อิงอรพูดจบไปแล้วแต่บุรินทร์ได้แต่นั่งก้มหน้าเขานั่งมองนิ้วมือตัวเองที่ประสานกันและหัวแม่มือดันกันไปมา เห็นได้ชัดว่ามีความเครียด แววตาของเขาสะท้อนความตรึกตรองและความครุ่นคิดอย่างเห็นได้ชัด อิงอรแอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทีนั้นสักครู่หล่อนจึงยกข้อมือดูเวลาบนนาฬิกาและเอ่ยว่า
“ที่อรมาพูดก็อยากจะให้พี่บุรินทร์คิดนะคะ...ตายละ...นี่ก็ถึงเวลาที่อรจะต้องไปทำงานแล้วล่ะค่ะ ถ้ายังไงพี่บุรินทร์ตัดสินใจแบบไหนก็แล้วแต่นะคะ แต่อรก็อยากจะเตือนพี่บุรินทร์ด้วยความหวังดีค่ะว่าถ้าพี่บุรินทร์รักแล้วก็เป็นห่วงพี่นุ่นก็ควรจะเตือนให้พี่นุ่นได้รู้ตัวแต่เนิ่น ๆ ที่พูดเนี่ยเพราะว่าอรนสงสารพี่นุ่นนะคะแล้วก็รักพี่นุ่นเหมือนพี่สาวคนนึงเพราะอยู่ช่วยงานพี่นุ่นมาถึงแม้ว่าเธอยังไม่ทันถึง 2 เดือนแต่อรรู้สึกว่าพี่นุ่นเป็นคนที่น่ารักแล้วก็ใจดี...อรไม่อยากให้ผู้หญิงดีๆอย่างพี่นุ่นต้องเสียหาย แล้วก็จะต้องกลายเป็นเหยื่อของผู้ชายที่เห็นผู้หญิงเป็นของเล่นค่ะ”
“ขอบใจมากนะอรที่บอกพี่...พี่จะลองกลับไปคิดเรื่องนี้ดูอีกครั้งว่าจะทำยังไง”
บุรินทร์กล่าวตอบแม้สีหน้าของเขายังเคร่งเครียดแต่น้ำเสียงนั้นก็ยังฟังดูสงบและราบเรียบทั้งที่อิงอรรู้ดีว่าเขากำลังรุ่นร้อนและคิดไม่ตกเกี่ยวกับเรื่องนี้ นักศึกษาสาวฝึกงานลุกขึ้นและเดินจากไปทิ้งให้บุรินทร์นั่งจมอยู่กับความคิดของตัวเองต่อไปอีกสักพักใหญ่ ๆ เลยทีเดียว
วันนี้นันทินีตื่นขึ้นมาในตอนเช้าด้วยความรู้สึกวิงเวียนอย่างน่าประหลาดมันเป็นอาการที่เกิดขึ้นแตกต่างจากทุกวันมันอาจจะมีมึนหัวบ้างในตอนเช้าแต่อาการที่เกิดขึ้นมีมาตั้งแต่เมื่อคืนและทำให้หล่อนนอนไม่หลับกระสับกระส่ายไปมาเป็นอาการปวดหัวแปลกๆแถมยังมีอาการคลื่นไส้อยากอาเจียนนันทินีคิดในใจว่ามันอาจจะกินอาหารที่เป็นพิษเข้าไปถึงได้ทำให้เกิดอาการแปลกๆแบบนี้ขึ้น
ถึงแม้จะมีอาการมึนหัวมากแต่ดันที่มีก็ฝืนตัวเองด้วยการลุกขึ้นจากเตียงอาบน้ำและแต่งตัวหล่อๆหวังว่าวันนี้จะไปทำงานได้ตามปกติแต่เมื่อลงไปถึงชั้นล็อบบี้ของคอนโดกลับยิ่งรู้สึกวิงเวียนมากขึ้นทำให้เธอต้องนั่งลงที่โซฟาตรงชั้นล็อบบี้ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและติดต่อไปหาฝ่ายบุคคล
“สวัสดีค่ะพี่จิ๊ก...นู่นเองนะคะวันนี้นุ่นขอลางาน 1 วันค่ะรู้สึกไม่สบายถ้ายังไงฝากให้น้องอิงอรที่ช่วยรุ่นอยู่ช่วยทำงานแทนนุ่นก่อนนะคะนุ่นขอลาป่วยแค่ 1 วันค่ะค่ะ...โอเคค่ะ...ขอบคุณมากค่ะพี่จิ๊ก”
พอพูดจบแล้วนันทินีก็วางสายโทรศัพท์แต่แล้วหล่อนต้องชะงักเมื่อเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าใครก้าวเข้ามาอยู่ตรงหน้า
“บุรินทร์...”
นันทินีอุทานชื่อนั้นออกมาหล่อนรู้สึกประหลาดใจอย่างมากเมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมงานหนุ่มมาอยู่ที่นี่ เขายิ้มให้และนั่งลงข้าง ๆ สีหน้าของเขายังแสดงความมีมิตรไมตรีอยู่เช่นนั้น
“บุรินทร์มาได้ยังไง”
“นุ่นย้ายหอพักตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่เห็นบอกกันเลยนะ”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่านุ่นอยู่ที่นี่”
“พอดีผมขับรถผ่านมาทางนี้แล้วเห็นนุ่นออกจากคอนโดเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ก็เลยคิดว่านุ่นอาจจะย้ายจากหอพักที่เคยอยู่มาอยู่ที่นี่ แล้วก็เป็นจริงอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย”
“ใช่...นุ่นเพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนแล้วล่ะ”
“นุ่นมาซื้อห้องพักอยู่ที่นี่เหรอ คอนโดนี้น่ะเป็นห้องพักที่หรูหรามากเลยนะ”
“นุ่นแค่กู้ธนาคารและผ่อนเอาน่ะเพราะว่านุ่นชอบห้องพักที่นี่มันสวยแล้วก็บรรยากาศก็ดีอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานมากด้วย”
“ผมคิดว่านุ่นยังจะไม่ย้ายหอพัก ก็เพิ่งคุยกันอยู่เมื่อวันก่อน นุ่นบอกผมเองนี่นาว่ายังไม่อยากจะซื้อคอนโดเพราะยังไม่มีเงินหรือว่าผมเข้าใจผิดไปนุ่นอาจจะมีเงินเก็บมากกว่าที่ผมมีก็ได้นะ”
“เปล่าหรอก...นุ่นไม่ได้มีเงินเก็บมากมายขนาดนั้น แต่ว่านุ่นแค่รู้สึกว่าพอได้คุยกับบุรินทร์เรื่องซื้อคอนโดก็คิดว่าตัวเองทำงานมาตั้งนานก็อยากจะสร้างอะไรไว้สักอย่างเพื่อเป็นแรงใจในการทำงาน พอได้ยินบุรินทร์พูดเรื่องคอนโดก็เลยคิดว่าน่าจะซื้อไว้สักห้องอย่างน้อยที่สุดมันก็จะได้เป็นกรรมสิทธิ์ของนุ่นยังไงล่ะ
“ก็ดีแล้วที่นู่นคิดแบบนั้น ว่าแต่นี่กำลังจะไปทำงานเหรอ?”
“ใช่จ้ะ...นุ่นกำลังจะไปทำงานแต่ว่ารู้สึกมึนหัวมากจนคิดว่าวันนี้คงจะทำงานไม่ไหวก็เลยโทรไปบอกพี่ติ๊กขอลา 1 วัน ก็ว่าจะให้น้องอิงอรทำงานแทนนุ่นไปก่อน โชคดีที่มีนักศึกษาฝึกงานมาช่วยงานของท่านประธานจะได้ไม่ขาดตอน”“นุ่นนี่เป็นคนที่รับผิดชอบงานมากจริงๆ เลยนะฟังแบบนี้แล้วผมยังรู้สึกอาย ทำให้คิดว่าผมเองเป็นผู้ชายยังไม่มีความรับผิดชอบมากเท่ากับนุ่น”“บุรินทร์ก็เป็นคนเก่งนะ เป็นถึงผู้จัดการฝ่ายผลิตภัณฑ์ของโรงแรม ส่วนนุ่นก็เป็นแค่เลขาที่ติดตามเจ้านายก็เท่านั้นเองแล้วนี่น่ะ ที่มานี่จะเข้ามาทักทายนุ่นอย่างเดียวใช่ไหม”บทที่ 12“ถ้าจะบอกว่าไม่ได้เข้ามาแค่ทักทาย แต่มีเรื่องที่อยากคุยกับนุ่นจะมีเวลาว่างได้คุยกับผมหรือเปล่า”“เป็นเรื่องด่วนอย่างนั้นเหรอบุรินทร์”“มันก็ไม่เชิงว่าด่วนหรอกนะ แต่ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ผมอยากจะคุยกับนุ่นให้เข้าใจ”นันทินีนิ่งไปชั่วขณะ หล่อนเองรู้สึกว่าเมื่อกี้ยังมึนหัวมากแต่เมื่อเห็นหน้าบุรินทร์อาการวิงเวียนศีรษะก็ค่อยๆ ท
“นี่คงจะมีคนติดตามเรื่องของนุ่นกับท่านประธานแล้วสินะ ก็ได้บุรินทร์...นุ่นไม่ปฏิเสธหรอกว่ามันเป็นเรื่องจริง”“แต่ตอนแรกที่ผมถามนุ่นก็ไม่ยอมรับว่านุ่นมีสถานะยังไงกับท่านประธาน”“แล้วบุรินทร์จะให้นุ่นพูดออกไปเหรอว่านุ่นเป็นอะไรกับท่านประธาน นุ่นเป็นผู้หญิงนะ จะให้พูดหรือยอมรับออกไปได้ยังไงแต่ในเมื่อบุรินทร์รู้ทุกอย่างแล้วนุ่นก็ไม่ขอปฏิเสธ”“ที่ผมเอารูปของคุณกับท่านประธานมาให้ดูไม่ใช่ว่าผมอยากจะเยาะเย้ยหรืออยากจะทำให้คุณต้องเสียหน้า เสียใจหรอกนะ”บุรินทร์กล่าวและดึงมือของหญิงสาวมากุมไว้ เขาบีบนิ้วเรียวบางที่อยู่ในอุ้งมือของเขาเบาๆ“นุ่น...ถึงแม้ว่าระหว่างผมกับนุ่น เราจะไม่ได้คบกันอย่างคนที่รู้สึกว่ามีทำพิเศษต่อกันแต่อย่างน้อยที่สุดเราก็เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันไม่ใช่เหรอ ที่ผมอยากจะบอกนุ่นมันก็มีความสำคัญเท่าๆกับที่ผมรู้ว่านุ่นมีความสัมพันธ์ยังไงกับท่านประธานในตอนนี้”“อยากจะบอกอะไรกับนุ่นล่ะในเมื่อตอนนี้ก็รู้เรื่องแล้วและบางทีคนในบริษัทหลายคนอาจจะรู้เรื่องนี้แล้วก็เป็นได้&rdqu
“น่าอายจริงๆเลยนะบุรินทร์ที่นุ่นมาร้องไห้ต่อหน้าแบบนี้”“ไม่เป็นไรหรอกนะนุ่น ถ้านุ่นอัดอั้นตันใจมากก็ร้องไห้ออกมาเถอะ มันเป็นการระบายความรู้สึกอย่างหนึ่ง มันทำให้คนเราสบายใจถ้าจะร้องไห้ ผมว่ามันก็ดีไปอย่างนึงนะ นุ่นจะได้ไม่ต้องเก็บความอัดอั้นตันใจเอาไว้เพียงคนเดียว บางทีมันก็ทำให้เราจิตตกบางคนอาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้” “ขอบใจนะที่บุรินทร์ยังเป็นห่วงรุ่นเสมอรุ่นเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าตัวเองควรจะรู้สึกยังไงหรือว่าจะรู้สึกแบบไหนดีตอนนี้ขอโทษด้วยนะที่บางอย่างนุ่นก็ไม่สามารถที่จะบอกกับบุรินทร์ได้ คงจะไม่ว่ากันใช่ไหม”“ไม่หรอก...เอาที่นู่นสบายใจผมก็รู้สึกดีใจแล้ว อย่างน้อยที่สุดผมก็จะได้เป็นคนหนึ่งที่คอยรับฟัง แต่ก็อย่างที่บอกล่ะนะผมอยากให้นุ่นกลับไปคิดทบทวนให้มากๆ ว่าควรจะให้ความสัมพันธ์ระหว่างนุ่นกับท่านประธานเป็นไปแบบไหนในอนาคต เพราะผมดูๆ แล้วเขาไม่ได้จริงใจกับคุณเลย ถ้าเขาคิดจะจริงจังกับคุณเขาก็คงจะพานุ่นควงเป็นผู้หญิงของเขาออกหน้าออกตา ไม่ใช่เก็บเอาไว้เป็นความลับแบบนี้”“นุ่นจะกลับไปคิ
หล่อนพูดก่อนหันไปหยิบกระดาษทิชชู่แล้วเช็ดคราบกาแฟที่อยู่บนหน้าอกของเจตน์ขณะที่หล่อนกำลังตั้งใจใช้กระดาษเช็ดคราบกาแฟบนเสื้อสูทราคาแพงของท่านประธานหนุ่มจู่ ๆ เขาก็จับข้อมือทั้งสองของเธอเอาไว้ อิงอรเงยหน้ามองเค้าขณะนั้นหล่อนอยู่ในระยะประชิดกับท่านประธานหนุ่ม หัวใจของนักศึกษาสาวเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนหล่อนจ้องหน้าเขาแน่วนิ่ง ต่างคนต่างสบในตากันขณะที่เจตต์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือของหล่อนให้เป็นอิสระ ส่วนอิงอรก็ยืนนิ่ง หล่อนทั้งตกใจและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน ในเวลานั้นดูเหมือนว่าทุกอย่างชะงักนิ่ง แต่แล้วประตูก็เปิดออก นันทินีก้าวเข้ามาในห้องทำงานก็ถึงกับชะงักเมื่อเห็นภาพตรงหน้าเป็นภาพที่ท่านประธานบริหารบริษัทยืนจับมือของนักศึกษาสาวฝึกงาน ทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันมากและในเวลานั้นเมื่ออิงอรเห็นว่าใครเข้ามาหล่อนจึงรีบผละห่างจากร่างของท่านประธานพร้อมทั้งเอามือประสานไว้ที่ด้านหน้าและหันไปเอ่ยกับเลขาสาว“พี่นุ่น...นี่พี่นุ่นมาทำงานแล้วเหรอคะ?” บทที่ 14อิงอรเป็นฝ่ายกล่าวขึ้นขณะที่นันทินีก้าวเข้ามาภายในห้องทำงานนั
“ค่ะ..พี่นุ่น”อิงอรรับคำก่อนที่จะเดินออกไปจากห้องนั้น เวลาอยู่ต่อหน้านันทินีอิงอรก็จะทำสีหน้าเหมือนเด็กสาวไร้เดียงสาแต่พอออกไปนอกห้องแล้วปิดประตูลงหล่อนกลับยกยิ้มร้ายและเหลือแลไปที่ประตูห้องทำงานของท่านประธานด้วยสายตาที่แสดงถึงอะไรบางอย่างแอบซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าสดสวยอ่อนหวานเหมือนเด็กสาวที่ไม่ประสาเรื่องอะไรเลย“เชอะ!...พี่นุ่น...นึกว่าเป็นเมียเก็บของท่านประธานแล้วจะได้รับความเห็นใจ ได้รับสิทธิพิเศษอย่างนั้นเหรอ ถ้าเขารักจริงก็คงจะไม่เอาไปเป็นเมียเก็บ คงไม่ไปซื้อคอนโดลับๆ เอาไว้พากันไปหาความสุข น่าสงสารจริงๆนะพี่นุ่น หน้าตาก็สวยทำงานก็เก่งแต่ทำไมคิดสั้นยอมเป็นนางบำเรอให้กับท่านประธาน น่าอายชะมัด แต่นึกไปก็เหมือนท่านประธานหึงที่นู่นยังไงก็ไม่รู้ คอยดูนะแล้วเดี๋ยวจะได้เห็นกันว่าอิงอรคนนี้แหละทำอะไรได้มากขนาดไหน”อิงอรพูดกับตัวเองก่อนที่จะเดินออกไปจากที่ตรงนั้น เมื่อถึงเวลาเที่ยงเป็นเวลาที่เจตต์นัดอิงอรไปรอที่ชั้นล็อบบี้ของบริษัทนักศึกษาสาวฝึกงานทำตามคำสั่งของท่านประธานโดยไม่อิดออด แถมหล่อนยังกระตือรือร้นที่จะติดตามเจ้านายสุดหล่อออกไปพบปะลู
“แต่งงานเลี้ยงคืนนี้มันก็ดึกมากเลยนะถ้ายังไงเดี๋ยวผมจะไปส่งคุณที่หอพักเอง”“ขอบคุณมากนะคะท่านประธาน อรต้องขอขอบพระคุณท่านประธานเป็นอย่างมากที่อุตส่าห์พาออนออกมานอกสถานที่แล้วก็ยังต้องรบกวนให้ท่านประธานไปส่งอรที่หอพักอีก”“ผมไม่ถือว่าเป็นการรบกวนหรอกนะ แต่ว่ามันเป็นหน้าที่เพราะว่าผมน่ะเป็นคนชวนคุณออกมางานเลี้ยงเองเพราะฉะนั้นผมก็ต้องรับผิดชอบ”รับผิดชอบอย่างนั้นเหรอ...ประโยคนั้นทำให้อิงอรนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง มันเป็นความคิดที่วาบเข้ามาในสมองอย่างปัจจุบันทันด่วน หล่อนยิ้มกับเขาทว่าก็แอบซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในความคิดของตัวเองที่มันกำลังแล่นไหล“ขอบคุณท่านประธานมากเลยนะคะ ว่าแต่วันนี้น่ะอร สังเกตเห็นว่าพี่นุ่นยังหน้าตาไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ไม่รู้ว่าพี่นุ่นยังไม่สบายอยู่หรือเปล่า”“เขาหายแล้วกระมัง ก็คงไม่เป็นอะไรมากหรอก”พูดจบเขาก็รินเหล้าใส่แก้วแล้วกระดกเข้าปากอีก อิงอรสังเกตว่าเจตต์มีอารมณ์เปลี่ยนไปในทันใดที่พูดถึงเลขาของเขาหล่อนชักเริ่มสงสัยว่าเจตต์กำลังคิดอะไรอยู่ เขาคงไม่พอใจ
หลังจากนั้นอีกเกือบชั่วโมงงานเลี้ยงก็ดูเหมือนว่าจะค่อยๆ เลิกราทุกคนขอตัวกลับ ส่วนหล่อนกับเจตต์ก็เดินออกมาที่ลานจอดรถแต่เมื่อมาถึงที่รถของเขาอิงอรต้องรีบเข้าไปประคองท่านประธานหนุ่มขณะที่เขาพยายามไขกุญแจรถแต่กุญแจรถกลับหลุดมือและเขาเองก็เซและดูเหมือนจะทรงตัวยืนแทบไม่ค่อยได้ เจตต์เอาหลังพิงกับรถขณะที่อิงอรเข้าไปประคองตัวเขาหล่อนก้มลงเก็บกุญแจรถและเอ่ยว่า“ท่านประธานคะ...ไหวหรือเปล่าคะเนี่ย”“ไหวสิ...ผมไหวนะก็บอกแล้วไงว่าผมไม่เมาผมไม่เมาหรอก”เขาพูดแต่น้ำเสียงฟังดูไม่ปกติและอิงอรก็รู้ว่าตอนนี้เจตต์กำลังเมามากเพราะหน้าของเขาเป็นสีเข้มจัดและตอนที่เดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมเจตก็เดินออกจะเซด้วยซ้ำเพียงแต่ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าลูกค้าคนอื่นเขาจะพยายามควบคุมและบังคับตัวเองให้ดูเหมือนปกติหากทว่าพอมาถึงลานจอดรถเขากลับทรงตัวยืนแทบจะไม่อยู่จนทำให้นักศึกษาสาวฝึกงานต้องเข้ามาช่วยประคองตัวเขาเอาไว้ อิงอรก้มลงมองกุญแจแล้วพูดกับเขาว่า“ท่านประธานเมาแล้วนะคะ ดูสิขนาดจะไขกุญแจรถท่านประธานก็ยังทำไม่ได้เลยนะคะ”“ผมก็แค่ม
“นุ่น...คิดว่าเก่งกว่าผมหรือยังไง คุณไม่มีวันชนะผมได้หรอกนะ...นุ่น...คุณ...จะเป็นของใครไม่ได้จะต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น”เสียงของเจตต์ค่อยๆ แผ่วเบาและหายไป อิงอรหยัดยิ้มมุมปากหล่อนจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเจตต์ที่อาบด้วยแสงไฟเย็นซึ่งสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างในยามค่ำคืนของบังกะโลหลังเล็ก“เมาขนาดนี้ยังเพ้อหาถึงนางบำเรอไม่รู้จักหยุดหย่อนสงสัยจะหึงพี่นุ่นแน่ๆ..เชอะ!...พี่นุ่นมีอะไรดีถึงมัดใจท่านประธานได้ แต่จะว่าไปท่านประธานคงจะไม่ได้คิดจริงจังกับเลขาที่การศึกษาต่ำคนนั้นแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ”หล่อนพูดเบาๆเพราะมั่นใจแล้วว่าเจตต์หลับไปแล้วก่อนขยับลุกนั่งข้างๆ ร่างหนาใหญ่ที่นอนหงายเหยียดยาวอยู่บนเตียงเสียงลมหายใจของท่านประธานหนุ่มๆ หนักหน่วง มันไม่ใช่เสียงกรนแต่เป็นเสียงที่สร้างความพึงพอใจให้กับอิงอรนั่นเพราะหล่อนแน่ใจว่าเขาคงจะหลับไปแล้ว เมาจนหลับขนาดนี้ก็คงไม่รู้เรื่องหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นนักศึกษาสาวจึงค่อย ๆ แกะกระดุมของเขาออกทีละเม็ดแล้วค่อยๆ เปลื้องเสื้อเชิ้ตออกจากร่างของท่านประธานหนุ่มจากนั้นก็ค่อยๆ คลายหัวเข็มขัดของเขาและดึงก
“เกิดจากอะไรเหรอคะคุณเจตต์”“ผมเห็นคุณตอนที่คุยกับบุรินทร์ แค่เห็นคุณอยู่กับผู้ชายคนอื่นก็ทำให้หัวใจของผมอยู่ไม่เป็นสุข แต่ผมก็พยายามหลอกตัวเองว่าไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่ความหึงหวงอะไรทั้งนั้น คำว่าหึงหวงมันใช้กับคนที่รักกันแต่พอเจอกับเรื่องที่อิงอรจัดฉากให้ผมต้องรับผิดชอบ ยอมรับเธอเป็นภรรยา ตอนนั้นเองที่ผมรู้ใจตัวเองว่าผมคงไม่สามารถรักผู้หญิงคนไหนได้นอกจากคุณ”“นุ่นไม่ได้มีความสำคัญกับคุณมากถึงขนาดนั้นหรอกนะคะคุณเจต...นุ่นก็เป็นค่าผู้หญิงคนหนึ่งที่ยอมรับในสถานะของตัวเองว่าเป็นแค่ผู้หญิงชั่วคราวของคุณเท่านั้น”“คุณเป็นมากกว่านั้นนะนุ่น...อาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมมองข้าม ไม่ว่าจะเป็นนิสัยที่อ่อนหวานของคุณผมพึ่งมารู้ทีหลังก็ตอนที่คิดทบทวนเรื่องราวหลายๆ อย่างและผมก็ค่อยๆ มองเห็นมันทีละอย่าง ผมรู้ว่าคุณน่ะอ่อนหวานมากขนาดไหน ผมรู้ว่าคุณไม่เคยโกรธใครและคุณไม่เคยให้ร้ายใครเลยที่สำคัญคุณยอมผมทุกอย่าง”“ค่ะ...นุ่นยอมคุณทุกอย่างและพยายามคิดว่านุ่นจะต้องยอมรับสถานะผู้หญิงชั่วคราวของคุณให้ได้แต่นุ่นก็ผิดคำพูดของตั
“บุรินทร์ เป็นคนพาเด็กคนนั้นไปพบผมในวันนั้นที่เขาได้รู้ความจริง เขาให้เด็กคนนั้นรับสารภาพต่อหน้าว่าทำเรื่องอะไรไว้บ้างและเขาก็เป็นคนอัดคลิปวีดีโอทั้งหมด ตอนแรกผมก็โกรธมากเลยนะพอรู้ว่าอิงอรเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมา ตอนแรกเด็กคนนั้นพยายามที่จะขอโทษผม บอกว่าสำนึกผิดแล้วกับเรื่องทุกอย่างที่ทำไปแต่ถึงยังไงผมก็คิดว่าผมจะต้องให้บทเรียนอะไรสักอย่างหนึ่งให้อิงอรได้จดจำเอาไว้ว่าทีหลังอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกอย่างเด็ดขาดเพราะถ้าหากผมแสดงความเห็นใจและปล่อยเธอไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยมันก็จะไม่เกิดบทเรียนกับเธออย่างเด็ดขาด”“แล้วคุณจะทำยังไงกับอิงอรเหรอคะ?”“ผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของอิงอรกลับไปยังมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่อิงอรวางแผนจัดฉากให้ผมต้องเสียชื่อหรอกนะ”“แล้วมันจะมีผลอะไรกับอิงอรหรือเปล่าล่ะคะ”“มันก็มีผลมากพอสมควรนะ เพราะว่าผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานทางมหาวิทยาลัยแจ้งให้เด็กคนนี้ย้ายที่ฝึกงานและเรื่องนี้อาจารย์ที่รับผิดชอบวิชาฝึกงานก็รับทราบทั้งหมดแล้วและตอนนี้เด็กคนนั้
น้ำเสียงตอนท้ายของนันทินีเศร้าสร้อยลงจนทำให้เจ็บรู้สึกสะท้อนในหัวใจของเขา เจตต์ดึงมือของหล่อนมากุมไว้ เขาก้มลงจูบหลังมือนุ่มลื่นของหล่อนอีกครั้งและเงยหน้าขึ้น“ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ผิดคำพูดของตัวเองผมก็เหมือนกัน จริงๆ แล้วผมผิดคำพูดของตัวเองมาตั้งนานแล้วเพียงแต่ผมอาจจะยังเป็นคนดื้อรั้นและทิฐิไม่เคยยอมรับตัวเองและการที่ผมเป็นคนแบบนี้ก็เกือบจะทำให้ผมต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป”“คุณไม่เคยผิดคำพูดหรอกค่ะคุณเจตต์ คุณเป็นอย่างที่คุณเคยบอกฉันและฉันก็จะต้องยอมรับมัน เพียงแต่ฉันผิดเองที่ทำยังไงก็ทำใจยอมรับไม่ได้เลย คุณเจตน์คะเรื่องระหว่างคุณกับอิงอรฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องฉันตั้งใจและว่าการที่ฉันยอมลาออกมาจากบริษัทของคุณก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้มีทางเลือกและตัดสินใจเพราะฉันรู้ดีว่าคุณไม่เคยรักฉันมาตั้งแต่แรก เราต่างคนต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกันให้มันจบลงเพียงเท่านี้แล้วฉันก็จะไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น”“ถ้าอย่างนั้นคุณยอมรับกับผมมาก่อนได้ไหมว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้มีผู้ชายคนใหม่ และเด็กในท้องก็เป็นลูกของผม”น
“นุ่นเต็มใจจะอยู่อย่างนั้น และมันก็เหมาะสมกับนุ่นแล้วค่ะ”“ผมอาจจะเคยรู้สึกอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกเหมือนเก่า ผมคิดว่าควรพาคุณมาในที่ที่คุณอยากมา มาอย่างคนรักที่อยู่กันอย่างครอบครัว”“เราไม่ใช่ครอบครัวหรอกค่ะ เราเป็นแค่คนเคยรู้จักกัน”“เมื่อก่อนผมว่าคุณเป็นคนว่าง่าย แต่บทจะใจแข็งคุณก็ไม่ยอมใครง่าย ๆ เหมือนกันนะ...โอเค...ผมยอมแล้วล่ะ ไม่ว่าคุณอยากจะประชด หรือด่าว่าผมตรง ๆ ผมก็จะไม่ตอบโต้หรือคัดค้าน”“แล้วจะบอกนุ่นได้หรือยังคะว่า นอกจากการที่คุณอยากพานุ่นมาที่นี่คุณมีอะไรที่อยากบอกนุ่นอีก”“เยอะแยะมากมาย มันเยอะมาก ๆ จริง ๆ จนผมคิดว่าถ้าคุณได้รับรู้สิ่งนี้เรื่องที่ค้างคาระหว่างเราจะได้คลี่คลายเสียที”เขาพูดสั้น ๆ แต่นันทินีกลับมองไปทางอื่น ทำราวกับว่าหล่อนไม่อยากสนใจและไม่อยากรับฟังที่เขาพูด“นุ่น...หันมามองผมหน่อยจะได้ไหม?”“มีอะไรก็ว่ามาสิคะ” หล่อนหันกลับมาจ้องหน้าเขาตรงๆ เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วใจแทบละลายแต่
นันทินีตื่นขึ้นและเตรียมตัวไปทำงานในตอนเช้า หล่อนทำอะไรได้อย่างเชื่องช้าลงมากขึ้นทุกขณะก็เพราะสรีระของหล่อนที่เปลี่ยนไป ท้องที่เริ่มยื่นออกมามากขึ้นทุกที หล่อนรู้สึกได้ถึงแรงดิ้นของทารกในครรภ์ซึ่งหลังจากการไปตรวจครั้งล่าสุดทำให้นันทินีรู้ว่ากำลังจะมีลูกผู้ชายและนันทินีนึกในใจแล้วว่าหล่อนจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรและนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นันทินีมีความสุขมากที่สุดในเวลานี้นอกเหนือจากบางเวลาที่ยังนึกถึงผู้ให้กำเนิดเด็กในท้องของหล่อน นันทินีไม่ปฏิเสธว่าหลายครั้งก็ยังคิดถึงเจตต์ยังคิดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา นันทินีพยายามโกหกเขาไปว่าหลังได้งานใหม่ก็มีสามีใหม่ทั้งที่จริงแล้วหล่อนท้องก่อนที่จะลาออกจากบริษัทด้วยซ้ำและเด็กในท้องก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหากแต่เมื่อเรื่องราวมันมาถึงตอนนี้แล้วจะให้หล่อนกลับไปอ้างสิทธิ์ว่าเด็กในท้องเป็นลูกของท่านประธานบริษัทใหญ่ได้ยังไง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องของนักศึกษาฝึกงานสาวคนนั้นที่ไปมีความสัมพันธ์กับท่านประธานบริษัทมันก็ยิ่งทำให้หล่อนเจ็บปวดและแทบไม่อยากนึกถึงให้ร้าวรานหัวใจ นันทินีแต่งตัวเสร็จแล้วก็เปิดประตูรั้วบ้านออกไปหากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็
“เหนื่อยเหรอนุ่น?”เขาถามและแสดงสีหน้าเป็นห่วงใย“ไม่ได้เหนื่อยหรอกค่ะเพียงแต่ว่าพอเพิ่งกินอิ่มๆ นุ่นก็จะรู้สึกแน่นๆ ที่ช่วงบนของท้องนี่แหละค่ะ บอกแล้วไงคะว่านุ่นจะกินเยอะไม่ได้ถ้าจะกินก็ต้องแบ่งเป็นอาหารมื้อเล็กๆ แล้วค่อยๆกิน แล้วก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียดด้วยไม่อย่างนั้นก็จะรู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งวันเลย บางทีก็พาลจะหายใจไม่ออกด้วย”“แล้วนี่คุณอยู่คนเดียว ถ้าเกิดเป็นลมขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ นุ่นมีเบอร์โทรสายด่วนของโรงพยาบาล ก็ให้เขามารับที่บ้านก็ได้ นุ่นอยู่คนเดียวแบบนี้มาตั้งนานเท่าไหร่แล้ว ไม่มีใครก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่คะ”“ที่พูดผมไม่ได้อยากให้คุณประชดประชันผมหรอกนะนุ่นแต่ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ”ทั้งคำพูดสีหน้าและแววตาของเจตต์ที่แสดงออกมาล้วนแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นกังวลและเป็นห่วงในสวัสดิภาพของหล่อนจริงๆ หากแต่นันทินีก็ยังรู้สึกว่าที่เขาทำไปทุกอย่างอาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองผิดก็เท่านั้น สักครู่เจตต์ก็เอ่ยขึ้น“ที่คุณบอกผมว่าคุณอยู่คนเดียวม
นันทินีกล่าวเสียงเครือดวงตาของหล่อนเป็นรอยแดงก่ำนิดๆ นั่นเองทำให้เจตต์ขยับเข้าใกล้และจับไหล่ของหล่อนเอาไว้เขาก้มหน้าลงไปจนใกล้“เรื่องเมื่อก่อนก็คือเรื่องเมื่อก่อน แต่ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนกันแล้ว ทุกอย่างมันก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปนี่ไม่ใช่เหรอนุ่น”“ใช่ค่ะ...ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนหมดแล้ว ก็อย่างที่นุ่นบอกยังไงคะว่าระหว่างนุ่นกับคุณน่ะมันแทบไม่หลงเหลืออะไรไว้อีกแล้ว” หล่อนพูดน้ำเสียงเศร้าสร้อย นัยน์ตาคอยต่จะมีน้ำรื้นขึ้นมา นึกโกรธที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยบทที่ 23“ก่อนหน้านี้ตอนที่เราอยู่ด้วยกันเราสองคนก็ผูกพันกันแค่ทางกายแต่เรื่องหัวใจเราสองคนไม่เคยสื่อสารถึงกันถ้าคุณจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงมันก็ใช่นะคะแต่จะบอกอะไรให้นะคะ ระหว่างคุณกับนุ่นน่ะมันไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ เมื่อก่อนคุณไม่ได้รักไม่ได้ใยดีนุ่นยังไงเดี๋ยวนี้มันก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น”“ก็ถ้าผมบอกว่าความคิดของผมเมื่อก่อนกับตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วคุณจะเชื่อผมหรือเปล่า”
“ถ้าคุณเจตน์ท้องอย่างผู้หญิงได้คุณเจตก็คงจะเข้าใจนะคะว่าเวลาที่เราตั้งครรภ์เราจะเป็นยังไงบ้าง”“ผมว่าถ้าผมท้องได้จริงๆ ผมก็เต็มใจที่จะท้องแทนภรรยาของผมนะครับเพราะผมคิดว่านั่นคือความสุขของผู้ชาย มันเป็นความพึงพอใจที่เขาจะทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงที่เขารัก การอุ้มท้องถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากและมันอาจจะไม่เหมาะสมกับสรีระของผู้ชายแต่ถ้าหากวันหนึ่งเป็นไปได้ผู้ชายท้องแทนผู้หญิงก็คงจะมีผู้ชายหลายล้านคนในโลกเลยนะครับที่อยากจะท้องแทนเมียตัวเอง”“แหม...นี่เขากำลังพูดเรื่องของความรักความผูกพันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงและครอบครัวกันใช่ไหมคะเนี่ย ธิดาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ซะด้วยสิ”ธิดากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะจ้องมองเลขาส่วนตัวของหล่อนและเพื่อนหุ้นส่วนทางธุรกิจที่นั่งจ้องหน้ากันหากแต่หล่อนเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีเอะใจหรือระแคะระคายเกี่ยวกับเบื้องหลังของคนทั้งสองนอกจากความรู้สึกที่ว่านี่เป็นการพบกันและพูดคุยกันอย่างมีความสุขก็เท่านั้น“อุ๊ย!...อะไรกันเนี่ยรู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งออกมาจากบริษัทเมื่อตอนนี้เย็น นี่มันจะสองทุ่มแล้วเหรอ เร็วจังเลยนะคะเจตต์”ธิดาแสดงท่าทีเห
“ไม่ค่ะ...รุ่นไม่เคยคิดถึงคุณเลยตอนนี้ในสมองของนุ่นมีแต่เรื่องลูกเท่านั้น คุณไม่เห็นเหรอคะว่าตอนนี้นุ่นท้องกี่เดือนแล้ว”“ก็เห็นอยู่ว่าคุณท้อง 5 เดือนแล้วแต่ที่ผมอยากรู้ก็คือใครเป็นสามีของคุณ”“ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องบอกคุณเลยนะคะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของนุ่นค่ะ ขนาดเรื่องส่วนตัวของคุณนุ่นยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายเลย เพราะฉะนั้นเรื่องของนุ่นก็จะต้องเป็นเรื่องส่วนตัวที่คุณไม่มีสิทธิ์ว่าก้าวก่ายด้วยเช่นกันค่ะ”เจตต์กำลังจะอ้าปากพูดต่อหากแต่เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังด้านนอกและดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าใครกำลังจะกลับเข้ามาในห้อง เจตต์ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นและกลับไปนั่งที่เดิมของเขาด้วยความสงบและเยือกเย็น เขาสงบเช่นนั้นหรือ?...เปล่าเลย...ภายนอกของเขาอาจจะดูเย็นเป็นน้ำแข็งหากแต่ข้างในร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกได้ถึงความดื้อรั้นและถือดีของนันทินีอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตอนที่หล่อนทำงานเป็นเลขาของเขานันทินีเหมือนลูกแมวเชื่อง หากแต่เจตก็รู้ดีว่าระหว่างเขากับหล่อนมีสายใยผูกพันที่ร้อยรัดเอาไว้ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะแสดงความไม่สนใจใยดีและยื่นข้อเสนอให้หล่