หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา
“ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก”
“เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย
“แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย
“จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น
“พี่หญิงใหญ่”
“หืม”
“ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่”
เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว
“เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหรือไม่” นางไม่เคยคิดแยกพี่แยกน้อง
“อื้ม” เสี่ยวหยวนพยักหน้าสุดแรงอย่างเข้าใจ
“เด็กดีน่ารักมาก”
นางลุกขึ้นเดินไปส่งเขาที่ห้องนอนของมารดา ไม่วายกำชับให้เขากินขนมให้หมดก่อน จากนั้นต้องไปแปรงฟันก่อนเข้านอน ป้าหลูเป็นคนคอยดูแลเขายามแปรงฟัน
“ท่านแม่เมื่อครู่นี้เสี่ยวหยวน อยากแบ่งขนมให้น้องชายด้วยล่ะ”
“เฮอะ ! แบ่งให้ทำไมกัน ฮูหยินใหญ่ใช่ว่าจะไม่มีเงิน บ้านเดิมนางร่ำรวยจะตายไป” เฉาซูหลิ่งเบ้ปากใส่บุตรสาว
“ท่านแม่ข้าเล่าให้ท่านฟัง เพราะอยากให้ท่านเข้าใจเสี่ยวหยวน เขายังเด็กความคิดยังไร้เดียงสา น้องชายอี้เอ๋อร์ก็เหมือนกัน ต่างเป็นผ้าขาวบริสุทธิ์ทั้งคู่ ท่านอย่าอคติต่อเด็กคนนั้น หากวันข้างหน้า เสี่ยวหยวนอยากทำความรู้จักกับน้องชายของตัวเอง ท่านจงปล่อยวางเสีย”
“ไม่ใช่เจ้าหรอกรึ บีบคั้นเอาหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาให้ข้า เหตุใดยามนี้มาบอกให้ข้าปล่อยวาง” เฉาซูหลิ่งไม่เข้าใจความคิดของบุตรสาว
“ข้าอยากบอกว่า เรื่องของผู้ใหญ่ก็ส่วนผู้ใหญ่ เรื่องของเด็กก็ส่วนเด็ก ท่านอย่างเอามาปนเปกันเด็ดขาด”
“ได้ ๆ ข้าเชื่อฟังเจ้า” นางประชดบุตรสาวเล็กน้อย “เจ้ารีบกลับห้องตัวเองไปเลยไป ยิ่งอยู่หูข้ายิ่งชา”
หลี่เมิ่งเหยามองมารดาราวเด็กน้อยไม่ได้ดั่งใจ หากไม่มีนางสักคน คิดไม่ออกเลยว่ามารดาผู้นี้ จะอยู่รอดมาได้อย่างไรกัน นางส่ายหน้าเบา ๆ เดินกลับไปยังห้องนอนของตนเอง นางคงต้องนำยาที่ปรุงเอาไว้ ออกมาทดลองใช้บ้างแล้วล่ะ
หลายวันมานี้เสี่ยวหยวนเริ่มคุ้นชินกับเส้นทาง การเดินไปเรือนของหยวนเหวินเซียว เขาจึงไม่ได้ให้ลุงจงติดตามไปด้วย
วันนี้หลี่เมิ่งเหยามาดักรอน้องชาย ที่หน้าเรือนของมารดา บอกว่านางจะเดินไปส่งเขา ที่เรือนของหยวนเหวินเซียวเอง
“พี่หญิงใหญ่ข้าจดจำเส้นทางได้แล้ว”
“ข้าอยากรู้ว่ายามอยู่ที่เรือนของพี่เหวินเซียว เจ้าตั้งใจคัดตัวอักษรหรือไม่ ไม่ใช่มัวแต่เล่นซุกซนไปวัน ๆ”
“พี่หญิงใหญ่ใส่ร้ายข้า ไม่เชื่อข้าก็ถามพี่ชายหยวน หรือไม่ก็พี่หลินต๋ากับพี่ห้าวตงก็ได้” เสี่ยวหยวนน้อยทำหน้า เหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ข้าไม่ถาม ข้าต้องได้เห็นกับตา”
นางเดินตามหลังน้องชาย ผ่านภูเขาน้ำตกจำลอง ปกคลุมด้วยต้นไม้ร่มรื่น มีสะพานเล็ก ๆ สร้างเหนือสระน้ำด้านล่าง ปลาหลากหลายสีสันแหวกว่ายไปมา
สังเกตดูดี ๆ กลับพบว่าบรรยากาศสวยงามเหล่านี้ เพิ่งถูกเจ้าของเรือนสร้างขึ้นมาใหม่ หม่าหลินเฟยไม่ต้องการให้บุตรชายโดดเดี่ยวจนเกินไป จึงได้สร้างเสียงน้ำตกให้เขาได้ผ่อนคลาย ช่างเป็นมารดาที่น่านับถือจริง ๆ
ครั้นเปรียบเทียบกับมารดาของตัวเอง บุตรสาวหาเงินได้จากอะไร นางยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ขอเพียงนางไม่ลำบากเป็นพอ เทียบกันไม่ได้ ๆ
ฉีห้าวตงอยู่ด้านหน้าประตูทางเข้าพอดี ครั้นเห็นหลี่เมิ่งเหยา ตามน้องชายมาด้วยก็ตกใจ รีบเดินเข้ามาดักด้านหน้าของนาง “คุณหนูหลี่นี่เรือนของบุรุษนะขอรับ”
“ทำไมล่ะ น้องชายข้ามาที่นี่ทุกวัน ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาตั้งใจเรียนหนังสือ หรือว่าแค่เที่ยวเล่นไร้ประโยชน์ไปวัน ๆ” นางมองประเมินน้องชายไปด้วย
เสี่ยวหยวนเงยใบหน้ากลมน้อยขึ้นมองพี่สาว พลางคิดในใจ
พี่หญิงใหญ่ท่านใส่ร้ายข้าอีกแล้วนะ !
“เช่นนั้นให้ข้าไปเรียนคุณชายก่อนนะขอรับ” ฉีห้าวตงไม่อาจตัดสินใจเองได้
“เชิญ”
เสี่ยวหยวนกระตุกแขนเสื้อพี่สาวเบา ๆ
“มีอะไร”
“เรือนบุรุษสตรีไม่ควรเข้า เหตุใดพี่หญิงใหญ่ถึงอยากเข้าไปอีกเล่า ข้าจะเอาใบหน้าน้อย ๆ นี่ไปพบผู้อื่นได้อย่างไร พี่หญิงใหญ่ไร้ยางอายเกินไปแล้ว”
“เฮอะ ใบหน้าน้อย ๆ นี่ของเจ้า ช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ช่างพูดช่างเจรจาเสียจริง” นางบีบยืดแก้มซาลาเปาเขาเล่นไปมา เจ้าตัวน้อยได้แต่ร้องอืออาด้วยความเจ็บ
พี่หญิงใหญ่หอมข้าเหมือนเดิมก็ได้ ข้าไม่อยากถูกบีบแก้มอีกแล้ว
หลี่เมิ่งเหยาหยุดหยอกล้อน้องชาย หลังได้ยินเสียงฝีเท้าของคน เป็นฉีห้าวตงกำลังเดินมาทางนี้
“คุณหนูหลี่คุณชายอนุญาตให้ท่านเข้ามาในเรือนได้ แต่ว่าให้ไปที่ศาลาริมสระน้ำ เชิญทางนี้ขอรับ”
ฉีห้าวตงผายมือเชิญนางไปที่ลานริมสระ มีศาลาริมน้ำตั้งอยู่ที่นั่น เป็นลานเปิดโล่งไม่ลับตาผู้คน มีถนนที่ปูด้วยก้อนอิฐแผ่นใหญ่สม่ำเสมอ มองดูก็รู้ว่าเพื่ออำนวยความสะดวก ในการเข็นรถของหยวนเหวินเซียว
ทำไมการช่วยคนมันยุ่งยากขนาดนี้นะ
ครู่หนึ่งเสียงรถเข็นก็ดังขึ้น หยวนเหวินเซียวอยู่ในชุดสีขาวทับในด้วยสีน้ำเงิน ซ่งหลินต๋าเป็นคนคอยดูแลเข็นรถเข็นให้
“วันนี้ให้เสี่ยวหยวนมาคัดตัวอักษร ที่ศาลาริมน้ำก็แล้วกัน เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”
“ขอรับคุณชาย”
ฉีห้าวตงรีบเดินไปในห้องหนังสือ หยิบอุปกรณ์ในการคัดตัวอักษรของเสี่ยวหยวนออกมา จัดหาเก้าอี้โต๊ะเตี้ย มาให้เขาได้นั่งอย่างสะดวกสบาย ปานคุณชายน้อยผู้ถูกทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี
“พี่เหวินเซียวใส่ใจเสี่ยวหยวนเกินไปแล้ว” นางให้น้องชายนั่งบนศาลา ส่วนตัวนางเดินมาหยุดอยู่ ที่ด้านข้างของซ่งหลินต๋า
“ข้าเข็นรถให้พี่เหวินเซียวเอง เจ้าอยากทำอะไรก็ไปเถอะ”
ซ่งหลินต๋าตกใจหลังได้ยิน แต่พอเห็นหยวนเหวินเซียวยกมือให้สัญญาณ เขาจึงได้ถอยหลังออกไป แต่ไม่ได้ไปไหนไกล กลับยืนเฝ้าระวังอยู่ไม่ห่าง
หลี่เมิ่งเหยาเข็นรถเข็นไม้ของเขา ไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ ด้านหน้าเป็นสระน้ำที่มีปลาแหวกว่ายอยู่ นางทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าโดยไม่กลัวเปื้อน
“รถเข็นของท่านเข็นยากมากเลย หากทำด้วยเหล็กคงดีไม่น้อย”
“มีรถเข็นไม้ให้ใช้ก็ดีถมไปแล้ว” น้ำเสียงของเขาคล้ายเยาะเย้ยโชคชะตาของตนเอง
“หรือที่นี่ไม่นิยมทำรถเข็นจากเหล็ก” นางยังให้ความสนใจรถเข็นไม้ของเขาอยู่
เจ้าฟังข้าอยู่หรือไม่
“พี่เหวินเซียว” นางลองเรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
คนถูกเรียกสูดลมเข้าปอดลึก ๆ เหตุใดเขาถึงได้ครั่นเนื้อครั่นตัว ยามได้ยินคำเรียกขานเช่นนี้จากนาง “เจ้าว่ามาต้องการอะไร”
หลี่เมิ่งเหยากลอกตาใส่เขาแรง ๆ “ข้าจะไปต้องการอะไรเล่า ข้าแค่อยากรู้ว่าพี่เหวินเซียวมองไม่เห็นได้อย่างไร แล้วขานั่นเป็นอะไรหรือถึงเดินไม่ได้”
สีหน้าของคนบนรถเข็นมืดมนลงในทันที “เจ้าเป็นใครกันถึงได้มายุ่งกับเรื่องของข้า เมิ่งเหยาเจ้าก็แค่คนมาอาศัยเรือนผู้อื่นอยู่ อย่าไร้มารยาทให้มากนัก”
“โอ้ เหตุใดข้ากลายเป็นคนไร้มารยาทไปแล้วเล่า ข้าเพียงอยากช่วยเหลือท่าน ข้ามีความรู้เรื่องสมุนไพรพวกยารักษาอยู่บ้าง อ้อ ข้าไม่ใช่หมอนะ แต่ว่ายาที่ข้ามีค่อนข้างจะพิเศษ”
นางไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี นางไม่ใช่หมอจริง ๆ ไม่เข้าใจหลักการรักษา แต่นางปรุงยาได้และใช้มันรักษาผู้คนได้เหมือนกัน ที่ผ่านมานางก็ใช้ยาในเรือนโอสถ รักษาให้คนในบ้านยามเจ็บป่วย แทบไม่ต้องไปโรงหมอเลยสักครั้ง
“เจ้าหลอกเด็กยังง่ายกว่าไหม”
“พี่เหวินเซียวนี่ข้าพูดจริงนะ”
หลี่เมิ่งเหยาเริ่มจะมีอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมา เหตุใดถึงได้พูดยากนักนะ นางพยายามสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ คุกเข่าอยู่ด้านข้าง พร้อมกับตบลงบนหลังมือของเขาเบา ๆ
“ท่านไม่อยากมองเห็นอีกครั้งรึ”
หยวนเหวินเซียวคิ้วขมวดแน่น เหตุใดนางถึงได้เอาเรื่องเจ็บป่วยของเขามาล้อเล่น หรือว่าแท้จริงแล้วนางมีความสามารถอย่างที่เอ่ยมาจริง ๆ
“เจ้าเคยรักษาคนมาก่อนหรือไม่ ไม่สิเจ้าบอกว่าไม่ใช่หมอ แล้วยาที่เจ้าปรุง เคยใช้รักษาเรื่องดวงตามาก่อนหรือไม่”
“เอ่อ คือว่า อันที่จริงแล้วข้าไม่เคยใช้ยารักษาดวงตามาก่อน ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าดูหรือไม่”
“นี่เจ้า !”
“อย่าเพิ่งโมโหไป ข้าพูดจริงนะ ยาของข้าวิเศษมากจริง ๆ เพียงแต่ข้าไม่ใช่หมอ การใช้ยาจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ ข้าไม่เคยเจออาการแบบท่านมาก่อน ว่าแต่ท่านได้รับบาดเจ็บหรือว่าโดนพิษเข้าล่ะ” หลี่เมิ่งเหยาค่อย ๆ ตะล่อมถามเขา
“ส่วนขาของท่านข้าก็มียาเกี่ยวกับต่อกระดูก หรือเชื่อมกระดูกให้ตรงอยู่เหมือนกัน แต่ก็อย่างที่ข้าบอกนั่นแหละ ข้าไม่เคยรักษาใครมาก่อน” ยิ่งพูดนางยิ่งเหมือนหมอเถื่อนเข้าไปทุกที เห็นเขานิ่งคล้ายคิดไม่ตก ก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาแรง ๆ
“เจ้าอยากให้ข้าเป็นหนูลองยาจริง ๆ รึ” เขาถามคล้ายคนสิ้นหวัง
“ข้าอยากให้ท่านกลับมามองเห็นเดินได้ต่างหากเล่า หนูลองยานั่นมันจำเป็นหรอก”
“เพราะเหตุใดถึงอยากรักษาข้า หมอเก่งที่สุดในเมืองหลวง ยังบอกว่าข้าไร้หนทางเยียวยาแล้ว เจ้าไม่ใช่หมอด้วยซ้ำยังกล้าหาญมาเอ่ยเรื่องพวกนี้กับข้า” มีความคลางแคลงสงสัยเต็มไปหมด
หลี่เมิ่งเหยาใช่ว่าไม่เข้าใจความคิดของเขา นางพยายามเค้นหาเหตุผลที่ดีออกมาเอ่ย
“ในอดีตท่านเคยให้ความช่วยเหลือข้ากับท่านแม่ มาตอนนี้ท่านป้าหม่าก็ยื่นมือช่วยเหลือพวกเราอีก บุญคุณสองครั้งสองครานี้ข้าสมควรต้องตอบแทน ท่านไม่คิดว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลหรอกหรือ”
“หากรักษาไม่ได้แล้วอาการแย่กว่าเดิมล่ะ เจ้าจะรับผิดชอบอย่างไร”
“รับผิดชอบ ?” นางทรุดตัวลงนั่งที่เดิม “นั่นสิข้าจะมีปัญญาอะไรไปรับผิดชอบท่านได้”
หยวนเหวินเซียวก้มมองต่ำไปที่นาง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ข้าจะเป็นหนูลองยาของเจ้าก็ได้ หากอาการของข้าแย่ลงกว่าเดิม เจ้าต้องมาคอยดูแลข้า จนกว่าข้าจะตายจากโลกนี้ไป ห้ามเดือดร้อนท่านแม่ของข้า เจ้าทำได้หรือไม่เมิ่งเหยา”
หลี่เมิ่งเหยาเห็นมุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย ราวกับกำลังดูแคลนตัวนางอยู่ นี่ไม่เชื่อมือกันเลยหรือไร
“ได้สิ หากรักษาไปแล้วอาการแย่ลง ข้าหลี่เมิ่งเหยาจะยอมอยู่คอยดูแลท่าน ไปจนกว่าจะตายจากกันไปเลย เช่นนี้ได้หรือไม่”
มุมปากที่ยกขึ้นในตอนแรก คลายออกเป็นเส้นตรง ก่อนเม้มเข้าหากันแน่น “เจ้าเอ่ยสิ่งใดออกมา รู้ตัวหรือไม่ เจ้ารับผิดชอบไม่ไหวหรอกเมิ่งเหยา”
“ข้าทำได้ข้าโตแล้ว แค่คอยดูแลท่านไม่เห็นจะยาก”
นางมั่นใจในสรรพคุณของยาในเรือนโอสถ ไม่มีสักครั้งที่จะไม่ได้ผล “บอกข้ามาเถอะว่าท่านโดนพิษอะไร แล้วขานั่นได้รับบาดเจ็บแบบไหนมา”
มือของหยวนเหวินเซียวกำเข้าหากันแน่น ก่อนหัวเราะด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านแม่คงไม่ยินยอม”
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
1 : มารดาโง่ จนถูกไล่ออกจากตระกูล จวนตระกูลหลี่เจ้าเมืองถัง สตรีสองนางถูกสาวใช้จับคุกเข่าลง ตรงหน้าของหลี่หงซวนเจ้าเมืองถัง ทั้งยังเป็นพ่อสามีของทั้งคู่อีกด้วย ท่านกำลังสอบสวนเรื่องของสะใภ้ใหญ่ของบ้านสาม ถูกฮูหยินรองกับอนุรวมหัวกันลอบทำร้าย ด้วยการวางยาขับเลือดในถ้วยน้ำแกงบำรุงครรภ์ ทำให้นางต้องสูญเสียทารกในครรภ์ไป “ท่านพ่อข้าไม่รู้จริง ๆ ว่านั่นเป็นยาขับเลือด ฮูหยินรองบอกว่าเป็นน้ำแกงบำรุงครรภ์ ให้ข้าเป็นคนนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่ เป็นนางนั่นเอง นางหลอกข้า !” เฉาซูหลิ่งชี้นิ้วไปทางสตรีด้านข้าง ร้อนรนเอ่ยออกมาเหมือนคนไม่ได้รับความเป็นธรรม “อนุเฉาเจ้าอย่ามาใส่ร้ายข้านะ เจ้าทำคนเดียวทั้งนั้นไม่เกี่ยวกับข้าเลย” ฮูหยินรอง ถูซวงอี้ ชี้นิ้วใส่หน้าเฉาซูหลิ่งกลับคืน ต่างคนต่างโยนความผิดให้กัน ฮูหยินผู้เฒ่าหลิวเยี่ยนหนานโบกมือให้คนเข้ามา “ข้าให้โอกาสพวกเจ้าสองคนพูดความจริง แต่กลับไม่มีใครยอมรับความผิดแม้แต่คนเดียว มันน่าจับส่งทางการให้รู้แล้วรู้รอด” พ่อบ้านหลัวให้คนลากสาวใช้คนหนึ่งเข้ามา สภาพของนางถูกทร
2 : ข้าบอกให้เจ้าตื่น หลี่เมิ่งเหยา ! พอบุตรสาวหลับไปแล้ว นางถึงได้มานั่งคอตกคิดถึงอนาคตของตัวเอง ไม่รู้ว่าเรือนร้างที่เมืองฉางเป็นอย่างไรบ้าง เหมือนเคยรู้มาว่า เป็นเรือนเอาไว้สำหรับพักค้างคืน ระหว่างการเดินทางไปดูแลการค้า ซึ่งเมื่อก่อนตระกูลหลี่เคยมีร้านค้าอยู่ที่นั่น พอหลี่หงซวนได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองถัง คนตระกูลหลี่ก็ขายกิจการที่เมืองฉางทิ้งไป เหลือไว้เพียงเรือนแห่งเดียว ระหว่างทางหลี่เมิ่งเหยาตัวร้อนขึ้นมาจริง ๆ ผู้เป็นมารดารีบเช็ดตัวให้นาง และป้อนยาที่ต้มเอาไว้ก่อนหน้าตามไปด้วย ไข้ถึงลดลงในเวลาต่อมา ต้องใช้เวลาเดินทางสองวัน คืนนี้เลยต้องเข้าพักในโรงเตี๊ยมไปก่อน ตื่นเช้ามาหลี่เมิ่งเหยามีอาการดีขึ้น นางไม่ปวดศีรษะเหมือนเมื่อวานที่ผ่านมา ทำให้สามารถออกเดินทางต่อได้ในทันที รถม้ามาถึงประตูเมืองฉาง เป็นเวลายามเซิน(15.00-16.59)แล้ว จากนั้นรถม้าก็มาจอดอยู่หน้าเรือนร้างในตรอกหนิงอัน “เชิญอนุเฉากับคุณหนูเข้าเรือนเถอะขอรับ ข้าต้องขอตัวกลับก่อน” คนขับรถม้าขนสัมภาระของทั้งคู่ลงจากรถม้า จากนั้นก็รีบจากไปในทันที
3 : ยืมกระโถนฉี่ข้างบ้าน หลังเข้ามาอยู่ในห้องนอนแล้ว สองแม่ลูกกลับพบปัญหาใหญ่ ไม่มีน้ำสะอาดให้ใช้ เฉาซูหลิ่งถึงกับน้ำตาคลอเบ้า นางทำความสะอาดจนเนื้อตัวสกปรกไปหมด ต้องการอาบน้ำให้สดชื่น ขณะที่ผู้เป็นบุตรสาวนั้น กำลังเป็นกังวลกับห้องสุขาของที่นี่ สภาพผุพังเช่นนั้น เข้าไปทำธุระไม่ได้แล้ว “ช่างหัวน้ำมันเถอะ พรุ่งนี้ค่อยหาทางเอา เหยาเอ๋อร์หากเจ้าปวดเบา ก็ใช้กระโถนไปก่อนก็แล้วกัน” เฉาซูหลิ่งตัดใจจากน้ำสะอาด โชคดีที่ถุงน้ำของนางกับบุตรสาว ยังพอมีน้ำเหลืออยู่ นำมาเทใส่ผ้าสะอาด เช็ดหน้าตาไปก่อนได้ “ท่านแม่กระโถนที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนกัน” หลี่เมิ่งเหยาเห็นเพียงเตียงเก่า ๆ หลังหนึ่ง ตั้งอยู่ภายในห้อง “มันต้องมีสิ แม่ไปหาห้องอื่นดูก่อน” หลังจากมองหากระโถนฉี่ให้บุตรสาวไม่พบ นางก็รีบเดินออกไปยังห้องอื่น อย่าว่าแต่กระโถนฉี่ไม่มีเลย กระทั่งตะเกียงกับหินจุดไฟก็หาไม่เจอ นางรีบเดินกลับมาหาบุตรสาวในห้อง สีหน้าจนหนทางแล้วจริง ๆ “ท่านแม่อีกหน่อยฟ้ามืดสนิทจะแย่เอานะเจ้าคะ” เอ่ยแล้วรอดูว่ามารดาของตนจะทำอ
4 : ข้ากำลังจะมีน้อง เมื่อคืนที่ผ่านมา หลี่เมิ่งเหยาถูกดีดออกจากความฝันมาอย่างมึนงง อีกทั้งยังไม่ได้สำรวจอะไรมากมายนัก เพราะนางมัวแต่ตะลึงกับสมบัติมากมายตรงหน้า แม้ยามนี้ยังแยกไม่ออก ไหนความจริงไหนความฝัน หรือว่าสมบัติเหล่านั้นมีอยู่จริงไหม แต่หากมีอยู่แค่ในความฝัน คงเป็นเรื่องเศร้าเกินไปแล้ว วันนี้สองแม่ลูก เข้าไปซื้อของกินของใช้ในตัวเมืองฉาง ที่นี่เป็นเมืองขนาดเล็ก ไม่ต่างจากเมืองถังที่เคยอยู่ แต่ข้อดีของที่นี่คืออยู่ใกล้กับเมืองหลวงมากกว่า อีกทั้งของกินของใช้ ยังดูดีกว่าเมืองถังเสียอีก “ท่านแม่ท่านมีเงินติดตัวมามากน้อยเพียงใด” เฉาซูหลิ่งหน้าเจื่อนหลังได้ยิน “มีไม่มากหรอก ท่านปู่ท่านย่าของเจ้า ไม่ได้ให้อะไรติดตัวมาเลย” หลี่เมิ่งเหยาเลิกคิ้วขึ้นสูง “ท่านพ่อเล่า” “พ่อเจ้าน่ะหรือ แม้แต่หน้าของข้า ยังไม่อยากมองด้วยซ้ำ” “เงินเก็บส่วนตัวเล่า” “มีอยู่แค่หนึ่งร้อยตำลึง เบี้ยเลี้ยงข้าได้เดือนละห้าตำลึงเท่านั้น ดีที่ก่อนหน้าข้าแอบขอท่านพ่อของเจ้าเอาไว้บ้าง” “หนึ่งร้อยตำลึ
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน