เมื่อประตูปิดลง หัวใจของอวิ๋นซีก็ราวกับจะโบยบินตามท่านอ๋องออกไปพร้อมกับเสียงประตู นางเลือกที่จะปิดประตูหัวใจนี้ตั้งแต่แรกเพียงเพราะความกลัว เมื่อหันมามองเรื่องที่เขียนในรายงานก็ยิ่งทำให้ความแค้นนี้โถมกระหน่ำทับลงมาอีกรอบ“อาจารย์ไป๋ลู่ตงเดินทางไปเป่ยหลาน ครั้งสุดท้ายที่มีผู้คนพบเห็นเขาคือหลังสงครามสามแคว้นระหว่างแคว้นจ้าว เป่ยหนานและเฉินซาน ซึ่งเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ หลังศึกครั้งนั้น อาจารย์ภูตเข็มพิสดารได้เดินทางออกจากเป่ยหลาน แต่กลับหายไประหว่างเดินทางมาที่เฉินซาน ผู้ที่พบคนสุดท้าย “จิ่วรั่วเฟย” พระสนมของจักรพรรดิแคว้นจ้าว “กงซุนจิ้นกั๋ว” ซึ่งสิ้นชีพในสนามรบในครั้งนั้นด้วยฝีมือของแม่ทัพของเป่ยหนานนามว่า “จิ่วโม่หราน””น้ำตาของอวิ๋นซีเริ่มรินไหลลงมาบนรายชื่อหนึ่งในนั้น พร้อมกับลูบพลางพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหลออกมา“อาจารย์ หากท่านตายด้วยฝีมือของคนเหล่านั้นจริง ๆ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันเลยแม้แต่คนเดียว!”วันถัดมาห้องทรงงานที่เละเทะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากเก็บของที่หักและพังออกมาทิ้ง เสี่ยวอวี้และสาวใช้อีกเกือบสิบคนใช้เวลาครึ่งเช้าเพื่อจะจัดเก็บของในห้องออกมาจนหมด “ท่านองครักษ์
“แล้วเหตุใดพระสนมที่อยู่ในวัง ถึงอยากจะสังหารอาจารย์ของเจ้าเล่า นี่มันไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”“เรื่องนั้นย่อมมีเหตุผล หากว่าได้ข้อมูลของคนทั้งสี่นี้มาแล้ว ข้าจะต้องไปจากที่นี่”“อะไรนะ! แต่เจ้ารับปากแล้วว่าจะไม่ไปนี่ เหตุใดกลับคำพูดอีกแล้วเล่า”“มิได้หมายถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้ข้อมูลจากท่านเลย ว่าแต่ใช้เวลาอีกนานหรือไม่กว่าหอหรงเยว่ของพวกท่านจะสืบเรื่องนี้ให้ข้าได้”“นั่น… ข้าต้องถามน้องเก้าอีกที แต่ว่าซีเอ๋อร์เจ้าจะไปคนเดียวจริงหรือ มิสู้ให้ข้า...”“ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า”“แต่พวกนางเป็นถึงพระสนมในวัง อีกอย่างก็เป็นคนต่างแคว้น แค่เจ้าก้าวขาเข้าไปยังเขตแคว้นจ้าวก็คงจะโดนจับเสียก่อน เอาไว้เสร็จจากการแข่งขันผู้กล้าของหลิงโจวแล้วค่อยคุยกันอีกที"“แต่ว่า”“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ในเมื่อข้าพูดไปแล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า เช่นนั้นเจ้าไปที่ใดข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย ซีเอ๋อร์หรือว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้าว่าสามารถช่วยเจ้าแก้แค้นให้อาจารย์ได้”อวิ๋นซีมิอาจจะพูดสิ่งใดได้ ท่านอ๋องเดินและดึงตัวนางเข้าไป สวมกอดเอาไว้ อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ทำให้นางหวั่นไหวเข้าแล้วจริง ๆ นางพลาดที่เดินเข้ามาในวังหลวงของหลิงโจว
อวิ๋นซีเองก็มิได้อยากจะทนแล้วเช่นกัน นางเองก็อยากปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม ๆ กับเขา “กอดข้าเถิดเพคะ”“คนดีของข้า เช่นนั้นข้าจะถอดผ้านี้ออก จากนี้เจ้าจะได้ไม่ลืมว่าข้า “รัก” เจ้ามากเพียงใด"ท่านอ๋องดึงผ้าผูกตาของนางออกและดึงนางขึ้นมาจูบ อวิ๋นซีตะลึงกับรูปร่างของบุรุษหนุ่มที่เปลือยเปล่าตรงหน้า แม้ว่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามเสียยิ่งนัก “อือ… ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ!”“หากว่าเจ้าเจ็บก็บอกข้า แต่ข้าจะไม่หยุดให้หรอกนะ เพียงแค่จะค่อย ๆ พาเจ้าเดินไปจนสุดทางเท่านั้น”“ผู้ใดจะไม่ไหวก่อนกันยังไม่รู้เลย อย่าพึ่งมั่นใจในตัวเองนักสิเพคะ”“เจ้ามันร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”จุมพิตหวานถูกป้อนไปนับไม่ถ้วน ท่านอ๋องค่อย ๆ กรีดกรายและขยับเรียวขาเล็กของนางออกเพื่อเปิดทางให้ตัวตนของเขาได้เข้าไป เพียงหัวของมังกรยักษ์ที่ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไป อวิ๋นซีก็รีบจิกเล็บลงที่ลำแขนล่ำของเขาทันทีเพราะความคับแน่นและอึดอัดกำลังเล่นงานนาง แต่อวิ๋นซีกลับไม่ร้องเลยสักคำ“ซีเอ๋อร์ ยังไหวอยู่หรือไม่ อาา…แน่นมากเลยให้ตายเถอะ”“ไม่เป็นไรเพคะ อื้อ…ท่านอ๋อง!”เพียงแค่นางเรียกร้อง เขาจึงตัดสินใจกระแทกซ้ำเข้าไปในค
อวิ๋นซีก้มหน้าและยิ้มออกมา ท่านอ๋องคว้าร่างบางเข้าไปและจับนางเชยคางขึ้นเพื่อรับจุมพิตวาบหวามอีกครั้ง อวิ๋นซีแทบจะล่องลอยไปกับรสสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้ไม่รู้จบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่พึ่งผ่านสงครามรักที่ดุเดือดมาเกือบครึ่งวัน“พอเถิดเพคะ หายใจไม่ออกแล้ว”“กลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปหาน้องเก้าจัดการเรื่องที่เหลือให้เจ้า”“ขอบพระทัยเพคะ”“ไม่เป็นไร เพราะเจ้าต้องจ่ายค่าสืบเรื่องนี้ให้ข้าแพงแน่นอน”“แต่ท่านบอกว่าเงื่อนไขของพวกเรา…อ๊ะ!”ท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง เขาใช้สันจมูกก้มลงคลอเคลียปลายจมูกเชิดเล็กของนางราวกับหยอกล้อ“นั่นมันก่อนที่พวกเราจะทำเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้ต้องผูกขาเจ้าเอาไว้ข้าก็จะทำ กลับไปรอที่ตำหนักแล้วอย่าลืมรอกินข้าวกับข้าด้วย”“เผด็จการ”“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าเป็นเช่นนี้เองนะซีเอ๋อร์ โทษข้าไม่ได้รีบไปก่อนที่จะทนไม่ไหวและไม่ปล่อยเจ้าออกจากหอตำรา”“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”อวิ๋นซีรีบดันตัวเขาออกและวิ่งลงมาจากชั้นสองด้วยความรวดเร็ว หากนางขืนยังชักช้ากว่านี้ เกรงว่าจะมิได้เดินออกจากหอตำราแห่งนี้ก่อนตะวันตกดินเป็นแน่ เพราะสายตาและเสียงกระซิบแผ่วเบานั่นไม่ได้มีวี่แววว่าจ
เมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซานเสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”""พ่ะย่ะค่ะ""“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า “หนีไปทางหอซิงเฟย”“ตามไป”""พ่ะย่ะค่ะ""หอซิงเฟยท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป“ค้น!”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อส
มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เสียงพ่นลมจากปลายจมูกของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย“แม่นางอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ คงลงมือไปนานแล้ว จำได้ว่าเจ้าปัดอาวุธลับของคนร้ายช่วยข้าเอาไว้ที่หอนางโลม นั่นแสดงว่าเจ้ายังพอมีจิตใจที่ดี และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า มิสู้เราสองคนมานั่งคุยกันดี ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”“เกรงว่าบางเรื่องท่านอ๋องไม่ทราบจะดีกว่า เพราะว่าเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับท่าน”“งั้นหรือ เช่นนั้นหากว่ามันเกี่ยวกับข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ หากว่าช่วยเจ้าได้ข้าก็ยินดี”“ท่านพูดจริงงั้นหรือ”“นับตั้งแต่ที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ก็นับว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าต้องการให้ช่วยทำสิ่งใดข้าย่อมยินดีช่วย ชาจะเย็นแล้วรีบดื่มก่อนเถอะ”“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”หลิ่วอวิ๋นซียกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่านางยินดีที่จะร่วมสนทนาต่อกับเขาอีกครั้ง“เจ้าบอกว่านัดกับเหรินลั่วหลีที่หอซิงเฟย เหตุใดต้องเป็นที่นั่น แล้ว…”“เดี๋ยวก่อนนะท่านอ๋อง นี่ท่านเริ่มสอบสวนข้าแล้วงั้นหรือ”“ขออภัยแต่ข้าจำเป็นต้องรู้ เ
ตำหนักท่านอ๋อง“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”“กระหม่อมมิกล้า”“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพัก
เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง “เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”“ก็ได้”เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน“ไม่น่าเชื่อเลย”พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางม
อวิ๋นซีก้มหน้าและยิ้มออกมา ท่านอ๋องคว้าร่างบางเข้าไปและจับนางเชยคางขึ้นเพื่อรับจุมพิตวาบหวามอีกครั้ง อวิ๋นซีแทบจะล่องลอยไปกับรสสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้ไม่รู้จบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่พึ่งผ่านสงครามรักที่ดุเดือดมาเกือบครึ่งวัน“พอเถิดเพคะ หายใจไม่ออกแล้ว”“กลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปหาน้องเก้าจัดการเรื่องที่เหลือให้เจ้า”“ขอบพระทัยเพคะ”“ไม่เป็นไร เพราะเจ้าต้องจ่ายค่าสืบเรื่องนี้ให้ข้าแพงแน่นอน”“แต่ท่านบอกว่าเงื่อนไขของพวกเรา…อ๊ะ!”ท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง เขาใช้สันจมูกก้มลงคลอเคลียปลายจมูกเชิดเล็กของนางราวกับหยอกล้อ“นั่นมันก่อนที่พวกเราจะทำเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้ต้องผูกขาเจ้าเอาไว้ข้าก็จะทำ กลับไปรอที่ตำหนักแล้วอย่าลืมรอกินข้าวกับข้าด้วย”“เผด็จการ”“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าเป็นเช่นนี้เองนะซีเอ๋อร์ โทษข้าไม่ได้รีบไปก่อนที่จะทนไม่ไหวและไม่ปล่อยเจ้าออกจากหอตำรา”“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”อวิ๋นซีรีบดันตัวเขาออกและวิ่งลงมาจากชั้นสองด้วยความรวดเร็ว หากนางขืนยังชักช้ากว่านี้ เกรงว่าจะมิได้เดินออกจากหอตำราแห่งนี้ก่อนตะวันตกดินเป็นแน่ เพราะสายตาและเสียงกระซิบแผ่วเบานั่นไม่ได้มีวี่แววว่าจ
อวิ๋นซีเองก็มิได้อยากจะทนแล้วเช่นกัน นางเองก็อยากปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม ๆ กับเขา “กอดข้าเถิดเพคะ”“คนดีของข้า เช่นนั้นข้าจะถอดผ้านี้ออก จากนี้เจ้าจะได้ไม่ลืมว่าข้า “รัก” เจ้ามากเพียงใด"ท่านอ๋องดึงผ้าผูกตาของนางออกและดึงนางขึ้นมาจูบ อวิ๋นซีตะลึงกับรูปร่างของบุรุษหนุ่มที่เปลือยเปล่าตรงหน้า แม้ว่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามเสียยิ่งนัก “อือ… ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ!”“หากว่าเจ้าเจ็บก็บอกข้า แต่ข้าจะไม่หยุดให้หรอกนะ เพียงแค่จะค่อย ๆ พาเจ้าเดินไปจนสุดทางเท่านั้น”“ผู้ใดจะไม่ไหวก่อนกันยังไม่รู้เลย อย่าพึ่งมั่นใจในตัวเองนักสิเพคะ”“เจ้ามันร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”จุมพิตหวานถูกป้อนไปนับไม่ถ้วน ท่านอ๋องค่อย ๆ กรีดกรายและขยับเรียวขาเล็กของนางออกเพื่อเปิดทางให้ตัวตนของเขาได้เข้าไป เพียงหัวของมังกรยักษ์ที่ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไป อวิ๋นซีก็รีบจิกเล็บลงที่ลำแขนล่ำของเขาทันทีเพราะความคับแน่นและอึดอัดกำลังเล่นงานนาง แต่อวิ๋นซีกลับไม่ร้องเลยสักคำ“ซีเอ๋อร์ ยังไหวอยู่หรือไม่ อาา…แน่นมากเลยให้ตายเถอะ”“ไม่เป็นไรเพคะ อื้อ…ท่านอ๋อง!”เพียงแค่นางเรียกร้อง เขาจึงตัดสินใจกระแทกซ้ำเข้าไปในค
“แล้วเหตุใดพระสนมที่อยู่ในวัง ถึงอยากจะสังหารอาจารย์ของเจ้าเล่า นี่มันไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”“เรื่องนั้นย่อมมีเหตุผล หากว่าได้ข้อมูลของคนทั้งสี่นี้มาแล้ว ข้าจะต้องไปจากที่นี่”“อะไรนะ! แต่เจ้ารับปากแล้วว่าจะไม่ไปนี่ เหตุใดกลับคำพูดอีกแล้วเล่า”“มิได้หมายถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้ข้อมูลจากท่านเลย ว่าแต่ใช้เวลาอีกนานหรือไม่กว่าหอหรงเยว่ของพวกท่านจะสืบเรื่องนี้ให้ข้าได้”“นั่น… ข้าต้องถามน้องเก้าอีกที แต่ว่าซีเอ๋อร์เจ้าจะไปคนเดียวจริงหรือ มิสู้ให้ข้า...”“ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า”“แต่พวกนางเป็นถึงพระสนมในวัง อีกอย่างก็เป็นคนต่างแคว้น แค่เจ้าก้าวขาเข้าไปยังเขตแคว้นจ้าวก็คงจะโดนจับเสียก่อน เอาไว้เสร็จจากการแข่งขันผู้กล้าของหลิงโจวแล้วค่อยคุยกันอีกที"“แต่ว่า”“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ในเมื่อข้าพูดไปแล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า เช่นนั้นเจ้าไปที่ใดข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย ซีเอ๋อร์หรือว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้าว่าสามารถช่วยเจ้าแก้แค้นให้อาจารย์ได้”อวิ๋นซีมิอาจจะพูดสิ่งใดได้ ท่านอ๋องเดินและดึงตัวนางเข้าไป สวมกอดเอาไว้ อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ทำให้นางหวั่นไหวเข้าแล้วจริง ๆ นางพลาดที่เดินเข้ามาในวังหลวงของหลิงโจว
เมื่อประตูปิดลง หัวใจของอวิ๋นซีก็ราวกับจะโบยบินตามท่านอ๋องออกไปพร้อมกับเสียงประตู นางเลือกที่จะปิดประตูหัวใจนี้ตั้งแต่แรกเพียงเพราะความกลัว เมื่อหันมามองเรื่องที่เขียนในรายงานก็ยิ่งทำให้ความแค้นนี้โถมกระหน่ำทับลงมาอีกรอบ“อาจารย์ไป๋ลู่ตงเดินทางไปเป่ยหลาน ครั้งสุดท้ายที่มีผู้คนพบเห็นเขาคือหลังสงครามสามแคว้นระหว่างแคว้นจ้าว เป่ยหนานและเฉินซาน ซึ่งเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ หลังศึกครั้งนั้น อาจารย์ภูตเข็มพิสดารได้เดินทางออกจากเป่ยหลาน แต่กลับหายไประหว่างเดินทางมาที่เฉินซาน ผู้ที่พบคนสุดท้าย “จิ่วรั่วเฟย” พระสนมของจักรพรรดิแคว้นจ้าว “กงซุนจิ้นกั๋ว” ซึ่งสิ้นชีพในสนามรบในครั้งนั้นด้วยฝีมือของแม่ทัพของเป่ยหนานนามว่า “จิ่วโม่หราน””น้ำตาของอวิ๋นซีเริ่มรินไหลลงมาบนรายชื่อหนึ่งในนั้น พร้อมกับลูบพลางพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหลออกมา“อาจารย์ หากท่านตายด้วยฝีมือของคนเหล่านั้นจริง ๆ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันเลยแม้แต่คนเดียว!”วันถัดมาห้องทรงงานที่เละเทะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากเก็บของที่หักและพังออกมาทิ้ง เสี่ยวอวี้และสาวใช้อีกเกือบสิบคนใช้เวลาครึ่งเช้าเพื่อจะจัดเก็บของในห้องออกมาจนหมด “ท่านองครักษ์
หลิ่วอวิ๋นซีวิ่งออกไปจากห้องทรงงาน และกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อเข้าไปถึงก็รีบดึงของออกมาเพื่อเก็บใส่ห่อทันที“เฉินตงหราน ไม่คิดว่าจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าไม่อยู่แล้วคนสารเลว!”“คุณหนูเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เปิดประตูให้พวกข้าเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนู”นางรู้ดีว่าอาลี่และอาเวินแม้ว่าจะดูแลนาง และพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม แต่พวกนางก็เป็นคนของท่านอ๋อง ซึ่งครั้งนี้ก็คงจะเป็นท่านอ๋องที่สั่งให้มาเฝ้านาง“ข้าไม่เป็นไร อาลี่ข้าอยากแช่น้ำอุ่นสักหน่อย รบกวนพวกเจ้าไปเตรียมให้ข้าได้หรือไม่”“คุณหนู เสียงท่านไม่ค่อยสู้ดีเลย ให้ข้า…”“ไม่ต้องหรอกข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น รีบไปเถอะ"“เจ้าค่ะ”เสียงของสาวใช้ทั้งสองเงียบไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้รีบเก็บของรวบรวมใส่ห่อผ้าเอาไว้ เมื่อเก็บและผูกมัดเรียบร้อยก็เริ่มมองหาที่ เพื่อจะออกไปจากตำหนักและวังหลวงแห่งนี้“กล้ารังแกข้าเช่นนี้ ข้าไม่เป็นมันแล้วไม่ว่าจะสาวใช้ หรือองครักษ์ส่วนตัวบ้าบออะไรนั่น”อวิ๋นซีเดินมายังเรือนหลังซึ่งนางเคยพักมาก่อนจะย้ายไปที่ตำหนักท่านอ๋อง นางปีนขึ้นไปบนกำแพงและกำลังจะกระโดดข้ามลงไป เมื่อกระโดดลงมาไม่คิดว่าจะมีคนที่รอรับนางอยู่ข้างล่างได้พอดี
อวิ๋นซีค่อนข้างตกใจ แปลกใจและสงสัยยิ่งนัก เดิมทีนางก็ไม่ได้จะมีหน้าที่เช่นนี้ แต่เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องจึงได้จงใจสั่งการนางเหมือนกับสาวใช้จริง ๆ เข้าไปทุกที แต่นางก็ยอมที่จะรินน้ำชาและยกของว่างไปวางให้เขาที่โต๊ะ ซึ่งตามปกติแทบจะไม่เคยมาที่ตรงนี้เลย“ฝนหมึกสิ”‘เจ้าอ๋องอารมณ์แปรปรวนผู้นี้น่าตบกบาลยิ่งนัก หากไม่คิดว่าจะต้องใช้ท่านสืบข่าว ข้าคงฆ่าท่านไปนานแล้ว’“นิ่งอยู่ทำไม อย่าบอกนะว่าแม้แต่ฝนหมึกเจ้าก็ยังทำไม่เป็น”“ข้าทำเป็นเพียงแต่ท่านเคยบอกว่า ไม่ต้องทำเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ”“ไม่เคยทำก็ใช่ว่าจะแล้งน้ำใจจนทำไม่ได้นี่ ไม่เห็นหรือว่าที่นี่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดให้เรียกใช้สอยได้เลย”“ข้ออ้างชัด ๆ”“ข้าได้ยินนะอวิ๋นซี”“เพคะ หม่อมฉันแล้งน้ำใจเอง”นางเดินมาข้าง ๆ และเริ่มฝนน้ำหมึกให้เขา ท่านอ๋องเพียงแค่มีนางอยู่ใกล้ ๆ ก็แอบลอบยิ้มด้วยความพอพระทัย และหันไปสนใจกับรายงานต่อไป“คือว่า ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน”“ว่ามาสิ”“หลันอ๋องตรัสว่าอีกสิบวันจะมีงานแข่งขันผู้กล้าแห่งหลิงโจว… ข้าอยากจะ...”“ทำไม หรือเจ้าเองก็นึกอยากจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย”“ใช่แล้วเพคะ มันน่าตื่นเต้นดีออก ข้ากับองค์ชายจวินอู๋ไ
วันถัดมาอวิ๋นซีเดินออกมาจากลานฝึกหลังจากที่ฝึกดาบเสร็จแล้ว เมื่อนางเดินมาถึงหน้าตำหนัก ก็พบกับองค์ชายเจ็ดแห่งม่อถานที่กำลังเดินเล่นในสวน“แม่นางหลิ่ว”อวิ๋นซีหันกลับไปและเกือบจะลื่นล้ม เพราะเขาเดินเข้ามาใกล้นางเกินไป ต้วนจวินอู๋จึงดึงนางเอาไว้ได้ทัน“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวัง”“ไม่เป็นไร ๆ เป็นข้าเองที่เรียกเจ้ากะทันหัน เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”“ไม่เป็นอะไร พระองค์จะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องหรือเพคะ”“เข้าเฝ้าหรือ หากจะพูดตามจริงคือข้าอยากคุยกับเจ้าน่ะ”“คุยกับหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่แล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เจ้าใช้จอกชาสกัดอาวุธของน้องเก้าเอาไว้ และฝีมือการประลองยุทธ์ของเจ้าเมื่อวานนี้ ทำให้ข้านึกเลื่อมใสว่าแต่เจ้าพอจะมีเวลาสักประเดี๋ยวหรือไม่”“ใช่ว่าจะมิได้ เช่นนั้นเชิญองค์ชาย”“เชิญ”ทั้งสองเดินไปคุยกันที่สวนด้านหน้าตำหนักขององค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องที่พึ่งกลับมาจากประชุมราชสำนัก กับท่านอ๋องทั้งสามทันได้เห็นทั้งสองนั่งคุยกันที่สวนด้านนอก เฉินรั่วเฟิงหันไปมองก่อนจะกล่าวออกมา“โอ้โหองค์ชายต่างแคว้นผู้นี้ ดูท่าจะทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์แทนน้องสาวแล้วกระมัง หลังจากที่น้องสาวก่อเรื่องเอาไ
ต้วนหรูซานโกรธจนน้ำตาไหล แต่ก็มิอาจกล้าจะต่อปากต่อคำกับคนตรงหน้า ด้วยเกรงว่าครั้งนี้อาจจะไม่ใช่แค่หมวกที่นางสวม แต่จะเป็นศีรษะของนางแทน เพราะ “หลันอ๋อง” ผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็น “อ๋องใจกล้าบ้าบิ่น” เขาไม่สนใจว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นใคร แม้แต่สตรีก็มิอาจพ้นปลายเกาทัณฑ์ของเขาไปได้หากว่าทำผิดต่อหน้าเขา“พี่เจ็ดข้าเหนื่อยแล้ว อยากกลับไปพัก”“เอ่อ… เช่นนั้นท่านอ๋อง”“เช่นนั้นวันนี้พวกเราก็กลับกันก่อนเถอะ เอาไว้ช่วงเย็นค่อยมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วยกัน องค์หญิงน้องชายของข้าเพียงแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น หวังว่าเจ้าคงไม่ถือสาหาความ หากทำให้เจ้าตกใจข้าต้องขอโทษเจ้าแทนเขาด้วย”“ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันเหนื่อยแล้ว อยากกลับไปพัก ขอตัวก่อน”ท่านอ๋องให้รองแม่ทัพเดินไปส่งทั้งคู่ขึ้นรถม้า องค์ชายเจ็ดไม่ลืมที่จะหันมากล่าวชื่นชมทั้งสาม“ท่านอ๋องมีกองทัพที่ยอดเยี่ยม วันนี้ข้าผู้แซ่ต้วนเลื่อมใสยิ่งนัก ฝีมือยิงธนูของหลันอ๋องเองก็แม่นยำไม่ผิดจากคำร่ำลือ “เทพหัตถ์ธนูแห่งดินแดนบูรพา” วันนี้ได้เห็นกับตาช่างเป็นวาสนา"“กล่าวชมเกินไปแล้วองค์ชาย ว่าแต่ท่านกับน้องสาวเหตุใดนิสัยถึงได้ต่างกันนัก”“เอาล่ะน้องแปดทักทายพอแล้ว ข
อวิ๋นซีหันไปมองพร้อมขมวดคิ้วให้กับท่านอ๋อง ที่ยิ้มกลับมาให้นางอย่างพอพระทัย ‘ซีเอ๋อร์งั้นหรือ เจ้าอ๋องบ้านี่คิดจะทำอะไรกันแน่นะ’“เช่นนั้นข้าก็จะไม่ออมมือแล้วนะ แม่นางล่วงเกินแล้ว!”ดาบในมือของต้วนหรูซาน พุ่งมายังเป้าหมายที่หันไปมองท่านอ๋อง นางไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเริ่มลงมือแล้ว แต่หูของอวิ๋นซีไวมากกว่าการเคลื่อนไหวของหรูซาน นางเอนกายหลบดาบของหรูซานได้และปัดที่ข้อศอกของอีกฝ่ายทุบไปที่กลางหลัง องค์หญิงต่างแคว้นก็แทบจะลุกไม่ไหว“ซานเอ๋อร์!”ท่านอ๋องดึงตัวองค์ชายเจ็ดเอาไว้เพื่อมิให้เข้าไปยุ่งกับทั้งคู่ เพราะหรูซานเมื่อถูกอวิ๋นซีฟาดมาจนจุกก็เริ่มโกรธจนขาดสติ“องค์ชาย เรื่องของสตรีก็ให้พวกนางจัดการเองเถอะ”“แต่ว่า!”“มานั่งจิบชาชมอยู่เงียบ ๆ กับข้าดีกว่า”“เจ้า!”“ขออภัยองค์หญิง หม่อมฉันเพียงแค่ตกใจเท่านั้นเพราะพระองค์จู่โจมโดยไม่รู้ตัว ขออภัยด้วย”หรูซานพุ่งดาบเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ไวมากกว่าเดิมเพราะความโกรธแต่ทุกครั้งอวิ๋นซีก็หลบได้เหมือนเงาที่มองไม่เห็น ทหารในกองทัพต่างส่งเสียงร้องด้วยความพอใจ พวกเขาเองก็ไม่ใคร่ชอบนักที่จู่ ๆ สตรีต่างแคว้นก็มาท้าประลองกับพวกเขา“ยอดไปเลย เอาให้