หลังจากนั้นอีกเกือบชั่วโมงงานเลี้ยงก็ดูเหมือนว่าจะค่อยๆ เลิกราทุกคนขอตัวกลับ ส่วนหล่อนกับเจตต์ก็เดินออกมาที่ลานจอดรถแต่เมื่อมาถึงที่รถของเขาอิงอรต้องรีบเข้าไปประคองท่านประธานหนุ่มขณะที่เขาพยายามไขกุญแจรถแต่กุญแจรถกลับหลุดมือและเขาเองก็เซและดูเหมือนจะทรงตัวยืนแทบไม่ค่อยได้ เจตต์เอาหลังพิงกับรถขณะที่อิงอรเข้าไปประคองตัวเขาหล่อนก้มลงเก็บกุญแจรถและเอ่ยว่า
“ท่านประธานคะ...ไหวหรือเปล่าคะเนี่ย”
“ไหวสิ...ผมไหวนะก็บอกแล้วไงว่าผมไม่เมาผมไม่เมาหรอก”
เขาพูดแต่น้ำเสียงฟังดูไม่ปกติและอิงอรก็รู้ว่าตอนนี้เจตต์กำลังเมามากเพราะหน้าของเขาเป็นสีเข้มจัดและตอนที่เดินออกมาจากห้องจัดเลี้ยงของโรงแรมเจตก็เดินออกจะเซด้วยซ้ำเพียงแต่ว่าเวลาอยู่ต่อหน้าลูกค้าคนอื่นเขาจะพยายามควบคุมและบังคับตัวเองให้ดูเหมือนปกติหากทว่าพอมาถึงลานจอดรถเขากลับทรงตัวยืนแทบจะไม่อยู่จนทำให้นักศึกษาสาวฝึกงานต้องเข้ามาช่วยประคองตัวเขาเอาไว้ อิงอรก้มลงมองกุญแจแล้วพูดกับเขาว่า
“ท่านประธานเมาแล้วนะคะ ดูสิขนาดจะไขกุญแจรถท่านประธานก็ยังทำไม่ได้เลยนะคะ”
“ผมก็แค่มึนหน่อยๆ แต่ผมไม่ได้เมาผมพูดจริงๆ”
“อรว่าท่านประธานเมามากค่ะ...เอาอย่างนี้ดีกว่านะคะอรจะขับรถไปส่งท่านประธานเองท่านประธานน่ะไปนั่งที่นั่งข้างคนขับนะคะ”
“ว่าไงนะ...จะเอาอย่างนั้นจริงๆ เหรอ...นี่คุณขับรถยนต์เป็นด้วยเหรออิงอร”
“ขับเป็นสิคะ อรมีใบขับขี่รถยนต์นะคะ ทำเอาไว้แต่ก็ไม่ค่อยได้ขับ แต่ออนแน่ใจว่าคงจะไม่พาท่านประธานเลยบ้านอย่างแน่นอนค่ะ”
“โอเค ๆ...ถ้าอยากจะไปส่งผมก็ได้...แล้วก็...อ้าว...แล้วถ้าอรไปส่งผมแล้วใครจะมาส่งคุณกันล่ะ”
“เดี๋ยวอรพาท่านประธานไปส่งที่บ้านแล้วเราค่อยคิดกันอีกทีดีไหมคะว่าใครจะไปส่งอรที่หอพัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกค่ะ ตอนนี้ปัญหาใหญ่ก็คือท่านประธานกำลังจะตัวยืนไม่ไหวแล้วนะคะ แล้วก็ออนก็กำลังจะล้มเพราะว่าท่านประธานตัวหนักมากๆ เลยนะคะเนี่ย”
พออิงอรพูดอย่างนั้นก็เหมือนกับไปทำให้สติของท่านประธานหนุ่มหล่อกลับคืนมาเล็กน้อย หากแต่เจตต์ก็รู้ตัวเองแล้วว่าเขาไม่สามารถที่จะขับรถพาอิงอรไปส่งหอพักได้แล้วจริงๆ
บทที่ 16
ชายหนุ่มจึงยินยอมให้นักศึกษาฝึกงานประคองตัวเขาไปนั่งฝั่งข้างคนขับและปล่อยให้อิงอรเป็นคนขับรถพาเข้าไปเองและขนาดที่นั่งอยู่ในรถเกดก็อยู่ในอาการมึนงงก็ปรับเก้าอี้ให้เอลงกึ่งนั่งกึ่งนอนขณะนั้นเขาเองก็ยังมีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่บ้างและรู้สึกว่าอิงอรขับรถของเขาออกไปจากลานจอดรถของโรงแรมลักษณะท่าทางการขับของนักศึกษาสาวดูคล่องแคล่ว หากแต่เขาก็มึนงงมากเกินกว่าที่จะพูดอะไรได้มากไปกว่านี้กระทั่งมารู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อได้ยินเสียงอิงอรเรียกเขา
“ท่านประธานคะ...ตื่นเถอะค่ะ...ถึงแล้วนะคะ”
อิงอรเรียกและเจตต์ก็มีท่าทางที่ยังงัวเงียเขายังไม่สร่างเมา เขาลืมตาขึ้นในลักษณะอาการของคุณสะลึมสะลือ
“นี่ถึงบ้านของผมแล้วเหรออิงอร”
“ยังไม่ทันถึงหรอกค่ะ แต่อรจะแวะมาที่นี่เพื่อที่จะให้ท่านประธานล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นซะก่อน แล้วเดี๋ยวอรจะขับรถออกไปส่งท่านประธานที่บ้านนะคะ”
“ล้างหน้าล้างตาอย่างนั้นเหรอ...แล้วที่นี่ที่ไหนกัน?”
“ก็เป็นบังกะโลเล็กๆ ค่ะท่านประธานแต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ อรแค่จะให้ท่านประธานได้ล้างหน้าได้เช็ดตัวให้สดชื่นก่อนเพราะถ้าเกิดว่าท่านประธานกลับบ้านแบบเมาแอ๋ไปแบบนี้มันต้องดูไม่ดีแน่ๆ เลยล่ะค่ะ”
เจตต์ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ตอนนี้เขารู้สึกว่าสติของตัวเองเริ่มมีน้อยลงทุกขณะ ประสาทสั่งการของเขาเชื่องช้าลงและทุกอย่างมันดูถดถอยไปหมด ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสามารถที่จะทำให้ตัวเองทรงตัวลุกจากที่นั่งของรถได้เพียงเล็กน้อยโดยมีอิงอรเข้าไปช่วยประคองและพาเขาเข้าไปในบังกะโลหลังเล็กซึ่งอยู่ห่างมาจากโรงแรมที่จัดงานเลี้ยงประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง เจตต์แทบไม่รู้ตัวเลยว่าเขากำลังจะเดินแทบไม่ไหว อิงอร ประคองเขาเข้าไปในห้องนั้น หล่อนเปิดประตูแต่ไม่ได้เปิดไฟค่อยๆ ประคองเขาเข้าไปแล้วดันร่างหนาใหญ่ลงไปนอนบนเตียงนอน ได้ยินเสียงงึมงำของเจตต์ดังอยู่ในลำคอฟังไม่ได้ศัพท์ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกระทั่งหล่อนเรียงหน้าเข้าไปฟังใกล้ๆ ถึงได้ยิน
“นุ่น...คิดว่าเก่งกว่าผมหรือยังไง คุณไม่มีวันชนะผมได้หรอกนะ...นุ่น...คุณ...จะเป็นของใครไม่ได้จะต้องเป็นของผมคนเดียวเท่านั้น”เสียงของเจตต์ค่อยๆ แผ่วเบาและหายไป อิงอรหยัดยิ้มมุมปากหล่อนจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมคายของเจตต์ที่อาบด้วยแสงไฟเย็นซึ่งสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างในยามค่ำคืนของบังกะโลหลังเล็ก“เมาขนาดนี้ยังเพ้อหาถึงนางบำเรอไม่รู้จักหยุดหย่อนสงสัยจะหึงพี่นุ่นแน่ๆ..เชอะ!...พี่นุ่นมีอะไรดีถึงมัดใจท่านประธานได้ แต่จะว่าไปท่านประธานคงจะไม่ได้คิดจริงจังกับเลขาที่การศึกษาต่ำคนนั้นแน่ ๆ เลยใช่ไหมคะ”หล่อนพูดเบาๆเพราะมั่นใจแล้วว่าเจตต์หลับไปแล้วก่อนขยับลุกนั่งข้างๆ ร่างหนาใหญ่ที่นอนหงายเหยียดยาวอยู่บนเตียงเสียงลมหายใจของท่านประธานหนุ่มๆ หนักหน่วง มันไม่ใช่เสียงกรนแต่เป็นเสียงที่สร้างความพึงพอใจให้กับอิงอรนั่นเพราะหล่อนแน่ใจว่าเขาคงจะหลับไปแล้ว เมาจนหลับขนาดนี้ก็คงไม่รู้เรื่องหรอกว่าเกิดอะไรขึ้นนักศึกษาสาวจึงค่อย ๆ แกะกระดุมของเขาออกทีละเม็ดแล้วค่อยๆ เปลื้องเสื้อเชิ้ตออกจากร่างของท่านประธานหนุ่มจากนั้นก็ค่อยๆ คลายหัวเข็มขัดของเขาและดึงก
“อรก็คงไม่ต้องการอะไรหรอกค่ะนอกจากความรับผิดชอบจากท่านประธานเท่านั้น”คำตอบของอิงอรยิ่งทำให้ความรู้สึกของนันทินีดิ่งลึกมากกว่าเดิมลงไปอีก รับผิดชอบอย่างนั้นหรือ?...นั่นก็หมายความว่าเจตต์จะต้องทำในสิ่งที่อิงอรต้องการ เขาต้องรับผิดชอบชีวิตของอิงอรในเมื่อเขาทำให้หล่อนเกิดความเสียหายทั้งชื่อเสียงและร่างกาย สำหรับนันทินีรันแล้วมันช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าหากแต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรได้นอกจากจะให้กำลังใจนักศึกษาสาวรุ่นน้องบทที่ 17“ไม่เป็นไรหรอกนะอร พี่คิดว่าท่านประธานคงจะต้องรับผิดชอบอรจากสิ่งที่เขาได้กระทำลงไปแล้ว เรื่องนี้มีใครรู้อีกบ้างไหมนอกจากพี่”“ไม่มีค่ะ...อรไว้ใจพี่นุ่นมากที่สุดเลยนะคะก็เลยโทรมาหาพี่นุ่นเป็นคนแรกเพื่อว่าจะได้ให้พี่นุ่นน่ะช่วยเป็นพยานว่าอรอ่ะไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเองเผื่อถ้าต่อไปมีใครมารู้เรื่องเข้าก็อาจจะหาว่าอรสร้างเรื่องขึ้นมา อรแค่อยากให้พี่นุ่นเข้าใจก็เท่านั้นว่าอรเสียหายและเรื่องทุกอย่างก็เกิดจากความไม่ตั้งใจ อรก็ไม่นึกเลยนะคะว่าท่านประธานจะใจเร็วกับอรมากถึงขนาดนี้ก่อนหน
“ผมจำได้ว่าผมเมามากและคุณก็เป็นคนอาสาที่จะขับรถให้ผมและผมก็จำได้ก่อนที่จะหลับไปบอกว่าจะแวะที่ไหนสักแห่งนึงแล้วจะเช็ดหน้าเช็ดตัวให้ผมถ้าผมจำไม่ผิดผมก็จำได้แค่นั้นเอง”“แล้วทำไมเราสองคนถึงได้อยู่ในสภาพแบบนี้ล่ะคะ...ท่านประธานกำลังจะเบี่ยงเบนประเด็นใช่ไหมคะ คงไม่อยากรับผิดชอบในสิ่งที่ทำไว้กับอรใช่ไหม”“ผมยังไม่รู้เลยอิงอรว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ไม่ใช่ว่าผมจะไม่รับผิดชอบนะแต่ผมคิดว่าถึงเมามากขนาดไหนผมจะไม่ทำเรื่องอะไรแบบนั้นเป็นอันขาด”“ท่านประธานเป็นผู้ชายก็พูดได้สิคะ อยากจะปัดความรับผิดชอบก็พูดได้ แค่บอกว่ากินเหล้าเมาแล้วไม่รู้เรื่องว่าทำอะไรลงไปทั้งๆ ที่ทำให้คนอื่นเสียหาย อรไม่นึกเลยนะคะว่าท่านประธานจะเป็นคนแบบนี้ แต่ถึงยังไงท่านประธานก็ต้องรับผิดชอบกับความเสียหายและชื่อเสียงของอรที่มันจะต้องเสียไป อรไม่ยอมหรอกนะคะ ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้วถ้าท่านประธานจะบอกว่าไม่รับผิดชอบอรก็คงจะต้องให้คนอื่นได้รับรู้เพื่อที่เขาจะได้ช่วยกันเป็นพยานว่าอรถูกทุกท่านประธานทำอะไรบ้าง”คำพูดของนักศึกษาสาวเหมือนเป็นคำขู่แล
“เรียบร้อยแล้วนะบุรินทร์...นี่พี่ส่งผลการประเมินครึ่งแรกของนักศึกษาฝึกงานที่ฝึกงานอยู่ในแผนกของบุรินทร์กลับไปให้ทางมหาวิทยาลัยเรียบร้อยหมดทุกคนแล้วนะจ๊ะ”จิตรา หัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคลซึ่งเป็นหญิงวัยประมาณ 40 กว่ากล่าวกับบุรินทร์หลังจากที่เขาเข้ามาในห้องทำงานซึ่งเป็นแผนกฝ่ายบุคคลหลังจากมาติดต่อเรื่องการส่งแบบประเมินของนักศึกษาฝึกงานกลับไปที่มหาวิทยาลัยเพื่อเป็นการรายงานความคืบหน้าและติดตามผลการฝึกงานของนักศึกษาที่เข้ามาช่วยงานในบริษัท บุรินทร์ยกมือไหว้สาวใหญ่และเอ่ยว่า“ขอบคุณมากนะครับพี่จิ๊ก พี่จิ๊กช่วยเหลือผมได้เยอะเลยเรื่องการประเมิน บางอย่างผมก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างที่จะได้ทำแบบประเมิน แต่ว่าผมก็ให้คะแนนนักศึกษาฝึกงานสูงทุกคนเลยนะครับเพราะทุกคนตั้งใจทำงานและทำงานดีกันหมดเลย”“ไม่เป็นไรหรอกนะ บุรินทร์ก็เป็นหัวหน้าของน้องๆ ที่น่ารักมาก เด็กๆ ก็เลยให้ความเคารพและตั้งใจทำงานแต่นี่จะว่าไปนะพี่ยังนึกถึงนุ่นอยู่เลยนะ”คำกล่าวของจิตราทำให้บุรินทร์ชะงักนิ่ง ใช่แต่จิตราเท่านั้นที่รู้สึกใจหายกับการลาออกไปของนันทินี แต่เขาเองก็ไม่รู้ต้
“แพรวเรื่องนี้อรพูดกับแพรวข้างนอกไม่ได้หรอกนะเดี๋ยวใครจะมาได้ยิน”มันเป็นน้ำเสียงที่บุรินทร์จำได้ว่าเป็นอิงอรนักศึกษาสาวฝึกงาน เขาไม่ได้ลุกขึ้นแต่ยังคงนั่งนิ่งอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานที่อยู่ด้านในสุด ตอนแรกก็คิดว่าจะลุกขึ้นและกล่าวทักทายนักศึกษาฝึกงานสาวรุ่นน้องหากไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าหล่อนพูดคุยทางโทรศัพท์เสียก่อน“รู้ไหมแพรวถ้าคืนนั้นท่านประธานไม่ดื่มเหล้าจนเมาแผนของอรก็ไม่มีวันสำเร็จหรอกนะ แผนการที่จะจับท่านประธานไงล่ะ ก็คิดดูสิว่าเหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนเป็นใจ ตอนนี้ท่านประธานจะทำอะไรหรือกระดิกตัวไปไหนเขาก็จะต้องคิดให้หนักๆ เลยล่ะ ก็แน่ล่ะสิถึงยังไงตอนนี้เขาก็เหมือนลูกไก่ที่อยู่ในกำมือของอรอยู่แล้วนี่นะ รู้ไหมว่าตั้งแต่เกิดเรื่องมันมีอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไปหมดเลยนะ” อิงอรหยุดพูดชั่วขณะพลางชะโงกหน้าดูว่าจะมีใครเข้ามาก่อนพูดต่อบทที่ 19“อ๋อ...แพรวอยากรู้เหรอว่าออนทำยังไงถึงได้จับท่านประธานหนุ่มสุดหล่อเจ้าของโรงแรมหรูที่มีอยู่ทั่วโลกมากมายได้อยู่หมัด รู้ไหมว่าวันนั้นท่านประธานให้อรติดตามไป
อิงอรวางโทรศัพท์และยิ้มอย่างมีความสุขแววตาของหล่อนใช้ประกายหมายมาตราออกมาแต่ขณะที่ลุกขึ้นและกำลังจะก้าวออกไปจากห้องก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากด้านหลัง“อร...จะไปไหนเหรอ?”อิงอรหันกลับมาและถึงกับผงะเมื่อเห็นว่าใครยืนอยู่ที่โต๊ะทำงานด้านในสุดของห้องหน้าหล่อนซีดลงในทันใด“พี่บุรินทร์...พะ...พี่บุรินทร์เข้ามาอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย”“พี่ก็เข้ามาสักพักใหญ่แล้วล่ะ ตอนแรกที่เข้ามาติดต่องานกับพี่จิตราแต่ว่าพี่จิตราออกไปพักกินข้าวเที่ยง ตอนแรกพี่ก็ว่าจะตามออกไปแต่พอดีไม่รู้มีอะไรดลใจนะให้มือพี่ไปปัดของบนโต๊ะของพี่จิ๊กแล้วมันก็กลิ้งมาตรงนี้ พอพี่ก้มลงเก็บก็พอดีกับที่อรเดินเข้ามาในห้องนี้ยังไงล่ะ”คำตอบนั้นทำให้อิงอรหน้าซีดลงไปอีกหากแต่หล่อนก็พยายามเก็บอาการและกลับออกไปว่า“นี่อรไม่รู้เลยนะคะว่ามีคนอยู่ในห้องนี้ นึกว่าอรอยู่ในห้องนี้คนเดียวซะอีก แล้วเห็นว่าพี่บุรินทร์จะออกไปพักกินข้าวเที่ยงนี่ไม่ใช่เหรอคะ”“ตอนแรกพี่ก็คิดว่าพี่จะไปกินข้าวเที่ยงนั่นแหละ เพราะนัดน้อง ๆ เอาไ
“วันนี้มีอะไรพิเศษอย่างนั้นเหรอคะพี่ธิดา”“วันนี้พี่มีค่ะคนสำคัญเราจะนัดพูดคุยกันตอนเย็นนี้จ้ะ”“คนสำคัญอย่างนั้นเหรอคะพี่ธิดา..เขาเป็นเพื่อนของพี่ดาใช่ไหมคะ?”“เป็นคนที่รู้จักกันมานานแล้วแต่ว่าพี่กับเขาเพิ่งพูดคุยกันเรื่องการร่วมทุนการทำธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ คือเขาเป็นนักธุรกิจที่มีความสามารถมากๆในการขยายงานธุรกิจทางด้านที่ดินและโครงการก่อสร้าง”“จริงๆ แล้วพี่ธิดาก็เป็นคนเก่งนะคะ เพราะว่าพี่ธิดาก็ทำงานทางด้านนี้มาตั้งนานแล้วทั้งทางด้านสังหาริมทรัพย์และก็อสังหาริมทรัพย์”“ใช่...พี่ก็ยอมรับนะว่าพี่ทำงานด้านนี้มานานแล้วแต่ว่าพี่อยากจะขยายธุรกิจโดยการร่วมลงทุนกับเพื่อนนักธุรกิจที่มีความสามารถทางด้านนี้เพื่อที่งานของพี่จะได้ขยายตัวออกไปมากกว่าเดิมไงล่ะจ๊ะ”“พี่ธิดาเป็นคนเก่งมากๆ เลยนะคะและเป็นเจ้านายที่ดีมากๆ สำหรับนุ่น เฉพาะธุรกิจที่มีอยู่ในมือของพี่ธิดาตอนนี้นุ่นก็เห็นว่าทำกันก็ไม่ค่อยจะทันอยู่แล้วแต่พี่ดาก็ยังจะขยายธุรกิจของตัวเองออกไปให้มากกว่าเดิมอีกขอให้
“เก่งจังเลยนะครับ ท้องห้าเดือนแล้วแต่ยังทำงานเก่งขนาดนี้”“ถึงเลขาของธิดาจะท้องแต่เรื่องงานนี่ขอยกให้เลยล่ะค่ะ นุ่นมีความรับผิดชอบมาก ทำงานเก่ง ตอนมาสมัครงานกับธิดาใหม่ ๆ เขาก็ท้องได้เดือนกว่าเกือบสองเดือนแล้ว แต่ก็รับเขาเอาไว้เพราะเห็นว่าเขามีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่อง เขาเคยผ่านงานกับเจ้านายชาวต่างชาติมาก่อนด้วย”“ผ่านงานกับชาวต่างชาติอย่างนั้นเหรอครับ แล้วไม่ทราบว่าคุณนุ่นเคยทำงานที่ไหนมาก่อนครับ”เจตต์ถาม เป็นคำถามที่ทำให้นันทินีอึ้ง หล่อนพยายามรวบรวมสติ แต่ก่อนตอบคำถามนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นของธิดา หล่อนรีบรับสายก่อนหันมาบอกว่า“เจตต์คะ...ธิดาขอคุยธุระกับหุ้นส่วนสักห้านาทีนะคะ เขาโทรมาจากต่างประเทศค่ะ”พูดจบก็ออกไปจากห้องนั้น นันทินีมองตามก่อนเจตต์รีบลุกขึ้นและขยับมานั่งข้างเลขาสาว หล่อนเบิกตากว้างบทที่ 21“คุณเจตต์...จะทำอะไรคะ?”“ผมไม่ได้ทำอะไร แค่อยากมานั่งใกล้คุณ”“อย่าทำอะไรรุ่มร่า
“บุรินทร์ เป็นคนพาเด็กคนนั้นไปพบผมในวันนั้นที่เขาได้รู้ความจริง เขาให้เด็กคนนั้นรับสารภาพต่อหน้าว่าทำเรื่องอะไรไว้บ้างและเขาก็เป็นคนอัดคลิปวีดีโอทั้งหมด ตอนแรกผมก็โกรธมากเลยนะพอรู้ว่าอิงอรเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมา ตอนแรกเด็กคนนั้นพยายามที่จะขอโทษผม บอกว่าสำนึกผิดแล้วกับเรื่องทุกอย่างที่ทำไปแต่ถึงยังไงผมก็คิดว่าผมจะต้องให้บทเรียนอะไรสักอย่างหนึ่งให้อิงอรได้จดจำเอาไว้ว่าทีหลังอย่าไปทำแบบนี้กับใครอีกอย่างเด็ดขาดเพราะถ้าหากผมแสดงความเห็นใจและปล่อยเธอไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยมันก็จะไม่เกิดบทเรียนกับเธออย่างเด็ดขาด”“แล้วคุณจะทำยังไงกับอิงอรเหรอคะ?”“ผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานความประพฤติที่ไม่เหมาะสมของอิงอรกลับไปยังมหาวิทยาลัย แต่ก็ไม่ได้เปิดเผยเรื่องที่อิงอรวางแผนจัดฉากให้ผมต้องเสียชื่อหรอกนะ”“แล้วมันจะมีผลอะไรกับอิงอรหรือเปล่าล่ะคะ”“มันก็มีผลมากพอสมควรนะ เพราะว่าผมให้หัวหน้าฝ่ายบุคคลรายงานทางมหาวิทยาลัยแจ้งให้เด็กคนนี้ย้ายที่ฝึกงานและเรื่องนี้อาจารย์ที่รับผิดชอบวิชาฝึกงานก็รับทราบทั้งหมดแล้วและตอนนี้เด็กคนนั้
น้ำเสียงตอนท้ายของนันทินีเศร้าสร้อยลงจนทำให้เจ็บรู้สึกสะท้อนในหัวใจของเขา เจตต์ดึงมือของหล่อนมากุมไว้ เขาก้มลงจูบหลังมือนุ่มลื่นของหล่อนอีกครั้งและเงยหน้าขึ้น“ไม่ใช่คุณคนเดียวหรอกที่ผิดคำพูดของตัวเองผมก็เหมือนกัน จริงๆ แล้วผมผิดคำพูดของตัวเองมาตั้งนานแล้วเพียงแต่ผมอาจจะยังเป็นคนดื้อรั้นและทิฐิไม่เคยยอมรับตัวเองและการที่ผมเป็นคนแบบนี้ก็เกือบจะทำให้ผมต้องสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตไป”“คุณไม่เคยผิดคำพูดหรอกค่ะคุณเจตต์ คุณเป็นอย่างที่คุณเคยบอกฉันและฉันก็จะต้องยอมรับมัน เพียงแต่ฉันผิดเองที่ทำยังไงก็ทำใจยอมรับไม่ได้เลย คุณเจตน์คะเรื่องระหว่างคุณกับอิงอรฉันจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวเรื่องฉันตั้งใจและว่าการที่ฉันยอมลาออกมาจากบริษัทของคุณก็เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้คุณได้มีทางเลือกและตัดสินใจเพราะฉันรู้ดีว่าคุณไม่เคยรักฉันมาตั้งแต่แรก เราต่างคนต่างมีความรู้สึกที่ดีต่อกันให้มันจบลงเพียงเท่านี้แล้วฉันก็จะไม่เรียกร้องอะไรทั้งสิ้น”“ถ้าอย่างนั้นคุณยอมรับกับผมมาก่อนได้ไหมว่าจริงๆ แล้วคุณไม่ได้มีผู้ชายคนใหม่ และเด็กในท้องก็เป็นลูกของผม”น
“นุ่นเต็มใจจะอยู่อย่างนั้น และมันก็เหมาะสมกับนุ่นแล้วค่ะ”“ผมอาจจะเคยรู้สึกอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมอยากให้คุณรู้ว่าผมไม่ได้รู้สึกเหมือนเก่า ผมคิดว่าควรพาคุณมาในที่ที่คุณอยากมา มาอย่างคนรักที่อยู่กันอย่างครอบครัว”“เราไม่ใช่ครอบครัวหรอกค่ะ เราเป็นแค่คนเคยรู้จักกัน”“เมื่อก่อนผมว่าคุณเป็นคนว่าง่าย แต่บทจะใจแข็งคุณก็ไม่ยอมใครง่าย ๆ เหมือนกันนะ...โอเค...ผมยอมแล้วล่ะ ไม่ว่าคุณอยากจะประชด หรือด่าว่าผมตรง ๆ ผมก็จะไม่ตอบโต้หรือคัดค้าน”“แล้วจะบอกนุ่นได้หรือยังคะว่า นอกจากการที่คุณอยากพานุ่นมาที่นี่คุณมีอะไรที่อยากบอกนุ่นอีก”“เยอะแยะมากมาย มันเยอะมาก ๆ จริง ๆ จนผมคิดว่าถ้าคุณได้รับรู้สิ่งนี้เรื่องที่ค้างคาระหว่างเราจะได้คลี่คลายเสียที”เขาพูดสั้น ๆ แต่นันทินีกลับมองไปทางอื่น ทำราวกับว่าหล่อนไม่อยากสนใจและไม่อยากรับฟังที่เขาพูด“นุ่น...หันมามองผมหน่อยจะได้ไหม?”“มีอะไรก็ว่ามาสิคะ” หล่อนหันกลับมาจ้องหน้าเขาตรงๆ เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนแล้วใจแทบละลายแต่
นันทินีตื่นขึ้นและเตรียมตัวไปทำงานในตอนเช้า หล่อนทำอะไรได้อย่างเชื่องช้าลงมากขึ้นทุกขณะก็เพราะสรีระของหล่อนที่เปลี่ยนไป ท้องที่เริ่มยื่นออกมามากขึ้นทุกที หล่อนรู้สึกได้ถึงแรงดิ้นของทารกในครรภ์ซึ่งหลังจากการไปตรวจครั้งล่าสุดทำให้นันทินีรู้ว่ากำลังจะมีลูกผู้ชายและนันทินีนึกในใจแล้วว่าหล่อนจะตั้งชื่อลูกว่าอะไรและนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้นันทินีมีความสุขมากที่สุดในเวลานี้นอกเหนือจากบางเวลาที่ยังนึกถึงผู้ให้กำเนิดเด็กในท้องของหล่อน นันทินีไม่ปฏิเสธว่าหลายครั้งก็ยังคิดถึงเจตต์ยังคิดถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมา นันทินีพยายามโกหกเขาไปว่าหลังได้งานใหม่ก็มีสามีใหม่ทั้งที่จริงแล้วหล่อนท้องก่อนที่จะลาออกจากบริษัทด้วยซ้ำและเด็กในท้องก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาหากแต่เมื่อเรื่องราวมันมาถึงตอนนี้แล้วจะให้หล่อนกลับไปอ้างสิทธิ์ว่าเด็กในท้องเป็นลูกของท่านประธานบริษัทใหญ่ได้ยังไง และยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเรื่องของนักศึกษาฝึกงานสาวคนนั้นที่ไปมีความสัมพันธ์กับท่านประธานบริษัทมันก็ยิ่งทำให้หล่อนเจ็บปวดและแทบไม่อยากนึกถึงให้ร้าวรานหัวใจ นันทินีแต่งตัวเสร็จแล้วก็เปิดประตูรั้วบ้านออกไปหากแต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็
“เหนื่อยเหรอนุ่น?”เขาถามและแสดงสีหน้าเป็นห่วงใย“ไม่ได้เหนื่อยหรอกค่ะเพียงแต่ว่าพอเพิ่งกินอิ่มๆ นุ่นก็จะรู้สึกแน่นๆ ที่ช่วงบนของท้องนี่แหละค่ะ บอกแล้วไงคะว่านุ่นจะกินเยอะไม่ได้ถ้าจะกินก็ต้องแบ่งเป็นอาหารมื้อเล็กๆ แล้วค่อยๆกิน แล้วก็ต้องเคี้ยวให้ละเอียดด้วยไม่อย่างนั้นก็จะรู้สึกไม่สบายตัวไปทั้งวันเลย บางทีก็พาลจะหายใจไม่ออกด้วย”“แล้วนี่คุณอยู่คนเดียว ถ้าเกิดเป็นลมขึ้นมาแล้วจะทำยังไง”“ก็ไม่เห็นเป็นไรนี่คะ นุ่นมีเบอร์โทรสายด่วนของโรงพยาบาล ก็ให้เขามารับที่บ้านก็ได้ นุ่นอยู่คนเดียวแบบนี้มาตั้งนานเท่าไหร่แล้ว ไม่มีใครก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่คะ”“ที่พูดผมไม่ได้อยากให้คุณประชดประชันผมหรอกนะนุ่นแต่ผมเป็นห่วงคุณจริงๆ นะ”ทั้งคำพูดสีหน้าและแววตาของเจตต์ที่แสดงออกมาล้วนแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นกังวลและเป็นห่วงในสวัสดิภาพของหล่อนจริงๆ หากแต่นันทินีก็ยังรู้สึกว่าที่เขาทำไปทุกอย่างอาจจะเป็นเพราะเขาไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองผิดก็เท่านั้น สักครู่เจตต์ก็เอ่ยขึ้น“ที่คุณบอกผมว่าคุณอยู่คนเดียวม
นันทินีกล่าวเสียงเครือดวงตาของหล่อนเป็นรอยแดงก่ำนิดๆ นั่นเองทำให้เจตต์ขยับเข้าใกล้และจับไหล่ของหล่อนเอาไว้เขาก้มหน้าลงไปจนใกล้“เรื่องเมื่อก่อนก็คือเรื่องเมื่อก่อน แต่ตอนนี้กับเมื่อก่อนมันไม่เหมือนกันแล้ว ทุกอย่างมันก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปนี่ไม่ใช่เหรอนุ่น”“ใช่ค่ะ...ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจนหมดแล้ว ก็อย่างที่นุ่นบอกยังไงคะว่าระหว่างนุ่นกับคุณน่ะมันแทบไม่หลงเหลืออะไรไว้อีกแล้ว” หล่อนพูดน้ำเสียงเศร้าสร้อย นัยน์ตาคอยต่จะมีน้ำรื้นขึ้นมา นึกโกรธที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เลยบทที่ 23“ก่อนหน้านี้ตอนที่เราอยู่ด้วยกันเราสองคนก็ผูกพันกันแค่ทางกายแต่เรื่องหัวใจเราสองคนไม่เคยสื่อสารถึงกันถ้าคุณจะบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงมันก็ใช่นะคะแต่จะบอกอะไรให้นะคะ ระหว่างคุณกับนุ่นน่ะมันไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรอกค่ะ เมื่อก่อนคุณไม่ได้รักไม่ได้ใยดีนุ่นยังไงเดี๋ยวนี้มันก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น”“ก็ถ้าผมบอกว่าความคิดของผมเมื่อก่อนกับตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วคุณจะเชื่อผมหรือเปล่า”
“ถ้าคุณเจตน์ท้องอย่างผู้หญิงได้คุณเจตก็คงจะเข้าใจนะคะว่าเวลาที่เราตั้งครรภ์เราจะเป็นยังไงบ้าง”“ผมว่าถ้าผมท้องได้จริงๆ ผมก็เต็มใจที่จะท้องแทนภรรยาของผมนะครับเพราะผมคิดว่านั่นคือความสุขของผู้ชาย มันเป็นความพึงพอใจที่เขาจะทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงที่เขารัก การอุ้มท้องถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากและมันอาจจะไม่เหมาะสมกับสรีระของผู้ชายแต่ถ้าหากวันหนึ่งเป็นไปได้ผู้ชายท้องแทนผู้หญิงก็คงจะมีผู้ชายหลายล้านคนในโลกเลยนะครับที่อยากจะท้องแทนเมียตัวเอง”“แหม...นี่เขากำลังพูดเรื่องของความรักความผูกพันระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงและครอบครัวกันใช่ไหมคะเนี่ย ธิดาเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้ซะด้วยสิ”ธิดากล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะจ้องมองเลขาส่วนตัวของหล่อนและเพื่อนหุ้นส่วนทางธุรกิจที่นั่งจ้องหน้ากันหากแต่หล่อนเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีเอะใจหรือระแคะระคายเกี่ยวกับเบื้องหลังของคนทั้งสองนอกจากความรู้สึกที่ว่านี่เป็นการพบกันและพูดคุยกันอย่างมีความสุขก็เท่านั้น“อุ๊ย!...อะไรกันเนี่ยรู้สึกเหมือนกับว่าเพิ่งออกมาจากบริษัทเมื่อตอนนี้เย็น นี่มันจะสองทุ่มแล้วเหรอ เร็วจังเลยนะคะเจตต์”ธิดาแสดงท่าทีเห
“ไม่ค่ะ...รุ่นไม่เคยคิดถึงคุณเลยตอนนี้ในสมองของนุ่นมีแต่เรื่องลูกเท่านั้น คุณไม่เห็นเหรอคะว่าตอนนี้นุ่นท้องกี่เดือนแล้ว”“ก็เห็นอยู่ว่าคุณท้อง 5 เดือนแล้วแต่ที่ผมอยากรู้ก็คือใครเป็นสามีของคุณ”“ไม่เห็นจำเป็นที่จะต้องบอกคุณเลยนะคะ มันเป็นเรื่องส่วนตัวของนุ่นค่ะ ขนาดเรื่องส่วนตัวของคุณนุ่นยังไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือก้าวก่ายเลย เพราะฉะนั้นเรื่องของนุ่นก็จะต้องเป็นเรื่องส่วนตัวที่คุณไม่มีสิทธิ์ว่าก้าวก่ายด้วยเช่นกันค่ะ”เจตต์กำลังจะอ้าปากพูดต่อหากแต่เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังด้านนอกและดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่าใครกำลังจะกลับเข้ามาในห้อง เจตต์ค่อยๆขยับตัวลุกขึ้นและกลับไปนั่งที่เดิมของเขาด้วยความสงบและเยือกเย็น เขาสงบเช่นนั้นหรือ?...เปล่าเลย...ภายนอกของเขาอาจจะดูเย็นเป็นน้ำแข็งหากแต่ข้างในร้อนรุ่มอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขารู้สึกได้ถึงความดื้อรั้นและถือดีของนันทินีอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตอนที่หล่อนทำงานเป็นเลขาของเขานันทินีเหมือนลูกแมวเชื่อง หากแต่เจตก็รู้ดีว่าระหว่างเขากับหล่อนมีสายใยผูกพันที่ร้อยรัดเอาไว้ แม้ก่อนหน้านี้เขาจะแสดงความไม่สนใจใยดีและยื่นข้อเสนอให้หล่
“เก่งจังเลยนะครับ ท้องห้าเดือนแล้วแต่ยังทำงานเก่งขนาดนี้”“ถึงเลขาของธิดาจะท้องแต่เรื่องงานนี่ขอยกให้เลยล่ะค่ะ นุ่นมีความรับผิดชอบมาก ทำงานเก่ง ตอนมาสมัครงานกับธิดาใหม่ ๆ เขาก็ท้องได้เดือนกว่าเกือบสองเดือนแล้ว แต่ก็รับเขาเอาไว้เพราะเห็นว่าเขามีความสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่อง เขาเคยผ่านงานกับเจ้านายชาวต่างชาติมาก่อนด้วย”“ผ่านงานกับชาวต่างชาติอย่างนั้นเหรอครับ แล้วไม่ทราบว่าคุณนุ่นเคยทำงานที่ไหนมาก่อนครับ”เจตต์ถาม เป็นคำถามที่ทำให้นันทินีอึ้ง หล่อนพยายามรวบรวมสติ แต่ก่อนตอบคำถามนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นของธิดา หล่อนรีบรับสายก่อนหันมาบอกว่า“เจตต์คะ...ธิดาขอคุยธุระกับหุ้นส่วนสักห้านาทีนะคะ เขาโทรมาจากต่างประเทศค่ะ”พูดจบก็ออกไปจากห้องนั้น นันทินีมองตามก่อนเจตต์รีบลุกขึ้นและขยับมานั่งข้างเลขาสาว หล่อนเบิกตากว้างบทที่ 21“คุณเจตต์...จะทำอะไรคะ?”“ผมไม่ได้ทำอะไร แค่อยากมานั่งใกล้คุณ”“อย่าทำอะไรรุ่มร่า