ตำหนักท่านอ๋อง
“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”
“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”
“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”
เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง
“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”
“กระหม่อมมิกล้า”
“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”
“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”
“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องมีงานอีกมากให้ทำ ตอนนี้ข้าคิดว่าข่าวของหลิ่วอวิ๋นซีคงหลุดไปถึงจวนเสนาบดีแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวอวี้เดินถอยออกมาจากห้องบรรทม ท่านอ๋องทำเพียงแค่ถอนหายใจยาว ๆ อีกหนึ่งครั้งและรำพึงออกมา
“หลิ่ซอวิ๋นซี เจ้าช่างปรากฏตัวได้ถูกเวลายิ่งนัก”
วันถัดมา
“หลีกไป!”
“คุณหนูโม่”
“ข้าบอกให้หลีกไป!”
“คุณหนูโม่ ขออภัยข้าน้อยให้ท่านก้าวผ่านประตูเฉินเซวียนนี้ไปไม่ได้”
“โม่ชิงเซียน” สตรีงดงามอันดับหนึ่งแห่งหลิงโจว และบุตรเสนาบดีโม่หรันเซิ่งหยุดชะงักลง เมื่อเห็นองครักษ์ข้างกายท่านอ๋องเป็นผู้ขวางประตูวังชั้นในเอาไว้
“ข้ามาขอเข้าเฝ้าท่านอ๋อง”
“ขออภัยแต่วันนี้ท่านอ๋องติดพระราชกิจสำคัญ ไม่รับแขกขอรับ”
“เจ้ากล้าขวางข้างั้นหรือ ไม่ไว้หน้าสกุลโม่ เจ้าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหน”
“แม้ว่าเสนาบดีโม่จะยิ่งใหญ่ แต่ท่านก็จงอย่าลืมว่าใต้ฟ้าของหลิงโจว ไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่ไปกว่าท่านอ๋อง”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น”
โม่ชิงเซียนลืมตัวและรีบถอยออกมาหนึ่งก้าว นางหลงลืมไปแล้วว่าเสี่ยวอวี้คือผู้ใดและรับคำสั่งจากใคร ด้วยความโมโหจึงอยากระบายโทสะ
“หากคุณหนูโม่เข้าใจแล้วเช่นนั้นก็ขอให้ท่านกลับออกไปแต่โดยดี หาไม่แล้วต่อให้ท่านมาจากสกุลโม่ ก็หาได้พ้นอาญาที่บุกเข้าเขตพระราชฐานชั้นในมิได้”
“เช่นนั้นตอบคำถามข้ามาสักข้อได้หรือไม่ แล้วข้าจะไป”
“เชิญคุณหนูถาม”
“ในเมืองร่ำลือว่าเมื่อคืนก่อน ท่านอ๋องพาสตรีเข้าวังมาด้วยหนึ่งคน ข้าอยากทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เสี่ยวอวี้หันไปมองท่าทางใคร่รู้ของโม่ชิงเซียนจึงได้เข้าใจในทันที ที่แท้ท่านอ๋องก็ทรงทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่าโม่ชิงเซียนจะมาที่นี่ด้วยเรื่องนี้ จึงได้ส่งให้เขามารับหน้าแทน
“คุณหนูโม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนพระองค์ของท่านอ๋อง ข้าน้อยมิอาจก้าวก่าย เชิญคุณหนูกลับ”
“หากว่าเจ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้เป็นความจริง”
“หากไม่มีสิ่งใดแล้ว เชิญคุณหนูโม่กลับเถิด”
โม่ชิงเซียนทำได้เพียงกำหมัดแน่นและเดินกลับออกมาด้วยความไม่พอใจแต่ก็สุดจะทำสิ่งใดได้ เสี่ยวอวี้เดินกลับเข้ามายังตำหนักด้านในเพื่อรายงานทันที
“นางกลับไปแล้วงั้นหรือ”
“พระองค์ทรงทราบ”
“ถึงได้ให้เจ้าออกไปอย่างไรเล่า”
“กระหม่อม…มิได้แจ้งต่อนางแต่คาดว่าคุณหนูโม่คงคาดเดาได้แล้ว”
“เห็นทีประชุมราชสำนักเช้าวันพรุ่งนี้ ข้าคงได้ตอบคำถามเหล่านี้มากกว่าราชกิจอื่นเสียแล้ว”
“หลิงโจวยามนี้ไร้ซึ่งศึกสงครามเพราะพระบารมีของพระองค์…”
“แต่ก็ยังมีคนคอยปลุกปั่นปัญหาภายในไม่หยุด เรียกหลิ่วอวิ๋นซีมาพบข้าที ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวอวี้ให้คนไปตามหลิ่วอวิ๋นซีมาเข้าเฝ้า เมื่อนางเดินเข้ามาพร้อมกับถวายบังคมท่านอ๋องก็หันไปมองพินิจนางที่สวมชุดดุจบุรุษหนุ่ม ผูกผมรวบขึ้นจนหมดไม่ต่างกับทหารองครักษ์
“หลิ่วอวิ๋นซีถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
“เหตุใดเจ้าจึงได้สวมชุดนี้”
อวิ๋นซีหันไปมองหน้าเสี่ยวอวี้ เขาก็หันมามองด้วยความแปลกใจเช่นกัน เพราะไม่ค่อยพอใจอยู่แล้วที่นางจะมาทำหน้าที่องครักษ์
“เช่นนั้นพระองค์อยากให้หม่อมฉันสวมชุดเช่นไรเพคะ”
“เจ้าเป็นสตรี เหตุใดจึงไม่สวมชุดสตรีที่เตรียมเอาไว้”
“ขอทูลท่านอ๋องตามตรง ชุดกรุยกรายผ้าพลิ้วประดับลวดลายหลายชั้นเหล่านั้นคงไม่เหมาะกับหม่อมฉัน อีกอย่างจะเคลื่อนไหวก็ลำบาก ในเมื่อจะเป็นองครักษ์ก็ต้องคล่องตัวและเคลื่อนไหวรวดเร็ว หม่อมฉันจึงคิดว่าชุดของบุรุษน่าจะเหมาะสมมากกว่าเพคะ”
“ช่างเถอะ เจ้ามาดูนี่สิ นี่เป็นเบาะแสใหม่ที่ข้าพึ่งได้มา”
ท่านอ๋องโยนรายงานบางอย่างให้นาง เมื่ออวิ๋นซีหยิบขึ้นมาอ่านก็เริ่มหันไปมองท่านอ๋อง
“คนของหลันซาน นี่มิใช่คนของแคว้นจ้าวหรอกหรือ”
“ไม่ผิด เจ้ารู้จักกับคนที่นั่นหรือไม่ ข้าคิดว่าการตายของอาจารย์เจ้าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับยุทธภพ แต่น่าจะเกี่ยวกับความขัดแย้งบางอย่างเป็นการส่วนตัว”
“ขัดแย้งส่วนตัวงั้นหรือ อาจารย์ข้าเร้นกายอยู่ในเขาจิ้นซานมาหลายปี จะเคยบาดหมางกับผู้ใด”
“เรื่องนี้ข้าให้คนตามสืบอยู่เจ้าไม่ต้องห่วง หากว่ามาสิ่งใดคืบหน้าเจ้าจะได้ทราบก่อนแน่นอน แต่ตอนนี้กลับมาเข้าเรื่องกันก่อน ข้าต้องการให้เจ้าช่วยงานข้าอย่างหนึ่ง”
“ท่านอ๋องเชิญรับสั่ง”
“ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่ที่หนึ่ง เพื่องานสำคัญในอีกสี่วันข้างหน้า”
“งานใด”
“เจ้าไปที่หอลั่วฟางก็จะรู้เอง ในนั้นเขียนรายละเอียดเอาไว้แล้ว”
“ข้าทราบแล้ว จะรีบไปทันที”
“ขอบใจ”
หลิ่วอวิ๋นซีเดินกลับออกไป เสี่ยวอวี้หันไปปิดประตูเมื่อเห็นว่านางเดินออกจากตำหนักไปแล้ว
“ท่านอ๋องจะให้นางไปที่จวนใต้เท้าเพ่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ ทำเช่นนี้จะไม่เสี่ยงไปหรือ”
“นี่เจ้าเริ่มเป็นห่วงนางขึ้นมาแล้วงั้นหรือเสี่ยวอวี้”
“เปล่านะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่นางเป็นสตรีจะทำสิ่งใดได้”
“เจ้าผิดแล้ว เรื่องนี้น่ะ… ต้องเป็นนางเท่านั้น”
เสี่ยวอวี้ได้แต่หันไปมองท่านอ๋องด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งที่จะส่งคนส่งตัวหลิ่วอวิ๋นซีไปที่ “หอลั่วฟาง” ซึ่งเป็นหอนางรำขนาดใหญ่ในเมืองหลิงโจว
หอลั่วฟาง
“เอี้ยวตัวหน่อย อีกนิด ใช่แล้ว เดี๋ยวก่อนเจ้าน่ะ ๆ ผิดตำแหน่งแล้ว เฮ้อ…ขยับออกมาอีกหน่อย”
“เหลามาม่า มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดอีกเล่าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่งอยู่”
“มาจากวังหลวงเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินสาวใช้แจ้ง พัดในมือก็ยั้งลงทันที และรีบโบกให้นางพาตัวสตรีทั้งสามเข้ามาในห้องฝึกรำ อวิ๋นซีเดินตามสาวใช้ทั้งสองของท่านอ๋องเข้ามา เมื่อหยุดตรงหน้าสตรีร่างท้วมขาวในอาภรณ์สีแดงสด สาวใช้ทั้งสองจึงได้หันมาทักทายนาง
“คารวะเหลามาม่า วันนี้ข้าพานางรำคนใหม่มาให้ท่านฝึกเจ้าค่ะ”
“ใครเล่า ขอข้าดูหน่อย”
สาวใช้หันมามองอวิ๋นซี นางเดินเข้ามาจนเกือบจะชิดเหลามาม่าจนนางตกใจ
“เดี๋ยวก่อน ๆ ท่าทีกระโดกกระเดกเช่นนี้น่ะหรือจะมาเป็นนางรำ นี่อาลี่ข้าว่าเจ้าส่งนางมาผิดที่แล้วกระมัง อีกอย่างคนของข้าก็ครบแล้ว ทุกคนฝึกรำจนคล่องแล้วข้ายังไม่ต้องการคนเพิ่มตอนนี้หรอก”
“กร๊อบ!”
“กรี๊ด!!”
“โอ๊ย!! มือของข้า!”
เสียงหักข้อมือที่ดังอยู่ด้านหลังทำเอาเหล่านางรำกรีดร้องด้วยความตกใจจนเหลามาม่าเกือบจะตกลงจากที่นั่ง พัดในมือนางหล่นจากมือแต่สาวใช้ที่มากับอวิ๋นซีคว้ารับเอาไว้ได้ทัน อวิ๋นซีหันมายิ้มให้กับเหลามาม่าอีกครั้ง
“ตอนนี้นางรำของท่านขาดไปหนึ่งคนแล้ว จะไม่ลองให้ข้าได้ลองทดสอบสักหน่อยหรือ”
เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง “เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”“ก็ได้”เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน“ไม่น่าเชื่อเลย”พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางม
เมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซานเสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”""พ่ะย่ะค่ะ""“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า “หนีไปทางหอซิงเฟย”“ตามไป”""พ่ะย่ะค่ะ""หอซิงเฟยท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป“ค้น!”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อส
มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เสียงพ่นลมจากปลายจมูกของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย“แม่นางอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ คงลงมือไปนานแล้ว จำได้ว่าเจ้าปัดอาวุธลับของคนร้ายช่วยข้าเอาไว้ที่หอนางโลม นั่นแสดงว่าเจ้ายังพอมีจิตใจที่ดี และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า มิสู้เราสองคนมานั่งคุยกันดี ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”“เกรงว่าบางเรื่องท่านอ๋องไม่ทราบจะดีกว่า เพราะว่าเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับท่าน”“งั้นหรือ เช่นนั้นหากว่ามันเกี่ยวกับข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ หากว่าช่วยเจ้าได้ข้าก็ยินดี”“ท่านพูดจริงงั้นหรือ”“นับตั้งแต่ที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ก็นับว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าต้องการให้ช่วยทำสิ่งใดข้าย่อมยินดีช่วย ชาจะเย็นแล้วรีบดื่มก่อนเถอะ”“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”หลิ่วอวิ๋นซียกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่านางยินดีที่จะร่วมสนทนาต่อกับเขาอีกครั้ง“เจ้าบอกว่านัดกับเหรินลั่วหลีที่หอซิงเฟย เหตุใดต้องเป็นที่นั่น แล้ว…”“เดี๋ยวก่อนนะท่านอ๋อง นี่ท่านเริ่มสอบสวนข้าแล้วงั้นหรือ”“ขออภัยแต่ข้าจำเป็นต้องรู้ เ
เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง “เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”“ก็ได้”เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน“ไม่น่าเชื่อเลย”พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางม
ตำหนักท่านอ๋อง“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”“กระหม่อมมิกล้า”“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพัก
มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เสียงพ่นลมจากปลายจมูกของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย“แม่นางอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ คงลงมือไปนานแล้ว จำได้ว่าเจ้าปัดอาวุธลับของคนร้ายช่วยข้าเอาไว้ที่หอนางโลม นั่นแสดงว่าเจ้ายังพอมีจิตใจที่ดี และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า มิสู้เราสองคนมานั่งคุยกันดี ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”“เกรงว่าบางเรื่องท่านอ๋องไม่ทราบจะดีกว่า เพราะว่าเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับท่าน”“งั้นหรือ เช่นนั้นหากว่ามันเกี่ยวกับข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ หากว่าช่วยเจ้าได้ข้าก็ยินดี”“ท่านพูดจริงงั้นหรือ”“นับตั้งแต่ที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ก็นับว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าต้องการให้ช่วยทำสิ่งใดข้าย่อมยินดีช่วย ชาจะเย็นแล้วรีบดื่มก่อนเถอะ”“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”หลิ่วอวิ๋นซียกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่านางยินดีที่จะร่วมสนทนาต่อกับเขาอีกครั้ง“เจ้าบอกว่านัดกับเหรินลั่วหลีที่หอซิงเฟย เหตุใดต้องเป็นที่นั่น แล้ว…”“เดี๋ยวก่อนนะท่านอ๋อง นี่ท่านเริ่มสอบสวนข้าแล้วงั้นหรือ”“ขออภัยแต่ข้าจำเป็นต้องรู้ เ
เมืองหลิงโจว / แคว้นเฉินซานเสียงอาชานับสิบเร่งควบทะยานเพื่อไล่ล่านักฆ่า ที่บังอาจลอบสังหารขุนนางในเมืองหลิงโจว ครั้งนี้เป็นรองเจ้ากรมราชทัณฑ์แซ่อิ่น ซึ่งมารับตำแหน่งที่นี่เกือบสองปีแล้ว เขาถูกฆ่าในห้องหนังสือในยามดึกของคืนเดือนมืด“พวกเจ้าล้อมไปทางตะวันตก ข้าจะตามไปเอง”""พ่ะย่ะค่ะ""“เฉินตงหราน” อ๋องอุดรที่สุขุม พูดน้อยแต่เด็ดขาด สมญานาม “พยัคฆ์แดนเหนือ” แห่งเมืองหลิงโจวเร่งความเร็วม้าคู่ใจ หมายจะโจมตีนักฆ่าในเงามืดที่อยู่ตรงหน้า “หนีไปทางหอซิงเฟย”“ตามไป”""พ่ะย่ะค่ะ""หอซิงเฟยท่านอ๋องนำคนบุกเข้าไปในหอคณิกาชื่อดังกลางเมืองหลิงโจว และเมื่อเข้าไปก็สร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนในสถานเริงรมย์ยามค่ำคืนนั้นไม่น้อย แต่เมื่อเห็นป้ายทองของราชสำนักชูขึ้นมา แขกที่อยู่ในนั้นก็เริ่มทยอยพากันออกไป“ค้น!”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองเมื่อเห็นว่ามีเงาประหลาดที่รวดเร็วเคลื่อนไหวอยู่ด้านบน เขาวิ่งไปด้านในและเปิดประตูและพรวดพราดเข้าไป แต่กลับไม่พบสิ่งใดนอกจากสตรีนางรำที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่ด้านในและกรีดร้องด้วยความตกใจ“กรี๊ด!! พวกท่านจะทำอะไร!”สายตาของอ๋องหนุ่มพลันหลับเลี่ยงในทันใดเมื่อส