ทันใดนั้นสายตานางมองไปเห็นบุรุษผู้หนึ่ง สายตาของเขาเหมือนจะมองมาทางนี้ จึงรีบทิ้งตัวลงมาจากต้นไม้ คนผู้นั้นสายตากว้างไกล เกรงว่าวรยุทธ์สูงส่งอยู่ไม่น้อย หน้าตาคุ้น ๆ แต่นางนึกไม่ออก ว่าเคยเจอกันที่ไหนมาก่อน รีบเดินกลับเข้าห้องนอนของตัวเองไป
ซ่งหลินต๋ารู้สึกเหมือนมีสายตา ของใครบางคนจ้องมองอยู่ ครั้นมองกลับไปก็ไม่เห็นแม้แต่เงา ผู้ใดมาสอดส่องเรือนคุณชายของเขา
ก่อนฉุกคิดขึ้นมาได้ ที่ดินตรอกหนิงอัน เป็นของหยวนเหวินเซียวทั้งหมด ยกเว้นเรือนที่อยู่ด้านข้าง คงคิดมากไปเอง เรือนนั้นน่าจะมีเพียง เด็กและสตรีอาศัยอยู่
ภายในห้องนอนของหยวนเหวินเซียว ยามนี้เขามีผ้าสีขาวผูกปิดดวงตาเอาไว้ เนื่องจากได้รับพิษร้าย จนทำให้ดวงตาทั้งสองข้างบอดสนิท หม่าหลิงเฟยมารดาของเขา กำลังจัดแจงให้บุตรชายขึ้นนอนพักผ่อนบนเตียง
“เป็นเพราะข้าทำให้ท่านแม่ต้องพลอยลำบากไปด้วย”
เพราะดวงตามองไม่เห็น ทำให้คนในตระกูลนึกรังเกียจ อีกทั้งเขายังเป็นเพียงบุตรชายของฮูหยินรอง ซึ่งบิดาไม่ได้โปรดปรานแม้แต่น้อย
“ลำบากอันใดกัน ได้อยู่กับเจ้าข้าย่อมไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว” หม่าหลิงเฟยเอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นางไม่รู้สึกอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย ขอเพียงได้อยู่ดูแลบุตรชายเป็นพอ
เมื่อคนในตระกูลหยวน แสดงออกอย่างชัดเจน ว่ารังเกียจบุตรชายตาบอดขาพิการของนาง และต้องการให้เขาย้ายออกมาจากตระกูลหยวน หม่าหลิงเฟยจึงยื่นคำขาด ขอให้สามีเขียนจดหมายปลดปล่อยภรรยา เพื่อที่จะได้ตามมาดูแลเขาที่นี่
“ท่านแม่ลูกอกตัญญูแล้ว”
“อย่าได้เอ่ยเช่นนั้น ตอนเจ้ายังดี ๆ อยู่ ทำงานให้คนพวกนั้นมีกินมีใช้กันตั้งเท่าไร ยามลำบากกลับขับไล่ไสส่ง ดีแค่ไหนที่เจ้ามีที่ทาง และร้านค้าบางส่วนเป็นของตนเอง ไม่เช่นนั้นคงถูกพวกเขายึดไปจนหมด”
นางเอ่ยด้วยความแค้นใจ เป็นเพราะตระกูลเดิมของนางตกต่ำ เลยทำให้บ้านสามีนึกรังเกียจ ยิ่งบุตรชายถูกลอบวางยาจนเป็นเช่นนี้ ยิ่งทำให้พวกเขาเผยตัวตนออกมาอย่างชัดเจน
“อย่าให้ข้ารู้นะว่าเป็นฝีมือของใคร” นางเข่นเขี้ยวด้วยความโกรธ
เรื่องนี้สะเทือนใจของหยวนเหวินเซียวเป็นอย่างมาก เมื่อสองปีก่อนเขาไปงานเลี้ยง ที่จวนเสนาบดีการคลังแทนผู้เป็นบิดา แต่กลับถูกวางยาในน้ำชาจนตาบอด ทำให้พลัดตกลงมาจากบันไดหิน จนขาพิการข้างหนึ่ง
เหตุการณ์วันนั้นไม่สามารถเอาผิดผู้ใดได้ ตระกูลหยวนไม่อยากมากความกับจวนเสนาบดี จึงยอมปล่อยให้เรื่องนี้ เงียบหายไปอย่างเงียบ ๆ
หยวนเหวินเซียวต้องทนทุกข์ทรมาน กับการมองไม่เห็น มารดาของเขาเฝ้าตามหาหมอ มารักษาอาการให้ ทว่าสองปีผ่านมานี้ หมอคนแล้วคนเล่า ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าไร้หนทางรักษาแล้วจริง ๆ
“ท่านแม่กลับห้องไปเถอะขอรับ ข้าจะนอนพักเสียหน่อย”
“ได้ ๆ เจ้านอนเถอะเดินทางมาเหนื่อย ๆ ข้าก็จะเข้านอนแล้วเหมือนกัน” นางดึงผ้าห่มคลุมตัวให้บุตรชาย ก่อนเดินออกจากห้องนอนของเขาไป
วันต่อมาหม่าหลิงเฟยถือของขวัญกล่องหนึ่ง ไปทักทายเพื่อนบ้านที่อยู่เรือนด้านข้าง จึงได้ทำความรู้จักกับเฉาซูหลิ่ง
“ข้าพาลูกชายย้ายมาอยู่ที่เรือนด้านข้างนี้แบบถาวร ต่อไปพวกเราก็กลายเป็นเพื่อนบ้านกันแล้ว นี่คือของขวัญที่ข้านำมาให้ โปรดฮูหยินรับไว้ด้วย” หม่าหลิงเฟยยื่นกล่องของขวัญ ไปตรงหน้าของนาง
“ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ” เฉาซูหลิ่งรับของขวัญมา แล้วส่งยื่นให้ป้าหลูนำไปเก็บ
“หม่าฮูหยินเดิมทีข้าแซ่เฉาเจ้าค่ะ”
เฉาซูหลิ่งไม่รู้จะแนะนำตัวเองอย่างไร ได้ข่าวว่าพวกเขามาจากตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ขณะที่ตัวนางนั้น แทบไม่อาจเอ่ยถึงฐานะของตนเองได้เลย
“เช่นนั้นต้องเรียกเฉาฮูหยินสินะ”
“เอ่อ เช่นนั้นก็ได้”
เฉาซูหลิ่งไม่กล้าบอก ว่าตอนเองเป็นเพียงอนุภรรยา ที่ถูกตระกูลหลี่ขับไล่ออกมาอยู่ที่นี่
“พวกท่านมาอยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ข้ากับลูก ๆ อยู่ที่นี่มาห้าปี ค่อนข้างเงียบเหงามากเลยทีเดียว เสี่ยวหยวนท่านคงเคยเห็นแล้ว เมื่อวานเห็นมุดทางหมาลอด ไปเอาลูกบอลที่เรือนท่าน ข้าต้องขออภัยด้วย ที่สั่งสอนบุตรชายได้ไม่ดี”
“ไม่เป็นไร ๆ เขาน่ารักดี ว่าง ๆ ก็ให้ไปวิ่งเล่นที่เรือนของข้าได้ ข้าจะให้คนเตรียมขนมไว้เลี้ยงเขาเอง”
“เกรงใจท่านแล้วเจ้าค่ะ นั่นเหยาเอ๋อร์กลับมาแล้ว รีบมาทักทายกับหม่าฮูหยินเร็วเข้า”
หลี่เมิ่งเหยาเลิกคิ้วแปลกใจ หม่าฮูหยินที่ใดกันอีก พอเดินเข้าไปในห้องโถงกลับเห็นสตรีใบหน้างดงาม ท่าทางเหมือนคนเติบโตมาในตระกูลใหญ่โต ดูไปแล้วอายุคงมากกว่ามารดานางราวห้าหกปีเห็นจะได้
“นี่หลี่เมิ่งเหยาบุตรสาวคนโตของข้าเองเจ้าค่ะ เหยาเอ๋อร์หม่าฮูหยินเพิ่งย้ายมาอยู่ที่เรือนด้านข้างนี่เอง”
“เมิ่งเหยาคำนับหม่าฮูหยินเจ้าค่ะ” หลี่เมิ่งเหยาประสานมือย่อตัวลง
“หน้าตางดงามยิ่งนัก อายุเท่าใดแล้วรึ”
“สิบเจ็ดปีเจ้าค่ะ”
“โอ้” หม่าหลิงเฟยทำหน้าตกใจเล็กน้อย อายุเท่านี้เหตุใดยังไม่ออกเรือนอีก ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้
“ว่าแต่ท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ”
หลี่เมิ่งเหยาเห็นมารดาไม่ยอมบอก ความเป็นมาของอีกฝ่าย จึงเอ่ยถามออกไปตรง ๆ
“เจ้าเด็กนี่ เสียมารยาทจริง ๆ” เฉาซูหลิ่งตำหนิบุตรสาวซึ่ง ๆ หน้า หันไปทางหม่าหลิงเฟย “ขายหน้าท่านแล้ว”
“ที่ไหนกันนางตรงไปตรงมาเช่นนี้ ข้าว่าดีออก ข้าชื่อหม่าหลิงเฟย เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนข้าง ๆ นี้เอง วันนี้เลยนำของขวัญมาทักทายเพื่อนบ้านเสียหน่อย”
หลี่เมิ่งเหยาพยักหน้าลงเบา ๆ “ท่านเป็นอะไรกับคุณชายสามเรือนนั้นหรือเจ้าคะ”
“นี่เจ้า รู้จักบุตรชายของข้าด้วยรึ”
นางทำหน้าตกใจ หันไปทางแม่นมของตนที่ยืนอยู่ด้านหลัง อีกฝ่ายส่ายหน้าเบา ๆ ไม่รู้เรื่องเช่นกัน
หลี่เมิ่งเหยาแอบอายเล็กน้อย
“ไม่ถือว่ารู้จักกันหรอกเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อห้าปีก่อน ตอนที่ข้ากับท่านแม่ ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ ค่อนข้างกะทันหันไปหน่อย เลยได้ไปหยิบยืมตะเกียงน้ำมัน กับกระโถนฉี่ที่เรือนของท่านมาใช้เจ้าค่ะ”
เฉาซูหลิ่งแทบลมจับ เจ้าจะเอ่ยออกมาทำไม ขายหน้าชะมัด
“กระโถนฉี่ ?”
หม่าหลิงเฟยตกใจจนกำมือใต้แขนเสื้อแน่น แต่พอคิดว่าห้าปีก่อน นางคงอายุสิบสองปีเท่านั้น ยังคงเป็นเด็กสาวอยู่ คงไม่รู้ความเท่าใดนัก แต่การย้ายมาอยู่อย่างกะทันหันย่อมมีสาเหตุ หม่าหลิงเฟยไม่ได้อยากรู้อยากเห็นถึงเพียงนั้น
“ฝากขอบคุณคุณชายสามด้วยนะเจ้าคะ หากไม่ได้เขาให้ยืมของ ยามนั้นข้ากับท่านแม่คงลำบากไม่น้อย” หลี่เมิ่งเหยาเอ่ยต่อ
“ได้ข้าจะบอกเขาให้”
หม่าหลิงเฟยรู้สึกแปลก ๆ กับหลี่เมิ่งเหยา ดูนางแตกต่างจากสตรีทั่วไป ดูมั่นใจกล้าพูด ไม่มีความเหนียมอายแม้แต่น้อย “ข้ามานานแล้วคงต้องขอตัวกลับก่อน”
“ข้าไปส่งท่านเองเจ้าค่ะ” เฉาซูหลิ่งลุกขึ้นเดินออกไปส่งแขก
หลี่เมิ่งเหยาทำเพียงย่อตัวให้เล็กน้อย นางสังเกตเห็นแววตาของหม่าหลิงเฟย ไม่ได้สดใสเลยแม้แต่น้อย มีความโศกเศร้าเสียใจอยู่ตลอดเวลา จึงไม่กล้าเอ่ยถาม ว่าเหตุใดคุณชายสามผู้นั้น ถึงได้ตาบอดขาพิการ จนต้องนั่งรถเข็น
หากยังอยู่ที่นี่ คงได้พบเจอและพูดคุยกันอีก นางรอดูสถานการณ์ไปก่อน หากเป็นคนดีมีน้ำใจต่อกัน อาจพิจารณาให้เป็นหนูลองตัวยา ในเรือนโอสถก็เป็นได้ มุมปากนางยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ทำไงได้ยานั่นยังไม่เคยลองใช้มาก่อนจริง ๆ
ฝ่ายหม่าหลิงเฟยหลังกลับไปที่เรือน ได้แวะไปหาบุตรชายที่ห้องหนังสือของเขา แม้ดวงตามองไม่เห็น แต่เขาสามารถให้ซ่งหลินต๋า อ่านหนังสือให้ฟังได้
“ฮูหยินมาขอรับ” ซ่งหลินต๋าเอ่ยบอกผู้เป็นนาย
“เจ้าออกไปก่อน ท่านแม่คงมีเรื่องคุยกับข้า”
“ขอรับคุณชาย” ซ่งหลินต๋าเก็บหนังสือเข้าชั้น โค้งคำนับให้หม่าหลิงเฟยหนึ่งที ก่อนเดินออกจากห้องหนังสือไป
“ท่านแม่เชิญนั่งก่อนขอรับ”
หยวนเหวินเซียวผายมือไปตรงเก้าอี้ ด้านหน้าของตนเอง เขามีประสาทสัมผัสดีอยู่แล้ว จึงรู้ว่ามารดาเดินเข้ามาในห้องหนังสือเพียงลำพัง
“แม่นมหูล่ะขอรับ”
“ข้าให้นางเข้าไปดูในห้องครัวอยู่” หม่าหลินเฟยตอบก่อนทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้
“ไปเรือนโน้นมาแล้วเป็นอย่างไรบ้างขอรับ” เขาถามขณะคลำมือไปที่ถ้วยชา แล้วยกขึ้นจิบอย่างช้า ๆ
“เจ้าไม่เคยบอกว่าบุตรสาวบ้านโน้น เคยมายืมกระโถนฉี่”
หยวนเหวินเซียวถึงขั้นสำลักน้ำชา ผู้เป็นมารดารีบดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้
“เจ้านี่นาเหตุใดไม่ระวังเลย ตกใจอะไรนักหนา นางเป็นสตรียังกล้าเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่มีเหนียมอายแม้แต่น้อย ไม่รู้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างไรกันแน่”
“ตอนนั้นนางยังเด็กขอรับ อีกอย่างมาอยู่ที่นี่อย่างกะทันหันบ่าวไพร่ก็ไม่มี”
“ไม่มีบ่าวไพร่ตามมารึ แต่เมื่อครู่ข้าเห็นมีบ่าวรับใช้อยู่ด้วยนะ”
“พวกนางคงเพิ่งหาคนมาเพิ่มทีหลังขอรับ”
คิดแล้วนึกเสียดายเล็กน้อย อยากเห็นหน้าเด็กสาวผู้นั้นยามโตอยู่เหมือนกัน “นางหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
หม่าหลิงเฟยลอบพรูลมหายใจออกเบา ๆ
“หน้าตางดงาม แต่กิริยาไม่ได้อ่อนหวานเหมือนสตรีทั่วไป ค่อนข้างเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา แต่น่าแปลกนางอายุสิบเจ็ดปีแล้ว เหตุใดยังไม่ออกเรือนอีกก็ไม่รู้ ข้าไม่กล้าถาม เกรงว่าจะเป็นการเสียมารยาท”
มุมปากของหยวนเหวินเซียนโค้งขึ้นเล็กน้อย ไม่รู้เหตุใดถึงได้รู้สึกเหมือนมีดอกไม้บานเล็ก ๆ ในหัวใจ ก้มหน้าลงขำเบา ๆ ออกมา
“มีอันใดให้น่าขำกัน” คนเป็นมารดานึกสงสัย ในปฏิกิริยาของบุตรชาย
“ข้าเพียงคิดว่า นางถึงขั้นกล้ามาขอยืมกระโถนฉี่เรือนผู้อื่น คงหาบุรุษคบหาได้ยากขอรับ”
“ดูปากเจ้าสิ ขืนนางมาได้ยินคงได้โกรธเจ้าเป็นแน่ แล้วเหตุใดนางถึงเรียกเจ้าว่าคุณชายสาม ไม่ได้บอกชื่อแซ่นางหรอกรึ”
“ไม่ได้บอกขอรับ เดิมทีนางจะเรียกพี่ชายแต่ข้าไม่ชอบ นางเลยถามชื่อต่อแต่ข้าไม่บอก เลยให้เรียกว่าคุณชายสามแทน” เขาเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบางเบา เหมือนได้หวนกลับไปอยู่ในวันวาน
“นิสัยไม่ดีไปแกล้งนางได้อย่างไร อีกเรื่องน้องชายของนางผู้นั้น หน้าตาน่ารักน่าชังน่าเอ็นดูมาก ข้าบอกพวกเขาแล้ว ให้เขามาวิ่งเล่นในเรือนของเราได้ หากเจอเขามาก็ต้อนรับดี ๆ ด้วยล่ะ”
“ขอรับท่านแม่ ข้าเองก็ไม่ได้ให้คนปิดทางหมาลอดนั่นเหมือนกัน”
“เอาไว้แบบนั้นแหละ เรือนนั้นดูไม่มีพิษภัยอะไร มีแค่เด็กกับสตรีแล้วก็คนแก่สองคน ไม่น่ามีปัญหากันในวันข้างหน้า ขืนพวกเราไปปิดรูนั่น ทางนั้นจะหาว่าเรารังเกียจเอาได้”
“ทำตามที่ท่านแม่เห็นชอบเถอะขอรับ”
หม่าหลิงเฟยเอ่ยต่ออีกไม่กี่คำ ก็ขอตัวกลับไปที่เรือนของตนเอง
9 : ยึดทรัพย์ตระกูลหลี่พอได้อยู่เพียงลำพัง หยวนเหวินเซียวอดนึกถึงเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยเสี่ยวหยวนไม่ได้ ทำให้หัวใจอันมืดมนของเขาพลันสดชื่นขึ้นมา ย้อนเหตุการณ์ไปยามที่ได้พูดคุย กับเสี่ยวหยวนตัวน้อยนั่น “พี่ชายเหตุใดมีผ้าคาดตาด้วยเล่า” เขาสัมผัสได้ถึงฝ่ามือน้อย ๆ จับตรงต้นขาของเขา ท่าทางคงเขย่งเท้าขึ้นอีกด้วย “ข้ามองไม่เห็น” “อ่อ ที่นั่นมืดมากไหม” “ก็เหมือนตอนเจ้าปิดไฟนอนนั่นแหละ” “ไอหยา เช่นนั้นต้องน่ากลัวแน่ ๆ” “ข้าไม่กลัว” “นี่ ๆ พี่ชายพี่หญิงใหญ่ของข้ารักษาเก่งมาก ตอนที่ข้าหกล้มนางเอายามาทาให้ วันเดียวก็หายเลย ท่านว่าข้าให้นางมารักษาท่านดีหรือไม่” เมื่อเห็นเขาเอาแต่ยิ้ม เสี่ยวหยวนน้อยเลยเอ่ยกับตัวเองเบา ๆ “ทายาที่ตาท่านวันเดียวต้องหายแน่ ๆ ท่านต้องมองเห็นแน่นอน” หยวนเหวินเซียวยื่นมือไปประคอง ใบหน้ากลมนุ่มนิ่มราวเจ้าก้อนซาลาเปาน้อย จากนั้นอุ้มเขาขึ้นมานั่งอยู่บนตักของตนเอง "พี่ชายท่านจะหนักเอานะ ให้ข้ายืนเองเถอะ" เด็กน้อยรีบขืนตัวออก แต่กลับถูกคนบนรถเข
10 : อยากตายก็เข้ามาสิ เสี่ยวหยวนน้อยเห็นคนวัยเดียวกันก็ใจชื้นขึ้นมา ยกมือขึ้นมาโบกส่ายเล่นกับเขา เด็กน้อยหลี่ซืออี้ยกมือโบกตอบกลับเขาด้วยความเขินอาย จี้ชิวหรงดึงมือน้อย ๆ ของบุตรชายลงแทบไม่ทัน “เจ้าคือเหยาเอ๋อร์รึ” หลี่หงซวนมองหลานสาวตนเองด้วยความประหลาดใจ เด็กน้อยขี้ขลาดขี้กลัวผู้นั้น ใช่คนตรงหน้านี้จริงหรือ “เจ้าค่ะ ข้าคือเหยาเอ๋อร์ คำนับท่านปู่ท่านย่า ท่านพ่อแม่ใหญ่ ท่านลุงรองท่านป้าสะใภ้รอง” นางคำนับให้เพียงผู้อาวุโสเท่านั้น ส่วนคนอื่น ๆ ทำเพียงปรายตามองนิ่ง ๆ “เหยาเอ๋อร์พวกเขาจะไล่เราออกจากเรือน” เฉาซูหลิ่งรีบฟ้องบุตรสาว “เอ๋ ไล่ออกจากเรือน แล้วคืนนี้ข้าจะนอนที่ไหนกันเล่า” เสี่ยวหยวนน้อยเงยหน้าขึ้นมอง คนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจ “เด็กคนนี้คือ ?” หลี่หย่วนเจ๋อจ้องเสี่ยวหยวนตาเขม็ง เขารู้สึกเหมือนได้พลาดบางอย่างไป เสี่ยวหยวนรีบก้าวเท้าออกมาตรงหน้า “คำนับท่านลุงข้าชื่อหลี่ชงหยวนขอรับ แต่ท่านแม่กับพี่หญิงใหญ่ มักเรียกข้าว่าเสี่ยวหยวน” เจ้าก้อนซาลาเปาน
11 : อี้เอ๋อร์นี่เป็นของขวัญพบหน้าจากพี่สาว หลี่เมิ่งเหยาให้มารดาพาน้องชายกับป้าหลู เข้าไปสอบถามเรื่องเช่าเรือนกับหม่าหลิงเฟย ให้ลุงจงทำหน้าที่ขนของขึ้นรถม้าเพียงลำพัง ส่วนตัวนางเดินไปทวงหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยากับบิดา “เหลวไหล ! นี่ไม่ใช่เรื่องที่เด็กจะมาพูดกับผู้ใหญ่ได้” ฮูหยินผู้เฒ่าตวาดใส่นางเสียงดังลั่น อารมณ์โกรธก่อนหน้ายังไม่จางลง กลับถูกนางทำให้ปะทุขึ้นอีกครั้ง “ข้าไม่ได้มาขอเฉย ๆ แต่ข้ามีของมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยาไม่ได้มีท่าที กลัวพวกเขาแม้แต่น้อย หลี่หวงซวนรู้สึกไม่รู้จักหลานสาวผู้นี้ของตนจริง ๆ “เจ้าว่ามามีอะไรมาแลกเปลี่ยน” หลี่เมิ่งเหยากระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “พวกท่านรู้หรือไม่ยามที่ข้ากับท่านแม่ ถูกพวกท่านขับไล่ออกจากจวนมาอยู่ที่นี่ เรือนแห่งนี้มีสภาพผุพังเพียงใด แม้แต่ห้องสุขายังไม่มีด้วยซ้ำ ข้าเสียเงินซ่อมแซมไปก็มากโข กระทั่งเครื่องเรือนที่พวกท่านเห็นอยู่นี่ ก็ซื้อใหม่ทั้งหมด พวกท่านทิ้งเรือนไปเสียนาน โจรขโมยมาลักของไปจนเกลี้ยง” นางเอ่ยแล้วก็เดินไปเคาะรูปปั้
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
20 : กับคนข้าไม่เคยใช้ แต่กับสัตว์ได้ผลดีนักเชียวล่ะ ส่วนเรือนที่อยู่ด้านข้างนั้น ลุงจงออกไปดูแลการซ่อมแซมปรับปรุงเรือนที่เพิ่งซื้อมา เขาต้องทำตามแบบร่างของผู้เป็นนายอย่างจริงจัง ด้านหลี่เมิ่งเหยากำลังเริ่มต้น ทำการรักษาให้แก่หยวนเหวินเซียว “คุณชายท่านคิดใหม่ยังทันนะขอรับ” คนที่เป็นเดือดเป็นร้อนมากที่สุด กลับเป็นซ่งหลินต๋า เขาแทบจะยืนขวางทางหลี่เมิ่งเหยาเอาไว้ “ระหว่างขากับตา จะรักษาตรงไหนก่อน” หลี่เมิ่งเหยาเตรียมของออกมาจากเรือนโอสถ นอกจากโอสถแล้วยังมีตำรามาด้วยอีกเล่ม เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย “คุณชาย” “พอได้แล้วหลินต๋า ข้าตัดสินใจรักษากับเมิ่งเหยาแล้ว เจ้าแค่คอยดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเข้ามายุ่งให้มากนัก” แม้ใจหนึ่งจะหวาดหวั่นแต่อีกใจก็อยากลองดูสักครั้ง “รักษาตาก่อนแล้วกัน” “อื้ม ข้าว่าเจ้า ออกไปนั่งรอตรงนั้นก่อนดีหรือไม่” นางหันไปยักคิ้วให้ซ่งหลินต๋าหนึ่งที “ไม่ ข้าจะอยู่ข้าง ๆ คุณชาย เผื่อเกิดเรื่องขึ้น” “เจ้ายืนจ้องข้าอยู่แบบนี้ ข้า
19 : เห็นว่าพี่เหวินเซียวของเจ้าพิการ เลยส่งคนมาถอนหมั้น ในเรือนของหยวนเหวินเซียว ฉีห้าวตงได้มารายงานเรื่องของตระกูลโจวแล้ว หลังได้ยินว่าพวกเขาส่งคนมาถอนหมั้น หยวนเหวินเซียวไม่ได้แสดงออกว่าแปลกใจแต่อย่างใด เพียงแค่ถอนหายใจหนัก ๆ ออกมา “คุณหนูใหญ่ไม่น่าเป็นคน อยากถอนหมั้นหรอกขอรับ ข้าคิดว่าคงเป็นบิดามารดาของนางมากกว่า” ซ่งหลินต๋าเอ่ย “เจ้าเป็นนางรึ ถึงได้เข้าใจความคิดของนาง” เอ่ยแล้วทำให้นึกถึงใบหน้างดงามของโจวหยุนเอ๋อ เขาได้พูดคุยกับนางอยู่สองสามหน ท่าทางสุภาพเรียบร้อย เป็นสตรีผู้เพียบพร้อมทุกด้าน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของนางเหมือนกัน “คุณชายข้าเพียงแค่เห็นว่าคุณหนูใหญ่ นางดูรักใคร่ชอบพอคุณชายมาก คงไม่ได้คิดถอนหมั้นจริง ๆ” ซ่งหลินต๋าพยายามปลอบใจผู้เป็นนาย “จะมีสตรีคนใด อยากมาอยู่กับคนตาบอดขาพิการเช่นข้าไปตลอดชีวิต หากนางอยากทิ้งข้าไป ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด” คำพูดคล้ายปลงตก แต่ความรู้สึกกับแตกสลายไม่มีชิ้นดี “ท่านแม่คงไม่ได้ชวนพวกนางทะเลาะหรอกนะ” เขาเอ่ยต่อ “คงมีบ้างขอรับ แต่น่าแปลกท
18 : ท่านแม่ข้าคิดว่าน้องสะใภ้สามไม่จริงใจกับพวกเราตระกูลหลี่ ตระกูลจี้เป็นตระกูลใหญ่ นายท่านจี้เองมีสามภรรยาสี่อนุ และบุตรหลานอีกมากมาย ยามนี้บุตรีจากภรรยาเอก ออกเรือนมาแล้วพบเจอกับปัญหาเข้า พวกนางต่างจ้องจับผิดเรื่องนี้กันอยู่ ทำให้ฮูหยินใหญ่ ไม่สามารถช่วยเหลือบุตรสาวได้อย่างเต็มที่ แม่นมอวี่เอ่ยต่อ “หากเป็นไปได้เงินนี่ ให้ใช้แค่เรือนของคุณหนูก็พอเจ้าค่ะ” “ทำเช่นนั้นไม่ได้ ข้ากินอยู่กับทุกคนที่นี่ ท่านจะให้ข้าเห็นแก่ตัว แอบเก็บเงินไว้ใช้คนเดียวได้อย่างไร ข้าทำไม่ได้หรอก” จี้ชิวหรงปฏิเสธในทันที “หากทำไม่ได้ก็นำออกมามอบให้พวกเขาแค่ส่วนหนึ่งพอ ที่เหลือให้เก็บเอาไว้ใช้ในเรือน ท่านไม่บอกก็ไม่มีใครรู้หรอกเจ้าค่ะ คุณหนูต้องคิดถึงคุณชายน้อยให้มาก ๆ นะเจ้าคะ ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะฟื้นคืนมาได้เมื่อใด” จี้ชิวหรงคิดตามที่แม่นมอวี่เอ่ย นางค่อนข้างเห็นด้วยในเรื่องนี้ ตระกูลหลี่ยังมีอีกหลายชีวิตให้ดูแล ลำพังเงินที่พ่อสามีของนางมีอยู่คงไม่เพียงพอ “คงต้องทำเช่นนั้นจริง ๆ” แม่นมอวี่ถามถึงเฉาซูหลิ่งกับลูกสาวของนาง พอได้รู้ความจริงท
17 : ไม่รู้ตระกูลจี้มอบความช่วยเหลือมาหรือไม่ “ข้าถึงได้มาคุยกับท่านด้วยตัวเองนี่อย่างไร ข้ารับรองยาของข้าไม่มีทางเป็นอันตราย ต่อร่างกายของท่านอย่างแน่นอน” หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความสิ้นหวังในท่าทางของเขา “ข้าขอดูดวงตาของท่านได้หรือไม่” “มีอะไรให้น่าดูกัน” “ข้าจะได้รู้ว่าอาการเป็นอย่างไร ยาที่ข้ามีอยู่หรือว่ากำลังจะปรุงขึ้น สามารถใช้ได้ไหม ว่าแต่พิษนั่นชื่อว่าอะไร” ตอนนี้นางมั่นใจแล้วว่าเขาโดนพิษร้ายมาอย่างแน่นอน “บอกมาเถอะนะ ข้าอยากช่วยท่านจริง ๆ” นางเขย่ามือของเขาเบา ๆ อีกฝ่ายวางฝ่ามือของตนลงบนมือของนาง จับยกออกพร้อมเอ่ย “เป็นพิษฟู่จื่อทำให้ดวงตามองไม่เห็น ส่วนขานั้นเกิดจากข้าวิงเวียนตอนได้รับพิษ ทำให้ร่างกายไร้ความรู้สึก พลัดตกจากบันไดสูงลงไปจนขาหัก ท่านหมอเชื่อมกระดูกให้แล้ว แต่ว่าไม่สามารถเดินเหินได้ดังเดิม” เขาใจอ่อนยอมบอกให้ที่สุด “พิษฟู่จื่อ” นางเอ่ยแล้วดวงตามีแววแห่งความหวัง นางจำพิษนี้ได้ คงต้องมีปริมาณมากถึงทำให้ตาบอดได้ “ข้าจะไปศึกษาพิษฟู่จื่อให้เข้าใจ จากนั้นค่อยหาวัตถุดิบในการปรุงยา ท่านวางใจเถอะข้าต้อ
16 : ท่านอยากเป็นหนูลองยาของข้าหรือไม่ หลี่เมิ่งเหยาเดินเข้าไปใกล้ ๆ กับน้องชาย ยกนิ้วขึ้นไล้แก้มนุ่มนิ่มของเขาอย่างแผ่วเบา “ข้าไม่ได้ซื้อมาให้น้องชายอีกคนหรอก เอามาเผื่อยามเจ้าไม่อิ่มต่างหาก” “เช่นนั้นรึ” เขาแลบลิ้นเลียผลชานจาสด ที่ถูกเคลือบด้วยน้ำตาลกรวดอย่างเอร็ดอร่อย “แปลกจริง ยังไม่ถึงหน้าหนาวเลย มีผลชานจาแล้ว” นางนึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “จริงด้วยขอรับ หรือว่าปีนี้จะหนาวเร็วกว่าทุกปี ผลชานจาเลยสุกเร็ว” จู่ ๆ เขาก็เปลี่ยนเรื่อง จนนางตามแทบไม่ทัน มองเขากินปิงถังหูลู่อย่างสุขใจ แต่แล้วเขาก็หยุดกินแล้วเอ่ยขึ้น “พี่หญิงใหญ่” “หืม” “ข้าเอาไปแบ่งให้น้องชายได้หรือไม่” เด็กน้อยช่างไร้เดียงสา เสี่ยวหยวนเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวมาตลอด จู่ ๆ เกิดมีน้องชายขึ้นมา เลยอยากแบ่งปันของกินให้ด้วย นางคุกเข่าลงตรงหน้าของน้องชาย จับไหล่น้อย ๆ ของเขาแล้วลูบลงตามลำตัว “เสี่ยวหยวนน้องชายยังเล็ก อาจยังไม่มีฟันแข็งแรงพอ ให้แทะปิงถังหูลู่ของเจ้า เอาไว้ให้เขาโตขึ้นอีกหน่อย ค่อยแบ่งให้เขาดีหร
15 : พี่หญิงใหญ่นางค่อนข้างจะร่ำรวย หลี่เมิ่งเหยามองเห็นความโลภในดวงตาของเขา พวกเถ้าแก่เป็นเช่นนี้ทุกคนหรือไม่ “ใครก็ช่วยหาไม่ได้หรอก มีเพียงข้าเท่านั้นที่เข้าไปสถานที่แห่งนั้นได้” สมุนไพรบางตัวมีอยู่บนยอดภูเขา ในกำไลหยกโลกันตร์เท่านั้น ไหนเลยนางจะรู้ได้ว่า ข้างนอกนี่มีหรือไม่ “เช่นนั้นรึ เรามาว่าเรื่องของราคากันเถอะ” เถ้าแก่จางเกรงว่านางจะเปลี่ยนใจ ยิ่งได้รู้ว่านางนำยามาขายให้เพียงห้าเม็ดเท่านั้น จึงเสนอราคาไปที่เม็ดละหนึ่งพันตำลึง ซึ่งนางก็ไม่ได้ต่อรองราคาแต่อย่างใด มอบยาแล้วรับเงิน จากไปในทันที กระทั่งสัญญาซื้อขายก็ไม่คิดเขียนด้วยซ้ำ “พิลึกคนจริง ๆ เจ้าตามสะกดรอยนางไป ข้าอยากรู้ว่านางอยู่ที่ใดกันแน่” เขาหันไปสั่งคนของตัวเอง หลี่เมิ่งเหยาที่ฝึกฝีมือ ในเรือนโลกันตร์มาตลอดห้าปีเต็ม อีกทั้งมีลุงจงคอยสอนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก มีหรือจะถูกสะกดรอยได้ง่ายดายปานนั้น นางหลบหนีเขาพ้นได้อย่างง่ายดาย ความอยากรู้อยากเห็นไม่เลือกคนสินะ ฝ่ายคนที่ไล่ตามนาง กลับไปรายงานด้วยสีหน้าสลด เถ้าแก่จางรีบโบกม
14 : หาที่ปลูกเรือนหลังใหม่ สะใภ้ทั้งสองหันไปมองหน้ากัน แล้วหลุบสายตาลงต่ำ พวกนางไม่เคยคิด ว่าการแต่งงานเข้าตระกูลหลี่ จะต้องมาพบกับจุดจบเช่นนี้ หากพวกนางไม่ได้รักสามีด้วยใจจริง หรือหากก่อนหน้าสามีใจร้ายกับพวกนาง คงตัดสินใจรับหนังสือหย่ากลับบ้านเดิมไปแล้ว แต่เมื่อเลือกติดตามสามีมาเช่นนี้ ต้องเดินหน้าต่อไปเท่านั้น สะใภ้ทั้งสองอยู่คุยกับแม่สามีต่อสักพัก จากนั้นก็ขอตัวกลับไปยังเรือนของตนเอง จี้ชิวหรงเห็นสามีอุ้มบุตรชายเดินเล่นอยู่ในสวน นางพลันยิ้มออกในทันที “ท่านแม่” อี้เอ๋อร์เห็นมารดาก็ชูมือขึ้น คนเป็นแม่อดที่จะยื่นมือเข้าไปอุ้มเขาไม่ได้จริง ๆ “ท่านพี่ไม่ได้ไปกับท่านพ่อพี่รองหรือเจ้าคะ” “ข้าจะไปได้อย่างไรต้องดูแลอี้เอ๋อร์ ไปกันเยอะก็มากความ ให้ท่านพ่อไปกับพี่รองน่ะถูกแล้ว เจ้าไปที่เรือนด้านข้าง ได้เรื่องอะไรมาหรือไม่” “ท่านพี่อยากถามว่าข้าเห็นลูกชายของท่านไหม ก็เอ่ยมาตามตรงเถอะ” “ฮูหยินเหตุใดเอ่ยเช่นนั้นเล่า” “ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ แต่ข้าไม่ได้พบพวกเขาหรอก พบเพียงหม่าหลินเฟยเจ้าของเรือ
13 : นางไม่ใช่คนดีเท่าใดนัก ในใจของหลี่ปิงซืออดเสียดายไม่ได้ หากพวกนางยังอยู่ที่นี่ ไม่ใช่ว่าจะช่วยเหลือตระกูลหลี่ได้หรอกหรือ ไม่น่าหุนหันพลันแล่น ขับไล่พวกนางออกไปเลย ครึ่งชั่วยามต่อมา พ่อบ้านหลัวได้กลับมารายงานผู้เป็นนาย หลังจากได้ไปสอบถามกับผู้คนที่อยู่ละแวกนี้แล้ว “ตระกูลหยวนแห่งเมืองหลวงหรือ” หลี่หวงซวนเคยได้ยินชื่อเสียงพวกเขาอยู่บ้าง “ขอรับนายท่าน ตรอกหนิงอันแห่งนี้ถูกพวกเขากว้านซื้อเอาไว้ทั้งหมด มีเพียงเรือนของนายท่านที่ไม่ได้ถูกซื้อไปขอรับ” “แล้วเป็นใครในตระกูลหยวนที่เป็นเจ้าของเรือนด้านข้าง” “ได้ข่าวว่าเป็นหยวนเหวินเซียว บุตรชายคนที่สามที่เกิดจากฮูหยินรองขอรับ เห็นว่าหม่าหลิงเฟยพาบุตรชาย ย้ายมาอยู่ที่นี่แบบถาวรแล้ว แต่เพราะเหตุผลใดนั้นข้าไม่อาจสืบมาได้ เพราะพวกเขาเพิ่งย้ายมาไม่กี่วันนี้เองขอรับ” “นี่ไม่น่าแปลกหรือ เพิ่งย้ายมาไม่กี่วัน แต่อนุเฉากลับเข้าไปพึ่งพาอาศัยพวกเขาแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เข้าใจ “เลิกเรียกนางว่าอนุเฉาเถอะ นางได้รับหนังสือปลดปล่อยอนุภรรยาไปแล้ว ต่อไปหากเอ่ยถึงนาง
12 : สามีที่ดีคือสามีใหม่นะท่านแม่ หลังจัดแจงที่พัก ให้ครอบครัวของเฉาซูหลิ่ง เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมหูยกของว่างกับน้ำชา มาให้หม่าหลิงเฟยในห้องนั่งเล่น “ฮูหยินท่านใจอ่อนไปแล้วนะเจ้าคะ” มีความห่วงใยในน้ำเสียงของแม่นมหู หม่าหลิงเฟยอมยิ้มในหน้า “ท่านก็กังวลเกินเหตุ ข้าเพียงแต่รู้สึกว่าเรือนหลังนี้เงียบเหงาเกินไป หากมีเสี่ยวหยวนคอยวิ่งเล่นรอบตัวของเหวินเซียว อาจทำให้เขามีความสุข มากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้” นางยังจำภาพรอยยิ้มบาง ๆ ตอนบุตรชายอุ้มเสี่ยวหยวนได้ “เช่นนี้นี่เอง” แม่นมหูพยักหน้าลงเบา ๆ นางถึงแปลกใจว่าเหตุใด ผู้เป็นนายถึงยอมให้เพื่อนบ้าน ที่รู้จักกันเพียงไม่กี่วัน เข้ามาอยู่อาศัยด้วย เป็นเพราะต้องการให้รอบตัวของบุตรชาย ไม่เงียบเหงาจนเกินไปนี่เอง หม่าหลิงเฟยยกถ้วยชาขึ้นจิบ นอกจากนั้นยังรู้สึกถูกชะตากับเฉาซูหลิ่ง นางดูไร้พิษสงอีกทั้งยังเป็นเพียงอนุ ที่ถูกผู้อื่นหลอกใช้ จนทำให้ตัวเองกับบุตรสาวต้องลำบาก นี่มันไม่ได้ต่างอันใดกับตัวนางเลยสักนิด ต่างก็ถูกทอดทิ้งทั้งแม่ทั้งลูกเหมือนกัน