ตำหนักท่านอ๋อง
“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”
“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”
“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”
“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”
เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง
“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”
“กระหม่อมมิกล้า”
“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”
“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”
“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”
“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องมีงานอีกมากให้ทำ ตอนนี้ข้าคิดว่าข่าวของหลิ่วอวิ๋นซีคงหลุดไปถึงจวนเสนาบดีแล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวอวี้เดินถอยออกมาจากห้องบรรทม ท่านอ๋องทำเพียงแค่ถอนหายใจยาว ๆ อีกหนึ่งครั้งและรำพึงออกมา
“หลิ่ซอวิ๋นซี เจ้าช่างปรากฏตัวได้ถูกเวลายิ่งนัก”
วันถัดมา
“หลีกไป!”
“คุณหนูโม่”
“ข้าบอกให้หลีกไป!”
“คุณหนูโม่ ขออภัยข้าน้อยให้ท่านก้าวผ่านประตูเฉินเซวียนนี้ไปไม่ได้”
“โม่ชิงเซียน” สตรีงดงามอันดับหนึ่งแห่งหลิงโจว และบุตรเสนาบดีโม่หรันเซิ่งหยุดชะงักลง เมื่อเห็นองครักษ์ข้างกายท่านอ๋องเป็นผู้ขวางประตูวังชั้นในเอาไว้
“ข้ามาขอเข้าเฝ้าท่านอ๋อง”
“ขออภัยแต่วันนี้ท่านอ๋องติดพระราชกิจสำคัญ ไม่รับแขกขอรับ”
“เจ้ากล้าขวางข้างั้นหรือ ไม่ไว้หน้าสกุลโม่ เจ้าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่มาจากไหน”
“แม้ว่าเสนาบดีโม่จะยิ่งใหญ่ แต่ท่านก็จงอย่าลืมว่าใต้ฟ้าของหลิงโจว ไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่ไปกว่าท่านอ๋อง”
“ข้าไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น”
โม่ชิงเซียนลืมตัวและรีบถอยออกมาหนึ่งก้าว นางหลงลืมไปแล้วว่าเสี่ยวอวี้คือผู้ใดและรับคำสั่งจากใคร ด้วยความโมโหจึงอยากระบายโทสะ
“หากคุณหนูโม่เข้าใจแล้วเช่นนั้นก็ขอให้ท่านกลับออกไปแต่โดยดี หาไม่แล้วต่อให้ท่านมาจากสกุลโม่ ก็หาได้พ้นอาญาที่บุกเข้าเขตพระราชฐานชั้นในมิได้”
“เช่นนั้นตอบคำถามข้ามาสักข้อได้หรือไม่ แล้วข้าจะไป”
“เชิญคุณหนูถาม”
“ในเมืองร่ำลือว่าเมื่อคืนก่อน ท่านอ๋องพาสตรีเข้าวังมาด้วยหนึ่งคน ข้าอยากทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่”
เสี่ยวอวี้หันไปมองท่าทางใคร่รู้ของโม่ชิงเซียนจึงได้เข้าใจในทันที ที่แท้ท่านอ๋องก็ทรงทราบล่วงหน้าอยู่แล้วว่าโม่ชิงเซียนจะมาที่นี่ด้วยเรื่องนี้ จึงได้ส่งให้เขามารับหน้าแทน
“คุณหนูโม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนพระองค์ของท่านอ๋อง ข้าน้อยมิอาจก้าวก่าย เชิญคุณหนูกลับ”
“หากว่าเจ้าพูดเช่นนี้ แสดงว่าเรื่องนี้เป็นความจริง”
“หากไม่มีสิ่งใดแล้ว เชิญคุณหนูโม่กลับเถิด”
โม่ชิงเซียนทำได้เพียงกำหมัดแน่นและเดินกลับออกมาด้วยความไม่พอใจแต่ก็สุดจะทำสิ่งใดได้ เสี่ยวอวี้เดินกลับเข้ามายังตำหนักด้านในเพื่อรายงานทันที
“นางกลับไปแล้วงั้นหรือ”
“พระองค์ทรงทราบ”
“ถึงได้ให้เจ้าออกไปอย่างไรเล่า”
“กระหม่อม…มิได้แจ้งต่อนางแต่คาดว่าคุณหนูโม่คงคาดเดาได้แล้ว”
“เห็นทีประชุมราชสำนักเช้าวันพรุ่งนี้ ข้าคงได้ตอบคำถามเหล่านี้มากกว่าราชกิจอื่นเสียแล้ว”
“หลิงโจวยามนี้ไร้ซึ่งศึกสงครามเพราะพระบารมีของพระองค์…”
“แต่ก็ยังมีคนคอยปลุกปั่นปัญหาภายในไม่หยุด เรียกหลิ่วอวิ๋นซีมาพบข้าที ข้ามีเรื่องจะคุยกับนาง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวอวี้ให้คนไปตามหลิ่วอวิ๋นซีมาเข้าเฝ้า เมื่อนางเดินเข้ามาพร้อมกับถวายบังคมท่านอ๋องก็หันไปมองพินิจนางที่สวมชุดดุจบุรุษหนุ่ม ผูกผมรวบขึ้นจนหมดไม่ต่างกับทหารองครักษ์
“หลิ่วอวิ๋นซีถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ”
“เหตุใดเจ้าจึงได้สวมชุดนี้”
อวิ๋นซีหันไปมองหน้าเสี่ยวอวี้ เขาก็หันมามองด้วยความแปลกใจเช่นกัน เพราะไม่ค่อยพอใจอยู่แล้วที่นางจะมาทำหน้าที่องครักษ์
“เช่นนั้นพระองค์อยากให้หม่อมฉันสวมชุดเช่นไรเพคะ”
“เจ้าเป็นสตรี เหตุใดจึงไม่สวมชุดสตรีที่เตรียมเอาไว้”
“ขอทูลท่านอ๋องตามตรง ชุดกรุยกรายผ้าพลิ้วประดับลวดลายหลายชั้นเหล่านั้นคงไม่เหมาะกับหม่อมฉัน อีกอย่างจะเคลื่อนไหวก็ลำบาก ในเมื่อจะเป็นองครักษ์ก็ต้องคล่องตัวและเคลื่อนไหวรวดเร็ว หม่อมฉันจึงคิดว่าชุดของบุรุษน่าจะเหมาะสมมากกว่าเพคะ”
“ช่างเถอะ เจ้ามาดูนี่สิ นี่เป็นเบาะแสใหม่ที่ข้าพึ่งได้มา”
ท่านอ๋องโยนรายงานบางอย่างให้นาง เมื่ออวิ๋นซีหยิบขึ้นมาอ่านก็เริ่มหันไปมองท่านอ๋อง
“คนของหลันซาน นี่มิใช่คนของแคว้นจ้าวหรอกหรือ”
“ไม่ผิด เจ้ารู้จักกับคนที่นั่นหรือไม่ ข้าคิดว่าการตายของอาจารย์เจ้าไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับยุทธภพ แต่น่าจะเกี่ยวกับความขัดแย้งบางอย่างเป็นการส่วนตัว”
“ขัดแย้งส่วนตัวงั้นหรือ อาจารย์ข้าเร้นกายอยู่ในเขาจิ้นซานมาหลายปี จะเคยบาดหมางกับผู้ใด”
“เรื่องนี้ข้าให้คนตามสืบอยู่เจ้าไม่ต้องห่วง หากว่ามาสิ่งใดคืบหน้าเจ้าจะได้ทราบก่อนแน่นอน แต่ตอนนี้กลับมาเข้าเรื่องกันก่อน ข้าต้องการให้เจ้าช่วยงานข้าอย่างหนึ่ง”
“ท่านอ๋องเชิญรับสั่ง”
“ข้าจะส่งเจ้าไปยังที่ที่หนึ่ง เพื่องานสำคัญในอีกสี่วันข้างหน้า”
“งานใด”
“เจ้าไปที่หอลั่วฟางก็จะรู้เอง ในนั้นเขียนรายละเอียดเอาไว้แล้ว”
“ข้าทราบแล้ว จะรีบไปทันที”
“ขอบใจ”
หลิ่วอวิ๋นซีเดินกลับออกไป เสี่ยวอวี้หันไปปิดประตูเมื่อเห็นว่านางเดินออกจากตำหนักไปแล้ว
“ท่านอ๋องจะให้นางไปที่จวนใต้เท้าเพ่ยหรือพ่ะย่ะค่ะ ทำเช่นนี้จะไม่เสี่ยงไปหรือ”
“นี่เจ้าเริ่มเป็นห่วงนางขึ้นมาแล้วงั้นหรือเสี่ยวอวี้”
“เปล่านะพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่นางเป็นสตรีจะทำสิ่งใดได้”
“เจ้าผิดแล้ว เรื่องนี้น่ะ… ต้องเป็นนางเท่านั้น”
เสี่ยวอวี้ได้แต่หันไปมองท่านอ๋องด้วยความแปลกใจ แต่ก็ไม่กล้าขัดคำสั่งที่จะส่งคนส่งตัวหลิ่วอวิ๋นซีไปที่ “หอลั่วฟาง” ซึ่งเป็นหอนางรำขนาดใหญ่ในเมืองหลิงโจว
หอลั่วฟาง
“เอี้ยวตัวหน่อย อีกนิด ใช่แล้ว เดี๋ยวก่อนเจ้าน่ะ ๆ ผิดตำแหน่งแล้ว เฮ้อ…ขยับออกมาอีกหน่อย”
“เหลามาม่า มีคนมาขอพบเจ้าค่ะ”
“ผู้ใดอีกเล่าไม่เห็นหรือว่าข้ากำลังยุ่งอยู่”
“มาจากวังหลวงเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินสาวใช้แจ้ง พัดในมือก็ยั้งลงทันที และรีบโบกให้นางพาตัวสตรีทั้งสามเข้ามาในห้องฝึกรำ อวิ๋นซีเดินตามสาวใช้ทั้งสองของท่านอ๋องเข้ามา เมื่อหยุดตรงหน้าสตรีร่างท้วมขาวในอาภรณ์สีแดงสด สาวใช้ทั้งสองจึงได้หันมาทักทายนาง
“คารวะเหลามาม่า วันนี้ข้าพานางรำคนใหม่มาให้ท่านฝึกเจ้าค่ะ”
“ใครเล่า ขอข้าดูหน่อย”
สาวใช้หันมามองอวิ๋นซี นางเดินเข้ามาจนเกือบจะชิดเหลามาม่าจนนางตกใจ
“เดี๋ยวก่อน ๆ ท่าทีกระโดกกระเดกเช่นนี้น่ะหรือจะมาเป็นนางรำ นี่อาลี่ข้าว่าเจ้าส่งนางมาผิดที่แล้วกระมัง อีกอย่างคนของข้าก็ครบแล้ว ทุกคนฝึกรำจนคล่องแล้วข้ายังไม่ต้องการคนเพิ่มตอนนี้หรอก”
“กร๊อบ!”
“กรี๊ด!!”
“โอ๊ย!! มือของข้า!”
เสียงหักข้อมือที่ดังอยู่ด้านหลังทำเอาเหล่านางรำกรีดร้องด้วยความตกใจจนเหลามาม่าเกือบจะตกลงจากที่นั่ง พัดในมือนางหล่นจากมือแต่สาวใช้ที่มากับอวิ๋นซีคว้ารับเอาไว้ได้ทัน อวิ๋นซีหันมายิ้มให้กับเหลามาม่าอีกครั้ง
“ตอนนี้นางรำของท่านขาดไปหนึ่งคนแล้ว จะไม่ลองให้ข้าได้ลองทดสอบสักหน่อยหรือ”
เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง “เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”“ก็ได้”เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน“ไม่น่าเชื่อเลย”พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางม
“ท่านรู้นามอาจารย์ข้าได้อย่างไร”“อวิ๋นซีถอยออกมา พวกเขาไม่ใช่คนร้าย”“ถวายบังคมท่านอ๋องห้า และท่านอ๋องเก้าพ่ะย่ะค่ะ”เมื่ออวิ๋นซีหันไปมองบุรุษที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ นางก็เริ่มเข้าใจ เข็มเงินถูกเก็บเข้าไปอีกครั้งก่อนที่บุรุษที่ยืนเกร็งอยู่จะถอนหายใจยาว เขาดูเยาว์กว่าอีกคนหนึ่งแต่ท่าทางถือดีและพูดมากนั้นทำให้นางเดาได้ทันที“ท่านก็คือเสิ่นอ๋อง แห่งเสิ่นโจว”“ล่วงเกินแล้ว ข้า “เฉินเฟิ่งเซียว” องค์ชายห้าแห่งเฉินซาน ยินดีที่ได้พบ นี่น้องเก้าของข้า…"เฉินรั่วเฟิง" ต้องขออภัย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่ารีบจัดการเรื่องตรงหน้าก่อนจะดีกว่า”“น้องห้า น้องเก้า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ข้าให้พวกเจ้าเฝ้าดูเอาไว้มิใช่หรือ”“ท่านแม่!”เสียงของใต้เท้าเพ่ยดังขึ้นเมื่อเขาเดินตามมาถึงและเห็นบางอย่างอยู่ในห้อง เสียงร้องโหยหวนเริ่มดังขึ้นเมื่อทุกคนหันไป ร่างของฮูหยินผู้เฒ่าถูกแขวนตาค้างอยู่บนคานในห้องของตัวเอง“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”“คนร้ายเบี่ยงความสนใจ ทำท่าว่าจะไปโจมตีท่านด้านใน แต่ที่จริงแล้วเป้าหมายของพวกมันอยู่ที่ฮูหยินผู้เฒ่า”“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร! นี่มันเกิดอะไรขึ้น”“เรียนนายท่าน ข้ากับสาวใช้อีกสองคนพาฮูหยินผู้เฒ่
“พี่สาม ท่านเป็นถึงยอดบุรุษหนึ่งในสี่ของเฉินซาน แต่กลับรับองครักษ์สตรีมาอยู่ข้างกายงั้นหรือ”“พี่สาม ดูท่าองครักษ์หญิงผู้นี้คงมิได้มีไว้เพื่ออารักขาท่าน แต่มีนางไว้เพื่อจุดประสงค์อื่นสินะ”เฉินตงหรานหันมายิ้มให้กับน้องชายของตัวเองที่รู้ทัน เดิมทีเขาคิดแค่ว่าจะให้นางช่วยสืบเรื่องของหอฟงหรู แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะมีความสามารถมากกว่านั้นจนเขานึกอยากจะรั้งเอาไว้ข้างกาย“พี่สาม ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”“อย่าบอกนะว่าท่านกำลัง… คิดถึงนาง”“เหลวไหล ข้ากับนางก็แค่… ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอกไม่พบคนที่น่าสงสัยเลยงั้นหรือ”ทั้งสองหันมามองหน้ากัน อ๋องห้าถึงกับยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของพี่ชาย ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นผู้ที่สุขุมอยู่เสมอจะเสียกิริยาเช่นนี้“ข้ากับพี่สามซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ด้านบนหลังคาเรือนที่สูงที่สุด คิดว่าคนร้ายจะจัดการคนในงานเลี้ยง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายครั้งนี้จะอยู่ที่เรือนหลังของฮูหยินผู้เฒ่า ว่าแต่เหตุใดนางจึงกลับมาก่อน”“หลังจากที่รับคำอวยพรเสร็จแล้ว ข้าเห็นสาวใช้เดินเข้ามาหานาง หลังจากนั้นก็ขอตัวกลับ เดิมทีไม่คิดว่าจะมีเรื่องอื่นแต่ดูท่าแล้วเห
“พี่สาม นี่ท่านล้อเล่นหรือ”เฉินเฟิ่งเซียวกระทุ้งข้อศอกไปที่สีข้างของน้องชายให้เงียบทันที เมื่อหันไปมองท่านอ๋อง ที่กำลังตั้งคำถามกับสตรีที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านหรือ”“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เจ้าถามข้า หลิ่วอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะเอาชีวิตข้าก็คงลงมือไปนานแล้ว คงไม่ต้องรอจนถึงวันนี้กระมัง"“นางอาจจะกำลังรอจังหวะอยู่ก็ได้นะ”“เจ้าเงียบไปเลยน้องเก้า”"พี่ห้าแต่ว่า…."เมื่อหันมามองสายตาของพระเชษฐา เฉินรั่วเฟิงก็เงียบเสียงลงไปในทันที เขารู้อยู่แล้วว่าหากเฉินตงหรานตัดสินใจจะทำสิ่งใดย่อมไม่มีผู้ใดสามารถค้านได้แม้แต่ฝ่าบาท ซึ่งเป็นพระเชษฐาของพวกเขา“แลกกับ…”“เบาะแสของอาจารย์เจ้าที่อยากได้ หอหรงเยว่จะเป็นผู้สืบหาตัวคนร้ายแทนเจ้า ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าน้องเก้าไม่เคยทำงานพลาด”“เอ่อ ใช่ ๆ ข้ามีสายลับทั่วแคว้นอีกอย่างเรื่องสืบสวนและตามหาคน หอหรงเยว่นับว่าชำนาญมากที่สุด”“แต่เมื่อคืนพวกท่านพึ่งจะพลาดท่าให้กับหอฟงหรูไปเองมิใช่หรือ”“เอ่อ อะแฮ่ม! แม่นางหลิ่วเจ้าก็กล่าวเกินไป เรื่องบางเรื่องต่อให้เราคิดการรอบคอบ แต่โจรก็คือโจรอยู่ดี”“ทำงานให้ข้าแลกกับข่าวที่ต้องการสืบ
เรือนพักอวิ๋นซี หลิ่วอวิ๋นซีเดินมาเก็บของบางส่วนเพื่อจะย้ายออกไปอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋อง แต่เมื่อมาถึงของใช้ทุกอย่างก็ถูกจัดใส่หีบเตรียมย้ายจนหมดแล้ว สาวใช้ทั้งสองของท่านอ๋องเดินมาคำนับให้นาง“คุณหนูหลิ่ว ข้าน้อยเก็บของที่จำเป็นให้ท่านแล้ว เหลือเพียงของส่วนตัว ข้าทิ้งหีบเอาไว้ให้ท่านเก็บอีกสักครู่จะส่งคนมาขนของที่เหลือไป”“ขอบใจมากอาลี่”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”พวกนางเริ่มขนของออกไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้นั่งที่เตียงและทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น‘เขาเริ่มระแวงข้าแล้วสินะ ตอนนี้ให้ข้าไปอยู่ที่ตำหนักเดียวกับเขา คงกลัวว่าข้าจะลอบติดต่อคนภายนอก’อวิ๋นซีหันมาเก็บของในห้องทีละอย่างลงไปในหีบที่อาลี่ทิ้งเอาไว้ให้พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ว่าท่านอ๋องจะไม่มีท่าทีน่าสงสัยแต่นางก็พยายามที่จะทำตัวให้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเขาในจวนสกุลเพ่ย หรือบอกชื่อยาพิษซึ่งนางรู้ดีว่าเป็นแค่การหยั่งเชิงจากเสิ่นอ๋อง เฉินเฟิ่งเซียวเท่านั้น‘พวกเขาใช้น้องชายทั้งสองมาหยั่งเชิงข้า จากนี้คงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม’ตำหนักท่านอ๋องอวิ๋นซีเดินเข้ามาในตำหนักที่เริ่มเงียบแล้วในเวลาบ่าย ดูเหมือนว่าท่านอ๋องทั้งสองซึ่งเป็นพ
“อะไรนะ! นี่เจ้ากล้าขู่บุตรเสนาบดีอย่างข้าเลยหรือ”“ต่อให้เจ้าเป็นฮองเฮาหรือพระสนม ผิดก็คือผิด ข้ามีหน้าที่ทำตามกฎเช่นนั้นก็อย่าโทษข้าเลย”เข็มถูกยกขึ้นสูงจนโม่ชิงเซียนกรีดร้องออกมา ท่านอ๋องยืนมองและไม่เอ่ยสิ่งใดจนถึงบัดนี้ เดิมทีเขาก็เป็นคนเย็นชาและมิได้ใส่ใจผู้ใดอยู่แล้ว“เดี๋ยว! ข้ากลับก็ได้ แค้นนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว เรื่องนี้…”“เจ้าจะไปฟ้องบิดาของเจ้างั้นหรือ คิดไม่ถึงว่าบุตรขุนนางของหลิงโจวจะอ่อนหัดและยังไม่โตเช่นนี้ แค่โดนตีนิดหน่อยก็วิ่งโร่ไปฟ้องพ่อแม่ งอแงเป็นเด็กสิบขวบ เช่นนี้ยังจะออกเรือนได้อยู่หรือ ข้าว่าเจ้ากลับไปหมั่นร่ำเรียนศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีใหม่จะดีกว่ากระมัง”“เจ้า!”“คุณหนูเจ้าคะ กลับเถิดเจ้าค่ะ”โม่ชิงเซียนทำได้แค่ใช้สายตาโกรธมองมาที่หลิ่วอวิ๋นซีที่ยิ้มให้นางเท่านั้น สาวใช้ค่อย ๆ พยุงโม่ชิงเซียนออกไปแล้วท่านอ๋องจึงได้เดินมาหานาง“เป็นวิธีที่เด็ดขาด แต่ก็ดูโหดร้ายไปสักนิดสำหรับสตรีที่บอบบางไร้วรยุทธ์เช่นนั้น”“งั้นหรือ หากท่านกลัวว่านางจะเจ็บ เช่นนั้นก็ตามไปปลอบโยนสิ มิใช่ว่านางคือว่าที่คู่หมั้นของท่านหรืออย่างไร หึ”“เอ่อ ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น...เดี๋ยวสิเจ้าจ
เมื่อท่านอ๋องตรัสจบก็โยนดาบให้นางทันที อวิ๋นซีรับดาบด้วยท่าทางชำนาญเขาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วนางก็ใช้ดาบเป็น‘อวิ๋นซี ความลับของเจ้ายังมีอีกมากเท่าใดกันหนอ’“มาเถอะ ข้าจะสอนวิชาดาบให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัว”“ท่านจะไม่ให้ข้าใช้เข็มพิษวารีงั้นหรือ”“ข้าไม่ได้ห้าม ในเวลาคับขันหากเจ้าอยากจะนำมาใช้ก็ย่อมได้ แต่ที่อยากให้เรียนวิชาดาบก็เพื่อเพิ่มกรงเล็บให้เจ้า มาเถอะข้าคิดว่าเจ้าหัวไวมากพอ ฝึกนิดหน่อยก็น่าจะปกป้องข้าได้แล้ว”“ปกป้องงั้นหรือ จะปกป้องหรือฆ่าท่านก็ยังไม่แน่เลย ไม่กลัวข้าเลยงั้นหรือ”“หึหึ”นี่มิใช่ครั้งแรกที่นางพูดเช่นนี้ เขาสงสัยนางก็จริงแต่นับตั้งแต่อวิ๋นซีเข้าวังมากับเขา ก็ยังไม่มีท่าทางอื่นที่น่าสงสัย และตอนนี้เขาก็เริ่มรู้ว่านางเองก็คงจะทราบว่าพวกเขาสงสัยในตัวนาง จึงพยายามพูดเช่นนี้เพื่อให้เขาแสดงอารมณ์ตำหนักรับรอง“ท่านว่าพี่สามบ้าไปแล้วจริงหรือ ถึงกับฝึกดาบให้นางด้วยตัวเอง”“ดูท่าการมาหลิงโจวครั้งนี้ คงมีบางเรื่องยากเกินคาดเดา”“ยากคาดเดาอะไรกัน พี่สามก็คงอยากจะทดสอบมากกว่า ว่านางมีความรู้และใช้อาวุธใดเป็นบ้างจะได้เฝ้าระวัง ท่านคิดมากแล้ว”“หึ น้องเก้า เจ้าคิดน้อยไปต่างหากเล
“แต่นางก็เล่นผิดคนแล้ว หลิ่วอวิ๋นซีมิใช่สตรีที่ผู้ใดจะรังแกได้ง่าย ๆ เสียหน่อย วรยุทธ์นางน่าจะสูงพอ ๆ กับข้าด้วยซ้ำ แต่ว่าวิชาที่นางใช้ ท่าการออกดาบที่ข้าเห็นกลับแปลกตาและไม่คุ้นเคย”“พวกเจ้าเห็นชัดแล้วสินะ เมื่อวานนี้”“ท่านจงใจพานางมาฝึกเมื่อวาน ก็เพื่อให้พวกข้าดูวิชาดาบของนางมิใช่หรือ”“แล้วพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”“วรยุทธ์ของนางอ่อนนอกแข็งใน กระบวนท่าอาจจะดูสะเปะสะปะแต่ก็แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งราวกับว่า…”“นางต้องการปกปิดวิชาที่แท้จริงเอาไว้”“ท่านก็มองออกแต่แรกแล้วสินะ”“วิชาดาบเช่นนี้ข้าเคยเห็นสตรีของแคว้นจ้าวฝึกกันอยู่ อาจารย์ของพวกเขาคือสำนักอิ๋งเซียนที่อยู่หุบเขาซานเหนียงของแคว้นจ้าว พี่สามท่านว่าองครักษ์หญิงของท่านผู้นี้ มีความลับมากเกินไปหรือไม่”“เพราะเป็นเช่นนี้ข้าจึงปล่อยนางไปไม่ได้”“แต่การที่เก็บนางไว้ข้างกายเช่นนี้ จะเป็นผลดีหรือร้ายยังไม่แน่ชัด”“แต่ข้าก็มีพวกเจ้าอยู่มิใช่หรือ”“นั่นมันแน่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าท่านน่ะคงจะไม่ตกหลุมรักนางเข้าเสียก่อนเล่า”“เจ้าพูดอะไรน่ะ! ผู้ใดจะ… เป็นเช่นนั้น ข้าน่ะหรือจะหลงกลนาง เหลวไหลสิ้นดี”ท่าทางลุกลนของเฉินตงหรานทำเอาเฉินรั่วเฟิงยิ้มออ
ท่านอ๋องหันไปมองหลิ่วอวิ๋นซี ที่ยืนจ้องมองโม่ชิงเซียนที่น้ำตาเริ่มไหลออกมา เพราะความเจ็บปวดของเส้นเสียงที่เริ่มถูกเล่นงาน โดยเข็มพิษวารีที่มีฤทธิ์เย็น“ช่างเป็นการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งนัก”“ปึก!”เฉินเฟิ่งเซียวกดสกัดจุดที่ท้ายทอยของโม่ชิงเซียนเอาไว้ เพื่อมิให้นางเจ็บปวดเป็นการชั่วคราว เขามิอาจช่วยนางได้เพราะมิใช่เจ้าของพิษ ทำได้แค่บรรเทาอาการลงให้ชั่วคราวเท่านั้น“โม่ชิงเซียนเจ้าฟังข้าให้ดี เรื่องที่เจ้านำมาบอกข้าในวันนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้ารู้ทั้งหมดแล้ว”“เฮือก!”ท่าทางของโม่ชิงเซียนนึกอยากจะเถียงแต่กลับไร้คำพูด มีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวเท่านั้นที่แสดงออกว่านางไม่เชื่อ และอยากให้ท่านอ๋องไม่เชื่อด้วยเช่นกัน“ก็ยังดื้อดึงเช่นเดิม เรื่องที่เจ้าแอบสืบเป็นสิ่งที่พวกข้าล้วนรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว อีกอย่างเรื่องภายในราชสำนักเหตุใดบุตรีขุนนางเช่นเจ้าจึงให้ความสนใจนัก”“นางมิได้สนใจเรื่องในราชสำนักอะไรนั่นหรอก ท่านคิดดี ๆ หน่อย ที่นางสนใจเรื่องของท่านต่างหาก จงใจมาพูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้ท่านสั่งประหารข้าฐานหลอกลวงเบื้องสูง ที่แท้ก็แค่อยากจำกัดข้าแต่ไม่กล้าทำเอง ขี้ขลาดยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก”ท่านอ
เฟิ่งเซียวตกใจจนพัดหลุดออกจากมือ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาจึงรีบหยิบขึ้นมา สีหน้าของโม่ชิงเซียนที่โกรธจัดจนเดินเข้ามาเพื่อหวังทำร้ายอวิ๋นซีก็ถูกท่านอ๋องป้องกันเอาไว้“ท่านอ๋อง!”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดเข้ามาถึงห้องนี้โดยมิได้รับอนุญาต อยากให้ข้าสั่งลงโทษเจ้างั้นหรือ อย่าคิดว่ามีบิดาเป็นเสนาบดีเก่าแก่ของราชสำนัก แล้วเจ้าจะทำเหิมเกริมต่อหน้าข้าได้นะ”“หม่อมฉัน… มิบังอาจเพคะ”“เจ้าบังอาจ! บังอาจเข้ามาในเขตพระราชฐานทั้ง ๆ ที่ไม่มีคำสั่ง บังอาจเข้ามาถึงห้องทำงานของข้า และยังบังอาจที่สุดที่คิดจะทำร้ายคนของข้า ต่อหน้าข้า ทหาร!”“ช้าก่อนเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้มีเจตนาไม่ดีเพียงแต่วันนี้ติดตามท่านพ่อเข้าวังจึงมาเข้าเฝ้า อีกอย่างจะทรงตรัสเช่นนั้นหาได้ไม่ เพราะพระองค์เป็นคนอนุญาตในเทียบที่หม่อมฉันส่งมาครั้งก่อนด้วยพระองค์เอง”อวิ๋นซีหันมามองหน้าท่านอ๋องที่กลอกตาไปมา นี่เขาคงพลาดอะไรไปสินะถึงได้ไม่ทันอ่านฎีกาทั้งหมดนั่น เพราะวันที่เขากับอวิ๋นซีต่อสู้กันจนห้องทรงงานพังไปรอบหนึ่ง เขาก็เป็นคนแจ้งกับเสี่ยวอวี้เองว่าอนุญาตฎีกาทั้งหมด ซึ่งไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีคำขอเข้าเฝ้าของโม่ชิงเซียนด้วย“เช่นน
อวิ๋นซีก้มหน้าและยิ้มออกมา ท่านอ๋องคว้าร่างบางเข้าไปและจับนางเชยคางขึ้นเพื่อรับจุมพิตวาบหวามอีกครั้ง อวิ๋นซีแทบจะล่องลอยไปกับรสสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้ไม่รู้จบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่พึ่งผ่านสงครามรักที่ดุเดือดมาเกือบครึ่งวัน“พอเถิดเพคะ หายใจไม่ออกแล้ว”“กลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปหาน้องเก้าจัดการเรื่องที่เหลือให้เจ้า”“ขอบพระทัยเพคะ”“ไม่เป็นไร เพราะเจ้าต้องจ่ายค่าสืบเรื่องนี้ให้ข้าแพงแน่นอน”“แต่ท่านบอกว่าเงื่อนไขของพวกเรา…อ๊ะ!”ท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง เขาใช้สันจมูกก้มลงคลอเคลียปลายจมูกเชิดเล็กของนางราวกับหยอกล้อ“นั่นมันก่อนที่พวกเราจะทำเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้ต้องผูกขาเจ้าเอาไว้ข้าก็จะทำ กลับไปรอที่ตำหนักแล้วอย่าลืมรอกินข้าวกับข้าด้วย”“เผด็จการ”“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าเป็นเช่นนี้เองนะซีเอ๋อร์ โทษข้าไม่ได้รีบไปก่อนที่จะทนไม่ไหวและไม่ปล่อยเจ้าออกจากหอตำรา”“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”อวิ๋นซีรีบดันตัวเขาออกและวิ่งลงมาจากชั้นสองด้วยความรวดเร็ว หากนางขืนยังชักช้ากว่านี้ เกรงว่าจะมิได้เดินออกจากหอตำราแห่งนี้ก่อนตะวันตกดินเป็นแน่ เพราะสายตาและเสียงกระซิบแผ่วเบานั่นไม่ได้มีวี่แววว่าจ
อวิ๋นซีเองก็มิได้อยากจะทนแล้วเช่นกัน นางเองก็อยากปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม ๆ กับเขา “กอดข้าเถิดเพคะ”“คนดีของข้า เช่นนั้นข้าจะถอดผ้านี้ออก จากนี้เจ้าจะได้ไม่ลืมว่าข้า “รัก” เจ้ามากเพียงใด"ท่านอ๋องดึงผ้าผูกตาของนางออกและดึงนางขึ้นมาจูบ อวิ๋นซีตะลึงกับรูปร่างของบุรุษหนุ่มที่เปลือยเปล่าตรงหน้า แม้ว่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามเสียยิ่งนัก “อือ… ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ!”“หากว่าเจ้าเจ็บก็บอกข้า แต่ข้าจะไม่หยุดให้หรอกนะ เพียงแค่จะค่อย ๆ พาเจ้าเดินไปจนสุดทางเท่านั้น”“ผู้ใดจะไม่ไหวก่อนกันยังไม่รู้เลย อย่าพึ่งมั่นใจในตัวเองนักสิเพคะ”“เจ้ามันร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”จุมพิตหวานถูกป้อนไปนับไม่ถ้วน ท่านอ๋องค่อย ๆ กรีดกรายและขยับเรียวขาเล็กของนางออกเพื่อเปิดทางให้ตัวตนของเขาได้เข้าไป เพียงหัวของมังกรยักษ์ที่ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไป อวิ๋นซีก็รีบจิกเล็บลงที่ลำแขนล่ำของเขาทันทีเพราะความคับแน่นและอึดอัดกำลังเล่นงานนาง แต่อวิ๋นซีกลับไม่ร้องเลยสักคำ“ซีเอ๋อร์ ยังไหวอยู่หรือไม่ อาา…แน่นมากเลยให้ตายเถอะ”“ไม่เป็นไรเพคะ อื้อ…ท่านอ๋อง!”เพียงแค่นางเรียกร้อง เขาจึงตัดสินใจกระแทกซ้ำเข้าไปในค
“แล้วเหตุใดพระสนมที่อยู่ในวัง ถึงอยากจะสังหารอาจารย์ของเจ้าเล่า นี่มันไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”“เรื่องนั้นย่อมมีเหตุผล หากว่าได้ข้อมูลของคนทั้งสี่นี้มาแล้ว ข้าจะต้องไปจากที่นี่”“อะไรนะ! แต่เจ้ารับปากแล้วว่าจะไม่ไปนี่ เหตุใดกลับคำพูดอีกแล้วเล่า”“มิได้หมายถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้ข้อมูลจากท่านเลย ว่าแต่ใช้เวลาอีกนานหรือไม่กว่าหอหรงเยว่ของพวกท่านจะสืบเรื่องนี้ให้ข้าได้”“นั่น… ข้าต้องถามน้องเก้าอีกที แต่ว่าซีเอ๋อร์เจ้าจะไปคนเดียวจริงหรือ มิสู้ให้ข้า...”“ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า”“แต่พวกนางเป็นถึงพระสนมในวัง อีกอย่างก็เป็นคนต่างแคว้น แค่เจ้าก้าวขาเข้าไปยังเขตแคว้นจ้าวก็คงจะโดนจับเสียก่อน เอาไว้เสร็จจากการแข่งขันผู้กล้าของหลิงโจวแล้วค่อยคุยกันอีกที"“แต่ว่า”“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ในเมื่อข้าพูดไปแล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า เช่นนั้นเจ้าไปที่ใดข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย ซีเอ๋อร์หรือว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้าว่าสามารถช่วยเจ้าแก้แค้นให้อาจารย์ได้”อวิ๋นซีมิอาจจะพูดสิ่งใดได้ ท่านอ๋องเดินและดึงตัวนางเข้าไป สวมกอดเอาไว้ อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ทำให้นางหวั่นไหวเข้าแล้วจริง ๆ นางพลาดที่เดินเข้ามาในวังหลวงของหลิงโจว
เมื่อประตูปิดลง หัวใจของอวิ๋นซีก็ราวกับจะโบยบินตามท่านอ๋องออกไปพร้อมกับเสียงประตู นางเลือกที่จะปิดประตูหัวใจนี้ตั้งแต่แรกเพียงเพราะความกลัว เมื่อหันมามองเรื่องที่เขียนในรายงานก็ยิ่งทำให้ความแค้นนี้โถมกระหน่ำทับลงมาอีกรอบ“อาจารย์ไป๋ลู่ตงเดินทางไปเป่ยหลาน ครั้งสุดท้ายที่มีผู้คนพบเห็นเขาคือหลังสงครามสามแคว้นระหว่างแคว้นจ้าว เป่ยหนานและเฉินซาน ซึ่งเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ หลังศึกครั้งนั้น อาจารย์ภูตเข็มพิสดารได้เดินทางออกจากเป่ยหลาน แต่กลับหายไประหว่างเดินทางมาที่เฉินซาน ผู้ที่พบคนสุดท้าย “จิ่วรั่วเฟย” พระสนมของจักรพรรดิแคว้นจ้าว “กงซุนจิ้นกั๋ว” ซึ่งสิ้นชีพในสนามรบในครั้งนั้นด้วยฝีมือของแม่ทัพของเป่ยหนานนามว่า “จิ่วโม่หราน””น้ำตาของอวิ๋นซีเริ่มรินไหลลงมาบนรายชื่อหนึ่งในนั้น พร้อมกับลูบพลางพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหลออกมา“อาจารย์ หากท่านตายด้วยฝีมือของคนเหล่านั้นจริง ๆ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันเลยแม้แต่คนเดียว!”วันถัดมาห้องทรงงานที่เละเทะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากเก็บของที่หักและพังออกมาทิ้ง เสี่ยวอวี้และสาวใช้อีกเกือบสิบคนใช้เวลาครึ่งเช้าเพื่อจะจัดเก็บของในห้องออกมาจนหมด “ท่านองครักษ์
หลิ่วอวิ๋นซีวิ่งออกไปจากห้องทรงงาน และกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อเข้าไปถึงก็รีบดึงของออกมาเพื่อเก็บใส่ห่อทันที“เฉินตงหราน ไม่คิดว่าจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าไม่อยู่แล้วคนสารเลว!”“คุณหนูเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เปิดประตูให้พวกข้าเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนู”นางรู้ดีว่าอาลี่และอาเวินแม้ว่าจะดูแลนาง และพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม แต่พวกนางก็เป็นคนของท่านอ๋อง ซึ่งครั้งนี้ก็คงจะเป็นท่านอ๋องที่สั่งให้มาเฝ้านาง“ข้าไม่เป็นไร อาลี่ข้าอยากแช่น้ำอุ่นสักหน่อย รบกวนพวกเจ้าไปเตรียมให้ข้าได้หรือไม่”“คุณหนู เสียงท่านไม่ค่อยสู้ดีเลย ให้ข้า…”“ไม่ต้องหรอกข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น รีบไปเถอะ"“เจ้าค่ะ”เสียงของสาวใช้ทั้งสองเงียบไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้รีบเก็บของรวบรวมใส่ห่อผ้าเอาไว้ เมื่อเก็บและผูกมัดเรียบร้อยก็เริ่มมองหาที่ เพื่อจะออกไปจากตำหนักและวังหลวงแห่งนี้“กล้ารังแกข้าเช่นนี้ ข้าไม่เป็นมันแล้วไม่ว่าจะสาวใช้ หรือองครักษ์ส่วนตัวบ้าบออะไรนั่น”อวิ๋นซีเดินมายังเรือนหลังซึ่งนางเคยพักมาก่อนจะย้ายไปที่ตำหนักท่านอ๋อง นางปีนขึ้นไปบนกำแพงและกำลังจะกระโดดข้ามลงไป เมื่อกระโดดลงมาไม่คิดว่าจะมีคนที่รอรับนางอยู่ข้างล่างได้พอดี
อวิ๋นซีค่อนข้างตกใจ แปลกใจและสงสัยยิ่งนัก เดิมทีนางก็ไม่ได้จะมีหน้าที่เช่นนี้ แต่เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องจึงได้จงใจสั่งการนางเหมือนกับสาวใช้จริง ๆ เข้าไปทุกที แต่นางก็ยอมที่จะรินน้ำชาและยกของว่างไปวางให้เขาที่โต๊ะ ซึ่งตามปกติแทบจะไม่เคยมาที่ตรงนี้เลย“ฝนหมึกสิ”‘เจ้าอ๋องอารมณ์แปรปรวนผู้นี้น่าตบกบาลยิ่งนัก หากไม่คิดว่าจะต้องใช้ท่านสืบข่าว ข้าคงฆ่าท่านไปนานแล้ว’“นิ่งอยู่ทำไม อย่าบอกนะว่าแม้แต่ฝนหมึกเจ้าก็ยังทำไม่เป็น”“ข้าทำเป็นเพียงแต่ท่านเคยบอกว่า ไม่ต้องทำเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ”“ไม่เคยทำก็ใช่ว่าจะแล้งน้ำใจจนทำไม่ได้นี่ ไม่เห็นหรือว่าที่นี่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดให้เรียกใช้สอยได้เลย”“ข้ออ้างชัด ๆ”“ข้าได้ยินนะอวิ๋นซี”“เพคะ หม่อมฉันแล้งน้ำใจเอง”นางเดินมาข้าง ๆ และเริ่มฝนน้ำหมึกให้เขา ท่านอ๋องเพียงแค่มีนางอยู่ใกล้ ๆ ก็แอบลอบยิ้มด้วยความพอพระทัย และหันไปสนใจกับรายงานต่อไป“คือว่า ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน”“ว่ามาสิ”“หลันอ๋องตรัสว่าอีกสิบวันจะมีงานแข่งขันผู้กล้าแห่งหลิงโจว… ข้าอยากจะ...”“ทำไม หรือเจ้าเองก็นึกอยากจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย”“ใช่แล้วเพคะ มันน่าตื่นเต้นดีออก ข้ากับองค์ชายจวินอู๋ไ
วันถัดมาอวิ๋นซีเดินออกมาจากลานฝึกหลังจากที่ฝึกดาบเสร็จแล้ว เมื่อนางเดินมาถึงหน้าตำหนัก ก็พบกับองค์ชายเจ็ดแห่งม่อถานที่กำลังเดินเล่นในสวน“แม่นางหลิ่ว”อวิ๋นซีหันกลับไปและเกือบจะลื่นล้ม เพราะเขาเดินเข้ามาใกล้นางเกินไป ต้วนจวินอู๋จึงดึงนางเอาไว้ได้ทัน“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวัง”“ไม่เป็นไร ๆ เป็นข้าเองที่เรียกเจ้ากะทันหัน เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”“ไม่เป็นอะไร พระองค์จะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องหรือเพคะ”“เข้าเฝ้าหรือ หากจะพูดตามจริงคือข้าอยากคุยกับเจ้าน่ะ”“คุยกับหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่แล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เจ้าใช้จอกชาสกัดอาวุธของน้องเก้าเอาไว้ และฝีมือการประลองยุทธ์ของเจ้าเมื่อวานนี้ ทำให้ข้านึกเลื่อมใสว่าแต่เจ้าพอจะมีเวลาสักประเดี๋ยวหรือไม่”“ใช่ว่าจะมิได้ เช่นนั้นเชิญองค์ชาย”“เชิญ”ทั้งสองเดินไปคุยกันที่สวนด้านหน้าตำหนักขององค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องที่พึ่งกลับมาจากประชุมราชสำนัก กับท่านอ๋องทั้งสามทันได้เห็นทั้งสองนั่งคุยกันที่สวนด้านนอก เฉินรั่วเฟิงหันไปมองก่อนจะกล่าวออกมา“โอ้โหองค์ชายต่างแคว้นผู้นี้ ดูท่าจะทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์แทนน้องสาวแล้วกระมัง หลังจากที่น้องสาวก่อเรื่องเอาไ