เสี่ยวหยวนน้อยเห็นคนวัยเดียวกันก็ใจชื้นขึ้นมา ยกมือขึ้นมาโบกส่ายเล่นกับเขา เด็กน้อยหลี่ซืออี้ยกมือโบกตอบกลับเขาด้วยความเขินอาย จี้ชิวหรงดึงมือน้อย ๆ ของบุตรชายลงแทบไม่ทัน
“เจ้าคือเหยาเอ๋อร์รึ”
หลี่หงซวนมองหลานสาวตนเองด้วยความประหลาดใจ เด็กน้อยขี้ขลาดขี้กลัวผู้นั้น ใช่คนตรงหน้านี้จริงหรือ
“เจ้าค่ะ ข้าคือเหยาเอ๋อร์ คำนับท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อแม่ใหญ่ ท่านลุงรองท่านป้าสะใภ้รอง” นางคำนับให้เพียงผู้อาวุโสเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ทำเพียงปรายตามองนิ่ง ๆ
“เหยาเอ๋อร์พวกเขาจะไล่เราออกจากเรือน” เฉาซูหลิ่งรีบฟ้องบุตรสาว
“เอ๋ ไล่ออกจากเรือน แล้วคืนนี้ข้าจะนอนที่ไหนกันเล่า” เสี่ยวหยวนน้อยเงยหน้าขึ้นมอง คนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ
“เด็กคนนี้คือ ?”
หลี่หย่วนเจ๋อจ้องเสี่ยวหยวนตาเขม็ง เขารู้สึกเหมือนได้พลาดบางอย่างไป
เสี่ยวหยวนรีบก้าวเท้าออกมาตรงหน้า
“คำนับท่านลุงข้าชื่อหลี่ชงหยวนขอรับ แต่ท่านแม่กับพี่หญิงใหญ่ มักเรียกข้าว่าเสี่ยวหยวน”
เจ้าก้อนซาลาเปาน้อยเจื้อยแจ้วสดใส ทำให้หัวใจของหลี่หย่วนเจ๋อกระตุกวาบด้วยความตกใจ
“เจ้าบอกว่าเป็นลูกของใครนะ”
“ก็ท่านแม่คนนี้ไงเล่า” เสี่ยวหยวนรีบเข้าไปจับข้อมือของมารดา แล้วเขย่าเล่นไปมา “ท่านลุงผู้นี้เข้าใจอะไรยากจัง” มีแอบบ่นเบา ๆ อีกด้วย
เฉาซูหลิ่งเม้มปากเข้าหากันแน่น น้ำตายังคลอไปด้วยหยาดน้ำใส ๆ หลี่เมิ่งเหยาพอจะเดาสถานการณ์ออก มารดาของนางยังไม่ได้บอกคนตระกูลหลี่ เรื่องของเสี่ยวหยวน
“อนุเฉาเหตุใดเจ้าไม่บอกข้า !” หลี่หย่วนเจ๋อตวาดใส่นางเสียงดังลั่น
“ข้าห้ามไว้เองแหละ”
หลี่เมิ่งเหยายืดตัวตรง มองบิดาราวกับคนแปลกหน้า เด็กน้อยคนนั้นคงเป็นบุตรชาย ที่เกิดกับภรรยาเอกของบิดา
“ในเมื่อพวกท่านขับไล่ข้ากับท่านแม่ออกมาแล้ว คงไม่มีเรื่องให้ต้องเกี่ยวข้องกันอีก” บิดาของนางหน้าตาดีเพียงนี้ มิน่ามารดาของนาง ถึงเฝ้ารอคอยมาตลอดห้าปีเต็ม
“ดูลูกสาวของเจ้าสิหย่วนเจ๋อ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไร้มารยาทสิ้นดี” ฮูหยินผู้เฒ่าสะบัดแขนเสื้อใส่หลี่เมิ่งเหยา สีหน้าแสดงออกว่า ไม่พอใจนางเป็นอย่างมาก
หลี่เมิ่งเหยาไม่ใส่ใจนาง หันไปมองทุกคนแล้วเอ่ยถาม
“เช่นนั้นข้าขอถามพวกท่าน พวกท่านจะไล่ข้ากับแม่และน้องชาย ออกจากเรือนหลังนี้ใช่หรือไม่”
หลี่หงซวนหันไปมองฮูหยินของตนเองเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังบุตรชายคนที่สาม มองเลยไปยังเสี่ยวหยวน แล้วหันกลับมามองหลี่หย่วนเจ๋ออีกหน
“หย่วนเจ๋อเจ้าต้องตัดสินใจเลือกแล้วล่ะ”
คนเป็นลูกได้ยินแล้วหลับตาลงแน่น ๆ “ท่านพ่อเด็กนั่นก็เป็นลูกชายของข้าเหมือนกัน”
จี้ชิวหรงกำมือแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ไม่คิดว่าเฉาซูหลิ่งจะคลอดเด็กผู้ชาย โดยไม่ส่งข่าวให้ตระกูลหลี่ได้รู้ เป็นเรื่องที่ผิดคาดจริง ๆ
“เช่นนั้นก็เก็บเขาไว้เถิด”
คำพูดนี้หลี่หงซวนเป็นคนเอ่ยออกมา
เฉาซูหลิ่งน้ำตาอาบหน้าในทันที
“ท่านพ่อเอ่ยเช่นนี้หมายความว่า จะไล่ข้ากับเหยาเอ๋อร์ออกไป แล้วให้เสี่ยวหยวนอยู่กับพวกท่านอย่างนั้นหรือ”
“เป็นเช่นนั้น” หลี่หงซวนพยักหน้ายอมรับตรง ๆ
“ข้าไม่ยินยอมนะเจ้าคะ เสี่ยวหยวนเป็นลูกชายข้า ข้าคลอดและเลี้ยงดูเขามากับมือ เหตุใดถึงมาพรากเขาไปจากข้า อีกอย่างไม่ใช่ว่าฮูหยินใหญ่ ก็มีบุตรชายแล้วหรือเจ้าคะ”
นับเป็นครั้งแรกที่หลี่เมิ่งเหยาได้เห็นมารดาในมุมนี้ มันต้องอย่างนี้สิ
“เจ้าหุบปากเดี๋ยวนี้ เจ้าแอบคลอดลูกชาย โดยไม่แจ้งข่าวกับตระกูลหลี่ ความผิดนี้ข้ายังไม่ลงโทษเลยนะ” หลี่หงซวนชี้นิ้วใส่หน้านาง สีหน้าเกรี้ยวกราดยิ่งนัก
เฉาซูหลิ่งไหนเลยจะกล้าต่อกรกับเขาได้ นางหลบอยู่ด้านหลังบุตรสาวอย่างหวาดกลัว
“ข้าว่าเรื่องนี้ให้เสี่ยวหยวน เป็นคนตัดสินใจเองเถอะ ว่าเขาอยากอยู่กับใคร” หลี่เมิ่งเหยาเอ่ยขึ้น เมื่อครู่ป้าหลูกระซิบเล่า ที่มาที่ไปของพวกเขา ให้นางฟังจนหมดแล้ว
“เหลวไหลมีใครเขาทำอย่างเจ้าว่า เป็นเด็กเป็นเล็กไม่ต้องยุ่งเรื่องของพวกใหญ่” เป็นฮูหยินผู้เฒ่าตวาดใส่นาง
หลี่เมิ่งเหยาจึงหันไปเผชิญหน้ากับผู้เป็นย่าตรง ๆ
“ท่านย่าเจ้าคะ ตลอดห้าปีที่ผ่านมานี้ พวกท่านเคยส่งเสียเลี้ยงดูเสี่ยวหยวนหรืออย่างไร เหตุใดยามนี้ถึงได้อยากให้เขาอยู่ในตระกูลหลี่นักเล่า พวกท่านมีอะไรสามารถเลี้ยงดูเขาได้หรือ ลำพังตัวพวกท่านเองยังเอาไม่รอด ต้องมาแย่งเรือนของข้ากับท่านแม่”
หลี่หย่วนเจ๋อไม่คิดว่าบุตรสาวของตนจะหยาบคายถึงเพียงนี้ “เหยาเอ๋อร์เรือนนี้เป็นของเจ้าตอนไหนกัน !”
หลี่เมิ่งเหยาหันไปทางบิดา ใช้สายตามองประเมินเขา ก่อนจะหันไปทางน้องชาย “เสี่ยวหยวนเจ้าอยากอยู่กับพวกเขาหรือว่าอยู่กับข้ากับท่านแม่”
เสี่ยวหยวนไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราว แต่กลับตอบออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “พี่หญิงใหญ่กับท่านแม่อยู่ที่ไหน ข้าก็อยู่ด้วย”
หลี่หย่วนเจ๋อ “เจ้าไม่มีสิทธิ์พาเขาไป !”
“ใครสนกัน ! ป้าหลูลุงจงเก็บของ”
คำสั่งของหลี่เมิ่งเหยาย่อมเด็ดขาด สองสามีภรรยารีบทำตามในทันที
หลี่หงซวนยามนี้ มีเพียงพ่อบ้านเก่าแก่หลัวคุน ตามติดมาผู้หนึ่ง เขาไม่ยอมให้เด็กรุ่นหลาน มาหยามหน้าบุตรชายของตน จึงหันไปทางพ่อบ้านหลัว “ไปจับตัวพวกนางไว้”
“ขอรับนายท่าน”
พ่อบ้านหลัวแม้อายุมากแล้ว แต่วรยุทธ์เป็นเลิศ ก้าวเข้าไปดักหน้าของหลี่เมิ่งเหยา แต่ใครจะคิดว่าลุงจงกระโดดเข้ามาขวาง แค่เพียงพลิกฝ่ามือ ก็ซัดพ่อบ้านหลัวกระเด็นออกไปหลายจั้ง สร้างความตกใจให้แก่ทุกค นที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างมาก
“อยากตายก็เข้ามาสิ ข้าจะไม่ให้ลุงจงออมมือแบบเมื่อครู่นี้อีก” ไม่มีใครคิดว่าจงกุ้ยจะมีฝีมือดีกว่าพ่อบ้านหลัว กระทั่งหลี่เมิ่งเหยายังนึกแปลกใจ แอบยกนิ้วโป้งให้อยู่ในใจ
“นังเด็กเนรคุณ !” ฮูหยินผู้เฒ่าชี้นิ้วสั่น ๆ ใส่หน้าหลานสาว
“ขอบคุณท่านย่าที่ชม”
หลี่เมิ่งเหยาโค้งศีรษะให้ด้วยรอยยิ้ม ก่อนจูงมือน้องชายกลับไปเก็บของในทันที
“ดูนางสิ ดูนาง !” ฮูหยินผู้เฒ่าสะบัดแขนเสื้อลงด้วยความโกรธ แต่ไม่อาจทำอันใดนางได้
ทุกคนได้แต่มองตามหลังนางไปอย่างไม่เข้าใจ เหตุใดหลี่เมิ่งเหยาถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน หลี่หย่วนเจ๋อรู้สึกเหมือนนางไม่ใช่บุตรสาวของตน ส่วนบุตรชายผู้นั้น ช่างเหมือนคนแปลกหน้าต่อกันเสียอีก
“ท่านพ่อขอรับ ความจริงแล้วข้าว่าเหยาเอ๋อร์เอ่ยมาก็ไม่ผิด”
หลี่ปิงซือบุตรชายคนรองของหลี่หงซวนเป็นคนเอ่ยขึ้น หลังจากยืนนิ่งเงียบมานานสองนาน
หลี่หงซวนหันไปทางเขา สายตาตำหนิอยู่ในที “เจ้าว่ามานางเอ่ยอันใดถูกต้อง”
“เรื่องที่พวกเราไม่สามารถเลี้ยงดูอนุเฉา กับลูก ๆ ของนางได้อย่างไรขอรับ ข้าว่าเรื่องนี้นางพูดถูก” คำพูดของหลี่ปิงซือทำให้คนในตระกูล พยักหน้าลงเห็นด้วยกับเขา
เห็นเช่นนั้นหลี่ปิงซือจึงเอ่ยต่อ “พวกนางอาศัยอยู่ที่นี่มาห้าปี ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลหลี่แม้แต่น้อย จะให้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเรายามนี้ ข้าคิดว่าคงเป็นไปไม่ได้”
หลี่หงซวนถอนลมหายใจออกเบา ๆ “ข้าก็ไม่ได้จะให้พวกนางอยู่ แค่เก็บสายเลือดของตระกูลหลี่เอาไว้”
“ท่านพ่อพวกนางคลอดเด็กคนนั้น โดยไม่บอกพวกเรา ย่อมไม่เห็นตระกูลหลี่ อยู่ในสายตาอีกต่อไป ไม่ใช่ว่าท่านพ่อก็มีจินฮ่านกับอี้เอ๋อร์อยู่แล้วรึ ไม่จำเป็นต้องสนใจเด็กคนนั้นก็ได้ อย่างไรก็เป็นเพียงบุตรชายที่เกิดจากอนุ ที่มีความผิดติดตัวคนหนึ่งเท่านั้น”
เหตุผลของหลี่ปิงซือทำให้คนอื่น ๆ พลอยคิดตามไปด้วย
มีเพียงหลี่หย่วนเจ๋อที่ยังรู้สึกผิดต่อบุตรชายผู้นั้นอยู่ จี้ชิวหรงเห็นเขาก้มเขาลง พลันรู้สึกใจหายตามไปด้วย
“ท่านพี่หากท่านต้องการเลี้ยงดูเด็กคนนั้น ข้าย่อมเข้าใจ เพียงแต่เรือนของเรา ไม่มีที่ว่างพอให้พวกเขาทั้งสามคน”
หลี่หย่วนเจ๋อมองภรรยาที่ยามนี้ ยอมตกทุกข์ได้ยากมาพร้อมกับเขา หนังสือหย่าที่เขามอบให้ก็ฉีกทิ้งไปแล้ว ยิ่งได้เห็นบุตรชายวัยสามขวบของตนเอง ย้อนระลึกไปถึงความผิดของเฉาซูหลิ่ง ทำให้เขาต้องสูดลมเข้าปอดลึก ๆ ก่อนเอ่ย
“ข้าแล้วแต่ท่านพ่อจะเห็นควรขอรับ”
หลี่หงซวนหลับตาลงแน่น หากบุตรชายคนที่สามของเขา หนักแน่นกว่านี้ คงจะดีอยู่ไม่น้อย นี่ยอมกระทั่งละทิ้งสายเลือดของตัวเองได้ลงคอ
“เช่นนั้นก็ปล่อยสามแม่ลูกนั่นออกไปเถอะ”
คำพูดสวยหรูแต่ความจริงคือขับไล่ ทุกคนรู้อยู่เต็มอก แต่ไม่มีใครอยากยอมรับ ว่าพวกเขาใจร้าย มาแย่งที่อยู่อาศัยของสามแม่ลูกนั่น และขับไล่พวกเขาออกจากเรือนไปอย่างกะทันหัน
“ความจริงให้เวลาพวกเขาหาที่อยู่ใหม่ก็ได้ เพียงแต่เหยาเอ๋อร์สั่งคนเก็บของแล้ว เกรงว่าคงไม่อยากอยู่ที่นี่กับพวกเราจริง ๆ” เป็นเก่อจิวลู่สะใภ้รองของบ้านเอ่ยขึ้น
ทุกคนต่างหามุมนั่งพักกันก่อน รอให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง กับคนของนางเก็บของ เมื่อย้ายออกไปหมดแล้ว จึงค่อยเข้าจับจองห้องพักของตัวเอง
ภายในเรือนของหลี่เมิ่งเหยา นางเก็บของจำเป็นใส่กล่องหมดแล้ว นางเก็บของมีค่าไว้ในถุงเฉียนคุนแทบทั้งหมด จึงไม่ได้มีสิ่งใดต้องเก็บมากมายนัก จึงได้เดินไปหามารดาที่ห้องของนาง เห็นนางกำลังเก็บเครื่องประดับลงกล่อง พร้อมส่งเสียงร้องไห้ไป สะอึกสะอื้นไปด้วย
“ท่านแม่”
“เหยาเอ๋อร์” คนเป็นแม่รีบเช็ดน้ำตาออกจากหน้า
“เห็นหรือยังว่าคนที่ท่านรัก เขามีนิสัยใจคอเช่นไร” นางกอดอกมองมารดาด้วยสายตาเฉยชา
“อืมข้าเห็นแล้ว” เฉาซูหลิ่งเบนสายตาไปมองที่พื้นห้อง ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับบุตรสาว
“เช่นนั้นไปขอหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยา จากพวกเขาได้หรือไม่”
เฉาซูหลิ่งหัวเราะทั้งน้ำตา มีหนังสือหรือไม่มี คงไม่ได้ทำให้สามีของนางกลับมาเห็นใจได้ ขนาดได้เห็นเสี่ยวหยวน เขายังไม่คิดปกป้องนางกับลูก ๆ แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นมารดาทำหน้าไม่ถูก หลี่เมิ่งเหยาจึงเอ่ยต่อ “หรือท่านแม่คิดจะยกเสี่ยวหยวน ให้พวกเขาเลี้ยงดูจริง ๆ”
“ไม่เอาเด็ดขาด พวกเขาถูกยึดทรัพย์สินไปหมดแล้ว จะเอาที่ไหนมาเลี้ยงดูเสี่ยวหยวนได้ สู้อยู่กับเจ้าไม่ดีกว่าหรือ” เฉาซูหลิ่งรีบเงยหน้าขึ้นมาแย้ง
“ยามนี้มาเห็นคุณค่าของข้าแล้วสินะ”
เฉาซูหลิ่งค้อนบุตรสาวเบา ๆ
“ตลอดห้าปีมานี้ข้ากับเสี่ยวหยวน อยู่รอดมาได้ก็เพราะเจ้า ลำพังเงินติดตัวตอนนั้น ใช้ไม่กี่เดือนก็หมดแล้ว ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้าทำอย่างไร ถึงได้มีเงินทองงอกเงยขึ้นมา แต่ว่ามันทำให้ข้าอยู่สุขสบายมาตั้งหลายปี เรื่องอันใดต้องให้เสี่ยวหยวน ไปกินมื้ออดมื้อกับพวกเขาด้วยเล่า”
ช่างเป็นแม่ประเสริฐ ลูกหาเงินยังไงยังไม่รู้
“ข้าจะไปเจรจา ขอหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาให้ท่านเอง ส่วนท่านก็เก็บของขึ้นรถม้าไปก่อน วันนี้มืดค่ำแล้วสมบัติของท่าน มีเยอะเสียด้วย”
หลี่เมิ่งเหยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านแม่ท่านลองไปคุยกับหม่าฮูหยินเรือนข้าง ๆ ดูได้หรือไม่ พวกเขามีเรือนในตรอกนี้ว่างอยู่ ไปขอเช่าอยู่ก่อนสักเดือนสองเดือน พอได้ที่อยู่ใหม่พวกเราค่อยย้ายออกไป”
“จริงของเจ้า”
11 : อี้เอ๋อร์นี่เป็นของขวัญพบหน้าจากพี่สาว หลี่เมิ่งเหยาให้มารดาพาน้องชายกับป้าหลู เข้าไปสอบถามเรื่องเช่าเรือนกับหม่าหลิงเฟย ให้ลุงจงทำหน้าที่ขนของขึ้นรถม้าเพียงลำพัง ส่วนตัวนางเดินไปทวงหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยากับบิดา “เหลวไหล ! นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กจะมาพูดกับผู้ใหญ่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดใส่นางเสียงดังลั่น อารมณ์โกรธก่อนหน้ายังไม่จางลง กลับถูกนางทำให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้มาขอเฉย ๆ แต่ข้ามีของมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยาไม่ได้มีท่าที กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย หลี่หวงซวนรู้สึกไม่รู้จักหลานสาวผู้นี้ของตนจริง ๆ “เจ้าว่ามามีอะไรมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยากระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “พวกท่านรู้หรือไม่ยามที่ข้ากับท่านแม่ ถูกพวกท่านขับไล่ออกจากจวนมาอยู่ที่นี่ เรือนแห่งนี้มีสภาพผุพังเพียงใด แม้แต่ห้องสุขายังไม่มีด้วยซ้ำ ข้าเสียเงินซ่อมแซมไปก็มากโข กระทั่งเครื่องเรือนที่พวกท่านเห็นอยู่นี่ ก็ซื้อใหม่ทั้งหมด พวกท่านทิ้งเรือนไปเสียนาน โจรขโมยมาลักของไปจนเกลี้ยง” นางเอ่ยแล้วก็เดินไปเคาะรูปปั้
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน