กัสนั่งนิ่งๆ ก่อนที่จะไปท้องพระโรง เขาคิดย้อนเหตุการณ์เมื่อเสือเข้มพามาถึงยังหมู่บ้านกองโจร ซึ่งคนละที่กับซุ้มเสือเข้ม เพียงแค่เข้าไปถึงแม้จะไม่ประหลาดใจ แต่ก็ต้องอึ้งกับผู้คนในที่แห่งนี้ ที่มีหลากหลายอายุคละกันไป และมีการฝีกปรือฝีดาบอย่างขะมักเขม้น แต่เขาก็พยายามมองผ่านและเดินตามเสือเข้าไปข้างใน
“แม่นมข้ากลับมาแล้ว” เสือเข้มวิ่งเข้าไปกราบแท่บเท้าของ มัณฑนานางกำนัลเก่าแห่งเมืองเมฆาบุรี
“หายไปนายมากเลยนะ แม่อดคิดถึงเอ็งไม่ได้เลย เอ้า แล้วพาใครมาด้วยล่ะนะ” มัณฑนามองมายังกัสที่ยืนนิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาของมัณฑนาเขาก็ต้องนั่งลงแต่โดยดี
“เพื่อนข้าเอง” เสือเข้มอมยิ้ม
“เพื่อนเอ็งเป็นใครกัน ทำไมผิวพรรณยังกับคนในรั้วในวัง รูปร่างก็บอบบางยังกับอิสตรี เอ็งไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกัน”
“ข้าเจอโดยบังเอิญชื่อโสภณ เป็นโอรสลับๆ ของสนมแห่งเมืองโสรยานคร”
กัสรู้สึกประดักประเด่อพอสมควร เพราะเขากับเสือเข้มได้ตกลงตอนเดินทางมาที่แห่งนี้ ความคิดเช่นเดิมได้เกิดครั้งแรกที่เขาได้เจอแม่ทัพวิศรุฒ แต่ได้ปดมดเท็จว่าเป็นองค์ชายโสภณ กัสจึงทำตามเช่นเคยซึ่งเสือเข้มก็เห็นพ้องไม่ทัดทาน
“อ่อ องค์ชายตกยาก คงจะเป็นคนองค์ชายที่เหลืออยู่องค์สุดท้าย เพราะเมืองโสรยาถูกแม่ทัพวิศรุฒเผาจนวอดวายไปแล้ว ช่างน่าสงสารชีวิตช่างเหมือนของเอ็งเลย”
“ใช่แม่ แต่ข้ายังมีบ้านเมืองกู้เอาคืนมา แต่ไอ้โสภณไม่มีอะไรเหลือแล้ว ข้าเลยพามันมาเป็นตัวแทนข้าไงแม่”
“ตัวแทนอะไรแม่ไม่เข้าใจสิ่งที่เอ็งพูดแม้แต่นิดเดียว” มัณฑนานางกำนัลที่เลี้ยงดูเสือเข้มมาตั้งแต่แบเบาะ ถึงแม้เสือเข้มจะรู้ว่านางไม่ใช่แม่ที่แท้จริง แต่ก็นับถืออย่างแม่แท้ๆ ไม่มีเป็นอื่นแต่อย่างใด
“ไอ้โสภณออกไปข้างนอกก่อน” เสือเข้มใช้สายตาอันดุดันจ้องมองไปยังโสภณ ซึ่งเขาก็ไม่สามารถที่จะทัดทานสายตานี้ แวบแรกที่เห็นจึงรีบลุกขึ้นยืนและเดินออกไปในทันที
“เล่ามา แม่งงไปหมดแล้ว”
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่จะเห็นไอ้โสภณเป็นองค์ชายเมธีแทนข้า ส่วนข้าก็จะเป็นองครักษ์เข้ม”
“เอ็งเป็นอะไร อยู่ๆ จะยกตำแหน่งองค์ชายให้คืนอื่น”
“แม่ฟังข้าก่อน แม่ก็รู้นี่ในเมืองนั้นมีแต่เสือสิงกระทิงแรด ขนาดราชาเมฆาที่ว่าแน่ยังสิ้นพระชนม์อย่างน่าสงสัย แล้วในวังนั้นมีแค่อำมาตย์มงคลที่ไว้ใจได้ ส่วนคนอื่นแต่ละคนเขี้ยวลากดินกันทั้งนั้น ยิ่งแม่ทัพวิหคกับลูกของมันร้ายกว่าใคร มีอำนาจเหนือกว่าราชาเมฆาอีก”
“แล้วไง แม่ไม่เข้าใจ”
“ก็เอาไอ้โสภณบังหน้าไง ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น มันนั่นแหละต้องตายก่อนข้า” เสือเข้มหัวเราะออกมา
“ลูกแม่ สิ่งที่แม่สอนไม่ใช่อย่างนี้นะ” มัณฑนารู้สึกเสียใจอย่างมาก เพราะเธอไม่คาดคิดว่าคนที่เธอฟูมฟักเลี้ยงมาตั้งแต่เยาว์วัยจะเปลื่ยนไป แต่เธอก็ไม่แปลกใจเท่าไรหนัก เพราะเสือเข้มเริ่มโตเป็นหนุ่มอำมาตย์เมธีก็พาไปยังซุ้มเสือ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ค่อยได้พบหน้าตาเสือเข้มสักเท่าไร
“แม่อย่าคิดมากเลย แม่อย่าลืมว่าท่านอำมาตย์เมธีไม่รู้ว่าข้าคือโอรสของราชาเมษา ไม่ใช่ราชาเมฆาที่พึ่งสิ้นพระชนม์ไป”
“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากแม่และสาลินี ซึ่งแม่ก็ไม่รู้นางไปอยู่ไหน ส่วนโอรสของราชาเมฆาเป็นตายร้ายดีอย่างไรแม่ก็ไม่รู้ได้ แม่ว่าท่านอำมาตย์ไม่น่าจะมีพิษภัยอะไรหรอก ตราบใดที่ไม่รู้ว่าเอ็งเป็นใคร”
“ใช่ไง ข้าเลยเอาโสภณเป็นโล่กำลังเพื่อป้องกัน ถ้ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น แม่อย่าลืมนะโอรสของราชาเมฆายังอยู่ แล้วเราก็ไม่รู้นางกำนัลสาลินีได้บอกอะไรไว้บ้าง”
“นางไม่บอกหรอกแม่เชื่อใจสาลินี นางคงเลี้ยงแบบสามัญชนคนธรรมดา หรือไม่ป่านนี้ไม่อยู่บนโลกใบนี้ก็ได้”
“แม่ มันมีอีกหลายเรื่อง ยิ่งพวกขุนนางแต่ละคนคงไม่ปล่อยให้ข้าอยู่สบายหรอก คงจะวางแผนฆ่าจนวุ่นวาย และอีกอย่างข้าไม่ใช่โอรสราชาเมฆา แต่ข้าคือโอรสราชาเมษา ข้าไม่อยากเป็นโอรสของคนที่ฆ่าพ่อแม่ข้า แม่รู้ไหมข้าจะรอโอกาสเป็นองค์ชายเมธาโอรสของราชาเมษา”
“เอาล่ะ ลูกก็โตแล้วคงตัดสินใจเอง แม่ไม่ทัดทานหรอก ออกไปหาโสภณได้แล้ว หลังจากนั้นตกลงคุยกันดีๆ อย่าให้ผิดพลาดเป็นอันขาด เพราะนั่นมันคือชีวิตของคนคนหนึ่งเชียวนะ” มัณฑนารู้สึกผิดและสงสารกัสที่อยู่ในร่างของโสภณอย่างสุดซึ้ง
“คิดอะไร อำมาตย์มงคลมาแล้ว” เสียงของเสือเข้มดังขึ้น
กัสได้สติขึ้นมาทันทีเขาจึงลืมตาโพลง แล้วหันไปมองเสือเข้มด้วยโดยความไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้นอกจากนิ่งใส่อย่างเดียว
“จะไหวเหรอ” อำมาตย์มงคลยืนกอดอก พร้อมด้วยใบหน้าที่เคร่งเครียด
“ไหวคอยดูก็แล้วกัน” กัสพูดเสียงหนักแน่น
“ถ้าไหวก็ไปที่ท้องพระโรงได้แล้วองค์ชายเมธี” อำมาตย์ยังไม่วายมองทั้งกัสและเสือเข้ม ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ร่างอันสูงเคียงบ่าเสือเข้มและไม่ได้ล่ำแม้แต่น้อย เดินนำหน้าโดยอำมาตย์มงคลกับเสือเข้มซึ่งตอนนี้กลายเป็นองครักษ์เข้มไปแล้ว ในห้วงเวลานี้กัสตื่นเต้นยิ่งนัก ถึงแม้จะรู้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นนั้น เขาน่าจะรับสถานการณ์ได้ แต่ยังแอบหวั่นเพราะเขายังไม่ได้เขียนบรรยายอย่างละเอียด เป็นเพียงแค่โครงร่างคร่าวๆ แต่ถึงกระนั้นในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นใด เขาก็พร้อมจะสู้ฟันฟ่าอุปสรรคไปให้จงได้
เพียงกัสย่างเท้าเข้าไปในท้องพระโรง เขาก็ต้องพบกับสายตาอันดุดัน และดูไม่เป็นมิตรแต่อย่างใด ถึงจะหวั่นไหวแต่ก็ต้องเผชิญหน้าต่อไป กัสจึงเดินมองตรงไปยังบัลลังก์ที่ทำด้วยทองคำแกละสลักวิจิตตระการตา เมื่อเขาเดินไปถึงก็ก้าวเท้าขึ้นบันไดไปสามขั้น แล้วหันหน้ามายังบรรดาขุนนางที่เฝ้ามองอย่างไม่กะพริบตาแม้วินาทีเดียว แม้ว่าสายตาจะไม่เป็นมิตรแต่น้ำเสียงกับดังกึกก้องคำนับโดยดุษฎี
“ถวายบังคมพระเจ้าค่ะ”
ศีรษะของกัสพยักหน้าลงเป็นการรับรู้ ต่อจากนั่งเขาจึงนั่งลงตรงบัลลังก์ พร้อมกับหันขวาไปหาอำมาตย์มงคลชั่ววินาที ประหนึ่งอยากขอคำแนะนำจากท่าอำมาตย์ว่าจะพูดว่าอะไรต่อจากนี้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่กัสคิดผิด เพราะท่านอำมาตย์เป็นคนพูดแทน
“นี่คือองค์ชายเมธี โอรสของราชาเมฆาและราชินีมาริสา ซึ่งในเมื่อทั้งสองสิ้นพระชนม์ไปแล้ว องค์ชายเมธีก็คือรัชทายาทก็จะต้องขึ้นครองบัลลังก์ต่อไป”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรกันว่านี้คือองค์ชายเมธี” แม่ทัพวิหคเอ่ยขึ้นด้วยความไม่เชื่อ
“ข้ามีราชสาส์นของราชาเมฆา พร้อมประทับตรามิขาดตกบกพร่อง และสิ่งสำคัญคือธำมรงค์ที่อยู่พระดัชนีขององค์ชาย น่าจะเป็นเครื่องยืนยันได้นะท่านแม่ทัพวิหค”
“องค์ชายเมธี ข้าขอให้ท่านพระราชทานธำมรงค์ ให้แกขุนางทั้งหลายได้ตรวจสอบ”
กัสดึงแหวนออกจากนิ้วชิ้และยื่นให้เสือเข้มไปมอบให้แก่ท่านอำมาตย์มงคล ซึ่งเมื่ออำมาตย์มงคลได้รับมาแล้ว จึงเดินไปหาแม่ทัพวิหคให้ได้ตรวจสอบ และส่งต่อไปยังขุนนางท่านอื่นๆ อีกหลายคน
หน้าตาของกัสวิตกกังวลยิ่งหนัก ถึงแม้จะรู้ว่าต่อจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นแบบคร่าวๆ แต่ยังอดหวั่นใจไม่ได้ สายตาของกัสจึงมองไปยังขุนนางทุกคนที่ตรวจสอบ ความเป็นองค์ชายเมธีอย่างเคร่งเครียด
เมื่อขุนนางทุกท่านตรวจสอบและเห็นพ้วงต้องกันว่าเป็นองค์ชายตัวจริง กัสถึงกับโล่งอกและรีบรับธำมรงค์มาสวมใส่ไว้ตามเดิม
“ข้อนี้กระหม่อมรับอย่างไม่มีข้อสังสัย แต่เรื่องความสามารถที่จะครองนครแห่งนี้ กระหม่อมยังไม่มั่นใจในตัวพระองค์พระเจ้าค่ะ” แม่ทัพวิหคเอ่ยขึ้นมาพร้อมยิ้มที่มุมปาก
“ท่านแม่ทัพวิหคพูดเยี่ยงนี้จะให้ข้าทำกระไรรึ” กัสกลั้นใจพูดออกมาแต่ยังสั่นกลัวอยู่
“ช่างกล้าหาญดีมากองค์ชายเมธี”
“ว่ามาจะให้ข้าทำอะไร”
“นครของเรากว้างใหญ่ไพศาล ก็เพราะมาจากฝีมือเหล่าแม่ทัพ ตั้งแต่อดีตไม่ว่าจะยุคของราชาเมษา ต่อมาถึงราชาเมฆา ส่วนราชานั่งบนบัลลังก์ไม่ได้แสดงฝีมืออะไรเลย แล้วแบบนี้ขุนนางและประชาชนจะไว้ใจได้อย่างไรกัน เพราะอดีตที่ผ่านก็เห็นกันอยู่ว่าแต่ละพระองค์แท่บไม่เคยออกรบทำสงคราม” แม่ทัพวิหคใช้สายตาอันดุดันมองกัสอย่างอาฆาต
“ท่านวิหคท่านจะมากเกินไปแล้วกระมั้ง นี่คือรัชทายาทที่กำลังจะขึ้นครองบัลลังก์ ถ้าให้ไปออกรบแล้วเกิดเหตุไม่คาดฝัน พวกเราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไรกัน” อำมาตย์มงคลมีสีหน้าที่เกรี้ยวกราดพอสมควร
“หาคนใหม่ ว่าไงพวกเราเห็นด้วยกับข้าไหม” แม่ทัพวิหคพูดขึ้นเสียงดัง
“เห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ” เสียงขุนนางกึกก้องทั้งท้องพระโรง
“ไม่ต้องกลัวท่านอำมาตย์ ข้าจะให้บุตรของข้าไปด้วย รับรองปลอดภัยหายห่วง”
“รองแม่ทัพวิจารณ์น่ะเหรอ” อำมาตย์มองไปยังบุตรชายของแม่ทัพวิหค ที่ยืนสง่านิ่งขรึมแต่ภายในใจเก็บความใฝ่สูงไว้เต็มอุรา
“ใช่ ดูแล้วพระชันษาน่าจะเท่ากับองค์ชายนะพระเจ้าค่ะ” แม่ทัพวิหคยิ้มอย่างผู้มีชัยต่อหน้ากัส
“อือ” กัสพยักหน้าตอบรับและหันไปมองเสือเข้ม ซึ่งเสือเข้มก็พยักหน้าไปการตอบรับ
“ได้ข้าจะออกศึกในครั้งด้วย”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ ถึงจะสมเป็นว่าที่ราชาแห่งเมฆาบุรี ถ้างั้นที่แรกพระองค์ต้องไปออกศึกรบกับเมืองศิลานคร ซึ่งในเพลานี้แม่ทัพวิศรุฒได้ยกทัพมาประชิดชายแดน ถ้าเรายังไม่ไปช่วยสกัดกั้นไว้อีกไม่นานคงจะมาประชิดประตูเมืองอย่างแน่นอน”
“แล้วทำไมท่านไม่ไป ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาแล้วพวกเราจะทำอย่างไรกัน” อำมาตย์มงคลไม่คาดคิดว่าแม่ทัพวิหคจะมาไม้นี้
“ข้าอยู่นี้ทั้งคนจะกลัวไปใย และอีกอย่างที่ชายแดนก็มีแม่ทัพตุลาอยู่นั่น ไหนจะบุตรของข้าอีก เผลอๆ องค์ชายเมธีแค่ไปนั่งเป็นขวัญเหล่าทหารแค่นั้นแหละ องค์ชายเมธียังไม่กลัวเลย ท่านจะกลัวไปใยอำมาตย์มงคล”
“เอาล่ะเลิกเถียงกันได้แล้ว ในเมื่อข้าตกลงจะไปก็คือไป ไม่ต้องไม่พูดอะไรกันอีกแล้ว เป็นอันว่าพรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทาง ใครที่จะติดตามข้าโปรดเตรียมตัวให้พร้อม เลิกประชุมได้ข้าจะกลับตำหนัก”
น้ำเสียงของกัสถึงจะดังปานใด แต่ไม่ได้มีพลังอำนาจเหนือผู้อื่น จึงสร้างความขบขันภายในใจเหล่าขุนนาง แต่กัสก็ไม่สนเขารีบลงจากบัลลังก์และเดินอย่างเร่งรีบ โดยไม่มองหน้าใครแม้แต่คนเดียว เพราะเขารู้สึกหวั่นใจคนที่จะต้องออกรบด้วยนั่นคือแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งเก่งกาจสามารถเหนือคนอื่น ถ้าเกิดต้องประจันหน้ากันกัสไม่รู้ว่าจะวางตัวอย่างไร เพราะในนิยายตัวเขาคือยิวที่แม่ทัพวิศรุฒเริ่มมีใจใคร่เสน่หา
เป็กผู้ช่ำชองในยามราตรี เขาไม่เคยพลาดแม้แต่ศุกร์เสาร์ทุกค่ำคืน เป็นนักเที่ยวตัวยงที่ใครเห็นก็ต้องจำได้ นอกจากพ่อรวยรูปหล่อสายเปย์อีกต่างหาก จึงมีหลายคนเข้ามาพัวพันไม่ขาดสาย เมื่อเป็กพายิวมาเที่ยว จึงมีสายตาหลายคู่จ้องมองด้วยความอิจฉา แต่ยิวหาสนใจไม่ถึงแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินในโลกปัจจุบันเท่าไรนัก แต่เขาก็ไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น“เป็นไงบ้างมาเปิดหูเปิดตา” เป็กยื่นแก้วเพื่อชน“ก็โอเคนะ เป็นครั้งแรกที่เราได้มา รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าเมืองโบราณอีก” ยิวเผลอคำพูดที่ไม่พึงประสงค์ออกมา“เมืองโบราณอะไร” เป็กมีสีหน้าที่มึนงง“อ่อ เปล่า สนุกดีเราไปเต้นกันไหม”“อะไรนะ เราไม่อยากเชื่อเลยนายจะชวนเราไปเต้น นายเปลื่ยนไปหรือว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของนายว่ะ” เป็กหัวเราะ“ไม่ได้เปลื่ยนนี่แหละตัวจริง ที่เห็นก่อนหน้านี้ตัวปลอม แอ๊บไว้ไงแต่ไม่เห็นมีใครชอบเลย เป็นตัวของตัวเองดีกว่า” ยิวเสแสร้งแกล้งพูดเพราะในความจริงเป็นร่างของคนอื่น เพียงแต่เขาแค่มาอาศัยอยู่ในร่างนี้เท่านั้น“ร้ายนะ แกล้งเงียบถ้ารู้ว่านายเป็นแบบนี้เราจีบตั้งนานแล้ว”“อะไรนะ” ยิวรู้สึกมึนงงและสับสนกับคำพูดของเป็ก“ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ เ
ค่ำคืนอันดึกดื่นกัสนักศึกษาหนุ่มผู้มีความฝัน อยากมีนิยายสักเรื่องหนึ่งที่เขาจินตนาการไว้ และอยากหาเงินจากการเขียนนิยายเพื่อยังชีพ เขาตั้งสมาธิอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะลงมือเขียน แต่ยังไม่ทันได้เขียน เขื่อนเพื่อนร่วมห้องตื่นขึ้นมาเข้าห้องน้ำ และยังเห็นกัสนั่งอยู่หน้าโน๊ตบุ๊คเขาจึงอดถามไถ่ไม่ได้ “กัสมัวทำอะไรอยู่ถึงยังไม่นอนสักที” “เรากำลังจะเขียนนิยายตอนแรก” “เอาแน่ใช่ไหม เห็นว่าจะเขียนหลายรอบแล้ว” “ครั้งนี้แน่นอน” “เอาใจช่วยนะ แต่เราขอตัวนอนต่อ นายก็อย่าโหมเขียนยันแจ้งล่ะ ถ้าง่วงก็นอน แต่เราของตัวนอนก่อนก็แล้วกัน”เขื่อนล้มตัวลงนอนและหลับไปในทันที ส่วนกัสก็ไม่รอรีอีกต่อไป เขากดแป้นพิมพ์ ตามจินตนาการที่วางไว้ เพื่อหวังว่าสักวันเขาจะประสบความสำเร็จทางด้านนี้ กัสจึงเริ่มเขียนนิยายเรื่องแรก นักรักบันลือโลก ท่ามกลางแคว้นโสรยาที่กำลังเกิดศึกสงคราม โดยมีแม่ทัพวิศรุฒแห่งแคว้นศิลานคร ได้นำทัพมาตีเมืองโสรยาที่อ่อนแอ ไร้ผู้นำที่เข้มแข็งจึงเป็นจุดอ่อนที่ทำให้แม่ทัพวิศรุฒ ตีเมืองโสรยาจนพ่ายเมืองแตก บรรดาเจ้าเมืองและองค์ชายที่หลบหนีไม่ทัน แม่ทัพวิศรุฒผู้เหี้ยมโหด ฆ่าฟันไม่มีเหลือซาก เพื่อป้องกัน
ผลคัดเลือกเข้าชมรมละครเวทีต้องรอวันพรุ่งนี้ พีคหัวหน้าชมรมจึงให้นักศึกษาที่มาสมัครคัดเลือกกลับกันไปก่อน ในส่วนของกัสและเขื่อนหลังจากออกมาจากชมรมละครเวที กัสรีบกลับห้องทันที เพื่อที่จะไปเขียนนิยายต่อ ส่วนเขื่อนต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ห้างสรรพสินค้า เมื่อกัสมาถึงที่ห้องเขาจึงรีบทำธุระส่วนตัวทุกอย่างให้เสร็จสิ้น นั่งครุ่นคิดชั่วครู่และลงมือเขียนนิยายต่อจากเมื่อวาน ในห้องบรรทมของเจ้าเมืองโสรยาองค์เก่า ที่ได้เสียชีวิตจากน้ำมือของแม่ทัพวิศรุฒผู้เหี้ยมโหด ในช่วงเวลานี้มีเพียงสองคนต่างภพได้ร่วมอยู่ห้องเดียวกัน หลังจากเหล่าบรรดาทหารกล้าออกไปจนหมด ตามคำสั่งของท่านแม่ทัพวิศรุฒ ยิวรู้สึกประหม่าและหวาดหวั่นมิใช่น้อย เมื่อเขาต้องยืนอยู่ใกล้หนุ่มร่างใหญ่กำยำบึกบึน ยิ่งสายตามองไปที่แผ่นอกลายรอยสักเสือสองตัว ยิวต้องเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น เพราะเป็นรอยสักที่น่ากลัวสำหรับเขา “ข้าจะให้องค์เดินทางไปกับข้าด้วย” “จะไปก็ไปจะมาพูดย้ำทำไมอีก”“ที่ข้าพูดอีกครั้งก็เพราะว่า ถ้าข้าให้เดินทางไปในฐานะองค์ชายมันคงดูไม่เหมาะ” “แล้วจะให้เร
สองหนุ่มเพื่อนชี้ได้นั่งอ่านบทละครในห้องที่แสนอบอุ่น สองบทละครถูกเขื่อนและกัสอ่านจนหมดแต่ไม่จบเรื่อง “กัสชอบตัวละครไหน”เขื่อนเงยหน้าขึ้นปาดสายตามองกัส “ชอบทั้งสองบทเลยนะ บทแรกนี่ตรงข้ามกับเรามากเลย เป็นคนที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว ตรงมาตรงไป ส่วนบทที่สองบทนิ่งๆเฉยๆเรียบๆนี่เราเลยนะ” “เราว่าบทที่สองเหมาะกับกัสนะ” “ใช่ เหมาะกับเรา แต่บทแรกก็เหมาะกับเขื่อนเหมือนกัน” “พวกเราจะเลือกบทที่เหมาะกับตัวเองหรือที่แตกต่างดีล่ะ” “เราว่าเลือกบทที่เหมาะกับตัวเองดีกว่า”กัสสบตาเขื่อนเพื่อนรัก “ถ้ากัสคิดว่าอย่างนั้น เราก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ” “ตกลงตามนี่ก็แล้วกัน แต่พี่เกรซให้บทละครมาแค่หนึ่งส่วนสี่ของเรื่องเอง เรายังไม่รู้เลยว่าตัวละครจะไปทิศทางไหน” “ใช่ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเล่นไปตามบทเรื่อยๆ เราคิดว่าพวกพี่ๆอยากได้การแสดงแบบดิบๆมากกว่า เลยไม่อยากให้รู้การดำเนินเรื่องเป็นอย่างไร” “ฮือ ถ้าจะจริง แต่เราก็อยากรู้ว่าบทไหนจะร้ายหนอ” “ไม่อยากเล่นบทร้ายเหรอ”เขื่อนเอ่ยขึ้น
ช่วงเวลาดีๆของกัสกับเขื่อนก็มาถึง ทั้งสองได้มาที่ห้องประชุมชมรมละครเวที ซึ่งทุกคนต่างรอคอยว่าสองคนนี้จะเลือกบทละครตัวไหนกัน “น้องกัสกับน้องเขื่อนตกลงกันได้หรือยังครับ ว่าใครจะเล่นบทอะไร”พีคมองหน้าทั้งกัสและเขื่อนด้วยความอยากรู้ “เราสองคนตกลงกันได้แล้วครับ เขื่อนจะเล่นบทของวิน ส่วนกัสจะเล่นบทของนิว ครับ”เขื่อนเป็นคนพูดส่วนกัสนั่งเฉยๆ ตามนิสัยที่เงียบนิ่งไม่ค่อยพูดเท่าไร “พี่ก็นึกไว้แบบนี้เหมือนกัน เพราะบทของวินจะเด็ดเดี่ยวเป็นคนตรงมาตรงไป ซึ่งก็เหมาะกับเขื่อน ส่วนบทของนิวจะนิ่งๆลึกน่าจะเหมาะกับกัส เอาล่ะซึ่งเป็นอะไรที่ลงตัวมากเลย ต่อไปให้พี่จีน่ากับพี่เกรซอธิบายบทละครให้ฟังนะ”พีคเอ่ยขึ้น “บทละครที่พี่ให้ไปนั้นเป็นแค่บางส่วน น้องๆก็จะรู้เรื่องราวแค่เบื้องต้นเท่านั้น ส่วนเนื้อเรื่องต่อจากนั้น ทั้งวินและนิวจะแตกหักกัน เพราะรักผู้ชายคนเดียวกัน หลังจากนั้นทั้งสองคนก็จะร้ายใส่กัน มันจะเริ่มสนุกกันตรงนี้แหละ เดี๋ยวพี่เกรซพูดต่อก็แล้วกัน” “คือบทของวินนั้นจะร้ายตรงๆ ส่วนบทของนิวจะร้ายลึก เบื้องหน้าจะดูเป็นคนดี ถูกกระทำ แต่
คืนนี้เขื่อนเลิกงานตามปกติ แต่มีบางสิ่งที่แตกต่างออกไปจากทุกครั้ง เพียงเขื่อนก้าวเท้าออกจากร้านอาหาร หลังเลิกงานในช่วงเวลาสามทุ่มเศษ เขื่อนเลิกงานซะทีพี่รอตั้งนาน”พีคเอ่ยขึ้น “พี่พีค เขื่อนนึกว่าพี่กลับบ้านไปแล้วซะอีก”เขื่อนมีสีหน้าที่ประหลาดใจ “จะให้กลับได้ไง ในเมื่อพี่มาส่งเขื่อนก็ต้องรอรับกลับซิ “ “เขื่อนเกรงใจพี่ ไม่น่ารอรอรับเลย เสียเวลาพักผ่อนของพี่พีคแย่เลย” “ไม่เสียวเวลาหรอก พี่กลับไปบ้านก็ไม่ได้ทำอะไร อยู่นี่เดินเที่ยวห้างแล้วมารับน้องเขื่อนกลับบ้านดีกว่า” “ขอบคุณพี่พีคมากนะ” “มัวแต่ขอบคุณไม่ได้กลับกันซะที ไป เดี่ยวพี่ไปส่งที่ห้อง” “ครับพี่พีค” พีคได้ขับรถมาส่งเขื่อนยังห้องพัก ในระหว่างทางพีคได้ชวนเขื่อนคุยหลายเรื่อง ซึ่งทำให้เขื่อนมีความรู้สึกที่ดีต่อพีคมากขึ้น “อ่านบทไปบางส่วน เขื่อนคิดอย่างไงกับบทนี้” “บทดีนะ ทั้งของเขื่อนและกัส แต่ของกัสจะลึกกว่าเล่นยาก ส่วนของเขื่อนเป็นคนตรงแสดงออกมาตรงๆ คือมันง่ายไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ”
กัสกำลังเดินกลับห้องเช่าด้วยอารมณ์ไม่มีความสุขเท่าไร เพราะยังค้างคาอยู่ไม่หายหลังจากหงุดหงิดเมื่อคืน ในระหว่างกำลังออกจากประตูรั้วมหาวิทยาลัย เขาก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย “กัสขึ้นมาบนรถเร็ว พี่จอดได้ไม่นาน” กัสไม่มีเวลาคิดอะไร เพราะเขามองไปด้านหลังมีรถจอดรถสองสามคัน กัสจึงวิ่งอ้อมไปข้างหน้าขึ้นไปบนรถ หลังจากนั้นพีคก็แล่นรถออกไปจากรั้วมหาวิทยาลัย “ทำไมวันนี้เดินคนเดียวล่ะ”พีคเอ่ยขึ้น “เขื่อนไปทำงานครับ” “เอ่อ ใช่ พี่ก็ลืมไปเลย ดีเหมือนกันพี่จะได้ส่งกัสที่ห้อง” “พี่พีคไม่น่าลำบากเลย เพราะกัสขึ้นรถเมล์กลับเป็นประจำอยู่แล้วนี่” “พี่อยากทำความรู้จักกับกัสให้มากขึ้น เพราะเราต้องเล่นละครด้วยกันอีกหลายเดือน” “กัสไม่น่ามีอะไรให้รู้จักหรอก กัสเป็นคนแบบนี้แหละ ใครๆเห็นก็รู้ว่าเป็นคนอย่างไง” “ไม่ได้หรอก พี่ต้องรู้ให้ลึกรู้ให้จริง รู้ให้ถึงใจของกัสว่ากำลังคิดอะไรอยู่”พีคหันมายิ้มให้กัส “จะรู้ใจของกัสไปทำอะไรกันล่ะครับ” “ต้องรู้สิ เพราะในละครเวทีเราเล่น
กัสกับเขื่อนรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะวันนี้เป็นวันแรก ที่ทั้งสองต้องมาซ้อมบทละครกัน ซึ่งเขื่อนจะรับบทวินส่วนกัสรับบทนิว ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทกัน และได้แอบหลงรักผู้ชายคนเดียวกันคือมีนรับบทโดยพีครุ่นพี่ชมรมละครเวที โดยมีเจนนี่เป็นผู้กำกับส่วนเกรซเป็นแอ็คติ้งโค้ช “ฉากแรกเป็นฉากพบรัก วินเดินมาชนมีนหน้าคณะวิศวะ เมื่อทั้งสองเดินชนกันปุ๊บ สายตาจะประสานจ้องมองกัน”เจนนี่อธิบายฉากต่างๆ โดยละเอียดให้ฟัง ส่วนเกรซนั้นจะมาสอนการแสดงอินเนอร์ที่ออกมาจากข้างใน กัสนั่งดูเขื่อนกับพีคอย่างมีนัยแอบแฝง ถึงแม้เขาจะรู้ว่าเป็นการแสดง แต่ในส่วนลึกของจิตใจเขายังแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับการแสดง ยิ่งเห็นพีคประคองร่างไม่ให้เขื่อนล้มลง กัสถึงใจสั่นโดยไม่รู้สาเหตุ “โอเค ผ่าน”เจนนี่สั่งหยุดทันที เมื่อเขื่อนและพีคเล่นฉากนี้จบ ในช่วงเวลานี้กัสยังเหม่อลอยมองเขื่อนและพีคด้วยความสับสน กัสยืนนิ่งใจล่องลอยไปไกล จินตนาการว่าถ้าเป็นตัวของเขาเองจะเล่นฉากนี้อย่างไร “น้องกัส ถึงคิวน้องต้องแสดงแล้วนะ มัวเหม่ออะไรอยู่พี่เรียกตั้งนานแล้วนะ”เจนนี่เดินเข้ามาใกล้ๆกัน
เป็กผู้ช่ำชองในยามราตรี เขาไม่เคยพลาดแม้แต่ศุกร์เสาร์ทุกค่ำคืน เป็นนักเที่ยวตัวยงที่ใครเห็นก็ต้องจำได้ นอกจากพ่อรวยรูปหล่อสายเปย์อีกต่างหาก จึงมีหลายคนเข้ามาพัวพันไม่ขาดสาย เมื่อเป็กพายิวมาเที่ยว จึงมีสายตาหลายคู่จ้องมองด้วยความอิจฉา แต่ยิวหาสนใจไม่ถึงแม้จะไม่ค่อยคุ้นชินในโลกปัจจุบันเท่าไรนัก แต่เขาก็ไม่หวาดหวั่นอะไรทั้งสิ้น“เป็นไงบ้างมาเปิดหูเปิดตา” เป็กยื่นแก้วเพื่อชน“ก็โอเคนะ เป็นครั้งแรกที่เราได้มา รู้สึกว่าน่าสนใจกว่าเมืองโบราณอีก” ยิวเผลอคำพูดที่ไม่พึงประสงค์ออกมา“เมืองโบราณอะไร” เป็กมีสีหน้าที่มึนงง“อ่อ เปล่า สนุกดีเราไปเต้นกันไหม”“อะไรนะ เราไม่อยากเชื่อเลยนายจะชวนเราไปเต้น นายเปลื่ยนไปหรือว่านี่คือตัวตนที่แท้จริงของนายว่ะ” เป็กหัวเราะ“ไม่ได้เปลื่ยนนี่แหละตัวจริง ที่เห็นก่อนหน้านี้ตัวปลอม แอ๊บไว้ไงแต่ไม่เห็นมีใครชอบเลย เป็นตัวของตัวเองดีกว่า” ยิวเสแสร้งแกล้งพูดเพราะในความจริงเป็นร่างของคนอื่น เพียงแต่เขาแค่มาอาศัยอยู่ในร่างนี้เท่านั้น“ร้ายนะ แกล้งเงียบถ้ารู้ว่านายเป็นแบบนี้เราจีบตั้งนานแล้ว”“อะไรนะ” ยิวรู้สึกมึนงงและสับสนกับคำพูดของเป็ก“ทำไมต้องทำหน้าอย่างนั้นด้วยล่ะ เ
กัสนั่งนิ่งๆ ก่อนที่จะไปท้องพระโรง เขาคิดย้อนเหตุการณ์เมื่อเสือเข้มพามาถึงยังหมู่บ้านกองโจร ซึ่งคนละที่กับซุ้มเสือเข้ม เพียงแค่เข้าไปถึงแม้จะไม่ประหลาดใจ แต่ก็ต้องอึ้งกับผู้คนในที่แห่งนี้ ที่มีหลากหลายอายุคละกันไป และมีการฝีกปรือฝีดาบอย่างขะมักเขม้น แต่เขาก็พยายามมองผ่านและเดินตามเสือเข้าไปข้างใน“แม่นมข้ากลับมาแล้ว” เสือเข้มวิ่งเข้าไปกราบแท่บเท้าของ มัณฑนานางกำนัลเก่าแห่งเมืองเมฆาบุรี“หายไปนายมากเลยนะ แม่อดคิดถึงเอ็งไม่ได้เลย เอ้า แล้วพาใครมาด้วยล่ะนะ” มัณฑนามองมายังกัสที่ยืนนิ่ง แต่แล้วเมื่อเห็นสายตาของมัณฑนาเขาก็ต้องนั่งลงแต่โดยดี“เพื่อนข้าเอง” เสือเข้มอมยิ้ม“เพื่อนเอ็งเป็นใครกัน ทำไมผิวพรรณยังกับคนในรั้วในวัง รูปร่างก็บอบบางยังกับอิสตรี เอ็งไปรู้จักกับเขาได้อย่างไรกัน”“ข้าเจอโดยบังเอิญชื่อโสภณ เป็นโอรสลับๆ ของสนมแห่งเมืองโสรยานคร”กัสรู้สึกประดักประเด่อพอสมควร เพราะเขากับเสือเข้มได้ตกลงตอนเดินทางมาที่แห่งนี้ ความคิดเช่นเดิมได้เกิดครั้งแรกที่เขาได้เจอแม่ทัพวิศรุฒ แต่ได้ปดมดเท็จว่าเป็นองค์ชายโสภณ กัสจึงทำตามเช่นเคยซึ่งเสือเข้มก็เห็นพ้องไม่ทัดทาน“อ่อ องค์ชายตกยาก คงจะเป็นคนองค์ชา
ยิวหยิบโน้ตบุ๊คมาเปิดดูแต่เป็นที่น่าเสียดาย มันสามารถที่จะติดได้เนื่องจากวันนั้นล้มกระแทกจนเสียหาย ยิวถอนหายใจเฮือกใหญ่เพราะเขาต้องทำงานส่งอาจารย์ และอีกอย่างหนึ่งด้วยความอยากรู้ว่ากัสได้บันทึกหรือทำอะไรไว้ในนี้บ้างยิวจึงพับโน๊ดบุ๊คไว้ตามเดิม และกะว่าช่วงเย็นจะเอาไปซ่อม แต่ติดปัญหาคือเขาไม่มีเงินพอที่จะนำไปซ่อม เขาจึงหยิบโทรศัท์มือถือของกัสมาเปิดดู ซึ่งได้ล็อครหัสไว้จึงทำให้ไม่สามารถเปิดได้ มีเพียงรับสายอย่างเดียวแค่นั้น ยิวจึงลองนำวันเดือนปีเกิดของกัสมาใส่ ซึ่งก็ได้ผลทันทีมือถือเครื่องนี้ปลดรหัสได้ แต่นั่นไม่เท่ากับภาพหน้าปกเป็นรูปของพีค ยิวจึงเกิดความอยากรู้ต่อไปเขาจึงเปิดดูในแกเลอรี่ ซึ่งในนั้นมีแต่ภาพพีคเต็มไปหมดดวงตาอันกลมโตของยิวได้หลับลง พร้อมจินตนาการเรื่องราวของกัสว่าเป็นอย่างไรบ้างก่อนหน้านี้ ซึ่งในหัวของเขาก็เห็นแต่หน้าพีคอยู่เพียงผู้เดียว พอเขาลืมตาขึ้นมาก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น เขารีบดูทันทีซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่นพีคนั่นเอง“อยู่ห้องไหมน้องกัส”“อยู่พี่พีคมีอะไรหรือเปล่า”“ก็ไม่มีอะไรหรอก แค่โทรถามเฉยๆ ถ้าอยู่พี่จะไปหา”“พี่มีธุระอะไรเหรอ”“จะไปหาต้องมีธุระด้วยใช่ไหม”“เป
นางกำนัลสาลินีได้นำพาพระโอรสของราชาเมษากับราชินีสีวิกา เดินลัดเลาะหลบมุมตลอดทาง จนมาถึงข้างๆ ตำหนักของชายามาริสา เธอรออยู่พักหนึ่งมันฑนานางกำนัลร่วมรุ่นมาพร้อมพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสา“ข้ารอตั้งนานนึกว่าเอ็งไม่มาแล้ว ยังดีที่พระโอรสไม่ร้องเลย” นางกำนัลสาลินีเอ่ยขึ้นด้วยใจระทึกมองซ้ายมองขวา แล้วมององค์ชายแสนอาภัพที่เธออุ้มมา“เอาน่าอย่าพูดมากเลยเอาเด็กมาสลับกัน” นางกำนัลนำพระโอรสที่ซ่อนมาในตะกร้าผ้าออกมานางกำนัลสาลินีและนางกำนัลมัฑนาต่างสลับพระโอรสกันตรงนั้น แต่สายตาทั้งสองก็ไมวายมองรอบๆ บริเวณ ด้วยความกลัวใครจะมาพบเห็น“เอ่อ เอ็งออกมาได้อย่างไงไม่มีทหารเหรอ” นางกำนันสาลินีถาม“มี แต่ทหารที่เฝ้ารู้จักกันก็เลยพอเอาออกมาได้”“เอ้านี่ คือแหวนที่มเหสีสีวิกามอบไว้ให้องค์ชาย”“อือ”มัณฑรับแหวนไว้แล้วรีบพาองค์ชายเข้าไปในพระตำหนักอย่างทันท่วงที ส่วนสาลินีไม่รอช้ารีบน้ำองค์ชายที่สลับเปลื่ยนไปยังตำหนักราชินีสีวิกาเช่นเดียวกัน ซึ่งกว่าจะไปถึงก็ใช้เวลานานพอสมควร เพราะต้องหลบเหล่าทหารที่กำลังออกตระเวนเมื่อสาลินีมาถึงยังตำหนักของราชินีสาลินี เธอรีบน้ำพระโอรสของอนุชาเมฆากับชายามาริสาวางไว้ข
หนึ่งหนุ่มกับสาวอีกคนนั่งมองหน้ากันในห้องชมรมละคร หลังจากนักศึกษาในชมรมนี้ออกไปไปหมดแล้ว เจนนี่ผู้กำกับสาวนั่งนิ่งมองหน้ายิวอยู่พักหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลาที่มองอยู่นั้น ได้เห็นแววตาอันเปลื่ยนแปลงไป เพราะมีความสู้คนและเปิดเผยออกมาอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด“วันนี้น้องกัสเป็นอะไรไปหรือเปล่า ทำไมการแสดงของน้องแปลกไป และไม่เข้ากับบมที่ได้รับ”“เปล่าครับ ผมก็ยังเป็นเหมือนเดิมทุกอย่าง”“พี่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องนะ แต่พี่อยากบอกว่าอย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับการแสดงให้มาก คือเมื่อก่อนกัสอินกับละครจนไม่สามารถที่จะออกจากบทนั้นได้ แต่ทำไมตอนนี้กัสไม่อินเหมือนเดิมกลับกันเป็นคนละคนเลย”ยิวอยากจะเถียงแต่เขาก็ต้องเก็บกลั้นอามรมณ์นั้นไว้ เพราะในตอนนี้เขาได้เขามาอยู่ในร่างของกัน ซึ่งจากการคาดคะเนของยิวนั้น กัสน่าจะมีนิสัยที่แตกต่างจากเขาอย่างมาก“ครับ” ยิวรับคำแต่โดยดีและไม่พูดสิ่งใดออกมา“ดีแล้ว พี่จะให้กัสพักสองวันนะเพื่อลองทบทวนอะไรบางอย่าง กลับได้แล้วเดี๋ยวมืดค่ำจะอันตราย”“ขอบคุณพี่มากครับ” ยิวยกมือไหว้พร้อมกับศีรษะให้เจนนี่ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว และไม่หันหรือหยุถเดินแต่อย
กัสเดินเข้ามาในตำหนักว่างเปล่าที่มีผู้คนคอยรับใช้อย่างมากมาย ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าต่อไปนี้ไม่น่าจะลำบากกาย แต่อันตรายนั้นน่าจะอยู่รอบตัวเขาอย่างแน่นอน กัสจึงหวั่นผวากลัวอยู่เนืองๆ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอนกจากทนและจำยอมมาในที่แห่งนี้ พร้อมกับเสือเข้มผู้องอาจ และท่านอำมาตย์มงคลผู้มีแผนการอันแยบยล“เอ็งจำไว้นะว่าชื่อเมธี เป็นรัชทายาทแห่งเมืองเมฆาบุรี เป็นพระราชโอรสของอดีตราชาเมษากับราชินีสีวิกา” อำมาตย์มงคลพูดจบก็หันไปมองกัสที่นั่งนิ่งๆ สีหน้าราบเรียบ“ส่วนองค์ชายตัวจริง กระหม่อมต้องขออภัยด้วยที่ต้องเรียกว่าองครักษ์เข้ม”“ไม่เป็นไรหรอกข้าแค่อยากมาแก้แค้นให้เสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้าเท่านั้น”“ดีมากพระองค์ แต่พระองค์ต้องลำบากลำบนเป็นโจรก็เพราะราชาเมฆาที่พึ่งสิ้นพระชนม์ไปนี่พระเจ้าค่ะ”“ท่านอำมาตย์ลืมไปแล้วเหรอว่าข้าเป็นองครักษ์เข้ม ท่านอย่าพูดกับข้าเป็นองค์ชายอย่างนั้น องค์ชายตัวจริงอยู่โน่น” เสือเข้มโบ้ยปากไปทางกัสที่กำลังนั่งนิ่งๆ“เอ่อ ขอโทษข้าลืมไป ถ้าอย่างขอตัวก่อนก็แล้วกัน เอาไปว่าคืนนี้คุยกันดีๆ และเตรียมตัวอย่างที่เราตกลงกันไว้” เมื่ออำมาตย์มงคลพูดจบเขาก็เดินจากไปในทันทีกัสครุ่นคิด
ยิวนั่งมองเขื่อนขนของย้ายห้องออกไปอย่างไม่ใคร่สนใจ เพราะเขาไม่ได้รู้สึกสนิทด้วยแต่อย่างใด ยิวจึงมีแต่ความเย็นชาใส่เขื่อน เมื่อเขื่อนขนของเสร็จเขาไม่ได้ยินแม้แต่คำลาสักคำ เช่นเดียวกับตัวเขาที่ไม่พูดอะไรออกมาให้เขื่อนได้อย่างยินเช่นกัน พออยู่คนเดียวภาวะจิตใจของยิวนั้นเริ่มว้าวุ่นคิดวนมาวนไปอยู่หลายครั้ง เขาคิดอะไรไม่ออกนอกจากเรียนอยู่คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ พอกับจากมหาวิทยาลัยเขาก็นอนอ่านนิยายแล้วหลับไปตื่นมาอีกทีก็อยู่ในเหตุการณ์นิยายเรื่องนักรักบันลือโลกไปแล้ว นักเขียนไม่ได้ใส่รายละเอียดตัวเขาให้มากพอ ยิวจึงมีความทรงจำในยุคปัจจุบันอยู่แค่นี้ แต่เรื่องราวต่างๆในโลกปัจจุบันยิวกับรู้ทำได้ทุกอย่างได้หมด เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ยิวเริ่มค้นห้องและตรวจสอบทุกอย่างในความเป็นตัวกัส เขาจึงรู้ว่ากัสเป็นนักศึกษานิเทศศาสตร์ซึ่งคนละคณะกับเขาเลย เพราะยิวเรียนคณะเทคโนโลยีสารสนเทศ ยิวยิ่งคิดยิ่งกลัดกลุ้มเขาไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปอย่างไรกับชีวิตที่อยู่ในร่างกัส แต่เขาคิดว่ายังดีกว่าไปอยู่นิยายเมืองโบราณที่ไม่มีความทันสมัย ซึ่งเขาได้พบความอยากลำบากมาแล้ว ยิวจึง
ตอนที่24 ตัวเราลิขิตเอง น้ำกระเด็นทั่วเรือนร่างและโดนหนักตรงบริเวณใบหน้า จึงทำให้กัสได้สติเขาค่อยๆลืมตาขึ้นทีละน้อย และภาพตรงหน้าที่เขาได้พบเห็น เป็นชายหนุ่มสูงใหญ่มีหนาวดเคราหนาจนกัสรู้สึกหวั่นกลัวอย่างหนัก เขาจึงรีบลุกขึ้นนั่งทันทีพร้อมกับมองไปรอบๆบริเวณ ซึ่งมีแต่ต้นไม้ขนาดใหญ่และหญ้าสูงเคียงเอว “มึงเป็นบ้าอะไรใส่ชุดใหญ่ผู้หญิงไอ้ยิว”เสือเข้มผู้ช่วยชีวิตกัสเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าขมึงตึง “เราไม่ได้ชื่อยิวเราชื่อกัส”เมื่อกัสได้ยินชื่อยิวเขาก็ใคร่สงสัยและครุ่นคิดอย่างหนัก ยิ่งเห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วย ทำให้กัสถึงกับพอจะรู้อะไรบ้างแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไร “มึงพูดดีๆว่ามึงชื่ออะไร” กัสมองไปรอบๆอีกครั้งและหยิกตัวเองซึ่งเขาก็รู้สึกเจ็บพอสมควร ในช่วงเวลานี้เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าอยู่ที่ไหนกันแน่ เท่าที่เขาจำได้ก่อนหน้านี้กำลังทะเลาะอยู่กับเขื่อน และก็โดนผลักจนล้มลงบนโน๊ตบุ๊ค หลังจากนั้นกัสไม่สามารถที่จะจำอะไรได้อีกเลย “ที่นี่ที่ไหน”กัสพูดด้วยความมึนงง “ศิลานคร” “แล้วเรามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
เมื่อเขียนนิยายได้หนึ่งตอนกัสจึงรู้สึกง่วงอย่างมาก จึงหยุดเขียนและนั่งอ่านซ้ำจนเกือบจะจบตอน จูจู่เขาก็ได้ยินเสียงจากด้านหลัง “กัสพีคมานอนนี่ได้อย่างไง” กัสได้ยินเสียงห้วนและดังมาก เขาจึงหันหน้ามองด้วยความตกใจ กัสทำอะไรไม่ถูกถึงแม้สิ่งที่เขาทำก้ำกึ่งไม่ตั้งใจก็ตาม “ไม่ใช่อย่างที่นายคิดนะเขื่อน” “ไม่ใช่แล้วพี่พีคมานอนอยู่ที่ห้องได้ไง” “ก็พี่พีคเขาเมาตามหานายไม่เจอ เขาก็มานอนรอนายอยู่นี่ไม่เห็นเหรอนะ” “ทำไมต้องถอดเสื้อผ้านอนด้วย”เขื่อนจ้องหน้ากัสเขม็ง “เหล้ามันหกเปื้อนเสื้อผ้าเขา โน้น เสื้อกางเกงของพีคเราซักตากไว้ให้”กัสชี้ไปยังที่ตากเสื้อกางเกงของพีค “เราไม่เชื่อหรอกนายสองคนต้องมีอะไรกัน” “ไม่เชื่อก็ถามพี่พีคสิ” “พี่พีค”เขื่อนตะโกนอย่างดัง พีคตกใจตื่นด้วยเสียงอันดังของเขื่อน เมื่อเขาลืมตาขึ้นและหันมามองตามเสียง ภาพที่ได้เห็นคือเขื่อนยืนนิ่งๆมองเขาอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ พีครู้สึกแปลกใจเขาจึงลุกขึ้นแล้วลงมาจากเตียง “มีอะไรเหรอเรียกพ