เมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซาน
เสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด
“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”
""พ่ะย่ะค่ะ""
“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า
“หนีไปทางหอซิงเฟย”
“ตามไป”
""พ่ะย่ะค่ะ""
หอซิงเฟย
ท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป
“ค้น!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ
“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”
สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อสตรีใบหน้างามดุจโบตั๋นแรกแย้มหันไปคว้าผ้ามาพันกายอีกครั้ง ดาบคมกริบหันไปมองรอบ ๆ ห้อง เขามั่นใจว่าเห็นคนร้ายวิ่งเข้ามาในนี้แน่ ๆ
“เจ้าเห็นสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
“ข้าไม่เห็น หากจะผิดปกติก็มีเพียงท่าน กรี๊ด!!”
เสียงกรีดร้องของนางดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เป็นนางรำอีกคนในชุดสีขาวที่วิ่งพรวดพราดเข้ามา เมื่อเห็นท่านอ๋องก็กรีดร้องขึ้นเพื่อเรียกหาคนช่วย
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ มีคนร้ายฆ่าคนในห้อง”
“อะไรนะ! เสี่ยวอวี้รีบไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องวิ่งไปตามทางที่คณิกาสาวผู้นั้นชี้บอกทาง แต่เมื่อเขาวิ่งไปถึงกลับพบสตรีอีกคนที่วิ่งตามออกมา
“หยุดนะ!”
“ท่านนั่นแหละหลีกไป ข้าจะตามคนร้าย”
“คนร้ายงั้นหรือ นี่เจ้า…”
“ระวัง!”
นางยกดาบขึ้นมาและปัดอาวุธลับเพื่อช่วยเขาไว้ได้ทันเวลา พร้อมกันก็พุ่งอาวุธบางอย่างเฉียดริมแก้มของบุรุษหนุ่มอย่างเฉินตงหราน และโดนเป้าหมายในทันที
“ไอเย็นนั่น…”
แต่สตรีผู้นั้นมิได้รอ นางวิ่งผ่านเขาไปเพื่อจับคนร้ายที่กำลังล้มลงอยู่ด้านหลัง เมื่อหันไปจึงได้ทันเห็นนางดึงตัวคนร้ายขึ้นมา
“แม่นาง! ยั้งมือก่อน”
“เจ้าชั่วนี่พรวดพราดเข้ามาก็ฆ่าคน ท่านจะให้ข้าปล่อยมันอย่างนั้นหรือ… บอกมา เจ้าฆ่าเขาทำไม!”
“ระวัง เขากำลังจะฆ่าตัวตาย”
“พลั่ก!”
“ฮึก!”
สันมือของสตรีร่างบางฟาดลงไประหว่างคอของคนร้ายจนสลบคาพื้น นางยังใช้เท้าเตะที่ปากของคนร้ายที่พึ่งสลบไป ยาพิษที่อยู่ใต้ลิ้นนั้นกระเด็นออกมา เฉินตงหรานยังไม่เคยเห็นสตรีคนใดที่ดุดันเช่นนี้มาก่อน
“แค่นี้ก็ฆ่าตัวตายไม่ได้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อน! เจ้าบอกว่ามันผู้นั้นฆ่าคน… ฆ่าผู้ใดงั้นหรือ”
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เพียงเสียงของทหารองครักษ์ที่เรียกเขาก็ทำให้ “หลิ่วอวิ๋นซี” หันมาสนใจเขาในทันที ในคราแรกคิดว่าเขาจะเป็นเพียงแค่ทหารของทางการที่ตามจับคนร้ายเท่านั้น
‘เขาก็คือพยัคฆ์อุดร เทพสงครามแดนหิมะผู้นั้น “เฉินตงหราน” ท่านอ๋องแห่งหลิงโจว’
“ว่าอย่างไร จับคนร้ายที่เหลือได้หรือไม่”
“ทูลท่านอ๋อง เราพบศพคนร้ายคนหนึ่งอยู่ในห้องข้าง ๆ ศพของใต้เท้าเหรินลั่วหลีพ่ะย่ะค่ะ”
“เหรินลั่วหลี รองเจ้ากรมขุนนางงั้นหรือ เขามาทำอะไรที่นี่”
“เขานัดข้ามาพบที่นี่ ยังไม่ทันได้พูดคุยกันก็มีคนมาบุกฆ่า คนร้ายผู้นั้นข้าเป็นคนฆ่าเอง”
“เจ้างั้นหรือ”
เฉินตงหรานเดินเข้ามาใกล้เพื่อมองนางชัด ๆ ดรุณีน้อยผู้นี้รูปร่างบอบบางสวมอาภรณ์แดงสลับขาว หากมองผิวเผินคงไม่คิดว่าจะมีแรงถือดาบด้วยซ้ำ แต่ทว่านางกลับกล้ายอมรับต่อหน้าเขาว่าเป็นผู้ลงมือสังหารคนร้ายที่ฆ่าขุนนางในหอนางโลม
“แม่นาง เจ้ามีนามว่าอย่างไร”
“พบกันเพียงบังเอิญ ไม่จำเป็นต้องแจ้งกระมัง”
“บังอาจ! ต่อหน้าท่านอ๋องอย่าได้ใช้วาจาโอหัง”
“ที่แท้ท่านก็คือหลิงอ๋อง เทพสงครามแดนเหนือที่เลื่องลือ แต่เหตุใดแค่จับคนร้ายไม่กี่คนถึงทำไม่สำเร็จ หรือสิ่งที่ร่ำลือมานั้นเป็นเพียงคำอวดอ้าง”
“เจ้า!”
“เสี่ยวอวี้อย่าเสียมารยาท แม่นางน้อยวาจาช่างคมคาย อีกทั้งไม่ตกใจเมื่อทราบว่าข้าคือผู้ใดเกรงว่าเจ้าคงทราบอยู่แล้วสินะ”
‘ก็ไม่ได้โง่นี่ ดูออกว่าข้ากำลังหยั่งเชิงอยู่ นับว่ายังพอใช้ได้’
“จากแววตาของเจ้าดูเหมือนว่ากำลังลอบด่าข้าอยู่ในใจสินะ ถึงอย่างไรเหตุการณ์ที่นี่เจ้าไม่ได้อยากเกี่ยวก็คงต้องเกี่ยว คงต้องขอให้ตามข้ากลับไปเพื่อสอบถามเล็กน้อย”
“หากว่าข้าไม่ยอมเล่า”
“เข็มปราณเย็นดุจเกล็ดหิมะ รวดเร็วดุจสายลม หากเดาไม่ผิดอาวุธที่เจ้าใช้เมื่อครู่นี้คือ “เข็มพิษวารี” สินะ”
หลิ่วอวิ๋นซีหันมามองหน้าผู้พูดเพื่อประเมินอีกฝ่าย ซึ่งกำลังมองกลับมาเช่นกัน
“ท่านต้องการสิ่งใด”
“กลับไปกับข้าแล้วค่อยคุยกันเถอะ ถึงอย่างไรเจ้าก็ก้าวขาเข้ามาในคดีนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้วนี่”
‘คิดไม่ถึงว่าจะตกปลาตัวใหญ่อย่างหลิงอ๋องได้ เดิมทีคิดจะมาถามเหรินลั่วหลีไม่กี่ประโยคเท่านั้น ในเมื่อท่านเปิดโอกาสเอง ไฉนเลยข้าจะไม่ตอบรับ’
“หากว่าข้าไม่ยอมไปแต่โดยดี ท่านอ๋องจะสั่งให้ทหารจับกุมข้าและพาไปขังคุกของทางการหรือไม่”
รอยยิ้มมุมปากของท่านอ๋องเผยออกมาเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเวลายิ้มเขาจะมีรอยบุ๋มตรงแก้มทำให้ใบหน้าของเทพสงครามแดนเหนือผู้นี้น่ามองจนหัวใจนางกระตุกเล็กน้อย
“ในเมื่อข้าเป็นผู้เอ่ยปากเชิญ เท่ากับว่าเจ้าเป็นแขกหาใช่ผู้ต้องสงสัยเหตุใดจึงต้องใช้กำลังบีบบังคับ”
“เช่นนั้นก็ตกลง”
“เชิญ”
ทั้งหมดเดินทางกลับเข้าวังหลวงของหลิงโจว คนร้ายถูกนำตัวไปขังไว้ที่คุกใต้ดินและคุ้มกันอย่างแน่นหนา สามเดือนที่ผ่านมานี้มีขุนนางระดับสูงของหลิงโจวถูกฆ่าตายอย่างไร้ซึ่งสาเหตุ แน่นอนว่าเรื่องนี้หลิงอ๋องมิได้นิ่งนอนใจเพราะพระองค์ทรงออกสืบคดีนี้ด้วยตัวเอง
วังหลวง
หลิ่วอวิ๋นซีเดินตามท่านอ๋องมายังตำหนักกลางในวังหลวงหลิงโจว เมื่อเข้ามาแล้วเขาจึงบอกให้ทหารองครักษ์ออกไปทั้งหมดพร้อมกับปิดประตู
“นั่งก่อนสิ”
“เหตุใดท่านอ๋องจึงได้เชิญข้าเข้ามาในนี้ ข้าเป็นเพียงชาวยุทธ์ทั่วไปที่ไม่สนใจเรื่องในราชสำนัก”
“แต่คืนนี้เจ้ากลับไปพบกับขุนนางของข้าและเป็นคนสุดท้ายที่พบเขาก่อนที่จะถูกฆ่ามิใช่หรือ”
อวิ๋นซีนิ่งไป หลิงอ๋องผู้นี้มิใช่ผู้ที่นางจะประฝีปากด้วย ท่วงท่าที่นิ่งสงบตรงหน้าเตือนให้นางคอยระวัง
“นั่งก่อนสิ แม่นาง…”
“หลิ่วอวิ๋นซี เรียกข้าว่าอวิ๋นซีก็ได้ แต่ข้าขอทูลตามตรงว่าไม่สะดวกคุยกับท่านด้วยคำยุ่งยากพวกนั้น”
“หึ ข้าเองก็มิได้อยากจะบังคับให้เจ้าพูดเช่นนั้น นั่งก่อนสิอวิ๋นซี ข้าคิดว่าคืนนี้เรามีเรื่องที่จะต้องคุยกันหลายเรื่อง บางทีเจ้าอาจจะช่วยข้าได้”
น้ำชาร้อนถูกรินจากพระหัตถ์ของท่านอ๋องและส่งมาให้นางที่กำลังนั่งลงตรงข้ามโต๊ะในห้อง
“ท่านอ๋องแน่ใจได้เช่นไรว่าข้าจะช่วยท่านได้ ไม่กลัวหรือว่าข้า… จะฆ่าท่าน”
มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เสียงพ่นลมจากปลายจมูกของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย“แม่นางอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ คงลงมือไปนานแล้ว จำได้ว่าเจ้าปัดอาวุธลับของคนร้ายช่วยข้าเอาไว้ที่หอนางโลม นั่นแสดงว่าเจ้ายังพอมีจิตใจที่ดี และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า มิสู้เราสองคนมานั่งคุยกันดี ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”“เกรงว่าบางเรื่องท่านอ๋องไม่ทราบจะดีกว่า เพราะว่าเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับท่าน”“งั้นหรือ เช่นนั้นหากว่ามันเกี่ยวกับข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ หากว่าช่วยเจ้าได้ข้าก็ยินดี”“ท่านพูดจริงงั้นหรือ”“นับตั้งแต่ที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ก็นับว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าต้องการให้ช่วยทำสิ่งใดข้าย่อมยินดีช่วย ชาจะเย็นแล้วรีบดื่มก่อนเถอะ”“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”หลิ่วอวิ๋นซียกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่านางยินดีที่จะร่วมสนทนาต่อกับเขาอีกครั้ง“เจ้าบอกว่านัดกับเหรินลั่วหลีที่หอซิงเฟย เหตุใดต้องเป็นที่นั่น แล้ว…”“เดี๋ยวก่อนนะท่านอ๋อง นี่ท่านเริ่มสอบสวนข้าแล้วงั้นหรือ”“ขออภัยแต่ข้าจำเป็นต้องรู้ เ
ตำหนักท่านอ๋อง“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”“กระหม่อมมิกล้า”“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพัก
เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง “เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”“ก็ได้”เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน“ไม่น่าเชื่อเลย”พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางม
เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง “เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”“ก็ได้”เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน“ไม่น่าเชื่อเลย”พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางม
ตำหนักท่านอ๋อง“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”“กระหม่อมมิกล้า”“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพัก
มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เสียงพ่นลมจากปลายจมูกของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย“แม่นางอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ คงลงมือไปนานแล้ว จำได้ว่าเจ้าปัดอาวุธลับของคนร้ายช่วยข้าเอาไว้ที่หอนางโลม นั่นแสดงว่าเจ้ายังพอมีจิตใจที่ดี และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า มิสู้เราสองคนมานั่งคุยกันดี ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”“เกรงว่าบางเรื่องท่านอ๋องไม่ทราบจะดีกว่า เพราะว่าเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับท่าน”“งั้นหรือ เช่นนั้นหากว่ามันเกี่ยวกับข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ หากว่าช่วยเจ้าได้ข้าก็ยินดี”“ท่านพูดจริงงั้นหรือ”“นับตั้งแต่ที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ก็นับว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าต้องการให้ช่วยทำสิ่งใดข้าย่อมยินดีช่วย ชาจะเย็นแล้วรีบดื่มก่อนเถอะ”“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”หลิ่วอวิ๋นซียกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่านางยินดีที่จะร่วมสนทนาต่อกับเขาอีกครั้ง“เจ้าบอกว่านัดกับเหรินลั่วหลีที่หอซิงเฟย เหตุใดต้องเป็นที่นั่น แล้ว…”“เดี๋ยวก่อนนะท่านอ๋อง นี่ท่านเริ่มสอบสวนข้าแล้วงั้นหรือ”“ขออภัยแต่ข้าจำเป็นต้องรู้ เ
เมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซานเสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”""พ่ะย่ะค่ะ""“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า “หนีไปทางหอซิงเฟย”“ตามไป”""พ่ะย่ะค่ะ""หอซิงเฟยท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป“ค้น!”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อส