ยิวเปิดโน๊คบุ๊คแล้วลองใช้งาน ซึ่งเป็นที่พอใจแกเขาอย่างมาก แต่ข้อมูลหลายอย่างนั้นได้หายไปหมดไม่มีเหลือ แต่เขาไม่ใคร่สนใจอะไรมากนัก เพราะนั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เพราะในปัจจุบันนี้เป็นยิวเท่านั้น ก่อนหน้านี้กัสจะเป็นอย่างไรเขาไม่อยากจะรับรู้
ในระหว่างที่เขากำลังท่องอินเทอร์เน็ต และกำลังจะเข้าไปดูนิยายที่เขาอ่านนั้นยังอยู่ไหม นักเขียนกำลังจะเขียนไปอย่างไร ถึงแม้เขาไม่ได้เข้าไปอยู่ในนิยายแล้วแต่ยังอยากรู้เรื่องราวต่อไปอีกว่าเป็นเช่นไร แต่แล้วต้องหยุดความคิดไว้ที่เดิม เพราะเสียงเคาะประตูดังขึ้นเขาจึงไม่แน่ใจว่าเป็นพีคหรือเขื่อนกันแน่ เนื่องด้วยวันนี้ได้นัดทั้งสองมาที่ห้องเพื่อต่อบทละคร ก่อนที่จะไปซ้อมจริงในมหาวิทยาลัยอีกหลายวันข้างหน้า
คนที่มาถึงก่อนเป็นพีค ซึ่งเขามาซ้อมบทกับยิวบ่อยกว่าเขื่อน เพราะด้วยเขื่อนต้องไปทำงานพาร์ทไทม์ และอีกอย่างหนึ่งพีคเริ่มมีความรู้สึกดีๆ กับยิว ขึ้นมาทุกขณะเพราะช่วงก่อนหน้านี้เป็นกัสตัวจริงนิสัยค่อนข้างนิ่งๆ ไม่ได้มีความน่ารักร่าเริงแจ่มใสอย่างเฉกเช่นปัจจุบัน
“วันนี้เราจะมาต่อบทอะไรดีล่ะ” ยิวเอ่ยขึ้น
“วันพี่ได้นัดเขื่อนมาด้วยนะ เห็นว่าเดี๋ยวจะมาเองบอกจะไปรับก็ไม่ยอม” พีคนั่งลงบนเตียงทันทีเมื่อพูดจบ
“วันนี้ซ้อมบทสามคน” ยิวอดหวั่นใจไม่ได้เพราะเขื่อนค่อนข้างหึงพอสมควร ยิ่งตอนนี้เขามีความรู้สึกกับพีคในทางที่ดีมากขึ้น ถึงแม้จะยังไม่ได้รักสักเท่าไร แต่ความรู้สึกที่มีให้นั้นอาจมีการพัฒนาความสัมพันธ์เป็นอย่างอื่นได้ต่อไปอีก
“ใช่ ซ้อมบทสามคน พี่ก็กังวลใจอยู่เหมือนกัน ความจริงพี่อยากให้ซ้อมในมหาวิทยาลัยมากกว่า แต่เจนนี่อยากให้ต่อบทกันเองไปก่อน และอยากให้พวกเราได้เข้าใจกันมากขึ้น เรื่องที่ผ่านๆ มาอะไรคาใจกันอยากให้เคลียร์ปมนั้น เวลาแสดงจะได้ไม่มีปัญหาอะไรตามมา”
“สำหรับกัสไม่มีปัญหาหรอก มีก็แต่เขื่อนกับพี่นั่นแหละ” ยิวเอ่ยขึ้นมา
“ทำไมเกี่ยวอะไรกับพี่” พีครู้อยู่เต็มอกแต่แกล้งทำเป็นไร้เดียงสา
“พี่พีคนั่นแหละตัวดีเลย ทำให้ผู้ชายสองคนที่เป็นเพื่อนสนิทกันมาแตกคอ เหมือนในละครที่เล่นกันเลย”
“ไม่น่าเกี่ยวกับพี่” พีคยังย้ำคำเดิม เพราะเขาไม่อยากจะรับความผิดนี้ ถึงแม้ลึกๆ เขาจะพยายามหักห้ามใจไม่ให้หลงรักยิว แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นได้แม้แต่น้อย เหมือนกับยิวในร่างของกัสมีมนต์เสน่หใครเห็นต้องหลงใหล
“ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยวแต่ถ้าวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นพี่พีคต้องเคลียร์ตัวเอง และ ใจ ให้ได้ด้วยรู้ไหม”
ยิวพยายามหักห้ามใจไม่ให้รักพีคเกินไปกว่านี้ เพราะขืนปล่อยใจจะทำให้มีปัญหาตามมาอีกมากมาย ยิวจึงหยุดพูดคุยกับพีคชั่วขณะรอจนกว่าเขื่อนจะมา ซึ่งเวลาที่ยิวรอไม่นานเท่าไรนัก เขื่อนก็เคาะประตูห้องโดยมีพีคไปฝ่ายเปิดประตูออกไป
“มาได้จังหวะพอดีเลย” พีคเอ่ยขึ้น
“จังหวะอะไรเหรอ” เขื่อนถาม
“เปล่า ถ้าเขื่อนมาถึงเราก็มาซ้อมกันได้เลย”
“อืม”
ยิวก่อนที่จะลงมือซ้อมเขารีบเก็บโน๊คบุ๊คที่พึ่งไปซ่อมไว้ห่างๆ ตัว แต่ยังไม่ได้ปิดซะทีเดียว แค่เปิดทิ้งไว้เฉยๆ
“พี่ว่ามาซ้อมกันเลยดีกว่าจะได้ไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้ เพราะเดี๋ยวเขื่อนยังต้องไปทำงานอีก”
“อืม” ยิวพยักหน้ารับคำ
นิวและพีคได้นอนกอดก่ายกันอยู่บนเตียงนอน สองร่างนั้นเหมือนจะสิงอยู่ในคนเดียวกันก็ไม่ปาน หลังจากได้มอบความรักความสุขให้กันอย่างอิ่มเอมสุขสม
“มีน นายคิดออกหรือยังว่าจะจัดการเรื่องของเราอย่างไรดี”
“ยังคิดไม่ออก และยังไม่อยากคิด เราก็อยู่แบบนี้กันไปก่อนก็ได้” มีนลุกขึ้นนั่งใส่เสื้อยังตอนนอนที่ถอดออก
“เราไม่มีปัญหาอะไรหรอก มีแต่วินคนเดียวที่มีปัญหา ก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน โทรหาต่อว่าเราตลอด จนเราไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว” นิวแกล้งทำหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
“เดี๋ยวเราจะบอกวินให้ว่าอย่ามารังควานนาย เพราะอย่างไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“ครอบครัวสามคนผัวเมียนี่นะ” นิวพยายามตีสีหน้าให้เศร้าลงเพื่อให้มีนเห็นอย่างถนัด
“อย่าคิดอะไรมาก ในเมื่อนายตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ก็อย่ามัวคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เราแค่มีความสุขด้วยกันแค่นั้นแหละ”
“นายไม่ได้มีความรักให้เราเลยเหรอ”
“มีสิ นายต้องแยกให้ออกระหว่างความรักกับความใคร่” มีนหยุดดิดกระดุมเสื้อหันมามองนิวพร้อมค่อยๆ ใช้ริมฝีปากประกบแก้มน้อยๆของนิว
“ปัง ปัง ปัง” เสียงเคาะประตูดังลั่น
“ใครกันขัดจังหวะ” มีนเอ่ยขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู
“อยู่พร้อมหน้ากันเลยนะ จะเก็บมีนไว้คนเดียวหรือย่างอะไร” วินเดินเข้าไปใกล้ๆ นิวที่กำลังจะลุกขึ้นมา
“เราไม่ได้คิดหรือทำอย่างที่นายพูดเลยนะ” นิวนั่งอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
“ที่เห็นอยู่นี่มันคืออะไร” วินมองรอบห้องแล้วมาประกบสายตาของนิว
“คือ นายต้องเข้าใจด้วย เราเคยพูดกันแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าเราจะอยู่ด้วยกันแบบนี้สามคน”
“เราไม่ได้พูดนายอย่ามามั่ว และอีกอย่างเรารับไม่ได้ด้วยถ้ามีนไม่เลือกใครสักคน ก็ต้องมีคนหนึ่งต้องถอยออกไป” เสียงของวินนั้นดังลั่น
“ถ้างั้นคงต้องเป็นเราสินะ เรายอมนายแล้วในเมื่อไม่ต้องอยู่กันแบบสามคน เรายอมเป็นฝ่ายไปก็ได้” นิวพยายามบีบน้ำตาให้ไหลรินออกมา
“ใจเย็นวินๆ เรารักทั้งสองคนนั่นแหละ เราไม่สามารถเลือกใครได้ และไม่อยากให้ใครทิ้งเราไปสักคน” มีนเดินเข้าไปกอดร่างของวินไว้
ในใจของนิวนี่เคืองแค้นอย่างสาหัส เมื่อเห็นมีนโอบกอดร่างของวินไว้ แต่เขาก็ต้องอดทนเพื่อทำตัวให้เหมือนเป็นคนดี และ พยายามข่มใจความรู้สึกให้ปรีดายินดีต่อภาพตรงหน้า เพื่อจะได้ใจของมีนไว้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว
“ปล่อยนะ ตราบใดที่นายยังไม่เลือกใครสักคน นายก็อย่ามาทำอย่างนี้กับเรา มันไม่มีประโยชน์”
“วินไม่รักเราแล้วเหรอ ตั้งแต่เรื่องของเราสามคนเกิดขึ้น นายทำตัวเหินห่างเราเหมือนไม่รู้จักกันเลย” มีนตัดพ้อ
“เราทำใจไม่ได้ที่ต้องมาอยู่ด้วยกันสามคน แต่ที่มาวันนี้เพราะเราคิดถึงนายและอยากเคลียร์กันให้มันชัดๆ ไปเลย ถ้านายไม่ต้องการเราบอกมาแค่นั้น เราจะเป็นฝ่ายไปเองนายไม่ต้องกลัว ว่าเราจะมาตามตอแยนาย”
“เราไม่ต้องการอย่างนั้น เราต้องการอยู่กับสามคนทำไมนิวรับได้ นายต้องรับได้เหมือนกัน เพราะอย่างไงนายกับนิวก็เป็นเพื่อนกันมาไม่ใช่เหรอ”
“ไม่” วินย้ำหนักแน่น
“ถ้างั้นเราเป็นฝ่ายไปเองก็ได้ พวกนายสองคนออกไปจากห้องเราได้แล้ว และไปอยู่ด้วยกันเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงเราหรอก” นิวลุกขึ้นยืนนิ่งแต่ใจระทึกว่ามีนจะเลือกใคร
ยามมีนเผลอนิวใช้สายตาหลอกล่อ และเบ้ปากใส่วินอย่างเย้ยหยันในท่าที จนวินเกิความโกรธ โมโหทันควันเขาจึงดิ้นให้หลุดออกจากร่างของมีน แล้วผลักลำตัวของนิวอย่างแรง ด้วยความยินยอมแต่โดยดีของนิวจึงรีบเซร่างไปข้างๆ โต๊ะ จนโน๊คบุ๊ดล่วงหล่นลงมากับพื้น
“พอก่อน” พีคเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีไม่ดีเท่าไร
ยิวหยิบโน๊ตบุ๊ดมาวางไว้ที่เดิม โดยยังไม่ได้เปิดดูแต่อย่างใด แต่เขาไม่ได้โกรธเขื่อนที่รับบทวินแม้แต่น้อย เพราะเป็นอุบัติเหตุซึ่งยิวคิดว่าสามารถเกิดได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาไหน
“โน๊คบุ๊คเป็นไงบ้าง” พีคเดินเข้ามาใกล้ๆ
“ไม่เป็นไรหรอก วันนี้แค่นี้ก็ได้ พี่ต้องรีบไปส่งเขื่อนไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องมาเสียเวลาอะไรแบบนี้หรอก
“ไม่ได้เสียเวลาอะไรเลย” พีคเอ่ยขึ้น
“แต่เขื่อนเสียเวลา เพราะเขื่อนต้องไปทำงาน เมื่อต่อบทเสร็จแล้ว พี่พีคไปส่งเขื่อนด้วยก็แล้วกัน”
“มีอะไรให้พี่ช่วยบอกได้นะ”
“ไม่มีอะไร ไม่ต้องห่วงกัสหรอก พี่รีบไปส่งเขื่อนเดี๋ยวจะไปทำงานสาย”
สายตาของยิวมองไปยังเขื่อนแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมายังโน๊คบุ๊คเหมือนเดิม เขาอยากจะรู้ว่าเสียหรือไม่ แต่ยังไม่กล้าเปิดออกมาดู ด้วยอยากให้ทั้งสองได้ออกไปจากห้อง เวลานั้นเขาจะได้ค่อยๆ เปิดดูว่าอาการเป็นเช่นไร
“ถ้างั้นพี่ไปแล้วนะ”
“ครับ”
ยิวได้ยินแต่เสียงของพีค แต่ไม่มีเสียงของเขื่อนอย่างใด ซึ่งเขาไม่ได้แปลกใจกับเหตุการณ์แบบนี้มากนัก เพราะเป็นปกติคนเคยทะเลาะกัน จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดคุยอะไรให้มากความ
หลังจากกัสกับเสือเข้มได้มีความสัมพันธ์กันนั้น ในส่วนของกัสไม่ได้รู้สึกอะไรมากนัก แค่เสียตัวเพื่อผลประโยชน์ และอีกอย่างกัสต้องรีบออกเดินทางไปยังชายแดน เพื่อทำสงครามกับเมืองศิลานคร โดยมีแม่ทัพวิศรุฒเป็นมารอรบอยู่หลายวันแล้วในระหว่างพักแรมกลางทางในป่าดงดิบที่ยังไปไม่ถึงชายแดนนั้น เสือเข้มได้เข้ามาหากัสในร่างองค์ชายเมธี ซึ่งอยู่ในกระโจมเพียงลำพังและนั่งครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันข้างหน้า เพราะต้องเผชิญกับแม่ทัพวิศรุฒ นั่นเป็นสิ่งที่น่ากลัวอย่างมากสำหรับเขา“เอ็งคิดอะไรอยู่องค์ชายเมธี” เสือเข้มขยับเข้ามานั่งใกล้ๆ จนเนื้อแนบเนื้อ เพราะยังติดใคร่สวาทอันแปลกใหม่อย่างมาก“คิดเมื่อไปถึงชายแดนแล้วข้าจะทำอย่างไร ข้าสู้รบไม่เป็นเลยแม้แต่การใช้ดาบข้ายังไม่เคย แล้วนี่รองแม่ทัพวิจารณ์มาด้วยอีก ดูสีหน้าท่าทางแววตาคอยจ้องจับผิดข้าตลอดเวลา”“เอ็งจับดาบไม่เป็น แต่เอ็งเริ่มพูดภาษาของพวกข้าแล้ว”กัสไม่ได้สนใจในข้อนี้เท่าไร เพราะเป็นเรื่องปกติเมื่อต้องอยู่สภาพแวดล้อมแบบไหน ก็ต้องปรับตัวเข้าให้ได้ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง“เรื่องนั้นไม่ต้องพูดหรอก มาพูดเรื่องทำศึกสงครามดีกว่า เพราะพรุ่งนี้ก็จะถึงชายแดนแล้วไม่ใ
ค่ำคืนที่ชายแดนในค่ายทหารกว้างใหญ่ กัสในร่างองค์ชายเมธีได้นั่งอยู่กับเสือเข้มสองต่อสอง ต่างกำลังปรึกษาหารือการรบในวันพรุ่งนี้“ในวันพรุ่งข้าจะประชิดติดตัวเองตลอดเวลาเลยนะ ไม่ต้องกลัวอะไรหรอกเพราะข้าคิดไว้แล้วว่าจะให้แม่ทัพวิจารณ์เป็นทัพหน้า ส่วนเอ็งกับข้าจะอยู่ทัพหลังพรุ่งนี้เอ็งสั่งให้แม่ทัพวิจารณ์ลุยได้เลย” เสือเข้มพูดขึ้น“ได้ ข้าจะทำตามที่เอ็งบอก”“ดีมาก ถ้าแม่ทัพวิจารณ์ถามเอ็งก็หาทางหลบหลีกคำพูดเอาเอง ข้าคิดว่าเอ็งฉลาดอยู่น่าจะเอาตัวรอดได้ เรื่องนี้ข้าไม่กังวลแต่เรื่องที่ข้าห่วง คือเรื่องแม่ทัพวิศรุฒเพราะฝีมือเก่งกาจมาก สู้กันซึ่งๆ หน้าไม่ว่าข้าหรือแม่ทัพวิจารณ์จะเอาชนะได้ง่ายๆ เราต้องซ้อนแผนการไว้ก่อน”“แผนอะไร” ต้อมถามด้วยความมืนงง“ก็เอาตัวเองล่อไง ถ้าแม่ทัพวิศรุฒบุกมาถึงตัวองค์ชายเมธี ก็คือเอ็งนั่นแหละ เอ็งใช้เวลานั้นจัดการแม่ทัพวิศรุฒซะ”กัสอ้ำอึ้งไม่พูดอะไรต่อ เพราะนั่นคือพระเอกของเขาเลย จึงเป็นเรื่องยากมากจะทำเช่นนั้นได้“เอ็งไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก เลือกเอาเป็นองค์ชายเมธีกับเมียแม่ทัพวิศรุฒ ซึ่งข้อหลังไม่มีความเป็นไปได้เลย พ่อแม่ท่านแม่ทัพและตำแหน่งหน้าที่อีก คิดเหรอว่าเอ็ง
เพียงดาบแทงอยู่กลางอกข้างขวา ไม่ได้รู้สึกเจ็บเท่ากับใจที่ร้าวราน เมื่อคนแทงนั้นคือโสภณตามความคิดของแม่ทัพวิศรุฒ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่สามารถเข้าใจได้ แต่เวลาไม่ได้มีมากนัก แม่ทัพวิศรุฒจึงจับดาบที่ทิ่มอกดึงออก จนเลือดกระฉูดออกมากระจายเต็มหน้ากัส“ถอย” แม่ทัพวิ ศรุฒตะโกนขึ้นอย่างดัง พร้อมกับดึงร่างของกัสมาไว้ข้างหน้าตัวของเขาเอง เสือเข้มไม่รอช้าจะเข้าไปช่วย แต่โดนจอมมาขัดขวางไว้ช่วงเวลานั้นแม่ทัพวิศรุฒ ได้นำตัวของกัสมาไว้ข้างหน้าตัวเขาแล้ว หลังจากนั้นจึงบังคับม้าหันกลับแล้วให้วิ่งไปอย่างรวดเร็ว โดยมีจอมกับรองแม่ทัพทันป้องกันหลังจากเสือเข้ม และ แม่ทัพวิจารณ์อย่างองอาจ เมื่อแม่ทัพวิศรุฒได้พากัสได้ไกลพอสมควร ทั้งสองจึงถอยทัพกลับในทันทีแม่ทัพวิศรุฒใจร้าวรานและไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง เขาจึงต้องรีบไปให้ถึงค่ายทหารเมืองศิลานครโดยไว เพื่อจะได้สอบความจริงจากปากโสภณในความคิดเขา ว่าไปอยู่ตรงนั้นได้อย่างไร เพราะก่อนหน้ายังอยู่ทีเรือนบ้านของเขาเพียงเวลาไม่นานแม่ทัพวิศรุฒก็มาถึงค่ายทหาร เขาจับร่างของกัสและผลักลงจนล้มนอนลงกับพื้น“มัดติดต้นไม้ไว้” แม่ทัพวิศรุฒสั่งทหารนายหนึ่งให้มัดร่างของกัสติ
กัสสะดุ้งตื่นจนรู้สึกกลัวโดนทำร้ายร่างกาย พอลืมตาขึ้นมาและมองไปรอบๆ บริเวณ ซึ่งเป็นสถานที่เขาคุ้นเคยนั่นคือห้องนอนของตัวเอง กัสจึงยิ้มได้ในทันทีและรู้สึกโล่งใจ ที่ไม่ต้องอยู่บนความกดดันอีกต่อไปสายตาของกัสพลันเห็นหน้าจอโน๊ตบุ๊คเปิดอยู่ เขาจึงเลื่อนดูและนั่นเป็นนิยายที่ตัวเองเขียน กัสจึงอ่านหน้าย่อหน้าสุดท้าย ซึ่งเป็นตอนที่เขาใช้ดาบแทงแม่ทัพวิศรุฒ สายตาและความคิดของกัสเริ่มกลัวและรู้สึกไม่ค่อยดี และใคร่ส่งสัยใครเป็นคนเขียนนิยายเรื่องนี้ต่อจากเขาความคิดของกัสนั้นหลากหลายความรู้สึกมากมายเข้ามาในหัว และหนึ่งในนั้นพลางคิดไปว่ายิวอาจออกมาจากนิยายเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ และแต่งเติมเรื่องราวต่อจากเดิม อีกใจหนึ่งคิดว่าเป็นเขื่อนต่อเติมเรื่องราวด้วยความเหน็ดเหนื่อยจากโลกในนิยาย จึงทำให้กัสรู้สึกง่วงนอน เขาจึงปิดโน๊ดบุ๊คและหยุดคิดเรื่องราวต่างๆ ไว้ก่อน แล้วล้มตัวลงนอนด้วยความอ่อนล้าเต็มทน“ก๊อก ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างยาวนานกัสรู้สึกตัวขึ้นมาเขาก็เดินไปเปิดประตูห้อง ซึ่งคนตรงหน้าเป็นพีคนั่นเอง เขารู้สึกดีใจอย่างมากจนทำอะไรไม่ถูก“เมื่อไรจะให้พี่เขาไปในห้องซะทีล่ะ” พีคยืนยิ้ม“คร
ความโกรธความแค้นเคืองสุมอกจนอึดอัดยากเอาออกไป แม่ทัพวิศรุฒกลุ้มใจความเครียดถาโถม เนื่องจากตัวต้นเหตุนอกจากยิวที่เขาเข้าใจว่าเป็นองค์ชายเมธีจริงๆ ซึ่งเป็นลูกของราชาเมฆา ส่วนตัวเขาที่มีแหวนของราชาเมษา ถ้าเกิดความคิดของแม่ทัพวิศรุฒเป็นจริง นั่นเท่ากับว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันถึงแม้เขาจะโกรธแค้นยิวปานใด แต่ด้วยความผูกพันครั้งอดีตและเข้าใจผิดคิดว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน แม่ทัพวิศรุฒไม่รู้ว่าจะทำเช่นใด เขาจึงหยิบแหวนที่สลักชื่อเมษามาดู ยิ่งเพ่งพินิจดูชื่อยิ่งปวดใจอย่างร้าวราน“ท่านแม่ทัพคิดอะไรอยู่เหรอขอรับ” จอมเข้ามาเงียบๆ เห็นแม่ทัพวิศรุฒยืนนิ่งๆ“เปล่า เอ็งเข้ามาทำไม” แม่ทัพวิศรุฒกำแหวนไว้แน่น“คือข้า” จอมอ้ำอึ่ง“เอ็งสงสารไอ้โสภณ ไม่ใช่สิ องค์ชายเมธีหรือ”“ขอรับ”“จะมาขอร้องข้าให้ปล่อยตัว หรือ ไม่ให้ใช้งานเยี่ยงทาสใช่ไหม” สายตาอันแข็งกร้าวจ้องมองจอมชายหนุ่มรุ่นน้อง“ขอแค่ไม่ให้ใช้งานหนักก็พอขอรับ”“เมื่อเอ็งขอร้อง ข้าก็จะให้ตามที่เอ็งต้องการ แต่มันยังต้องทำงานอยู่เหมือนเดิม” เสียงดุดันดังก้องกังวานเข้าเต็มประสาทของจอม“จะให้องค์ชายเมธีทำอะไรเหรอขอรับ”“ไม่ต้องเรียกมันว่าองค์ชาย เรียกว่าโสภ
วันที่ซ้อมละครฉากสำคัญได้มาถึง กัสมาห้องชมรมละครด้วยความสบายๆ ไม่ได้กดดันอะไรแม้แต่น้อย เพราะเขาค่อนข้างมั่นใจว่าทำได้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เมื่อมาถึงก็ทักทายพี่ๆ ทุกคนเป็นตามปกติ ยกเว้นเขื่อนที่ต่างนิ่งเฉยเย็นชาเมินใส่กัน จนหลายคนในห้องชมรมใคร่สงสัย แต่ไม่มีผู้ใดพูดออกมา ตราบที่ไม่มีปัญหากับละคร เพราะถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของใครของมัน“ทุกคนวันนี้เราจะมาซ้อมฉากสำคัญนะ” เจนนี่เอ่ยขึ้น แล้วเรียกกัสและเขื่อน ร่วมด้วยทั้งพีคกับนักแสดงอีกคนหนึ่งในรั้วมหาวิทยาลัยนิวและวินต่างไม่ใคร่สนใจกันเท่าไร จนกระทั่งทั้งคู่ผ่านมาเจอกันโดยบังเอิญ ต่างฝ่ายต่างมองหน้าอย่างเคืองแค้น วินมองนิวแวบมองหนึ่งแล้วกำลังจะเดินจากไป แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อนิวเป็นฝ่ายเรียก“วิน เดี่ยวก่อนเรามีเรื่องจะคุยด้วย”“มีอะไรว่ามา”“เรื่องของพวกเราสามคนน่ะ เราตัดสินใจแล้วอย่างที่นายพูดมันก็ถูก เราไม่ควรจะมาอยู่ร่วมกันสามคน มีนควรจะเลือกคนใดคนหนึ่ง” นิวตีหน้าเศร้า“คิดได้แล้วเหรอ” วินเบ้ปากเล็กน้อย“ใช่ เราคิดได้แล้ว แต่เราไม่มีวันยอมให้นายได้มีนไปอย่างแน่นอน”“เห็นเงียบๆ แต่ร้ายนะ แล้วแต่นายเลยถึงเราจะรักมีน แต่ถ้ามีนเลือกนาย
แม่ทัพวิศรุฒรออย่างร้อนรนว่าเมื่อไรหมอจะนำยามาให้ ในที่สุดก็สมดังปราถนาจอมได้นำยาเข้ามาในห้องชั่วคราวของแม่ทัพวิศรุฒ“ยาได้แล้วขอรับ มีทั้งลูกประคบสมุนไพร กับ ยาต้มข้าต้มกับมือเลยนะขอรับ” จอมวางถ้วยยาลงและจะนำลูกประคบไปสมานรอยซ้ำ“เดี๋ยวก่อน เอ็งออกไปได้แล้วข้าจะเป็นคนทำ”“แผลของท่านแม่ทัพยังไม่หายดีเลยนะขอรับ ถ้าเกิดพยุงร่างของโสภณแผลอาจฉีกขาดได้นะขอรับ”“ข้าบอกให้เอ็งออกไปก็ออกไปสิ แต่อย่าบอกเรื่องนี้กับใครล่ะ ถ้าใครถามเอ็งก็บอกว่าเป็นคนทำ เข้าใจในสิ่งที่ข้าพูดไหม”“ขอรับ” จอมอมยิ้มนิดๆ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาให้แม่ทัพวิศรุฒระคายหูเมื่อจอมได้ออกไปแล้วแม่ทัพวิศรุฒ จึงนำลูกประคบมาประคบแถวๆ หูและใบหน้าอย่างอ่อนโยนในความรู้สึกของเขา แต่คนนอกกับรู้สึกว่ามันเจ็บเพราะแรงเกินไป ยิวจึงลืมตาขึ้นด้วยความเจ็บและรีบลุกขึ้นขยับตัวชิดขอบเตียง ด้านที่มีข้างฝาปิดไว้“แม่ทัพเอ็งจะทำอะไรข้าอีก ตบบ้องหูยังไม่หนำใจจะเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งเลยเหรอ” สายตาของยิวหวั่นวิตกกลัวโดนอีกครั้ง“ถ้ายังไม่อยากโดนตบบ้องหูอีก ก็ขยับเข้ามาใกล้ๆ ข้าอีกนิด เดี๋ยวข้าจะประคบให้หายซ้ำใน”“ไม่ต้องข้าทำเองได้ แม่ทัพมือหนั
วันนี้เป็นคิวของกัสกับพีคและนักแสดงหนุ่มรุ่นน้องอีกคน ส่วนเขื่อนไม่มีคิวในวันนี้จึงเป็นเรื่องดีๆ สำหรับกัสอย่างมาก ที่จะได้กลับบ้านพร้อมพีคอย่างสบายใจไม่ต้องคอยกังวลกับเขื่อนแต่อย่างใดด้วยมีนได้หายไปหลายวันติดต่อไปก็ไม่รับสาย นิวอดเป็นห่วงไม่ได้หลังเลิกเรียนจึงไปยังคอนโดนของมีน ซึ่งมีนนั้นได้ให้คีย์การ์ดนิวไว้เพื่อวันไหนจะมาหา ก่อนที่จะเข้าไปในห้องนิวยืนนิ่งๆ อยู่พัก ด้วยความกลัวจะเจอสิ่งไม่คาดฝัน เพียงเขาก้าวเท้าเข้าไปก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยกัน นิวจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปดู เพียงเห็นภาพตรงหน้านิวอ้าปากค้างตะลึงตกใจ จนเผลอทำกระเป๋าที่ถือมาล่วงหล่นลงพื้น จนเกิดเสียงดังขึ้นทำให้มีนและเด็กหนุ่มนั่นตกใจ เพราะทั้งคู่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน เมื่อหันมาเจอนิวยืนอยู่ทั้งสองรีบแยกออกจากกันในทันควัน“นิว” มีนยืนนิ่งอ้าปากค้างด้วยความตกใจและคาดไม่ถึงว่านิวจะมา“ไหนบอกว่าเป็นพี่น้องกันไง”“มาถึงขั้นนี้แล้ว เราก็ไม่อยากจะปิดบังนิวอีกต่อไป เมื่อก่อนนิวรับได้ไม่ใช่เหรอจะอยู่กันสามคน ตอนนี้เป็นแบบนั้นก็ได้เราไม่มีปัญหา ส่วนน้องเราก็คิดว่าคงไม่มีปัญหาเช่นกันใช่ไหม” มีนหันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนนิ่ง แต่ก็พยักหน
ศีรษะที่กระแทกลงบนโน๊ตบุ๊ค ทำให้ได้แรงกระเทือนสลบวูบไปชั่วครู่ เมื่อได้สติดวงตาคู่นี้จึงลืมขึ้นทันที พร้อมหันไปมองเสียงประตูที่เปิดออก ซึ่งเห็นชายหนุ่มที่คลับคล้ายคลับคลาเหมือนคนรู้จัก แต่แล้วเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนาน เพราะผู้ชายตรงหน้าหันมามอง และรู้ได้ทันทีว่าเป็นเป็ก“ถึงเราจะโกรธนาย แต่สิ่งที่นายให้เราทำ เราก็จะทำให้นายเป็นครั้งสุดท้าย” เมื่อเป็กพูดจบเขาก็เดินออกจากประตูไปในทันใด พร้อมปิดประตูจนเสียงดังลั่นสนั่นมือน้อยๆ กำที่ศีรษะสายตามองไปรอบๆ ดวงตาคู่นั้นถึงกับเบิกโพลงทันใด เพราะสิ่งที่เห็นเป็นห้องนอนอันคุ้นเคย มือนั้นรีบมาจับศีรษะและบริเวณลำคอทันใด“เรายังไม่ตาย” ยิวพูดขึ้นลอยๆ แล้วความแปลกใจและตื่นตระหนกยิวคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ตอนอยู่ลานประหาร สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือแค่รับสัมผัสจากคมดาบเพียงชั่ววินาที หลังจากนั้นเขาก็จำอะไรไม่ได้แม้แต่นิด ยิวคิดวนมาวนไปหลายรอบพร้อมหันหน้าไปมา จนเห็นโน๊คบุ๊คเปิดอยู่เขาจึงจับเม้าท์คลิกเปิดดูทันใด และสิ่งที่เขาเห็นเป็นคลิปวีดีโอตัวเขาเองกับพีคกำลังนอนกอดกัน“อะไรกันนี่ มันไม่ใชเรานี่หน่า” ยิวปิดวีดีโอนั้นทันทีเมื่อปิดวีดีโอเสร็จเขาได้เห็นเว็บเขี
ข่าวทำสงครามของแม่ทัพวิศรุฒรบชนะดังไปทั่วแคว้นแดนดิน ทั้งสองเมืองต่างเฉลิมฉลองอึกทึกครึกโครม เพราะในช่วงเวลานี้ได้เป็นพันธมิตรกัน หลังจากงานอันเป็นมงคลได้ผ่านไป แม่ทัพวิศรุฒซึ่งในเวลานี้เป็นราชาวิศรุฒ ได้ทราบข่าวร้ายในทันใด เมื่อจอมได้รีบมาบอกข่าวนี้ทันทีเมื่อได้ยินเรื่องราวไม่ดี“พระองค์ ราชาศิลาจะประหารชีวิตองค์ชายเมธีพระเจ้าค่ะ” จอมหน้านิ่วคิ้วขมวด“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุผลใดเล่า” แม่ทัพวิศรุฒมีสีหน้าวิตกกังวลยิ่งนัก“ได้ข่าวมาองค์ชายเมธีได้ฆ่าองค์ชายศิธาตายพระเจ้าค่ะ”“ไม่น่าใช่ อ่อนแอขนาดนั้น”“กระหม่อมก็ไม่รู้ แต่สายรายงานข่าวมาเช่นนี้พระเจ้าค่ะ พระองค์จะทำเช่นไรข้าอดเป็นห่วงองค์ชายเมธีไม่ได้ ถึงแม้จะไม่ใช่ตัวจริงอย่างน้อยพระองค์ท่านก็มีบุญแก่กระหม่อม”“ไม่ต้องห่วงข้าจะกลับเมืองศิลานคร แต่ข้าจะขี่ม้าไปคนเดียว เพราะจะได้ไวขึ้นกว่าไปเป็นกองทัพ”“กระหม่อมขอเสด็จตามไปด้วยนะพระเจ้าค่ะ”“ได้ ออกเดินทางวันนี้เลยเดี๋ยวไม่ทันการณ์” ราชาวิศรุฒถอนหายใจเฮือกใหญ่“พระเจ้าค่ะ กระหม่อมไปเตรียมม้าและข้าวของจำเป็นก่อนนะพระเจ้าค่ะ”“อืม”“กระหม่อมทูลลา”ราชาวิศรุฒยืนนิ่งครุ่นคิดและหวาดหวั่
กัสหยุดเขียนนิยายไปหลายวัน และเริ่มตีตัวออกห่างเป็กแล้วเข้าหาพีคในช่วงเวลาเดียวกัน ค่ำคืนนี้จึงเป็นแผนเผด็จศึกและเสร็จศึกให้จบสิ้น เขาจึงรีบโทรหาพีคในทันใด“ฮัลโหลมีอะไรหรือเปล่าน้องกัส”“พี่พีค” กัสร้องสะอื้นไห้ออกมา“เป็นอะไรบอกพี่มา”“เป็กเขาทิ้งกัสไปแล้ว เขาบอกเบื่อกัสไม่อยากคบเป็นแฟนอีกต่อไป”มีแต่เสียงสะอื้นไห้ของกัสแต่ไร้เสียงใดๆ ของพีค จนกัสรู้สึกใจหายและผิดหวังในสิ่งที่ทำลงไปไม่เกิดผล“ใจเย็นๆ ในเมื่อเขาไม่รักเราแล้ว ก็ปล่อยเขาไปเหมือนอย่างพี่กับเขื่อนไง อย่าเสียใจไปเลย”“แต่ อืม กัสยังคิดอดไม่ได้ครับ” กัสกลับมาดีใจอีกครั้ง“ไม่ต้องคิดอะไรมาก เอาอย่างนี้พี่จะไปอยู่เป็นเพื่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเป็กเลิกกับกัสกันไปแล้ว พี่ไปอยู่ด้วยคงไม่เป็นปัญหาอะไรหรอก ถ้างั้นรอพี่อยู่ที่ห้องนะอย่าคิดอะไรมาก พี่จะรีบไปเดี่ยวนี้ ทำใจดีๆ ไว้นะน้องกัส”“ครับ ขอบใจพี่พีคมากที่คอยดูแลกัสตลอดมา”“อืม ไม่เป็นไร”เมื่อพีคได้วางหูโทรศัพท์มือถือ กัสถึงกับอมยิ้มและเตรียมแผนการต่อไว้อย่างดี หลังจากนั้นกัสนิ่งรอพีคมายังห้องอย่างใจจดใจจ่ออย่างมีความหวัง และคาดฝันในสิ่งที่วางแผนไว้ ซึ่งเวลาที่เฝ้ารอไม่ได้นานมา
เวลาที่แม่ทัพวิศรุฒรอคอยได้มาถึง เมื่อถึงเวลาเขาบุกเข้าไปในเมืองเมฆาบุรีทันที แต่ยังไปไม่ถึงป้อมปราการ ทัพเสือเข้มวิ่งกรู่เข้ามาอย่างรวดเร็ว สองกองทัพต่างวิ่งถือดาบธนูเข้าหากัน เหมือนกับเคืองแค้นกันมาหลายภพหลายชาติเหล่าทหารกองทัพเมืองศิลานครนำทัพโดย แม่ทัพวิศรุฒนั้นร่างกายค่อนข้างแกร่งฝีมือดี เพราะผ่านศึกสงครามและฝึกฝนอย่างหนัก ในทางกลับกันฝีมือของกองทัพเสือเข้มร่างกายได้หาแข็งแกร่งไม่ ฝีมือใช่ว่าจะดีมากมาย แต่ที่ชนะกองทัพของราชาวิหคเพราะรบแบบกองโจร และแผนการอันแยบยล ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้จะมีทหารโดยแท้ปะปนมาด้วย แต่หาเทียบเหล่าทหารแม่ทัพวิศรุฒได้ โดยการครั้งนี้มีเสือเข้มนำกองทัพออกรบ แต่บรรดาทหารไม่ได้ออกมาทั้งหมดแม่ทัพวิศรุฒก็รู้ดีเช่นกัน เพราะทราบข่าวจากการสู้รบของเสือเข้มจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา เขาจึงเตรียมการไว้อย่างดี เมื่อเขาได้นำทัพมาถึงกลางสนามรบ แต่ไม่สามารถฝ่าเข้าไปได้ในทันที เพราะเสือเข้มออกมาสู้ประจันหน้า และพร้อมกับสองข้างฝั่งมีกองโจรดักอยู่ คอยยิ่งธนูไม่ขาดสายถึงเป็นเช่นนั้นแม่ทัพวิศรุฒหากลัวไม่ เพราะสองฝั่งเขาให้จอมและทันเดินทัพออกห่างออกไปไกล เมื่อถึงเวลารบจ
กัสยังไม่ได้เริ่มเขียนนิยายแม้แต่คำเดียว เป็กก็มาถึงยังห้องนอนอย่างรวดเร็ว จึงมีความจำเป็นต้องหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น“เราทำให้นายทุกอย่างเลยนะ ว่าแต่นายจะทำอะไรให้เราบ้างล่ะในคืนนี้” เป็กกอดร่างของยิวไว้แน่นพร้อมบรรจงจูบทั่วใบหน้า ไม่ว่างเว้นแม้แต่ส่วนเดียว“ไปอดอยากมาจากไหน” กัสยังนิ่งเฉยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด“ใช่ อดอยาก อมให้หน่อย” เป็กหยุดสัมผัสเรือนกายของกัสและปลดอาภรณ์ทุกชิ้นออกไม่มีเหลือ พร้อมกับล้มตัวลงนอนข้างๆ กัสที่นั่งยิ้มแต่ใจนั้นแสนเบื่อหน่ายกัสไม่สามารถที่จะปฏิเสธการนี้ได้ เขาจึงจับท่อนเอ็นของเป็กที่กำลังแข็งตั้งตระหง่าชูชัน พร้อมกับก้มใบหน้า ใช้ริมฝีปากสัมผัสท่อนเอ็นส่วนปลายสีชมพูอ่อนๆ จากทีแรกรู้สึกเบื่อหน่ายแต่เมื่อเห็นท่อนเอ็น ทำให้มีอารมณ์ร่วมมากขึ้นกัสจึงใช้ปลายลิ้นสัมผัสไล้เลียวนมาวนไปอย่างใคร่กระหาย“อืม อืม อืม” เป็กครางออกมาด้วยความเสียวซ่านอย่างถึงใจ“จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ” เสียงอมรูดท่อนเอ็นดังอย่างต่อเนื่องริมฝีปากอันเล็กรูดท่อนเอ็นขึ้นลงอย่างช้าๆ และใช้ปลายลิ้นตวัดเลียไปมา พร้อมกับเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนร่างของเป็กสั่นสะท้าน ความรู้สึกสยิวท่อนเอ็นอย่างต่อเนื่อง
ยิวนั่งหมดอะไรตายอยากในห้องบรรทมอย่างเงียบเหงา ด้วยไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อจากนี้ หมดสิ้นหนทางอย่างไร้ที่หมาย เขาถึงกับถอนหายใจถี่ก้มมองลงพื้นด้วยความกลัดกลุ้มในใจอย่างรวดร้าว แต่แล้วเมื่อเขาได้ยินเสียงประตูเปิดออก ความรู้สึกนั้นได้จางหายไปในทันที เมื่อร่างขององค์ชายศิธาปรากฏ“นั่งเหงาเลยนะองค์ชายเมธี”“ถ้ามาพูดแค่นี้ไม่น่าต้องเสด็จมาก็ได้”“ข้ามีเรื่องจะบอกองค์ชายถึงมานี่ เรื่องนี้ข้าเท่านั้นที่ต้องบอก จะได้สมน้ำสมเนื้อกับองค์ชาย”“เรื่องอะไร” ยิวให้ไปทั้งใบหน้ามององค์ชายศิธาที่ยืนยิ้มอย่างเย้ยหยัน“แม่ทัพวิศรุฒออกเดินทางไปยังเมืองเมฆาบุรีแล้ว”ยิวไม่ได้ตอบโต้อะไร เพราะเขารู้สึกใจหายหวั่นๆ อยู่เหมือนกัน เพราะนั่นเท่ากับเขาอยู่ที่นี่อย่างไร้ความหมาย“รู้ไหม ทำไมแม่ทัพวิศรุฒถึงไปยังเมฆาบุรี”“ข้าไม่รู้”“เพราะที่เมฆาบุรีเกิดการกบฏอีกครั้ง และคนก่อกบฏก็เป็นเสือเข้ม องครักษ์ขององค์ชายนี่ใช่ไหม”ดวงตาของยิวเบิกโตตื่นเต้นไม่คาดคิดว่าเสือเข้มจะทำได้จริงๆ และนั่นเขาก็หวั่นๆ ว่าจะเกิดร้ายไม่ดีกับแม่ทัพวิศรุฒ“เพลานี้เมืองเมฆาบุรีกำลังวุ่นวาย เสด็จพ่อของข้าจึงสั่งจัดการให้สิ้นซาก”“บอกข้าทำไม” ยิว
ค่ำคืนที่หาบทละครเวที พีคกำลังขะมักเขม้นทำอย่างจริงใจ แต่ในช่วงเวลาเดียวกันพีคได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อดูชื่อที่ปรากฏเป็นกัส พีคจึงรีบรับทันทีเพราะปกติไม่เคยโทรมาแต่อย่างใด “ฮัลโหล น้องกัสมีอะไรหรือเปล่า” “มี แต่ กัสไม่อยากบอกพี่เลยครับ” “เรื่องอะไร บอกมาเลยถ้าไม่บอกพี่โกรธจริงๆนะ” “ก็เรื่องของเขื่อนไงครับ คือ ว่า เอ่อ อ่า อืม” “พูดมาเลยว่าเรื่องอะไร” “คือ เรื่องเด็กคนนั้นน่ะของเขื่อน เท่าที่กัสสังเกตหน้าจะมีอะไรมากกว่าเพื่อนร่วมงานอย่างแน่นอน” “พี่ก็สงสัยแต่พี่ไม่มีหลักฐานอะไร” “คือ คืนนี้พี่ลองไปหาเขื่อนที่ห้องพักแบบไม่ให้รู้ตัวสิครับ” “น้องกัสรู้อะไรมาเหรอ” “อืม กัสไม่พูดดีกว่าพี่พีคไปดูเองเถอะ” “อืม ก็ได้ ขอบใจกัสมากนะ” “ไม่เป็นไรครับ” เมื่อพีคกดวางโทรศัพท์มือถือ ก็ขับรถไปหาเขื่อนในทันที โดยไม่บอกกล่าวอะไรทั้งนั้น เพราะตอนนี้ค่อนข้างให้ความเชื่อใจกัสมากกว่าเขื่อนเสียอีก พีคขับรถไปอย่างกระวนกระวายยิ่งนัก ด
เสือเข้มผู้โหดเหี้ยมได้มีความรักโดยอย่างไม่ตั้งใจ จากเมื่อก่อนอยากอยู่ไปเรื่อยๆแต่ในปัจจุบันความคิดนั้นได้เปลื่ยนไปอย่างมาก เพราะยิวได้สร้างห้องแห่งรักไว้ในหัวใจ จึงทำให้เสือเข้มเกิดความทะเยอะทะยานอยากได้ยิวมาครอบครองเขาจึงต้องทำทุกวิถีทาง เพื่อจะทวงราชบัลลังก์คืนแกตัวเขาและยิว การรวบรวมกำลังพลในค่ายเสือ ถึงจะไม่ได้มากมายเท่ากับกองทัพแห่งเมืองเมฆาบุรี ที่ตอนนี้เปลื่ยนชื่อเป็นเมืองวิหค กว่าที่เสือเข้มจะระดมบรรดาโจรทั่วเมืองเมฆาบุรีได้ใช้เวลานานพอสมควร และได้ติดต่อจากเมืองอื่นๆอีกมากมายเพื่อมาช่วยในครั้งนี้ โดยมีผลตอบแทนพื้นที่บางส่วนให้ไว้อาศัยอยู่ และทรัพย์สินในวังอันมีค่าบางส่วน ในที่สุดวันที่เสือเข้มรอคอยก็มาถึง เขาได้บุกเข้าเมืองเมฆาบุรีแบบกองโจร ไม่ได้ปะชิดสู้ตรงๆ เพราะขืนทำอย่างนั้นไม่มีทางที่จะชนะแม่ทัพวิหคและอำมาตย์มงคลได้อย่างแน่นอน โดยการครั้งนี้เสือเข้มเป็นผู้วางแผนและสั่งการเองทุกอย่าง โดยเริ่มต้นยามค่ำคืนอันเงียบสงัดและเผลอไผลไม่คาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์อันร้ายแรงเกิดขึ้น “พี่น้องทุกคนพร้อมกันหรือยัง”เสือเข้มประกาศก้องใกล้ๆเมืองชั
เมื่อไม่ได้มีการซ้อมละครเวทีเขื่อนจนมีเวลาให้กับงานที่ทำมากขึ้น ไม่ว่าจะหลังเลิกงานหรือแม้แต่วันเสาร์อาทิตย์เขื่อนทุ่มเวลานั้นอย่างเต็มที่ จนทำให้ไม่มีเวลาไปมาหาสู่กับพีคอย่างเช่นแต่ก่อน และมีอยู่อีกเหตุหนึ่งนั้นเขื่อนได้มีความใกล้ชิดกับเพื่อนร่วมงานคนใหม่มากขึ้น ตอนกลับห้องหรือไปไหนหลังจากเลิกงาน ก็ไปด้วยกันตลอดเวลา จึงทำให้ความสัมพันธ์ของพีคกับเขื่อนได้จืดจางลงไปอย่างไม่ค่อยรู้ตัวหลังจากเลิกงานวันนี้ก็เป็นอีกวันที่เขื่อนได้กลับพร้อมกับหนุ่มรุ่นน้อง ที่ได้พึ่งได้มาทำงานได้ไม่นานแต่ความสนิทสนมกันนั้นแสนมาก“เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นพี่พีคมารับพี่เขื่อนเลยครับ” เจษเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าใคร่สงสัย และมีความดีใจอยู่พอสมควร“พี่พีคไม่ค่อยว่าง เพราะตั้งแต่ไม่ได้แสดงละครด้วยกัน พี่พีคเขาต้องหาบทละครมาสร้างอีก ช่วงนี้เลยห่างๆ กันไป”“อ่อ ถึงว่าสิทำไมไม่ค่อยเห็นพี่พีค แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกครับเพราะถึงอย่างไงพี่เขื่อนยังมีผมอยู่เป็นเพื่อน” เจษอมยิ้มนิดๆ“อืม” เขื่อนไม่ได้พูดอะไรต่อจากนี้ ได้แต่ยืนรอรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่จะกลับห้อง“โชคดีนะ ที่เราสองคนอยู่ใกล้ๆ ขึ้นรถสายเดียวกัน” เจษยังยืนยิ้มอยู่ไม่วาย“พ