางแม่นมหู
“ท่านให้คนไปเตรียมห้องนอนให้พวกเขาที”
แม่นมหูยิ้มรับ “เจ้าค่ะฮูหยิน”
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน