เมื่อแม่ทัพมาถึงชายแดนเมืองเมฆาบุรี ก็เริ่มตั้งค่ายทันทีโดยมีจอมผู้เชี่ยวเป็นคนออกแบบ และวางผังทุกอย่างตามท่านแม่ทัพวิศรุฒออกคำสั่งมาก่อนหน้านี้ โดยหาไม้ไผ่มาทำเป็นที่หลับนอน และกิ่งไม่ขนาดใหญ่เป็นรั้วรอบบริเวณ กว่าจะเสร็จจนเกือบมืดค่ำแต่เพราะเป็นความร่วมมือร่วมใจเขาของเหล่าบรรดาทหาร ทุกอย่างจึงผ่านไปด้วยดีไม่มีข้อตกบกพร่องแต่อย่างใด
แม่ทัพวิศรุฒยืนมองพระจันทร์คืนเต็มดวง สายตาของเขาได้มองพระจันทร์แต่ความคิดนั้นมีหลากหลายกว่านั้น การมาครั้งนี้มีแผนใจอีกอย่างหนึ่ง ด้วยความเป็นมาของแม่ทัพหนุ่มนั้นคลุมเครือ ขนาดพ่อแม่บุญธรรมอย่างอำมาตย์วิษณุกับนางแม้นยังไม่ทราบที่มาเลย
มืออันหยาบกร้านหยิบแหวนทองอันล่ำค่า ที่สลักชื่อเมษาไว้ในวงแหวน ทำให้แม่ทัพวิศรุฒสงสัยว่าตัวเองเป็นลูกใครกัน เท่าที่จำความได้ ก็โตมาในครอบครัวของท่านอำมาตย์วิษณุ เหตุการณ์ก่อนหน้านั้น แม่ทัพวิศรุฒไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตัวเองเป็นใคร
ความเศร้าความเหงาเริ่มเข้ามาเกาะกินใจ เพราะแม่ทัพวิศรุฒอดคิดถึงโสภณชายหนุ่มที่เขาอยากได้เป็นเมีย แต่ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มีเพียงความคิดเท่านั้น นี่เป็นอีกเรื่องที่ต้องแก้ไข แต่ยังไม่หนักเท่ากับยกทัพบุกเมืองเมฆา ในช่วงเวลานี้แม่ทัพวิศรุฒที่กำลังคิดถึงหลายๆ เหตุการณ์ แต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงทันดังอยู่ข้างหลัง
“ท่านแม่ทัพข้านำข่าวจะมาบอกขอรับ” ทันทีตอนนี้ได้เป็นรองแม่ทัพเดินเข้ามาใกล้ๆ
“เอ็งมีอะไรรึ ถึงมาจนดึกป่านนี้”
“ข้าได้ข่าวมาว่า ในวันพรุ่งองค์ชายเมธีจะออกมาทำสงครามกับเรา”
“องค์ชายเมธี ทำไมถึงยังเป็นองค์ชายอยู่ ในเมื่อราชาเมฆาได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว”
“เป็นเพราะแม่ทัพวิหคและเหล่าขุนนางอยากให้องค์ชายเมธี พิสูจน์ความสามารถตัวเองว่าจะเหมาะเป็นราชาไหม”
“ผู้คนเมืองนี้ก็แปลก องค์ชายศิธาของเรายังไม่ต้องทำศึกสงครามเลย” แม่ทัพวิศรุฒไม่เข้าใจอย่างมากกับความคิดของเหล่าขุนนางเมืองเมฆาบุรี
“องค์ชายศิธาของเรายังเป็นแค่รัชทายาทอยู่นี่ขอรับ และอีกอย่างท่านแม่ทัพไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูงอย่างขุนเมืองนี้”
“ก็จริง แล้วฝีมือองค์ชายเป็นอย่างไงบ้าง เอ็งได้ข่าวมาว่ากะไร” แม่ทัพวิศรุฒจ้องหน้าทันอย่างใคร่รู้
ตามคำเล่าลือเป็นองค์ชายที่งามอย่างกับอิสตรี คงประมาณโสภณของท่านแม่ทัพกระมั้ง ส่วนฝีมือการต่อสู้ยังไม่เป็นที่ประจักษ์” ทันอมยิ้มนิดๆ
“ไอ้ทัน” แม่ทัพวิศรุฒมองตาขวางใส่ด้วยอารมณ์โกรธ
“ข้าพูดตามจริงขอรับ”
“อือ ยิ่งกว่าองค์ชายศิธาของเมืองเราสิท่า”
“คงจะเป็นเช่นนั้นขอรับ”
“ดี ข้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมากไปกว่านี้”
“ขอรับ ข้าขอตัวกลับกันนะขอรับ”
“อือ”
แม่ทัพวิศรุฒพยักหน้าให้ทัน ต่อจากนั้นมองพระจันทร์อยู่ชั่วครู่ก่อนเดินเข้าไปน้องซุ้มของตัวเอง เมื่อได้เข้าไปก็พบเห็นจอมกำลังจัดแจงพื้นที่ เพื่อให้เขาได้หลับนอนยามค่ำคืนในเพลานี้
“มาพอดีเลยท่านแม่ทัพ ข้ากำลังจะออกไปตามท่านอยู่เหมือนกันขอรับ” จอมนั่งลงกับพื้นเมื่อจัดที่นอนให้แม่ทัพวิศรุฒเรียบร้อย
แม่ทัพวิศรุฒมองจอมอย่างใคร่สงสัยเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างโสภณและตัวจอมเอง ก่อนที่จะถามแม่ทัพหนุ่มต้องคิดอย่างหนัก เพราะการถามครั้งนี้เจาะลึกถึงแก่นใจอย่างแน่นอน
“ข้ามีอะไรจะถามเอ็งบอกข้ามาตามตรง ข้าจะไม่ว่าอะไรเอ็งสักคำ แต่ถ้าเอ็งโกหกแม้แต่คำเดียว เอ็งจะไม่ได้มีวันกลับบ้านอย่างแน่นอน”
“ถามมาได้เลยขอรับ”
“เอ็งบอกว่าเป็นญาติกับโสภี แต่ทำไมหน้าตาไม่เหมือนกันเลยแม้แต่น้อย” แม่ทัพวิศรุฒที่กำลังยืนอยู่ ก้มมองลงไปยังใบหน้าของจอม ที่ดูคมเข้มดุดันถ้าบอกว่าเป็นน้องของเขายังมีความน่าเชื่อมากกว่าอีก
“ความจริงข้ากับโสภณไม่ได้เป็นอะไรกันหรอก แค่เจอกันในขบวนหนีภัย ข้าได้ยินโสภณพูดถึงท่านแม่ทัพ ข้าก็เลยอยากที่จะมาเป็นทหารอยู่กับท่าน”
“เอ็งก็รู้สิว่าโสภณไม่ใช่ผู้ชาย” แม่ทัพวิศรุฒพยายามเก็บสีหน้าอาการไว้อย่างมิดชิด
“ขอรับ”
“เอ็งกล้าบอกข้า ไม่กลัวหัวขาดหรือกะไร”
“ข้ามีความจริงใจกับท่าน เห็นท่านเป็นนายข้าจึงไม่อยากจะปดท่านแม่ทัพ”
“ดีมาก และเอ็งไม่สงสัยเหรอว่าข้ากับโสภณเป็นอะไรกัน”
“ไม่หรอก ข้าคิดโสภณแค่เอาตัวรอดมากกว่า เพราะถ้าเข้ามาในเมืองแบบชายทั่วไป คงจะลำบากอย่างแน่นอน โสภณเลยปลอมเป็นหญิงมาหาท่าน ข้าไม่ได้คิดอะไรมากกว่านี้”
แม่ทัพวิศรุฒไม่ค่อยเชื่อคำพูดของจอมเท่าไรนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเคลือบแคลงสงสัยมากเกินไป เพราะถึงอย่างไรจอมก็ยอมรับความจริงและพูดอย่างตรงมาตรงไป ไม่ปิดบังความลับที่ซ่อนอยู่ ด้วยไม่กลัวจะได้รับอันตราย ส่วนนี้แม่ทัพวิศรุฒจึงค่อนข้างพอใจอยู่มาก
“เอาล่ะ เอ็งออกไปข้างนอกได้แล้ว ข้าจะนอนพรุ่งนี้เราจะได้มาว่างแผนบุกเมืองเมฆาบุรีกัน”
“ขอรับ”
สายตาของแม่ทัพวิศรุฒมองจอมเดินออกจากซุ้มไปอย่างเงียบๆ ส่วนในจิตใจก็ยังวนเวียนคิดถึงแต่โสภณ ในห้วงเวลานี้แม่ทัพวิศรุฒค่อนข้างสับสนตัวเองพอสมควร เพราะมีหลายเหตุการณ์ที่ต้องคบคิด โดยเฉพาะความเป็นมาของตัวเขาเอง เท่าที่จำได้อำมาตย์วิษณุผู้เป็นพ่อบุญธรรมได้เล่าไว้อยู่ครั้งหนึ่ง
ในค่ำคืนหนึ่งเมื่อร่วมยี่สิบปี อำมาตย์วิษณุได้เดินทางกลับมายังเรือนของตัวเอง ระหว่างทางได้ยินเสียงเรียกขานอย่างอ่อนแรง
“ท่าน ท่าน ท่าน” สาลินีนางกำนัลแห่งเมืองเมฆาบุรีนอนจมกองเลืออยู่ข้างทาง
อำมาตย์วิษณุหันซ้ายหันขวาตามเสียงที่ได้ยิน พลันได้เห็นหญิงสาวนอนซมอยู่ข้างๆ เด็กน้อย ที่กำลังเริ่มร้องเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงสั่งการให้ทหารที่ร่วมเดินทางไปดู ซึ่งทหารรายหนึ่งอุ้มเด็กน้อยขึ้นมาดู ส่วนท่านอำมาตย์วิษณุจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ ร่างของหญิงสาว
“เอ็งเป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงโดนทำร้ายร่างกายขนาดนี้”
“ข้าโดนโจรป่าทำร้าย” ความจริงแล้วสาลินีโดนทหารของอนุชาเมฆาทำร้ายจนบาดเจ็บ แต่ด้วยไหวพริบของเธอจึงรอดมาได้
“ทำใจดีๆ ไว้ ข้าจะพาเอ็งไปเรือนของข้าและให้หมอหลวงมาทำการักษาเอ็ง”
“ไม่ต้องหรอก ข้าขอแค่ดูแลเด็กนั่นก็พอ ท่านรับปากข้าได้ไหม” ถึงสาลินีจะรู้ดีว่าเด็กคนนี้เป็นโอรสของอนุชาเมฆา แต่ด้วยความเป็นเด็กเธอไม่สามารถที่จะทำร้ายได้ หรือปล่อยให้ตายอย่างไม่ใยดี เมื่อสบโอกาสเธอจึงอยากฝากฝั่งชายหนุ่มผู้นี้เลี้ยงดู
“ข้ารับปาก ข้าต้องดูแลเอ็งทั้งสองคนนั่นแหละ เดี่ยวข้าจะให้ทหารพาเอ็งไปด้วยกับข้า”
“ขอบใจท่านมาก แต่ข้าไม่ไหวแล้ว ข้า ข้า เอ่อ” สิ้นเสียงของสาลินีพร้อมกับลมหายใจดับสูญไปในคราเดียวกัน
อำมาตย์วิษณุในเวลานั้นรู้สึกเสียใจ จึงออกคำสั่งให้ทหารจัดการศพของสาลินีที่กลางป่า ส่วนตัวเขาก็อุ้มเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู เพราะตั้งแต่สมรสกับนางแม้นมาเป็นเวลาหลายปี ยังไม่มีทีท่าจะได้บุตร ความคิดของอำมาตย์วิษณุจึงจะรับเด็กคนนี้ไว้เป็นบุตร และอีกสิ่งหนึ่งอำมาตย์วิษณุคิดว่าเด็กคนนี้นี่แหละ ที่สวรรค์ประทานแก่เขาและนางแม้นผู้เป็นภรรยา
แม่ทัพวิศรุฒนอนก่ายหน้าผากคิดถึงคำพูดอำมาตย์วิษณุ แม่ทัพวิศรุฒอยากรู้ใจจะขาดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ทำไมหญิงสาวผู้นั้นต้องหนีระหกระเหินมาพร้อมกับเขา ยิ่งมีแหวนอันเป็นปริศนา ความแคลงใจจึงไม่มีวันดับสูญได้เลย วนเวียนอยู่ในความคิดของเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา
มีสิ่งหนึ่งที่แม่ทัพวิศรุฒมั่นใจ ว่าตัวเขาต้องมาจากเมืองเมฆาบุรีอย่างแน่นอน ส่วนจะเป็นใครในจิตใจของแม่ทัพหนุ่ม ยังต้องหาคำตอบให้ได้ ในช่วงเวลาที่ทำสงครามกับเมืองเมฆาบุรี เพราะเขาคิดว่าแหวนวงนี้น่าจะมีคนรับรู้ได้ว่า เป็นแหวนของใครกันแน่ ถึงแม้ความจริงจะเป็นเช่นไรแม่ทัพวิศรุฒพร้อมทำใจไว้นานแล้ว
เสียงเคาะประตูดังสนั่งเพราะหลายครั้งที่ไม่มีการตอบรับ เมื่อดังมากขึ้นยิวจึงรู้สึกตัวและพยุงร่างลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู“พี่ก็เป็นห่วงเคาะเรียกตั้งนานไม่เปิดสักที กำลังจะโทรหาอยู่พอดีเลยกัสก็เปิดประตู”“พี่พีคมีอะไรเหรอ เข้ามาก่อนก็ได้” หัวยุ่งๆ หน้าบูดๆ เดินมายังเตียงนอนด้วยความมึนๆ“พี่เจนนี่ให้พี่มาหาต่อบทกับกัส เพราะวันนั้นกัสยังไม่เข้าถึงบท ทำไมเมื่อก่อนกัสเล่นดีกว่านี้มาก” พีคนั่งลงข้างๆ ที่เก้าอี้“อือ เดี่ยวยิว โอ้ ไม่ใช่ เดี๋ยวกัสไปอาบน้ำก่อนนะ” เมื่อยิวพูดจบก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังห้องน้ำยิวพยายามครุ่นคิดเรื่องราวเมื่อคืนในระหว่างอยู่ในห้องน้ำ เขาเปิดฝักบัวราดน้ำลงทั่วเรือนร่าง ยิวจำได้รางๆ ว่าเป็กมาส่งหลังจากนั้นจำอะไรไม่ได้อีกเลย มารู้สึกตัวอีกทีตอนพีคมาเรียกในเมื่อจำอะไรไม่ได้มากยิวจึงไม่อยากจะคิดอะไรอีกต่อไป เขาจึงรีบอาบน้ำอย่างรวดเร็วและออกไปข้างนอก เร่งใส่เสื้อผ้าแล้วมานั่งใกล้ๆ พีคที่กำลังนั่งอ่านบทอยู่“จะต่อฉากไหนล่ะ” ยิวพูดขึ้นห้วนๆ“เรามีกันแค่สองคน ก็ต้องซ้อมฉากอยู่กันสองคนนั่นแหละ แล้วซ่อมต่อฉากจากเมื่อวานก่อนนะ”“ได้” ยิวเดินไปหยิบบทของตัวเองขึ้นมาอ่าน และพร้อ
ค่ำคืนอันอันครื่นเครงก่อนไปสนามรบ มีสาวงามมากหน้าหลายตามาปรนเปรอกัสหรือองค์ชายเมธีกับเสือเข้ม กัสนั้นปฏิเสธไปทำทีท่าว่าจะพักผ่อน ทีแรกเสือเข้มยังสนใจสาวงามอยู่ เมื่อจัณฑ์เข้าปากความรู้สึกนั้นจางหายไป เขาดันมองกัสว่าสวยงามยังอิสตรี จึงเป็นเหตุไล่สาวงามออกไปหมดไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว จนกัสรู้สึกใคร่สงสัยเกิดอะไรขึ้น เพราะในนิยายไม่เป็นเช่นนี้“นายเป็นอะไรเสือเข้ม” กัสถาม“ข้าจำได้ว่าเมืองของเอ็งผู้ชายกับผู้ชายมีอะไรกันได้” เสือเข้มเดินเข้ามาใกล้ๆ กัส“นายจะบ้าเหรอ เราไม่เคยพูดเลยนายคิดไปเองมากกว่ามั้ง”“อย่ามาปดข้าเลยไอ้โสภณ” เสือเข้มเข้ามานั่งใกล้ๆ กัสที่เริ่มขยับออกห่างไปทีละนิดกัสพยายามรื้อฟื้นความจำเมื่อครั้งเขียนนิยาย นึกไปได้ไม่นานเขาจำได้ทันทีได้เขียนไว้เช่นนั้นจริง แต่กับเสือเข้มไม่ได้คิดจะมีอะไรแบบนี้ เขายังจำโครงเรื่องอยู่“ข้ารู้แล้วแหละ ตอนข้าพาเอ็งมาจากแม่ทัพวิศรุฒ ข้าเห็นพวกเอ็งนอนกอดกัน ข้าอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง เพราะหน้าตาเอ็งเหมือนอิสตรี บางทีสวยกว่าอีกเพราะผิวพรรณเอ็งงามเหลือเกิ น จึงไม่แปลกใจแม่ทัพวิศรุฒนั้นถึงรักใคร่เสนห่าเอง”“นายพูดอะไรเรื่อยเปื่อย”“ไม่เรื่อยเปื่อย
ยิวเปิดโน๊คบุ๊คแล้วลองใช้งาน ซึ่งเป็นที่พอใจแกเขาอย่างมาก แต่ข้อมูลหลายอย่างนั้นได้หายไปหมดไม่มีเหลือ แต่เขาไม่ใคร่สนใจอะไรมากนัก เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เพราะในปัจจุบันนี้เป็นยิวเท่านั้น ก่อนหน้านี้กัสจะเป็นอย่างไรเขาไม่อยากจะรับรู้ในระหว่างที่เขากำลังท่องอินเทอร์เน็ต และกำลังจะเข้าไปดูนิยายที่เขาอ่านนั้นยังอยู่ไหม นักเขียนกำลังจะเขียนไปอย่างไร ถึงแม้เขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในนิยายแล้วแต่ยังอยากรู้เรื่องราวต่อไปอีกว่าเป็นเช่นไร แต่แล้วต้องหยุดความคิดไว้ที่เดิม เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าเป็นพีคหรือเขื่อนกันแน่ เนื่องด้วยวันนี้ได้นัดทั้งสองมาที่ห้องเพื่อต่อบทละคร ก่อนที่จะไปซ้อมจริงในมหาวิทยาลัยอีกหลายวันข้างหน้าคนที่มาถึงก่อนเป็นพีค ซึ่งเขามาซ้อมบทกับยิวบ่อยกว่าเขื่อน เพราะด้วยเขื่อนต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ และอีกอย่างหนึ่งพีคเริ่มมีความรู้สึกดีๆ กับยิว ขึ้นมาทุกขณะเพราะช่วงก่อนหน้านี้เป็นกัสตัวจริงนิสัยค่อนข้างนิ่งๆ ไม่ได้มีความน่ารักร่าเริงแจ่มใสอย่างเฉกเช่นปัจจุบัน“วันนี้เราจะมาต่อบทอะไรดีล่ะ” ยิวเอ่ยขึ้น“วันพี่ได้นัดเขื่อนมาด้วยนะ เห็นว่าเดี๋ยวจะมาเองบอกจะไ
หลังจากกัสกับเสือเข้มได้มีความสัมพันธ์กันนั้น ในส่วนของกัสไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แค่เสียตัวเพื่อผลประโยชน์ และอีกอย่างกัสต้องรีบออกเดินทางไปยังชายแดน เพื่อทำสงครามกับเมืองศิลานคร โดยมีแม่ทัพวิศรุฒเป็นมารอรบอยู่หลายวันแล้วในระหว่างพักแรมกลางทางในป่าดงดิบที่ยังไปไม่ถึงชายแดนนั้น เสือเข้มได้เข้ามาหากัสในร่างองค์ชายเมธี ซึ่งอยู่ในกระโจมเพียงลำพังและนั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันข้างหน้า เพราะต้องเผชิญกับแม่ทัพวิศรุฒ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากสำหรับเขา“เอ็งคิดอะไรอยู่องค์ชายเมธี” เสือเข้มขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ จนเนื้อแนบเนื้อ เพราะยังติดใคร่สวาทอันแปลกใหม่อย่างมาก“คิดเมื่อไปถึงชายแดนแล้วข้าจะทำอย่างไร ข้าสู้รบไม่เป็นเลยแม้แต่การใช้ดาบข้ายังไม่เคย แล้วนี่รองแม่ทัพวิจารณ์มาด้วยอีก ดูสีหน้าท่าทางแววตาคอยจ้องจับผิดข้าตลอดเวลา”“เอ็งจับดาบไม่เป็น แต่เอ็งเริ่มพูดภาษาของพวกข้าแล้ว”กัสไม่ได้สนใจในข้อนี้เท่าไร เพราะเป็นเรื่องปกติเมื่อต้องอยู่สภาพแวดล้อมแบบไหน ก็ต้องปรับตัวเข้าให้ได้ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง“เรื่องนั้นไม่ต้องพูดหรอก มาพูดเรื่องทำศึกสงครามดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ก็จะถึงชายแดนแล้วไม่ใ
ค่ำคืนที่ชายแดนในค่ายทหารกว้างใหญ่ กัสในร่างองค์ชายเมธีได้นั่งอยู่กับเสือเข้มสองต่อสอง ต่างกำลังปรึกษาหารือการรบในวันพรุ่งนี้“ในวันพรุ่งข้าจะประชิดติดตัวเองตลอดเวลาเลยนะ ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกเพราะข้าคิดไว้แล้วว่าจะให้แม่ทัพวิจารณ์เป็นทัพหน้า ส่วนเอ็งกับข้าจะอยู่ทัพหลังพรุ่งนี้เอ็งสั่งให้แม่ทัพวิจารณ์ลุยได้เลย” เสือเข้มพูดขึ้น“ได้ ข้าจะทำตามที่เอ็งบอก”“ดีมาก ถ้าแม่ทัพวิจารณ์ถามเอ็งก็หาทางหลบหลีกคำพูดเอาเอง ข้าคิดว่าเอ็งฉลาดอยู่น่าจะเอาตัวรอดได้ เรื่องนี้ข้าไม่กังวลแต่เรื่องที่ข้าห่วง คือเรื่องแม่ทัพวิศรุฒเพราะฝีมือเก่งกาจมาก สู้กันซึ่งๆ หน้าไม่ว่าข้าหรือแม่ทัพวิจารณ์จะเอาชนะได้ง่ายๆ เราต้องซ้อนแผนการไว้ก่อน”“แผนอะไร” ต้อมถามด้วยความมืนงง“ก็เอาตัวเองล่อไง ถ้าแม่ทัพวิศรุฒบุกมาถึงตัวองค์ชายเมธี ก็คือเอ็งนั่นแหละ เอ็งใช้เวลานั้นจัดการแม่ทัพวิศรุฒซะ”กัสอ้ำอึ้งไม่พูดอะไรต่อ เพราะนั่นคือพระเอกของเขาเลย จึงเป็นเรื่องยากมากจะทำเช่นนั้นได้“เอ็งไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เลือกเอาเป็นองค์ชายเมธีกับเมียแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งข้อหลังไม่มีความเป็นไปได้เลย พ่อแม่ท่านแม่ทัพและตำแหน่งหน้าที่อีก คิดเหรอว่าเอ็ง
เพียงดาบแทงอยู่กลางอกข้างขวา ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่ากับใจที่ร้าวราน เมื่อคนแทงนั้นคือโสภณตามความคิดของแม่ทัพวิศรุฒ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เวลาไม่ได้มีมากนัก แม่ทัพวิศรุฒจึงจับดาบที่ทิ่มอกดึงออก จนเลือดกระฉูดออกมากระจายเต็มหน้ากัส“ถอย” แม่ทัพวิ ศรุฒตะโกนขึ้นอย่างดัง พร้อมกับดึงร่างของกัสมาไว้ข้างหน้าตัวของเขาเอง เสือเข้มไม่รอช้าจะเข้าไปช่วย แต่โดนจอมมาขัดขวางไว้ช่วงเวลานั้นแม่ทัพวิศรุฒ ได้นำตัวของกัสมาไว้ข้างหน้าตัวเขาแล้ว หลังจากนั้นจึงบังคับม้าหันกลับแล้วให้วิ่งไปอย่างรวดเร็ว โดยมีจอมกับรองแม่ทัพทันป้องกันหลังจากเสือเข้ม และ แม่ทัพวิจารณ์อย่างองอาจ เมื่อแม่ทัพวิศรุฒได้พากัสได้ไกลพอสมควร ทั้งสองจึงถอยทัพกลับในทันทีแม่ทัพวิศรุฒใจร้าวรานและไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง เขาจึงต้องรีบไปให้ถึงค่ายทหารเมืองศิลานครโดยไว เพื่อจะได้สอบความจริงจากปากโสภณในความคิดเขา ว่าไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร เพราะก่อนหน้ายังอยู่ทีเรือนบ้านของเขาเพียงเวลาไม่นานแม่ทัพวิศรุฒก็มาถึงค่ายทหาร เขาจับร่างของกัสและผลักลงจนล้มนอนลงกับพื้น“มัดติดต้นไม้ไว้” แม่ทัพวิศรุฒสั่งทหารนายหนึ่งให้มัดร่างของกัสติ
กัสสะดุ้งตื่นจนรู้สึกกลัวโดนทำร้ายร่างกาย พอลืมตาขึ้นมาและมองไปรอบๆ บริเวณ ซึ่งเป็นสถานที่เขาคุ้นเคยนั่นคือห้องนอนของตัวเอง กัสจึงยิ้มได้ในทันทีและรู้สึกโล่งใจ ที่ไม่ต้องอยู่บนความกดดันอีกต่อไปสายตาของกัสพลันเห็นหน้าจอโน๊ตบุ๊คเปิดอยู่ เขาจึงเลื่อนดูและนั่นเป็นนิยายที่ตัวเองเขียน กัสจึงอ่านหน้าย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นตอนที่เขาใช้ดาบแทงแม่ทัพวิศรุฒ สายตาและความคิดของกัสเริ่มกลัวและรู้สึกไม่ค่อยดี และใคร่ส่งสัยใครเป็นคนเขียนนิยายเรื่องนี้ต่อจากเขาความคิดของกัสนั้นหลากหลายความรู้สึกมากมายเข้ามาในหัว และหนึ่งในนั้นพลางคิดไปว่ายิวอาจออกมาจากนิยายเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ และแต่งเติมเรื่องราวต่อจากเดิม อีกใจหนึ่งคิดว่าเป็นเขื่อนต่อเติมเรื่องราวด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากโลกในนิยาย จึงทำให้กัสรู้สึกง่วงนอน เขาจึงปิดโน๊ดบุ๊คและหยุดคิดเรื่องราวต่างๆ ไว้ก่อน แล้วล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้าเต็มทน“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างยาวนานกัสรู้สึกตัวขึ้นมาเขาก็เดินไปเปิดประตูห้อง ซึ่งคนตรงหน้าเป็นพีคนั่นเอง เขารู้สึกดีใจอย่างมากจนทำอะไรไม่ถูก“เมื่อไรจะให้พี่เขาไปในห้องซะทีล่ะ” พีคยืนยิ้ม“คร
ความโกรธความแค้นเคืองสุมอกจนอึดอัดยากเอาออกไป แม่ทัพวิศรุฒกลุ้มใจความเครียดถาโถม เนื่องจากตัวต้นเหตุนอกจากยิวที่เขาเข้าใจว่าเป็นองค์ชายเมธีจริงๆ ซึ่งเป็นลูกของราชาเมฆา ส่วนตัวเขาที่มีแหวนของราชาเมษา ถ้าเกิดความคิดของแม่ทัพวิศรุฒเป็นจริง นั่นเท่ากับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันถึงแม้เขาจะโกรธแค้นยิวปานใด แต่ด้วยความผูกพันครั้งอดีตและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน แม่ทัพวิศรุฒไม่รู้ว่าจะทำเช่นใด เขาจึงหยิบแหวนที่สลักชื่อเมษามาดู ยิ่งเพ่งพินิจดูชื่อยิ่งปวดใจอย่างร้าวราน“ท่านแม่ทัพคิดอะไรอยู่เหรอขอรับ” จอมเข้ามาเงียบๆ เห็นแม่ทัพวิศรุฒยืนนิ่งๆ“เปล่า เอ็งเข้ามาทำไม” แม่ทัพวิศรุฒกำแหวนไว้แน่น“คือข้า” จอมอ้ำอึ่ง“เอ็งสงสารไอ้โสภณ ไม่ใช่สิ องค์ชายเมธีหรือ”“ขอรับ”“จะมาขอร้องข้าให้ปล่อยตัว หรือ ไม่ให้ใช้งานเยี่ยงทาสใช่ไหม” สายตาอันแข็งกร้าวจ้องมองจอมชายหนุ่มรุ่นน้อง“ขอแค่ไม่ให้ใช้งานหนักก็พอขอรับ”“เมื่อเอ็งขอร้อง ข้าก็จะให้ตามที่เอ็งต้องการ แต่มันยังต้องทำงานอยู่เหมือนเดิม” เสียงดุดันดังก้องกังวานเข้าเต็มประสาทของจอม“จะให้องค์ชายเมธีทำอะไรเหรอขอรับ”“ไม่ต้องเรียกมันว่าองค์ชาย เรียกว่าโสภ
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว
ค่ำคืนที่หาบทละครเวที พีคกำลังขะมักเขม้นทำอย่างจริงใจ แต่ในช่วงเวลาเดียวกันพีคได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อดูชื่อที่ปรากฏเป็นกัส พีคจึงรีบรับทันทีเพราะปกติไม่เคยโทรมาแต่อย่างใด “ฮัลโหล น้องกัสมีอะไรหรือเปล่า” “มี แต่ กัสไม่อยากบอกพี่เลยครับ” “เรื่องอะไร บอกมาเลยถ้าไม่บอกพี่โกรธจริงๆนะ” “ก็เรื่องของเขื่อนไงครับ คือ ว่า เอ่อ อ่า อืม” “พูดมาเลยว่าเรื่องอะไร” “คือ เรื่องเด็กคนนั้นน่ะของเขื่อน เท่าที่กัสสังเกตหน้าจะมีอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมงานอย่างแน่นอน” “พี่ก็สงสัยแต่พี่ไม่มีหลักฐานอะไร” “คือ คืนนี้พี่ลองไปหาเขื่อนที่ห้องพักแบบไม่ให้รู้ตัวสิครับ” “น้องกัสรู้อะไรมาเหรอ” “อืม กัสไม่พูดดีกว่าพี่พีคไปดูเองเถอะ” “อืม ก็ได้ ขอบใจกัสมากนะ” “ไม่เป็นไรครับ” เมื่อพีคกดวางโทรศัพท์มือถือ ก็ขับรถไปหาเขื่อนในทันที โดยไม่บอกกล่าวอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ค่อนข้างให้ความเชื่อใจกัสมากกว่าเขื่อนเสียอีก พีคขับรถไปอย่างกระวนกระวายยิ่งนัก ด
เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมได้มีความรักโดยอย่างไม่ตั้งใจ จากเมื่อก่อนอยากอยู่ไปเรื่อยๆแต่ในปัจจุบันความคิดนั้นได้เปลื่ยนไปอย่างมาก เพราะยิวได้สร้างห้องแห่งรักไว้ในหัวใจ จึงทำให้เสือเข้มเกิดความทะเยอะทะยานอยากได้ยิวมาครอบครองเขาจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อจะทวงราชบัลลังก์คืนแกตัวเขาและยิว การรวบรวมกำลังพลในค่ายเสือ ถึงจะไม่ได้มากมายเท่ากับกองทัพแห่งเมืองเมฆาบุรี ที่ตอนนี้เปลื่ยนชื่อเป็นเมืองวิหค กว่าที่เสือเข้มจะระดมบรรดาโจรทั่วเมืองเมฆาบุรีได้ใช้เวลานานพอสมควร และได้ติดต่อจากเมืองอื่นๆอีกมากมายเพื่อมาช่วยในครั้งนี้ โดยมีผลตอบแทนพื้นที่บางส่วนให้ไว้อาศัยอยู่ และทรัพย์สินในวังอันมีค่าบางส่วน ในที่สุดวันที่เสือเข้มรอคอยก็มาถึง เขาได้บุกเข้าเมืองเมฆาบุรีแบบกองโจร ไม่ได้ปะชิดสู้ตรงๆ เพราะขืนทำอย่างนั้นไม่มีทางที่จะชนะแม่ทัพวิหคและอำมาตย์มงคลได้อย่างแน่นอน โดยการครั้งนี้เสือเข้มเป็นผู้วางแผนและสั่งการเองทุกอย่าง โดยเริ่มต้นยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและเผลอไผลไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อันร้ายแรงเกิดขึ้น “พี่น้องทุกคนพร้อมกันหรือยัง”เสือเข้มประกาศก้องใกล้ๆเมืองชั
เมื่อไม่ได้มีการซ้อมละครเวทีเขื่อนจนมีเวลาให้กับงานที่ทำมากขึ้น ไม่ว่าจะหลังเลิกงานหรือแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์เขื่อนทุ่มเวลานั้นอย่างเต็มที่ จนทำให้ไม่มีเวลาไปมาหาสู่กับพีคอย่างเช่นแต่ก่อน และมีอยู่อีกเหตุหนึ่งนั้นเขื่อนได้มีความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่มากขึ้น ตอนกลับห้องหรือไปไหนหลังจากเลิกงาน ก็ไปด้วยกันตลอดเวลา จึงทำให้ความสัมพันธ์ของพีคกับเขื่อนได้จืดจางลงไปอย่างไม่ค่อยรู้ตัวหลังจากเลิกงานวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขื่อนได้กลับพร้อมกับหนุ่มรุ่นน้อง ที่ได้พึ่งได้มาทำงานได้ไม่นานแต่ความสนิทสนมกันนั้นแสนมาก“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นพี่พีคมารับพี่เขื่อนเลยครับ” เจษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าใคร่สงสัย และมีความดีใจอยู่พอสมควร“พี่พีคไม่ค่อยว่าง เพราะตั้งแต่ไม่ได้แสดงละครด้วยกัน พี่พีคเขาต้องหาบทละครมาสร้างอีก ช่วงนี้เลยห่างๆ กันไป”“อ่อ ถึงว่าสิทำไมไม่ค่อยเห็นพี่พีค แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะถึงอย่างไงพี่เขื่อนยังมีผมอยู่เป็นเพื่อน” เจษอมยิ้มนิดๆ“อืม” เขื่อนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ ได้แต่ยืนรอรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่จะกลับห้อง“โชคดีนะ ที่เราสองคนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นรถสายเดียวกัน” เจษยังยืนยิ้มอยู่ไม่วาย“พ