เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง
“เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”
“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”
“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”
สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้
“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”
“ก็ได้”
เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน
“ไม่น่าเชื่อเลย”
พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ
“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”
“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”
เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางมองท่วงท่าร่ายรำที่อ่อนช้อยราวกับไร้กระดูกของหลิ่วอวิ๋นซีตรงหน้า เมื่อเพลงจบก็ปรบมือด้วยความพอใจอย่างที่สุด
“ยอดเยี่ยม! พวกเจ้ารีบ ๆ เข้ามาวัดตัวให้นางสิ ข้าจะต้องตัดชุดนางรำให้นาง เร็วเข้า การแสดงชุดนี้จะต้องยอดเยี่ยมตรึงใจคนทั้งเมืองหลิงโจวเป็นแน่”
ตำหนักท่านอ๋อง
“งั้นหรือ ขอบใจเจ้ามาก อย่าลืมส่งคนติดตามด้วย”
“เพคะ”
สาวใช้เดินออกไปแล้ว เสี่ยวอวี้จึงได้เดินสวนเข้ามา
“ทูลท่านอ๋อง ข่าวจากหอหรงเยว่พ่ะย่ะค่ะ”
“คิดไม่ถึงว่าแม้แต่ระหว่างเดินทาง น้องเก้าก็ยังสามารถหาข่าวให้ข้าได้ตลอด ขอบใจมาก”
“งานเลี้ยงสกุลเพ่ยอีกสามวัน พระองค์จะเสด็จหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ครั้งนี้ข้าคิดว่าเพ่ยหนานน่าจะเป็นเป้าหมายรายต่อไป เตรียมคนของเราให้พร้อม ข้าจะไปงานเลี้ยงด้วยตัวเอง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
สามวันถัดมา / สกุลเพ่ย
งานเลี้ยงสกุลเพ่ย ขุนนางฝ่ายตุลาการของหลิงโจวถูกจัดขึ้นทุกปีก่อนจะเข้าฤดูใบไม้ผลิซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของฮูหยินผู้เฒ่า มารดาของใต้เท้าเพ่ยหนานที่เป็นขุนนางมาร่วมสามสมัยของหลิงโจว
“เชิญ ๆ ทุกท่านอย่าได้เกรงใจ เชิญ”
“นายท่าน ท่านอ๋องเสด็จมาถึงแล้วขอรับ”
“เร็วเข้า ข้าจะไปรับเสด็จ ทุกท่านเชิญด้านใน”
ใต้เท้าเพ่ยเดินออกมายังด้านหน้าจวนเพื่อรอรับเสด็จท่านอ๋อง เมื่อรถม้าของวังหลวงจอด ท่านอ๋องก็เสด็จลงมาโดยมีเสี่ยวอวี้คอยคุ้มกัน
“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“ใต้เท้าเพ่ยอย่าได้เกรงใจ วันนี้ข้ามาร่วมอวยพรให้กับฮูหยินผู้เฒ่า”
“เป็นพระกรุณาแล้ว ท่านแม่ต้องดีใจเป็นแน่เชิญท่านอ๋องเสด็จด้านในเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องเสด็จเข้าไปในจวน บรรดาแขกและขุนนางทั้งหลายที่รอรับเสด็จก็เริ่มแยกย้ายไปนั่งตามที่นั่งของตัวเอง งานเลี้ยงจึงได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
ด้านนอก
“เอาล่ะ ๆ พวกเจ้ารีบเตรียมตัว จวนจะได้เวลาแล้ว ซีซีเจ้าพร้อมนะ ตื่นเต้นหรือไม่”
“ข้าพร้อมแล้ว”
เหลามาม่าเดินมาถามอวิ๋นซีที่อยู่ด้านใน ทั้งหมดลุกขึ้นและเดินไปประจำที่ ไม่นานก็จะเริ่มทำการแสดง
“เป็นอย่างไรบ้างเสี่ยวอวี้”
“ยังไม่มีสิ่งใดผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องยกสุราขึ้นมาดื่ม เมื่อนักดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำก็เริ่มเดินเข้ามา ท่านอ๋องหันไปมองยังการแสดงและต้องตกใจเมื่อเห็นหลิ่วอวิ๋นซีที่แต่งชุดสตรีเป็นครั้งแรก
“นั่นมัน… ให้ตายเถอะท่านอ๋อง…”
เสี่ยวอวี้หันไปมองท่านอ๋องที่ยกจอกสุราค้างเอาไว้เมื่อมองไปยังสายลับของพระองค์ที่ส่งเข้าไปยังหอลั่วฟาง วันนี้นางสวมชุดนางรำสีแดงและแต่งหน้าด้วยชาดสีสด
ความงดงามและท่าทางที่อ่อนช้อยนั้นราวกับคนละคนกับอวิ๋นซีที่อยู่ในวัง เมื่อนางเริ่มร่ายรำ ทุกสายตาก็เริ่มหันมาสนใจที่นางรำอีกครั้ง
“ยอดเยี่ยมไปเลย นางรำคนกลางผู้นั้นร่ายรำได้งามนัก”
“ใต้เท้าซ่ง อย่าบอกนะว่าท่านเองก็สนใจนาง”
“อะฮึ่ม! พวกท่านนี่ใช้ไม่ได้เลยนะ ยังเอ่ยถึงสตรีเช่นนี้ระวังเถิดกลับจวนแล้วจะมีปัญหากับฮูหยิน”
“กล่าวเกินไปแล้ว เพียงแค่ล้อเล่นเท่านั้น ฮ่า ๆ”
“อย่ากระนั้นเลย จะไม่ให้พวกข้าชื่นชมก็คงจะแปลก แม้แต่ท่านอ๋องยังให้ความสนพระทัยมองตาไม่กะพริบ”
คำพูดนั้นไม่ได้เกินจริงเมื่อเหล่าขุนนางหันไปมองที่เฉินตงหรานที่นั่งอยู่ที่ประทับกลางห้องโถง
‘คิดไม่ถึงว่าเวลาสวมชุดสตรี ก็จะเป็นสตรีได้เช่นกัน’
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม ข้ารู้แล้ว”
เมื่อจังหวะเพลงดังขึ้นพร้อมเสียงกลอง อาวุธลับนับสิบก็พุ่งเข้ามาในห้องโถง สร้างความแตกตื่นให้กับแขกในงานจะกระเจิดกระเจิงไปคนละทาง อวิ๋นซีใช้เพียงอาภรณ์ยาวสีแดงสดปัดอาวุธเหล่านั้นไปทางอื่นจนมันปักไปที่เสาด้านข้าง
“อารักขา!”
ผู้คนต่างหลบไปคนละทาง มีเพียงท่านอ๋องที่ยังคงประทับอยู่ที่เดิมโดยมีหลิ่วอวิ๋นซีใช้เพียงอาภรณ์แดงปัดอาวุธที่กำลังโจมตีเข้ามา
“ระวัง!”
อวิ๋นซีเอี้ยวกายและตีลังกาเพื่อหลบอาวุธลับของอีกฝ่าย ผ้าแดงที่พันเอาไว้ถูกตัดขาด ตัวนางจึงได้หล่นลงมา ท่านอ๋องพุ่งกายเข้าไปและรับร่างนางลงมาได้ทันเวลา
กลิ่นกายหอมกรุ่นท่ามกลางความวุ่นวายของงานเลี้ยงแต่กลับทำเอาพระทัยของอ๋องอุดรผู้แกร่งดุจหินผา รู้สึกสั่นกระตุกอย่างรุนแรงเพียงมีนางอยู่ในอ้อมกอด
“ท่านอ๋อง”
“เอ่อ…”
“ปล่อยข้าไปฆ่าพวกมันก่อน”
“ฆ่าหรือ”
“ฉึก! ฉึก!”
“ฟิ้ว!”
ร่างของคนร้ายสามคนถูกอาภรณ์แดงของนางฟาดไปโดนเสากลางห้องโถงจนกระอักเลือด อีกสองคนถูกเข็มพิษทิ่มแทงไปที่คอหอยและล้มลงในทันที
เฉินตงหรานที่ยืนนิ่งมองและยกเพียงกำปั้นขึ้นมาเมื่อคนร้ายบุกจู่โจมด้านหลัง เพียงหมัดเดียวก็กระเด็นและร่วงลงที่พื้นทันที แต่สายตาของพระองค์กลับไม่ได้มองไปที่คนร้ายที่พึ่งจัดการไปเลยแม้แต่คนเดียว
“ดุดัน เด็ดขาดยิ่งนักหลิ่วอวิ๋นซี… ข้าคิดไว้ไม่ผิดจริง ๆ”
บนหลังคาจวนสกุลเพ่ย
“เฮ้อ เหตุใดพี่สามได้นั่งจิบสุราอยู่คนเดียวสบาย ๆ แต่ข้ากับท่านข้าต้องมาอยู่บนนี้ด้วยนะ”
“เจ้าว่าเขาสบายงั้นหรือ”
“หืม เริ่มแล้วสินะ สกุลเพ่ยเป็นเป้าหมายในครั้งนี้จริง ๆ ด้วย พี่ห้าพวกเราไม่ไปหรือ”
“ไม่รีบ รอละครจบก่อนสิ”
“ท่านจะใจเย็นไปหรือไม่ ด้านในนั้นคือพี่สามของเราเชียวนะ”
“แล้วอย่างไรเล่า เจ้าคิดว่าพยัคฆ์อุดรที่เจ้าเล่ห์มากแผนการอย่างพี่สามมิได้เตรียมการมาล่วงหน้าหรอกหรือ”
“มันก็ใช่… เสียงนั่น”
“งานเลี้ยงจริง ๆ เริ่มแล้วสินะ”
คนร้ายชุดดำสองคนถูกผูกรัดด้วยผ้าแดงของอวิ๋นซีอยู่กลางห้องโถง ท่านอ๋องเดินเข้ามาหาพวกมัน
“เจ้าทำงานให้กับผู้ใด”
“ระวัง! พวกมันจะกินยาพิษ”
“ฉึก!”
เข็มเงินในมือของอวิ๋นซีพุ่งไปยังคอหอยของทั้งคู่ในทันที ทั้งสองหมดสติลงไปตรงหน้าจนเสี่ยวอวี้ถึงกับลูปแผงคอด้วยความหวาดเสียว ท่านอ๋องหันไปมองนางอีกครั้ง
“ข้ายังไม่ทันได้สั่งเลย”
“หรือท่านจะปล่อยให้มันตายก่อน ดูที่ไหล่ของพวกมันก็รู้แล้วว่าเป็นคนของหอฟงหรูหรือไม่”
ท่านอ๋องหันไปมองเสี่ยวอวี้เพื่อให้เขาจัดการกรีดชุดของคนร้ายเพื่อดูรอยสัก แต่กลับไม่พบสิ่งใด
“ไม่ใช่หอฟงหรู”
“ช่วยด้วยเจ้าค่ะ! ฮูหยินผู้เฒ่าแย่แล้ว!”
เสียงตะโกนด้านนอกดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงดาบ ท่านอ๋องหันไปมองแต่อวิ๋นซีล่วงหน้าไปก่อนเขาเสียแล้ว
“รีบร้อนอีกเช่นเคย…ตามนางไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อทั้งหมดวิ่งออกมาด้านนอกก็พบว่าเรือนด้านหลัง ซึ่งเป็นเรือนพักของฮูหยินผู้เฒ่ามีบุรุษสองคนยืนอยู่ตรงหน้า เมื่ออวิ๋นซีเห็นก็พุ่งเข้าโจมตีพวกเขาทันที
“ช้าก่อนอวิ๋นซี!”
เข็มเงินในมือนางยั้งได้ทันเวลาเมื่อทั้งสองหันกลับมา ท่านอ๋องถึงกับถอนหายใจยาวเมื่อเห็นว่าหลิ่วอวิ๋นซีใจร้อนกว่าที่เขาคิด
“พวกท่านเป็นใคร เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้”
“แม่นางแล้วเจ้าเล่าเป็นผู้ใดกัน หากอยากจะถามนามผู้อื่นเจ้าก็น่าจะแนะนำตัวเองก่อนตาม…. มารยาท พี่ห้า ๆ ช่วยข้าด้วย”
เข็มเงินจ่ออยู่ที่คอหอยของอีกฝ่าย แม้จะยังไม่ปักลงไปแต่ก็ทำให้เขาเกิดความกลัวขึ้นมานิดหน่อย ไม่คิดว่านางรำผู้นี้จะเคลื่อนไหวประดุจสายลม เพียงพริบตาเดียวก็ถึงตัวเขาทั้งสองแล้ว
“เคลื่อนไหวดุจสายลม ดุดันราวเมฆาพิโรธมาพร้อมกับเข็มเงินวารี แม่นางคือศิษย์หญิงเพียงคนเดียวของอาจารย์ภูตเข็มพิสดาร “ไป๋ลู่ตง” สินะ”
เมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซานเสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”""พ่ะย่ะค่ะ""“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า “หนีไปทางหอซิงเฟย”“ตามไป”""พ่ะย่ะค่ะ""หอซิงเฟยท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป“ค้น!”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อส
มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เสียงพ่นลมจากปลายจมูกของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย“แม่นางอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ คงลงมือไปนานแล้ว จำได้ว่าเจ้าปัดอาวุธลับของคนร้ายช่วยข้าเอาไว้ที่หอนางโลม นั่นแสดงว่าเจ้ายังพอมีจิตใจที่ดี และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า มิสู้เราสองคนมานั่งคุยกันดี ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”“เกรงว่าบางเรื่องท่านอ๋องไม่ทราบจะดีกว่า เพราะว่าเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับท่าน”“งั้นหรือ เช่นนั้นหากว่ามันเกี่ยวกับข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ หากว่าช่วยเจ้าได้ข้าก็ยินดี”“ท่านพูดจริงงั้นหรือ”“นับตั้งแต่ที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ก็นับว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าต้องการให้ช่วยทำสิ่งใดข้าย่อมยินดีช่วย ชาจะเย็นแล้วรีบดื่มก่อนเถอะ”“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”หลิ่วอวิ๋นซียกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่านางยินดีที่จะร่วมสนทนาต่อกับเขาอีกครั้ง“เจ้าบอกว่านัดกับเหรินลั่วหลีที่หอซิงเฟย เหตุใดต้องเป็นที่นั่น แล้ว…”“เดี๋ยวก่อนนะท่านอ๋อง นี่ท่านเริ่มสอบสวนข้าแล้วงั้นหรือ”“ขออภัยแต่ข้าจำเป็นต้องรู้ เ
ตำหนักท่านอ๋อง“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”“กระหม่อมมิกล้า”“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพัก
เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง “เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”“ก็ได้”เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน“ไม่น่าเชื่อเลย”พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางม
ตำหนักท่านอ๋อง“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”“กระหม่อมมิกล้า”“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพัก
มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เสียงพ่นลมจากปลายจมูกของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย“แม่นางอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ คงลงมือไปนานแล้ว จำได้ว่าเจ้าปัดอาวุธลับของคนร้ายช่วยข้าเอาไว้ที่หอนางโลม นั่นแสดงว่าเจ้ายังพอมีจิตใจที่ดี และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า มิสู้เราสองคนมานั่งคุยกันดี ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”“เกรงว่าบางเรื่องท่านอ๋องไม่ทราบจะดีกว่า เพราะว่าเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับท่าน”“งั้นหรือ เช่นนั้นหากว่ามันเกี่ยวกับข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ หากว่าช่วยเจ้าได้ข้าก็ยินดี”“ท่านพูดจริงงั้นหรือ”“นับตั้งแต่ที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ก็นับว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าต้องการให้ช่วยทำสิ่งใดข้าย่อมยินดีช่วย ชาจะเย็นแล้วรีบดื่มก่อนเถอะ”“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”หลิ่วอวิ๋นซียกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่านางยินดีที่จะร่วมสนทนาต่อกับเขาอีกครั้ง“เจ้าบอกว่านัดกับเหรินลั่วหลีที่หอซิงเฟย เหตุใดต้องเป็นที่นั่น แล้ว…”“เดี๋ยวก่อนนะท่านอ๋อง นี่ท่านเริ่มสอบสวนข้าแล้วงั้นหรือ”“ขออภัยแต่ข้าจำเป็นต้องรู้ เ
เมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซานเสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”""พ่ะย่ะค่ะ""“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า “หนีไปทางหอซิงเฟย”“ตามไป”""พ่ะย่ะค่ะ""หอซิงเฟยท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป“ค้น!”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อส