เพียงดาบแทงอยู่กลางอกข้างขวา ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่ากับใจที่ร้าวราน เมื่อคนแทงนั้นคือโสภณตามความคิดของแม่ทัพวิศรุฒ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เวลาไม่ได้มีมากนัก แม่ทัพวิศรุฒจึงจับดาบที่ทิ่มอกดึงออก จนเลือดกระฉูดออกมากระจายเต็มหน้ากัส
“ถอย” แม่ทัพวิ ศรุฒตะโกนขึ้นอย่างดัง พร้อมกับดึงร่างของกัสมาไว้ข้างหน้าตัวของเขาเอง เสือเข้มไม่รอช้าจะเข้าไปช่วย แต่โดนจอมมาขัดขวางไว้
ช่วงเวลานั้นแม่ทัพวิศรุฒ ได้นำตัวของกัสมาไว้ข้างหน้าตัวเขาแล้ว หลังจากนั้นจึงบังคับม้าหันกลับแล้วให้วิ่งไปอย่างรวดเร็ว โดยมีจอมกับรองแม่ทัพทันป้องกันหลังจากเสือเข้ม และ แม่ทัพวิจารณ์อย่างองอาจ เมื่อแม่ทัพวิศรุฒได้พากัสได้ไกลพอสมควร ทั้งสองจึงถอยทัพกลับในทันที
แม่ทัพวิศรุฒใจร้าวรานและไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง เขาจึงต้องรีบไปให้ถึงค่ายทหารเมืองศิลานครโดยไว เพื่อจะได้สอบความจริงจากปากโสภณในความคิดเขา ว่าไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร เพราะก่อนหน้ายังอยู่ทีเรือนบ้านของเขา
เพียงเวลาไม่นานแม่ทัพวิศรุฒก็มาถึงค่ายทหาร เขาจับร่างของกัสและผลักลงจนล้มนอนลงกับพื้น
“มัดติดต้นไม้ไว้” แม่ทัพวิศรุฒสั่งทหารนายหนึ่งให้มัดร่างของกัสติดไว้กับต้นไม้ ส่วนตัวเขาก็เข้าไปในห้องชั่วคราวเพื่อรักษาบาดแผลอันเจ็บลึก
ค่ำคืนอีกฝากฝั่งหนึ่งยิวได้เปิดคอมเพื่ออยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้น เพียงเปิดหน้าจอเขาก็พบแฟ้มเอกสารเวิร์ดที่ชื่อ นักรักบันลือโลก ยิวคลับคล้ายคลับคลาว่านี้ชื่อเรื่องนิยายที่เขาอ่าน ยิวจึงรีบดับเบิ้ลคลิกเข้าไปดูได้ทัน
เพียงกัสได้เห็นบทแรกของนิยายเขาจำได้ทันที นี่คือนิยายที่ได้อ่านเพียงตอนเดียว หลังจากนั้นเขาก็หลงไปในโลกสมมุติ ด้วยความอยากรู้จึงอ่านตั้งแต่ตอนแรกจนมาถึงตอนที่สามสิบแปด เนื้อเรื่องยังค้างอยู่ที่ยิวถูกจับมามัดไว้กับต้นไม้
ในระหว่างที่กำลังสับสนมึนงงอยู่นั้น ได้เกิดแสงประหลาดแล้วดูดวิญญาณของเขาเข้าไปในโน๊คบุ๊ค ร่างกายล่องลอยท่ามกลางแสงสว่างในความมืด หลังจากนั้นความรู้สึกของยิวสูญสิ้นไปชั่วคราว มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อแสงแดดสาดส่องทั่วเรือนร่าง และสัมผัสได้ว่าน้ำในกระจายเปียกทั่วตัวของเขา ยิวจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อย และมองตรงไปยังข้างหน้าซึ่งเห็นผู้คนยืนอยู่มากมาย แต่ที่เด่นสง่ามีอยู่สามคน เขาจำได้ทันทีคนแรกอยู่ตรงกลางคือแม่ทัพวิศรุฒ ที่ถอดเสื้อและมีผ้าผันรอบอก ฝั่งขวาเป็นทันส่วนฝั่งซ้ายเป็นจอม เมื่อยิวเห็นเป็นทั้งสามคนที่สนิทคุ้นเคยเขาจึงยิ้มให้ทันที
“มึงยิ้มอะไร” เสียงของแม่ทัพวิศรุฒเปลื่ยนไปและหนักแน่นขึ้น พร้อมกับเรียกขานไม่เหมือนแต่ก่อน
“ก็ยิ้มให้นายไงท่านแม่ทัพ” ยิวพยายามจะลุกขึ้นแต่ไม่สามารถทำได้ เขาจึงขยับร่างไปมาและมองรอบตัว จึงรู้ได้ทันทีว่าโดนมัดไว้
“นายมัดเราไว้ทำไม” ยิวจ้องหน้าแม่ทัพวิศรุฒ
“นี่ยังน้อยไปที่มึงทำกับกูไอ้เมธี”
“เราไม่ได้ชื่อเมธีน่ะนายจำผิดแล้ว”
“หยุดปดซะที มึงคือองค์ชายเมธี ปลอมตัวมาหลอกกูจนตายใจ กูอุตส่าห์เชื่อใจมึงแต่มึงดันหักหลังกู แทงกูจนปานตาย” แม่ทัพวิศรุฒย่อตัวนั่งลงและจับปากของยิว พร้อมกับจ้องหน้าอย่างอาฆาตมาดร้าย
“นายจะทำอะไรท่านแม่ทัพ” ยิวรู้สึกหวั่นกลัวเพราะเขาเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ มากขึ้น เนื่องด้วยก่อนหน้านี้ได้อ่านนิยายที่เขาคิดว่ากัสเป็นคนเขียน
“มึงมาอยู่ในค่ายศัตรูจะเป็นอะไรได้ล่ะไอ้เมธี” แม่ทัพวิศรุฒลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าอันราบเรียบ
“เราไม่ใช่องค์ชายเมธี เราคือโสภณไงเราถูกบังคับให้ปลอมตัวเป็นองค์ชายเมธี” ยิวพยายามพูดเท่าที่จำได้ในนิยายที่พึ่งอ่านมา
“บังคับให้เป็นองค์ชายนี่นะ ช่างน่าขันดีแท้จะปดทั้งทีน่าจะให้ดูแนบเนียนหน่อย”
“นายจะให้เราทำอย่างไร เรายอมทำทุกอย่างเลยนะ”
“หมดโอกาสนั้นแล้ว ต่อไปนี่มึงต้องเป็นทาสเท่านั้น อย่าคิดหวังว่าจะได้กลับไปเป็นองค์ชายอีกเลย”
“นายจะทำกับเราแบบนี้ไม่ได้นะท่านแม่ทัพ” ยิวมีสีหน้าไม่สู้ดีนักเพราะหวาดหวั่นกลัวทุกอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
“ทำไมจะทำไม่ได้ มึงอยู่อย่างนี้ไปก่อนเถอะ” เมื่อแม่ทัพวิศรุฒพูดจบเขาก็เดินจากไปพร้อมทัน ปล่อยให้จอมยืนนิ่งมองยิวด้วยสายตาที่ไม่สามารถบ่งบอกความรู้สึกได้
“พี่โสภณ ไม่ใช่สิ องค์ชายเมธี” จอมเดินเข้ามาใกล้ๆ ยิว
“จอมนี่พี่เองโสภณ จำพี่ได้ไหม ช่วยแก้มัดให้พี่ด้วยนะ” ยิวมีแววตาขอร้องอ้อนวอนอย่างเห็นเด่นชัด
“ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกพี่ การตอบแทนวิธีอื่นก็แล้วกัน ที่พี่ได้ช่วยเหลือผมได้มาเป็นทหารของท่านแม่ทัพวิศรุฒ”
“พี่เข้าใจ” ถึงแม้ยิวจะกลัวหลายสิ่งแต่ก็พูดออกมา และเข้าใจในตัวของจอมเป็นอย่างดี
“ข้าไม่เข้าใจพี่ ในเมื่อพี่เป็นถึงองค์ชาย แล้วทำไมต้องมาตกระกำลำบากในขบวนนั้นด้วย หรือเป็นแผนของพี่ในฐานะองค์รัชทายาทเมืองเมฆาบุรี” จอมมีสีหน้าสงสัยอย่างมาก
“พี่ไม่รู้จะอธิบายอย่างไงให้จอมเข้าใจได้นะ”
ยิวไม่รู้จะพูดหรืออธิบายอย่างไรให้กับจอมและผู้คนเหล่านี้ให้ได้เข้าใจ ในตัวของเขาว่าไม่ใช่องค์ชายเมธี ยิ่งคิดยิ่งกลุ้มและโกรธเคืองกัสผู้แต่งนิยายเรื่องนี้ ที่ทำให้ชีวิตของเขาตกระกำลำบาก และอีกอย่างหนึ่งในเมื่อเขามาสู่ในนิยายแล้ว แทนที่จะทำให้ชีวิตอยู่ในที่สว่าง กลับพาตัวเองมาสู่ด้านมืด
“ข้า ต้องไปก่อนนะ” จอมเอ่ยขึ้น
“ไปไหน”
“บอกไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้พี่ไม่ได้เป็นคนเมืองศิลานคร แต่พี่เป็นองค์รัชทายาทเมืองเมฆาบุรี” ก่อนไปจอมมองใบหน้าของยิวด้วยความรู้สึกเสียดาย ที่ต้องกลายเป็นศัตรูกัน
ยิวเข้าใจสถานการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เขาจึงไม่พูดอะไรมากและรู้สึกโกรธตัวเอง ไม่น่าไปอ่านนิยายเรื่องนั้นเลย จนทำให้เขากลับเข้ามาในนี้อีกครั้ง เพราะรู้สึกว่าชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นสมบูรณ์แบบและมีความสุขมากกว่าเข้ามาอยู่ในนี้ มีแต่อันตรายรอบด้าน ผู้คนก็ร้ายกาจแต่งแก่งแย่งชิงความเป็นใหญ่
ยิวนั่งนิ่งสักพักก็มีทหารหนึ่งนายมาแก้มัด และพาตัวยิวเข้าไปในห้องชั่วคราวของแม่ทัพวิศรุฒ เมื่อเข้ามาถึงยิวยืนเฉยๆ มองไปยังแม่ทัพวิศรุฒ แต่ไร้การตอบสนองมีแต่ความเย็นชาเลือดเย็นเข้ามาแทนที
“ยืนทำไมนั่งลสิง ทหารจัดการมันสิ” ทหารนายนั้นจับกดยิวให้คุกเข่าลงกับพื้น
“นายจะมาทำกับเราแบบนี้ไม่ได้นะ” ยิวรู้สึกโกรธและโมโหที่แม่ทัพวิศรุฒเปลื่ยนไปอย่างมาก ไม่ได้ดูอบอุ่นอย่างแต่เคย
“เลิกพูดจาแปลกประหลาดได้แล้ว ตอนนี้ความจริงได้เปิดเผยหมดว่ามึงคือรัชทายาทเมืองเมฆาบุรี ช่างน่าอายปลอมเป็นหญิงเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยไม่สนใจความถูกต้องซะเลย” แม่ทัพวิศรุฒมองด้วยสายตาเหยียดหยาม
“เราบอกนายแล้วไงว่าเราไม่ใช่องค์รัชทายาทเมืองเมฆาบุรี เรายังเป็นโสภณคนเดิมเป็นเมียนายไง” ยิวเอ่ยขึ้นพยายามยิ้มเพื่อให้แม่ทัพวิศรุฒใจอ่อน
“หุบปากจนป่านนี้ยังไม่ยอมรับผิดอีก ไม่สมกับเป็นรัชทายาทเอาเสียเลย”
“พูดอะไรไปนายก็ไม่เชื่อ แล้วแต่นายก็แล้วกันเราไม่พูดแล้ว” ยิวมองค้อนแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่รู้จะพูดอะไรหรือว่าไม่กล้าพูด”
“อยากจะคิดอะไรก็คิดไป เราไม่สนแล้วจะทำอะไรก็ทำ” ยิวหมดปัญญาที่จะต่อกรทางคำพูด
“มึงพูดเองนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป มึงต้องทำงานเยี่ยงทาสชดใช้ความผิด เพราะใจมึงดำยิ่งกว่าอีกา มึงกล้าแทงกูทั้งๆ ที่กูช่วยมึงตั้งหลายครั้งหลายครา” สีหน้าของแม่ทัพวิศรุฒบ่งบอกว่าเสียใจอย่างสุดซึ้ง
“เราไม่ได้แทงแต่เป็นคนอื่น”
“มึงแทงกูเห็นอยู่” แม่ทัพวิศรุฒไม่พอใจอย่างมาก เขารีบเดินมาถึบหน้าอกของยิวจนล้มลงกองกับพื้น
“โอ๊ย เจ็บ”
“นี่มันยังน้อยไปที่ทำกับกู เรื่องแทงกูยังไม่เท่ากับที่มึงทำแผนตีเมืองเมฆาบุรีพังทลาย” แม่ทัพวิศรุฒใช้เท้าเหยียบที่หน้าอกของยิวไว้แล้วกดลง
“เราหายใจไม่ออก เดี๋ยวตายไปทำอย่างไง” ยิวจับเท้าของแม่ทัพวิศรุฒไว้ แล้วพยายามยกขึ้นแต่ไม่เป็นผลเท่าที่ควร
“มึงจะได้รู้สึกว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร”
“ท่านแม่ทัพเราเจ็บ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ” ด้วยความเจ็บและแน่นหน้าอกจนทำให้น้ำตาของยิวหลั่งใหลออกมา
“นี่มันยังน้อยกว่าที่มึงทำกับกูไอ้โสภณ ไม่ใช่ ไอ้เมธี” แม่ทัพวิศรุฒยกเท้าออกและเตะไปที่ซี่โคร่งของยิวอยู่หลายครั้ง
“เราเจ็บพอแล้วอย่าทำเราเลย เรายอมทำทุกอย่างเลย”
“กูไม่ต้องการอะไรจากมึงทั้งนั้นหรอก” แม่ทัพวิศรุฒยังเตะยิวไม่ยอมหยุด
“นายไม่อยากได้เราเป็นเมียแล้วเหรอ” ยิวพูดขึ้นด้วยความกลัวและแอบสู้
แม่ทัพวิศรุฒหยุดนิ่งเป็นชั่วครู่ ส่วนยิวได้ทีเลยรีบลุกขึ้นนั่งทันที และจ้องมองหน้าแม่ทัพวิศรุฒว่าจะมีอาการใดต่อจากนี้อีก
“เมื่อก่อนใช่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ ความจริงข้าจะมีเมียสักกี่คนก็ได้ หรือแม้แต่จะเอาผู้ชายเป็นเมีย ในค่ายทหารมีตั้งเยอะกูจะเอาไส้ศึกอย่างมึงมาทำไม แต่กูจะให้มึงเป็นเมียทหารทั้งค่ายเลย” แม่ทัพวิศรุฒหัวเราะเสียงดัง
“อย่านะ” ยิวร้องไห้น้ำตาไหลรินออกมาดั่งสายน้ำ
“ไม่ต้องมาร้องไห้ ทหารมาเอาทาสคนนี้ไปทำงาน”
แม่ทัพวิศรุฒยืนมองทหารสองนายลากตัวยิวออกไปนอกห้อง ด้วยใจอันสับสนมีทั้งเกลียดและรักในสองความรู้สึก เขาไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเอง นอกจากสงสารและแค้นยิวแล้ว ยังรู้สึกไม่ค่อยดีอีกอย่าง เพราะความรู้สึกนั้นเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ผู้ชายจะรักกันไม่ได้ถึงรักกันก็ต้องแอบซ่อน ทางสมหวังแท่บจะไม่มีให้เห็นผลสำเร็จ
กัสสะดุ้งตื่นจนรู้สึกกลัวโดนทำร้ายร่างกาย พอลืมตาขึ้นมาและมองไปรอบๆ บริเวณ ซึ่งเป็นสถานที่เขาคุ้นเคยนั่นคือห้องนอนของตัวเอง กัสจึงยิ้มได้ในทันทีและรู้สึกโล่งใจ ที่ไม่ต้องอยู่บนความกดดันอีกต่อไปสายตาของกัสพลันเห็นหน้าจอโน๊ตบุ๊คเปิดอยู่ เขาจึงเลื่อนดูและนั่นเป็นนิยายที่ตัวเองเขียน กัสจึงอ่านหน้าย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นตอนที่เขาใช้ดาบแทงแม่ทัพวิศรุฒ สายตาและความคิดของกัสเริ่มกลัวและรู้สึกไม่ค่อยดี และใคร่ส่งสัยใครเป็นคนเขียนนิยายเรื่องนี้ต่อจากเขาความคิดของกัสนั้นหลากหลายความรู้สึกมากมายเข้ามาในหัว และหนึ่งในนั้นพลางคิดไปว่ายิวอาจออกมาจากนิยายเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ และแต่งเติมเรื่องราวต่อจากเดิม อีกใจหนึ่งคิดว่าเป็นเขื่อนต่อเติมเรื่องราวด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากโลกในนิยาย จึงทำให้กัสรู้สึกง่วงนอน เขาจึงปิดโน๊ดบุ๊คและหยุดคิดเรื่องราวต่างๆ ไว้ก่อน แล้วล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้าเต็มทน“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างยาวนานกัสรู้สึกตัวขึ้นมาเขาก็เดินไปเปิดประตูห้อง ซึ่งคนตรงหน้าเป็นพีคนั่นเอง เขารู้สึกดีใจอย่างมากจนทำอะไรไม่ถูก“เมื่อไรจะให้พี่เขาไปในห้องซะทีล่ะ” พีคยืนยิ้ม“คร
ความโกรธความแค้นเคืองสุมอกจนอึดอัดยากเอาออกไป แม่ทัพวิศรุฒกลุ้มใจความเครียดถาโถม เนื่องจากตัวต้นเหตุนอกจากยิวที่เขาเข้าใจว่าเป็นองค์ชายเมธีจริงๆ ซึ่งเป็นลูกของราชาเมฆา ส่วนตัวเขาที่มีแหวนของราชาเมษา ถ้าเกิดความคิดของแม่ทัพวิศรุฒเป็นจริง นั่นเท่ากับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันถึงแม้เขาจะโกรธแค้นยิวปานใด แต่ด้วยความผูกพันครั้งอดีตและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน แม่ทัพวิศรุฒไม่รู้ว่าจะทำเช่นใด เขาจึงหยิบแหวนที่สลักชื่อเมษามาดู ยิ่งเพ่งพินิจดูชื่อยิ่งปวดใจอย่างร้าวราน“ท่านแม่ทัพคิดอะไรอยู่เหรอขอรับ” จอมเข้ามาเงียบๆ เห็นแม่ทัพวิศรุฒยืนนิ่งๆ“เปล่า เอ็งเข้ามาทำไม” แม่ทัพวิศรุฒกำแหวนไว้แน่น“คือข้า” จอมอ้ำอึ่ง“เอ็งสงสารไอ้โสภณ ไม่ใช่สิ องค์ชายเมธีหรือ”“ขอรับ”“จะมาขอร้องข้าให้ปล่อยตัว หรือ ไม่ให้ใช้งานเยี่ยงทาสใช่ไหม” สายตาอันแข็งกร้าวจ้องมองจอมชายหนุ่มรุ่นน้อง“ขอแค่ไม่ให้ใช้งานหนักก็พอขอรับ”“เมื่อเอ็งขอร้อง ข้าก็จะให้ตามที่เอ็งต้องการ แต่มันยังต้องทำงานอยู่เหมือนเดิม” เสียงดุดันดังก้องกังวานเข้าเต็มประสาทของจอม“จะให้องค์ชายเมธีทำอะไรเหรอขอรับ”“ไม่ต้องเรียกมันว่าองค์ชาย เรียกว่าโสภ
วันที่ซ้อมละครฉากสำคัญได้มาถึง กัสมาห้องชมรมละครด้วยความสบายๆ ไม่ได้กดดันอะไรแม้แต่น้อย เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เมื่อมาถึงก็ทักทายพี่ๆ ทุกคนเป็นตามปกติ ยกเว้นเขื่อนที่ต่างนิ่งเฉยเย็นชาเมินใส่กัน จนหลายคนในห้องชมรมใคร่สงสัย แต่ไม่มีผู้ใดพูดออกมา ตราบที่ไม่มีปัญหากับละคร เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของใครของมัน“ทุกคนวันนี้เราจะมาซ้อมฉากสำคัญนะ” เจนนี่เอ่ยขึ้น แล้วเรียกกัสและเขื่อน ร่วมด้วยทั้งพีคกับนักแสดงอีกคนหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัยนิวและวินต่างไม่ใคร่สนใจกันเท่าไร จนกระทั่งทั้งคู่ผ่านมาเจอกันโดยบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างมองหน้าอย่างเคืองแค้น วินมองนิวแวบมองหนึ่งแล้วกำลังจะเดินจากไป แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อนิวเป็นฝ่ายเรียก“วิน เดี่ยวก่อนเรามีเรื่องจะคุยด้วย”“มีอะไรว่ามา”“เรื่องของพวกเราสามคนน่ะ เราตัดสินใจแล้วอย่างที่นายพูดมันก็ถูก เราไม่ควรจะมาอยู่ร่วมกันสามคน มีนควรจะเลือกคนใดคนหนึ่ง” นิวตีหน้าเศร้า“คิดได้แล้วเหรอ” วินเบ้ปากเล็กน้อย“ใช่ เราคิดได้แล้ว แต่เราไม่มีวันยอมให้นายได้มีนไปอย่างแน่นอน”“เห็นเงียบๆ แต่ร้ายนะ แล้วแต่นายเลยถึงเราจะรักมีน แต่ถ้ามีนเลือกนาย
แม่ทัพวิศรุฒรออย่างร้อนรนว่าเมื่อไรหมอจะนำยามาให้ ในที่สุดก็สมดังปราถนาจอมได้นำยาเข้ามาในห้องชั่วคราวของแม่ทัพวิศรุฒ“ยาได้แล้วขอรับ มีทั้งลูกประคบสมุนไพร กับ ยาต้มข้าต้มกับมือเลยนะขอรับ” จอมวางถ้วยยาลงและจะนำลูกประคบไปสมานรอยซ้ำ“เดี๋ยวก่อน เอ็งออกไปได้แล้วข้าจะเป็นคนทำ”“แผลของท่านแม่ทัพยังไม่หายดีเลยนะขอรับ ถ้าเกิดพยุงร่างของโสภณแผลอาจฉีกขาดได้นะขอรับ”“ข้าบอกให้เอ็งออกไปก็ออกไปสิ แต่อย่าบอกเรื่องนี้กับใครล่ะ ถ้าใครถามเอ็งก็บอกว่าเป็นคนทำ เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดไหม”“ขอรับ” จอมอมยิ้มนิดๆ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาให้แม่ทัพวิศรุฒระคายหูเมื่อจอมได้ออกไปแล้วแม่ทัพวิศรุฒ จึงนำลูกประคบมาประคบแถวๆ หูและใบหน้าอย่างอ่อนโยนในความรู้สึกของเขา แต่คนนอกกับรู้สึกว่ามันเจ็บเพราะแรงเกินไป ยิวจึงลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บและรีบลุกขึ้นขยับตัวชิดขอบเตียง ด้านที่มีข้างฝาปิดไว้“แม่ทัพเอ็งจะทำอะไรข้าอีก ตบบ้องหูยังไม่หนำใจจะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยเหรอ” สายตาของยิวหวั่นวิตกกลัวโดนอีกครั้ง“ถ้ายังไม่อยากโดนตบบ้องหูอีก ก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ ข้าอีกนิด เดี๋ยวข้าจะประคบให้หายซ้ำใน”“ไม่ต้องข้าทำเองได้ แม่ทัพมือหนั
วันนี้เป็นคิวของกัสกับพีคและนักแสดงหนุ่มรุ่นน้องอีกคน ส่วนเขื่อนไม่มีคิวในวันนี้จึงเป็นเรื่องดีๆ สำหรับกัสอย่างมาก ที่จะได้กลับบ้านพร้อมพีคอย่างสบายใจไม่ต้องคอยกังวลกับเขื่อนแต่อย่างใดด้วยมีนได้หายไปหลายวันติดต่อไปก็ไม่รับสาย นิวอดเป็นห่วงไม่ได้หลังเลิกเรียนจึงไปยังคอนโดนของมีน ซึ่งมีนนั้นได้ให้คีย์การ์ดนิวไว้เพื่อวันไหนจะมาหา ก่อนที่จะเข้าไปในห้องนิวยืนนิ่งๆ อยู่พัก ด้วยความกลัวจะเจอสิ่งไม่คาดฝัน เพียงเขาก้าวเท้าเข้าไปก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน นิวจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปดู เพียงเห็นภาพตรงหน้านิวอ้าปากค้างตะลึงตกใจ จนเผลอทำกระเป๋าที่ถือมาล่วงหล่นลงพื้น จนเกิดเสียงดังขึ้นทำให้มีนและเด็กหนุ่มนั่นตกใจ เพราะทั้งคู่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน เมื่อหันมาเจอนิวยืนอยู่ทั้งสองรีบแยกออกจากกันในทันควัน“นิว” มีนยืนนิ่งอ้าปากค้างด้วยความตกใจและคาดไม่ถึงว่านิวจะมา“ไหนบอกว่าเป็นพี่น้องกันไง”“มาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ไม่อยากจะปิดบังนิวอีกต่อไป เมื่อก่อนนิวรับได้ไม่ใช่เหรอจะอยู่กันสามคน ตอนนี้เป็นแบบนั้นก็ได้เราไม่มีปัญหา ส่วนน้องเราก็คิดว่าคงไม่มีปัญหาเช่นกันใช่ไหม” มีนหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่ง แต่ก็พยักหน
เพียงได้สัมผัสท่อนเอ็นอันแข็งแกร่ง กัสถึงกับอดใจไม่ไหวจึงอยากร่วมรสสวาทในครั้งนี้อย่างมาก“ถอดกางเกงให้หน่อย” กัสรู้สึกเรี่ยวแรงหายไปพอสมควรเป็กไม่รอช้าเมื่อโอกาสมาถึง ถอดไม่มีเหลือสักชิ้นรวมทั้งเสื้อด้วย เมื่อร่างกายเปลือยเปล่าของเป็กเผยโฉมตรงหน้ากัส เขาก็ไม่รอช้าอีกเช่นกันจับท่อนเอ็นได้ใช้ริมฝีปากรูดขึ้นลงทันที ไม่มีการค่อยๆ ทำรีบรูดขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ได้สร้างความเสียวซ่านแกเป็กอย่างมาก สยิวไปทั่วลำท่อนเอ็น ยิ่งกัสดูดเป็นพักๆ ยิ่งทำให้เสียวเป็นช่วงๆ“โอ๊ย อ่า อ่า ซี๊ด” เป็กหลับตาพริ้มครางออกมาอย่างสุดอารมณ์ถวิลหาริมฝีปากยังรูดท่อนเอ็นเหมือนเดิม ส่วนมือพร้อมจับพวงสวรรค์เล่นอย่างมันมือ ยิ่งสร้างความกระสันอยากให้เป็กอย่างมาก“พอก่อน เดี่ยวทำบ้าง”“ไม่ต้องเดี่ยวทำเอง” กัสพูดหลังจากถอนริมฝีปากออกมาจากท่อนเอ็นอันใหญ่ยาวด้วยความเมาขาดสติกัสจึงทำตามใจอยากอย่างที่ต้องการ และคิดไปว่าเป็นพีคเขาจึงมอบบทรักอย่างสุดฝีมือ เมื่อได้ถอนท่อนเอ็นแล้วต้อมจึงลุกขึ้นคร่อมร่างส่วนกลางลำตัวของเป็กโดยหันหลังให้ ต่อด้วยจับท่อนเอ็นจ่อช่องทางรัก แล้วค่อยๆ ดันเข้าไปจนสุดโคน ถึงจะรู้สึกเจ็บบ้างแต่ก็พอทนได้ หลั
ค่ำคืนสุดท้ายก่อนออกเดินทางไปยังเมืองศิลานคร ถึงแม้แม่ทัพวิศรุฒจะโกรธยิวสักเพียงใด โดนทำร้ายขนาดไหนใจของเขายังให้อภัยอยู่เหมือนเช่นเคย หลายวันผ่านมาทั้งสองอยู่ด้วยกัน ไม่เคยห่างกายแม้แต่น้อย นอนเคียงคู่ทุกค่ำคืนไม่หนีหาย ดั่งเช่นคืนนี้อีกครั้งก่อนเดินทางกลับ ศิลานคร“พุร่งนี้ต้องเดินทางแล้วนะ ส่วนเอ็งก็ไปในฐานะองค์ชายเมธีนั่นแหละ” แม่ทัพวิศรุฒยังมีสีหน้านิ่งเรียบไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ ออกมาให้ได้เห็น“อืม แต่เราไม่ใช่องค์ชายเมธีนี่”“ไม่ใช่ แต่ทุกคนเข้าใจว่าเอ็งเป็นองค์ชายเมธี และเป็นรัชทายาทแห่งเมฆาบุรี”“ถ้าเราไปก็อยู่ฐานะตัวประกัน หวังว่าคงไม่โดนฆ่าตายก่อนนะ”“ไม่หรอก มีข้าอยู่ทั้งคน จะไม่มีวันนั้นเด็ดขาด และอีกอย่างหนึ่งไม่มีใครเขาจะทำร้ายตัวประกันในยามสงครามหรอก”“อืม เราไว้ใจนายนะ หวังว่านายอย่าทำให้เราผิดหวัง เราอุตส่าห์เล่าความจริงทุกอย่างให้นายฟัง” ยิวมีสีหน้าที่วิตกกังวลอยู่พอสมควร“ไว้ใจข้าน่ะดีแล้ว แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่เอ็งต้องเปลื่ยนแปลงตัวเอง พูดภาษาบ้านเมืองของข้า ใช้คำชาวบ้านไม่ได้แล้วนะ ช่วงเดินทางกลับศิลานครข้าจะสอนเอ็งทุกอย่าง”“ทำไมนาย ไม่ใช่สิ เอ็งถึงเชื่อข้าล่ะ
แม่ทัพวิศรุฒยังมองท่อนเอ็นของตัวเอง กำลังเลื่อนเข้าไปในร่องนั้นอย่างต่อเนื่องช้าๆ และสุดท้ายเข้าไปมิดด้ามสุดโคน“เอ็งไม่เจ็บเหรอ”“เจ็บสิ แต่เดียวก็หาย หรือว่าเอ็งอยากลองบ้าง”“ไม่” แม่ทัพวิศรุฒพูดเสียงห้วนอย่างดัง“ถ้างั้นก็ดีแล้ว เอ็งอยู่เฉยๆ เดี๋ยวข้าจะมอบความสุขนี้ให้เอ็ง รับรองจะจำข้าไปจนวันตายอย่างแน่นอน”สายตาของแม่ทัพวิศรุฒมองสะโพกอันกลมตึงอวบอิ่ม กำลังโยกขึ้นลงอย่างช้าๆ จึงเห็นท่อนเอ็นผลุบๆ โผล่ๆ ทีแรกเขายังรู้สึกเฉยๆ พอนานๆ เข้ารู้สึกอุ่นๆ ยิ่งร่องนั้นคับแคบเล็กจึงทำให้เสียดสีกับรอยหยัก ยิ่งนานเข้าแม่ทัพวิศรุฒลืมความไม่เหมาะไปในทันที เพราะเสียวปานจะกลืนกิน ยิ่งยิวโยกขึ้นลงเร็วจนเสียงดัง“ปั๊บ ปั๊บ ปั๊บ”“ท่านแม่ทัพเป็นอะไรหรือเปล่า ให้ข้าเข้าไปหาไหม” ทหารยามส่งเสียงออกมา“อ่า อือ ไม่ต้อง” แม่ทัพวิศรุฒตะโกนออกไป“เอ็งเบาๆ หน่อยเสียงดังเกินไป และอีกอย่างข้ากลัวหัก”“ถ้าเอ็งกลัวหักก็ทำเองสิ เสยขึ้นมาเลยข้าจะอยู่เฉยๆ”เพียงยิวหยุดนิ่งแม่ทัพวิศรุฒกระดกก้นขึ้นอย่างช้าๆ และด้วยความเสียว จึงทำเร็วขึ้นเสียงดังไม่แพ้กัน“เอ็งก็ทำแรงเสียงดังเหมือนกันนั่นแหละ” ยิวเอ่ยขึ้นมาทันทีแม่ทัพว
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว
ค่ำคืนที่หาบทละครเวที พีคกำลังขะมักเขม้นทำอย่างจริงใจ แต่ในช่วงเวลาเดียวกันพีคได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อดูชื่อที่ปรากฏเป็นกัส พีคจึงรีบรับทันทีเพราะปกติไม่เคยโทรมาแต่อย่างใด “ฮัลโหล น้องกัสมีอะไรหรือเปล่า” “มี แต่ กัสไม่อยากบอกพี่เลยครับ” “เรื่องอะไร บอกมาเลยถ้าไม่บอกพี่โกรธจริงๆนะ” “ก็เรื่องของเขื่อนไงครับ คือ ว่า เอ่อ อ่า อืม” “พูดมาเลยว่าเรื่องอะไร” “คือ เรื่องเด็กคนนั้นน่ะของเขื่อน เท่าที่กัสสังเกตหน้าจะมีอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมงานอย่างแน่นอน” “พี่ก็สงสัยแต่พี่ไม่มีหลักฐานอะไร” “คือ คืนนี้พี่ลองไปหาเขื่อนที่ห้องพักแบบไม่ให้รู้ตัวสิครับ” “น้องกัสรู้อะไรมาเหรอ” “อืม กัสไม่พูดดีกว่าพี่พีคไปดูเองเถอะ” “อืม ก็ได้ ขอบใจกัสมากนะ” “ไม่เป็นไรครับ” เมื่อพีคกดวางโทรศัพท์มือถือ ก็ขับรถไปหาเขื่อนในทันที โดยไม่บอกกล่าวอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ค่อนข้างให้ความเชื่อใจกัสมากกว่าเขื่อนเสียอีก พีคขับรถไปอย่างกระวนกระวายยิ่งนัก ด
เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมได้มีความรักโดยอย่างไม่ตั้งใจ จากเมื่อก่อนอยากอยู่ไปเรื่อยๆแต่ในปัจจุบันความคิดนั้นได้เปลื่ยนไปอย่างมาก เพราะยิวได้สร้างห้องแห่งรักไว้ในหัวใจ จึงทำให้เสือเข้มเกิดความทะเยอะทะยานอยากได้ยิวมาครอบครองเขาจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อจะทวงราชบัลลังก์คืนแกตัวเขาและยิว การรวบรวมกำลังพลในค่ายเสือ ถึงจะไม่ได้มากมายเท่ากับกองทัพแห่งเมืองเมฆาบุรี ที่ตอนนี้เปลื่ยนชื่อเป็นเมืองวิหค กว่าที่เสือเข้มจะระดมบรรดาโจรทั่วเมืองเมฆาบุรีได้ใช้เวลานานพอสมควร และได้ติดต่อจากเมืองอื่นๆอีกมากมายเพื่อมาช่วยในครั้งนี้ โดยมีผลตอบแทนพื้นที่บางส่วนให้ไว้อาศัยอยู่ และทรัพย์สินในวังอันมีค่าบางส่วน ในที่สุดวันที่เสือเข้มรอคอยก็มาถึง เขาได้บุกเข้าเมืองเมฆาบุรีแบบกองโจร ไม่ได้ปะชิดสู้ตรงๆ เพราะขืนทำอย่างนั้นไม่มีทางที่จะชนะแม่ทัพวิหคและอำมาตย์มงคลได้อย่างแน่นอน โดยการครั้งนี้เสือเข้มเป็นผู้วางแผนและสั่งการเองทุกอย่าง โดยเริ่มต้นยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและเผลอไผลไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อันร้ายแรงเกิดขึ้น “พี่น้องทุกคนพร้อมกันหรือยัง”เสือเข้มประกาศก้องใกล้ๆเมืองชั
เมื่อไม่ได้มีการซ้อมละครเวทีเขื่อนจนมีเวลาให้กับงานที่ทำมากขึ้น ไม่ว่าจะหลังเลิกงานหรือแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์เขื่อนทุ่มเวลานั้นอย่างเต็มที่ จนทำให้ไม่มีเวลาไปมาหาสู่กับพีคอย่างเช่นแต่ก่อน และมีอยู่อีกเหตุหนึ่งนั้นเขื่อนได้มีความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่มากขึ้น ตอนกลับห้องหรือไปไหนหลังจากเลิกงาน ก็ไปด้วยกันตลอดเวลา จึงทำให้ความสัมพันธ์ของพีคกับเขื่อนได้จืดจางลงไปอย่างไม่ค่อยรู้ตัวหลังจากเลิกงานวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขื่อนได้กลับพร้อมกับหนุ่มรุ่นน้อง ที่ได้พึ่งได้มาทำงานได้ไม่นานแต่ความสนิทสนมกันนั้นแสนมาก“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นพี่พีคมารับพี่เขื่อนเลยครับ” เจษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าใคร่สงสัย และมีความดีใจอยู่พอสมควร“พี่พีคไม่ค่อยว่าง เพราะตั้งแต่ไม่ได้แสดงละครด้วยกัน พี่พีคเขาต้องหาบทละครมาสร้างอีก ช่วงนี้เลยห่างๆ กันไป”“อ่อ ถึงว่าสิทำไมไม่ค่อยเห็นพี่พีค แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะถึงอย่างไงพี่เขื่อนยังมีผมอยู่เป็นเพื่อน” เจษอมยิ้มนิดๆ“อืม” เขื่อนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ ได้แต่ยืนรอรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่จะกลับห้อง“โชคดีนะ ที่เราสองคนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นรถสายเดียวกัน” เจษยังยืนยิ้มอยู่ไม่วาย“พ