สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น
สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง
จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที
“ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ
“ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ”
“ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่”
“ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ”
“ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือน ได้พูดคุยกันเล็กน้อย ถึงได้รู้ว่าเฉาซูหลิ่งไปขอเช่าเรือนของนาง ที่ว่างอยู่ในตรอกหนิงอัน แต่หม่าฮูหยินให้พวกนาง พักอยู่ในเรือนชั่วคราวไปก่อน เมื่อหาเรือนอยู่อาศัยได้แล้ว ค่อยย้ายออกไป”
จี้ชิวหรงเอ่ยแล้วสังเกตสีหน้าของสามีไปด้วย เห็นเพียงเขาทำหน้ายุ่งไม่ค่อยสบอารมณ์
“นางคิดอะไรของนางกันแน่ ถึงได้พาลูก ๆ ไปอยู่เรือนผู้อื่นเช่นนั้น”
“ข้าก็ไม่รู้เจ้าค่ะ” นางเอ่ยเพียงเท่านั้น ก็พาบุตรชายเข้าไปนอนกลางวัน
หลี่หย่วนเจ๋อเดินไปยังห้องหนังสือของเรือน เขาพบว่าที่นี่มีร่องรอยของลูก ๆ ของเขาอยู่เต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นกระดาษคัดลายมือที่ลงชื่อว่าหลี่ชงหยวน ภาพวาดที่มีชื่อของหลี่เมิ่งเหยาเขียนกำกับเอาไว้
เพราะถูกไล่ออกจากเรือนไปอย่างกะทันหัน ทำให้พวกนางไม่ได้มาเก็บของในห้องหนังสือไป แต่อย่างน้อยบุตรชายของเขา ก็รู้ตัวอักษร
ขณะที่ตระกูลหลี่ พยายามหาช่องทางอยู่รอดในเมืองฉาง หลี่เมิ่งเหยาเองก็ต้องการหาทาง ขายโอสถที่นางปรุงขึ้นเหมือนกัน ตั้งแต่นางย้ายมาอยู่ในเรือนของหม่าหลินเฟย นางก็ขลุกตัวอยู่แต่ในห้อง ทำการศึกษาในเรือนโอสถ นี่
ห้าวันต่อมานางจึงบอกแม่นมหู ว่าต้องการออกไปทำธุระนอกเรือนกับลุงจง แม่นมหูคิดนางคงออกไปหาที่ทางอยู่ใหม่ จึงมารายงานให้ฮูหยินของตนได้รู้
หม่าหลินเฟยนั่งคุยกับบุตรชายในสวนอยู่พอดี ด้านข้างมีเสี่ยวหยวนนั่งคัดตัวอักษรอยู่ แม้อยู่ที่นี่พี่สาวของเขาก็ไม่ยอมให้เขา เที่ยวเล่นเปล่าประโยชน์ ให้เขาเอากระดาษพู่กันติดตัวมาด้วย
“เมิ่งเหยาออกไปข้างนอกกับจงกุ้ยรึ ไม่ใช่ว่าไปหาเรือนอยู่ใหม่หรอกนะ” หม่าหลินเฟยเอ่ยแล้วถอนหายใจเบา ๆ
“พี่หญิงใหญ่จะหาเรือนใหม่หรือขอรับ ข้ายังอยากเรียนหนังสือกับพี่ชายหยวนอยู่เลย พี่หญิงใหญ่สอนไม่ค่อยรู้เรื่อง” เสี่ยวหยวนน้อยรีบฟ้อง
หยวนเหวินเซียวอดขำเขาไม่ได้ “เหตุใดไปว่านางเช่นนั้น”
“นางชอบสอนอะไรแปลก ๆ ข้าอยู่เรื่อย”
“เช่นอะไรบ้างล่ะ” หยวนเหวินเซียวแอบอยากรู้
“นี่ไงพี่ชายหยวน นางสอนข้าเขียนตัวเลขแบบนี้ แต่พอข้าเอาไปถามคนอื่นในบ้าน ก็ไม่มีใครรู้จัก เอาไปถามคนข้างนอก ก็มีแต่คนหาว่าข้าโง่ ร่ำเรียนอะไรมาเสียเวลาเปล่า ๆ”
“นี่มันอะไร” หม่าหลินเฟยหยิบกระดาษ ที่เป็นตัวเลขสมัยใหม่ขึ้นมาดู “ข้าเองก็ไม่รู้จัก”
“นี่เรียกว่าเลขหนึ่ง นี่เลขสอง...” เสี่ยวหยวนชี้นิ้วอธิบายให้เข้าใจ “เห็นไหมเล่ามีเพียงข้ากับพี่หญิงใหญ่ที่เข้าใจ คนอื่นไม่เห็นจะรู้เรื่องด้วย”
“แล้วการคิดเลขล่ะ พี่หญิงใหญ่เจ้าสอนด้วยหรือไม่” หยวนเหวินเซียวสนใจตัวอักษรแปลกประหลาดเหล่านี้
“สอนขอรับ” เสี่ยวหยวนตอบคล้ายไม่ได้สนใจ เขานำกระดาษกลับไปนั่งคัดตัวอักษรที่นั่งของตัวเองต่อ
“เมิ่งเหยานี่มีความคิดแปลกประหลาดดีจริง ๆ” หม่าหลินเฟยอดทึ่งในตัวของนางไม่ได้
“นางคิดค้นอะไร ที่เข้าใจกันได้เพียงสองคนพี่น้อง มันจะมีประโยชน์อันใดกับเสี่ยวหยวนเล่า วันก่อนข้าได้ยินจากหลินต๋าว่าคนตระกูลหลี่มาหาท่านแม่หรือขอรับ”
“ใช่” หม่าหลินเฟยเลยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บุตรชายได้รับรู้ด้วย จะได้รับรู้สถานการณ์ของเพื่อนบ้านคนใหม่ เผื่อจะได้รับมือกันในวันข้างหน้า
“มากคนก็มากความ หากเป็นไปได้ ก็ไม่ต้องคบหาพวกเขาอย่างลึกซึ้งหรอก ทำตามมารยาทเป็นพอ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด คนตระกูลหลี่ถึงย้ายมาอยู่ที่นี่ได้ทั้งตระกูล ข้าไม่อยากถามเอากับเฉาซูหลิ่ง เดี๋ยวจะหาว่าไปก้าวก่าย เรื่องราวในเรือนของนาง”
“เรื่องนั้นท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงไป ข้าให้ห้าวตงไปสืบหาความจริงแล้วขอรับ”
“มิน่าข้าถึงไม่เห็นหน้าเขามาหลายวัน”
“วันนี้น่าจะกลับมาได้แล้ว เมืองถังอยู่ไม่ไกลเท่าใด เขาขี่ม้าเร็วไปด้วย” เอ่ยยังไม่ทันขาดคำ ฉีห้าวตงก็เดินเข้ามาในสวนเสียแล้ว
เขาคำนับสองแม่ลูกก่อนรายงานเรื่องราวที่ได้รับรู้มา เล่าตั้งแต่เริ่มแรก เรื่องของหลี่ปิ่งเฉิงยักยอกเสบียงทหารในกองทัพ จนถูกสั่งประหารชีวิต
บิดาถูกถอดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองถัง และยึดทรัพย์สินของตระกูลหลี่ทั้งหมด และห้ามรับราชการไปอีกสามรุ่น
“เรื่องของเฉาซูหลิ่งได้สืบมาด้วยหรือไม่”
หยวนเหวินเซียวไม่ได้วางใจในทีเดียว เมื่อเฉาซูหลิ่งกับบุตรของนางได้เข้ามาอยู่ในเรือน เขาได้ให้ฉีห้าวตงออกไปสืบหาเรื่องราวในอดีต เพื่อความแน่ใจอีกครั้ง
“สืบมาแล้วขอรับ เป็นอย่างที่เฉาซูหลิ่งบอกกับฮูหยินจริง ๆ ห้าปีก่อนฮูหยินรองผู้นั้น ถูกขายออกไปอยู่หอนางโลมแล้ว ข้าไปเจอกับบ่าวรับใช้ของตระกูลหลี่ ที่รับจ้างทำงานอยู่แถวนั้นพอดี จึงได้ติดสินบนเขาเล็กน้อย เขาบอกว่าเรื่องนี้หลี่หงซวน ไม่อยากให้คนนอกรู้เรื่อง จึงทำการอย่างเงียบ ๆ และยังบอกอีกว่าตัวต้นคิดคือฮูหยินรอง ส่วนเฉาซูหลิ่งน่าจะถูกนางหลอกใช้อีกที แต่ตระกูลจี้บ้านเดิมของฮูหยินใหญ่ไม่ยินยอม คงอยากกำจัดเสี้ยนหนามให้บุตรสาว จึงบีบบังคับให้ตระกูลหลี่ ขับไล่เฉาซูหลิ่งกับบุตรสาวออกมาอยู่ที่นี่ขอรับ”
“แล้วสามีของเฉาซูหลิ่งไม่คิดทำการใดรึ อย่างน้อยก็น่าจะเก็บลูกสาวเอาไว้ ยามนั้นนางคงสิบกว่าปีเอง” หม่าหลินเฟยส่ายหน้าเบา ๆ
“คิดว่าเขาคงเกรงใจฮูหยินใหญ่ของตัวเองขอรับ นางเพิ่งสูญเสียลูกในท้องไป การขับไล่สองแม่ลูกออกมา คงเยียวยาจิตใจนางได้บ้าง”
หยวนเหวินเซียวเอ่ยขึ้น เขาไม่สันทัดเรื่องราวความรัก แต่ยังจำใบหน้าของเด็กสาว ที่มายืมตะเกียงกับกระโถนฉี่ได้อยู่ น่าเสียดายที่ยามนี้ ไม่ได้เห็นหน้าของนางแล้ว
“เฮ้อ เอาเถอะ ถือว่าเราช่วยคนไม่ผิดก็แล้วกัน เมิ่งเหยาออกไปข้างนอก ไม่ใช่ว่าจะได้เรือนหลังใหม่หรอกนะ ข้ายังอยากให้พวกนาง อยู่ที่นี่นานเสียหน่อย”
“เรื่องเช่นนี้เราไปบังคับพวกเขาไม่ได้หรอกขอรับ แต่เด็กนั่น เอ่อ เมิ่งเหยามีเงินหาซื้อเรือน หรือเช่าเรือนได้จริง ๆ หรือท่านแม่”
เขานึกไม่ออกว่าระหว่างห้าปีที่อยู่ที่นี่ เด็กคนนั้นจะหาเงินได้จากช่องทางไหน
“พี่หญิงใหญ่มีเงินขอรับ” เสี่ยวหยวนที่นั่งคัดลายมืออยู่ ได้ยินทุกคำพูดของพวกเขา จึงอดที่จะเอ่ยแทรกขึ้นไม่ได้
สองแม่ลูกหันไปมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ
“ข้าไม่ได้โกหกนะขอรับ พี่หญิงใหญ่มีเงินจริง ๆ ข้าอยากได้อยากกินอะไร นางไม่เคยขัดเลย แม้แต่ของเล่นราคาแพง นางก็ซื้อให้” เสี่ยวหยวนยืดอกอย่างภาคภูมิใจในตัวพี่สาว
“ข้าเชื่อเจ้า” หยวนเหวินเซียวคิดว่าเขายังเด็ก เห็นพี่สาวซื้อของเล่นให้เลยคิดว่านางมีเงิน
หม่าหลินเฟย “ห้าวตงเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ ไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ”
“ขอรับฮูหยิน” ฉีห้าวตงคำนับแล้วหันหลังจากไป
ฝ่ายของหลี่เมิ่งเหยานางให้ลุงจงแยกตัวไป หาที่สำหรับปลูกเรือนหลังใหม่ เน้นเงียบสงบไม่วุ่นวายแต่ยังอยู่ในตัวเมืองฉาง เพื่อความสะดวกต่อการเรียนในสำนักศึกษา ของน้องชายในวันข้างหน้า
ส่วนตัวนางแยกไปยังหอโอสถประจำเมืองฉาง นางมาก่อนกำหนดเพราะกำลังว่างอยู่พอดี เถ้าแก่จางรีบเชิญนางไปยังห้องทำงานของเขาในทันที ยาที่นางมอบไว้ให้บังเอิญได้ใช้ กับฮูหยินผู้เฒ่าของเจ้าเมืองฉางพอดี นางเกิดหมดลมหายใจไป เพราะอาการป่วยกำเริบ
ยามนั้นเขานึกสิ่งใดไม่ออก จึงได้นำยาลู่เฟินที่พกติดกระเป๋าไปให้นางกิน ไม่คิดว่ามันจะยื้อลมหายใจของนางกลับมาได้จริง ๆ ยามเล่าเรื่องนี้ ให้เจ้าของยาลู่เฟินอย่างหลี่เมิ่งเหยาฟัง สีหน้าของเขา เปล่งประกายด้วยความหวัง
“แม่นางหากมียาของเจ้าวางจำหน่าย หอโอสถของข้าต้องโด่งดังอย่างแน่นอน”
“ท่านอย่าโลภให้มากนัก ยาวิเศษเช่นนี้จะปรุงได้ง่าย ๆ อย่างไรกัน กว่าข้าจะหาวัตถุดิบยามาปรุงได้ ใช้เวลาและเสี่ยงชีวิตไปไม่น้อย ยามนี้มีเพียงไม่กี่เม็ดเท่านั้น” โลภไม่ได้ ๆ นางพร่ำเตือนตนเอง
“จริงของแม่นาง ว่าแต่ท่านจะให้ข้าเรียกท่านว่าอย่างไรดี เรียกแต่แม่นาง ๆ อยู่เช่นนี้เกรงว่าจะไม่เหมาะ” พอรู้สรรพคุณของยา เถ้าแก่จางก็รีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่
“ข้าแซ่หลี่ เรียกแม่นางหลี่เป็นพอ”
“แม่นางหลี่นี่เอง แต่ท่านปิดหน้าปิดตามาหาข้าเช่นนี้ เกิดมีคนหวังร้ายเลียนแบบเป็นท่าน มาหลอกขายยาให้ข้าเล่า”
“ท่านก็มอบป้ายเข้าหอโอสถให้ข้ามาสิ” นางเสนอความคิด
“จริงด้วย ข้าจะมอบป้ายหอโอสถ และจะทำสัญลักษณ์พิเศษเอาไว้ มีเพียงท่านที่สามารถถือครองป้ายนี้ได้ หากท่านได้รับความเดือดร้อน สามารถให้คนถือป้ายนี้ มาขอความช่วยเหลือจากข้าได้ทุกเมื่อ” นอกจากจะทำการค้าขายกันแล้ว ยังต้องผูกไมตรีกันไว้ด้วย
หลี่เมิ่งเหยาเข้าใจความคิดของเขาได้ไม่ยาก มองดูเขาใช้เครื่องมือเหล็กชนิดหนึ่ง สลักลายมือชื่อของเขา ลงบนแผ่นป้ายไม้ของทางร้าน นี่หรือที่บอกว่าสัญลักษณ์พิเศษ ใครเลียนแบบก็ได้ง่ายนิดเดียว
“เสร็จแล้วแม่นางหลี่” เขาส่งมอบให้แก่นาง
หลี่เมิ่งเหยารับป้ายของเขามา ในใจกลับรู้สึกไม่ยินดีเท่าใดนัก ก่อนหน้านางใช้ชีวิตในโลกยุคนี้อย่างสงบสุข จากการลอบนำทองคำและของมีค่าออกไปขาย ไม่มีความจำเป็นต้องคิดอะไรให้ไกลตัว
ยามนี้มาถูกคนตระกูลหลี่ ขับไล่ออกจากเรือน จำเป็นต้องนำเงินก้อนโตออกมาใช้จ่าย
เสี่ยวหยวนเองก็เติบโตขึ้นมา นางต้องวางรากฐาน ที่สามารถจับต้องได้ให้ผู้คนเห็น ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นว่า หาที่มาที่ไปของเงินไม่ได้ แค่กิจการร้านค้าให้เช่าในเมือแห่งนี้ คงไม่เพียงพอ
“ท่านว่าราคามาเถอะ ยาพวกนี้ไม่ได้ปรุงกันง่าย ๆ ไม่มีรายการสั่งยาอะไรทั้งนั้น เมื่อใดข้าหาวัตถุดิบยาได้ก็จะปรุงมัน หากหาไม่ได้ก็ไม่มียา”
“แม่นางหลี่ขอถามได้หรือไม่ วัตถุดิบยานั้นสามารถหาได้ที่ไหน หากแม่นางอยากได้คนช่วยหา ข้าย่อมช่วยได้”
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทร
2 : ข้าบอกให้เจ้าตื่น หลี่เมิ่งเหยา ! พอบุตรสาวหลับไปแล้ว นางถึงได้มานั่งคอตกคิดถึงอนาคตของตัวเอง ไม่รู้ว่าเรือนร้างที่เมืองฉางเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนเคยรู้มาว่า เป็นเรือนเอาไว้สำหรับพักค้างคืน ระหว่างการเดินทางไปดูแลการค้า ซึ่งเมื่อก่อนตระกูลหลี่เคยมีร้านค้าอยู่ที่นั่น พอหลี่หงซวนได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองถัง คนตระกูลหลี่ก็ขายกิจการที่เมืองฉางทิ้งไป เหลือไว้เพียงเรือนแห่งเดียว ระหว่างทางหลี่เมิ่งเหยาตัวร้อนขึ้นมาจริง ๆ ผู้เป็นมารดารีบเช็ดตัวให้นาง และป้อนยาที่ต้มเอาไว้ก่อนหน้าตามไปด้วย ไข้ถึงลดลงในเวลาต่อมา ต้องใช้เวลาเดินทางสองวัน คืนนี้เลยต้องเข้าพักในโรงเตี๊ยมไปก่อน ตื่นเช้ามาหลี่เมิ่งเหยามีอาการดีขึ้น นางไม่ปวดศีรษะเหมือนเมื่อวานที่ผ่านมา ทำให้สามารถออกเดินทางต่อได้ในทันที รถม้ามาถึงประตูเมืองฉาง เป็นเวลายามเซิน(15.00-16.59)แล้ว จากนั้นรถม้าก็มาจอดอยู่หน้าเรือนร้างในตรอกหนิงอัน “เชิญอนุเฉากับคุณหนูเข้าเรือนเถอะขอรับ ข้าต้องขอตัวกลับก่อน” คนขับรถม้าขนสัมภาระของทั้งคู่ลงจากรถม้า จากนั้นก็รีบจากไปในทันที
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน