มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ เท่านั้นที่ผุดขึ้นมา เสียงพ่นลมจากปลายจมูกของอีกฝ่ายทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย
“แม่นางอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะฆ่าข้าจริง ๆ คงลงมือไปนานแล้ว จำได้ว่าเจ้าปัดอาวุธลับของคนร้ายช่วยข้าเอาไว้ที่หอนางโลม นั่นแสดงว่าเจ้ายังพอมีจิตใจที่ดี และข้าก็ไม่ใช่ศัตรูของเจ้า มิสู้เราสองคนมานั่งคุยกันดี ๆ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นบางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าได้”
“เกรงว่าบางเรื่องท่านอ๋องไม่ทราบจะดีกว่า เพราะว่าเรื่องที่ข้าอยากจะรู้ ก็ไม่แน่ว่าจะเกี่ยวกับท่าน”
“งั้นหรือ เช่นนั้นหากว่ามันเกี่ยวกับข้าก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ หากว่าช่วยเจ้าได้ข้าก็ยินดี”
“ท่านพูดจริงงั้นหรือ”
“นับตั้งแต่ที่เจ้าช่วยข้าเอาไว้ ก็นับว่าข้าติดหนี้ชีวิตเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้าต้องการให้ช่วยทำสิ่งใดข้าย่อมยินดีช่วย ชาจะเย็นแล้วรีบดื่มก่อนเถอะ”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณท่านอ๋องแล้ว”
หลิ่วอวิ๋นซียกน้ำชาขึ้นมาดื่ม นับเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่านางยินดีที่จะร่วมสนทนาต่อกับเขาอีกครั้ง
“เจ้าบอกว่านัดกับเหรินลั่วหลีที่หอซิงเฟย เหตุใดต้องเป็นที่นั่น แล้ว…”
“เดี๋ยวก่อนนะท่านอ๋อง นี่ท่านเริ่มสอบสวนข้าแล้วงั้นหรือ”
“ขออภัยแต่ข้าจำเป็นต้องรู้ เจ้าทราบหรือไม่ว่าคนร้ายคือผู้ใด”
“นักฆ่า”
“เรื่องนั้นข้าพอจะเดาได้”
“ท่านอ๋องเป็นหนึ่งในสี่พยัคฆ์แห่งเฉินซาน เป็นเทพสงครามแดนเหนือ ไม่เคยได้ยินนักฆ่าของ "หอฟงหรู" หรอกหรือ"
“หอฟงหรู เป็นพวกมันอีกแล้ว”
“ท่านรู้แต่ก็ยังจะถามข้า ดูแล้วท่านอ๋องมิได้อยากจะรู้แต่แค่อยากลองหยั่งเชิงข้าเท่านั้น”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ก่อนหน้านี้มีขุนนางในราชสำนักถูกนักฆ่าของหอฟงหรูฆ่าไปสองคนเมื่อสองเดือนก่อน ซึ่งนับจากวันนั้นข้าก็ตามสืบมาตลอดแต่กลับ… ไร้วี่แววของพวกมัน”
“นักฆ่าพวกนี้เป็นคนในยุทธภพ รับคำสั่งจากเงินก้อนโตเพื่อฆ่าคน ไม่แจ้งเบาะแสของผู้จ้าง หากถูกจับได้ก็พร้อมเอาชีวิตแลกกับความลับของผู้ว่าจ้าง”
“เจ้าเหมือนจะรู้จักพวกมันดี”
“แน่นอน เพราะว่าข้าเองก็เคยถูกพวกมันไล่ฆ่ามาก่อน”
“เจ้าหรือ นับว่าร้ายกาจไม่เบาที่ยังมีชีวิตรอดมาได้ถึงตอนนี้ เหรินลั่วหลีเป็นรองเจ้ากรมขุนนาง หากดูจากตำแหน่งปัจจุบันของเขาก็ไม่นับได้ว่าจะมีความสำคัญอะไรขนาดนั้น แต่เหตุใดเจ้าจึงไปพบเขา”
“เขาอยากให้ข้าเป็นองครักษ์ให้ แต่ไม่ทันได้ตกลงก็ถูกลอบฆ่าเสียก่อน”
“องครักษ์งั้นหรือ”
“ถูกต้อง ข้ากำลังจะไปพบเขาแต่ก็ไม่ทันได้คุยกันมากมาย นักฆ่าของหอฟงหรูก็บุกเข้ามา และลงมือฆ่าเขาเสียก่อน”
“นั่นก็น่าแปลก เช่นนั้นแสดงว่าใต้เท้าเหรินก็รู้ว่าจะมีคนลอบสังหารถึงได้อยากให้เจ้ามาอารักขา”
“เรื่องนั้นข้าไม่รู้ แต่ข้าไม่ชอบให้ผู้อื่นมาฆ่าคนต่อหน้า มันรู้สึกไม่เป็นธรรมสักเท่าไหร่”
“คิดไม่ถึงว่าดรุณีน้อยเช่นเจ้าที่เป็นชาวยุทธ์ จะสนใจเรื่องเช่นนี้ด้วย”
“คนที่สมควรตายกลับไม่ตาย นั่นต่างหากที่ไม่ยุติธรรม”
สายตาวาวจากดวงตาคู่โตหันมามองหน้าเขาอีกครั้ง แม้จะดูนิ่งดุจแผ่นน้ำแข็งแต่ในนั้นก็รู้สึกได้ถึงความแค้นบางอย่าง
“เจ้า… อยากจะพูดสิ่งใดกันแน่”
“ท่านแน่ใจหรือว่าอยากรู้”
“หากไม่อยากรู้ก็คงไม่ถาม”
“หึ ท่านอ๋องสมเป็นยอดบุรุษที่เย็นชา ดุดันและเด็ดขาดตามที่ร่ำลือ”
“หลิ่วอวิ๋นซี นามของเจ้าเองก็ไม่ธรรมดา ข้าคิดว่าบางทีเรื่องที่เจ้าตามหาข้าอาจจะช่วยเจ้าได้ เข็มพิษวารีของเจ้าถูกนำออกมาใช้งานแล้ว อย่างน้อยคืนนี้เรื่องของเจ้าก็คงถึงหูของหอฟงหรู อีกไม่นานนักฆ่าเหล่านั้นก็คงตามล่าเจ้าเป็นแน่”
“นี่ท่านกำลังขู่ข้างั้นหรือ”
“ข้าแค่กำลังยื่นข้อเสนอ ในเมื่อเจ้าเป็นองครักษ์รับจ้าง เช่นนั้นข้าก็จะจ้างเจ้าให้มาเป็นองครักษ์ข้างกายข้า”
“เหตุใดท่านจึงคิดว่าข้าจะตอบตกลง”
“เมื่อสองปีก่อนเพราะต้องการแย่งวิชาผลิตอาวุธลับสุดยอดของอาจารย์ “ไป๋ลู่ตง” ซึ่งโด่งดังไปทั่วในนาม “เข็มพิษวารี” เขาถูกลอบสังหารโดยนักฆ่าไร้สังกัด ซึ่งตอนนี้ผู้ที่น่าสงสัยที่สุดคงไม่พ้นหอฟงหรูที่เลี้ยงนักฆ่าเอาไว้มากที่สุดในยุทธภพ เจ้าเองก็คงจะถูกตามล่าหลังจากที่อาจารย์เจ้าตายสินะ”
อวิ๋นซีนิ่งเงียบและไม่ตอบ เป็นครั้งแรกที่ท่านอ๋องรู้สึกเหนือกว่าอีกฝ่ายเพราะดูแล้วจากท่าทีที่นิ่งไปเหมือนว่าเขาจะเดาเรื่องถูก
“เรื่องคดีขุนนางที่ถูกฆ่า และอาจารย์ของเจ้าอาจจะเป็นนักฆ่ากลุ่มเดียวกันที่ลงมือ เจ้าไม่อยากทวงแค้นให้อาจารย์ของเจ้างั้นหรือ”
“เหตุใดข้าต้องให้ท่านช่วย”
ท่านอ๋องเพียงแค่ยกน้ำชาขึ้นมาจิบเพื่อปิดบังรอยยิ้มเอาไว้ เมื่อคำถามนี้ออกมาจากปากนาง นั่นเท่ากับว่าเรื่องที่เขาพูดเมื่อครู่นี้มีความจริงอยู่อย่างน้อยสองในสามส่วน
“ข้ามีกำลังทหาร มีอาวุธ มีสายข่าว และมีทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ เพียงแต่… เจ้าต้องทำงานแลก”
“งานอะไร”
“ข้าพึ่งบอกเจ้าไปว่าให้เจ้าอารักขาอยู่ข้างกายข้า”
“หึ ท่านอ๋องทรงล้อเล่นแล้วกระมัง ข้างกายท่านมียอดองครักษ์ปากมากผู้นั้นอยู่แล้ว จะต้องการองครักษ์ที่เป็นสตรีเช่นข้าไปทำไมกัน อีกอย่างท่านเป็นถึง “พยัคฆ์แดนเหนือ” ที่ยิ่งใหญ่ จะต้องการองครักษ์ที่เป็นสตรีไปเพื่อสิ่งใดกัน"
“ขอเพียงเจ้าตอบรับเงื่อนไขนี้ จากนี้เจ้าก็รู้เอง”
“หากว่าข้าไม่ตกลงเล่า”
“พ้นเขตวังหลวงออกไปไม่ถึงสามสิบจั้งข้าเชื่อว่าเจ้าก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว ข้างนอกนั่นคงมีคนของหอฟงหรูติดตามเจ้าตั้งแต่พวกเราออกจากหอคณิกา จะตัดสินใจเช่นไรก็แล้วแต่เจ้า”
น้ำชาถูกรินให้นางอีกจอกและยื่นไปให้ด้วยตนเอง หลิ่วอวิ๋นซีมองควันที่ลอยขึ้นมาจากจอกชาก่อนจะตัดสินใจ เมื่อนางก้าวเข้ามาถึงตรงนี้แล้วก็คงมิอาจหวนคืนได้อีก
แม้ว่าหอฟงหรูจะมีนักฆ่ามากมายแต่กลับไม่กล้าลงมือในเขตวังหลวงของหลิงอ๋องผู้นี้ ทำได้เพียงลอบฆ่าคนทำตัวเป็นโจรกระจอกในบางเวลาเท่านั้น
“เช่นนั้นนับจากนี้ ขอท่านอ๋องโปรดชี้แนะด้วยเพคะ”
อวิ๋นซียกชาขึ้นมาดื่มรวดเดียวหมดพร้อมกับวางจอกชาตรงหน้าของท่านอ๋องและคุกเข่าคำนับให้พระองค์เป็นครั้งแรก
“หลิ่วอวิ๋นซี ขอน้อมรับคำสั่งของพระองค์นับจากวันนี้เป็นต้นไป”
“เจ้าลุกขึ้นเถอะไม่จำเป็นต้องมากพิธีเช่นนั้น การที่เจ้ายอมรับปากข้าเรื่องนี้แน่นอนว่าข้าย่อมมอบสิ่งที่เรียกว่าความปลอดภัยให้กับเจ้า คืนนี้พักผ่อนก่อน ข้าสั่งให้คนจัดที่พักให้เจ้าแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาคุยกัน”
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เสี่ยวอวี้!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ให้คนพา… อวิ๋นซีไปพักเถอะ”
“รับบัญชา แม่นางหลิ่วเชิญ”
“ขอบคุณ”
เรือนพัก
เมื่อเดินเข้ามาถึงเรือนพักด้านหลัง ซึ่งถูกจัดเอาไว้ให้พร้อมกับสาวใช้สี่คน และบ่าวไพร่อีกไม่ต่ำกว่าห้าคนก็ทำให้อวิ๋นซีต้องแปลกใจเล็กน้อย
“เหตุใดเรือนนี้จึงได้มีสาวใช้มากมายเช่นนี้”
“ทั้งหมดนี้ท่านอ๋องเตรียมเอาไว้ให้เจ้า เอาล่ะข้าส่งเพียงเท่านี้ จากนี้อาเวินกับอาลี่จะเป็นคนดูแลเจ้า”
“องครักษ์ต้องมีสาวใช้ด้วยหรือ”
“เรื่องนี้เจ้าเก็บเอาไว้ถามท่านอ๋องพรุ่งนี้เองจะดีกว่า ส่งเจ้าถึงที่แล้วข้าขอตัวก่อน”
“ขอบคุณองครักษ์เสี่ยวอวี้”
นางคำนับให้เขา เสี่ยวอวี้เดินกลับออกไปแล้ว ดูท่าทางเขาไม่ค่อยชอบนางสักเท่าใดเพราะคำว่า “องครักษ์ข้างกาย” ท่านอ๋องเป็นสิ่งที่เขาทำมาเนิ่นนาน ตอนนี้มีนางอีกคนเข้ามาแน่นอนว่าเสี่ยวอวี้คงไม่พอใจ
“คุณหนูท่านรีบเข้าห้องแล้วนอนพักเถอะเจ้าค่ะ ตอนเช้าข้ากับอาเวินจะมาแต่งตัวให้”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก แต่ข้าทำเองก็ได้”
“ไม่ได้เจ้าค่ะ นับจากวันนี้ข้าอาลี่และนางชื่ออาเวินมีหน้าที่ดูแลท่านตามบัญชาท่านอ๋อง คุณหนูท่านรีบพักเถิดเจ้าค่ะ”
“อ้อ ได้เช่นนั้นก็ขอบใจพวกเจ้ามากนะ”
หลิ่วอวิ๋นซีเดินเข้ามาในห้องนอน ซึ่งมีสองสาวใช้เดินตามเข้ามาด้วย พวกนางเริ่มทำตามรับสั่งของท่านอ๋อง ดูแลและดับไฟจนนางเข้านอน อวิ๋นซีแทบจะไม่เคยคิดเลยว่า เมื่อคืนนี้นางยังนอนอยู่โรงเตี๊ยมเล็ก ๆ หรือไม่ก็ตามวัดร้างและโรงพักม้า นึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้มาเป็นสตรีในวังหลวง
“วันเดียวแต่กลับพบเจอเรื่องมากมายถึงเพียงนี้เชียว หลังจากนี้ชีวิตข้าคงจะไม่เหมือนเดิมแล้วสินะ “เฉินตงหราน” ท่านอ๋องแห่งแดนเหนือ… ท่านเป็นคนเช่นไรกันแน่นะ”
ตำหนักท่านอ๋อง“ทูลท่านอ๋อง ส่งแม่นางหลิ่วเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”“ดีมาก มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่”“นอกจากขอลดสาวใช้และบ่าวไพร่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรผิดปกติพ่ะย่ะค่ะ”“หึ เป็นไปตามคาด ไม่ไว้ใจข้าสินะ”“นางกล้าหรือพ่ะย่ะค่ะ คนเช่นนาง…”“เสี่ยวอวี้ อย่าพึ่งปรามาสนางเช่นนั้น”เสี่ยวอวี้เงียบลงไปในทันที แต่สายตาของเขายังคงเคลือบแคลงสงสัยไม่หาย แม้ว่าท่านอ๋องจะรับนางเข้าวังแต่เขาก็ไม่มีทางไว้ใจนาง“เจ้ากำลังคิดว่าข้าจะทำอะไรกันแน่ใช่หรือไม่”“กระหม่อมมิกล้า”“เจ้าอยู่ข้างกายข้ามาตั้งแต่ยังเยาว์ เจ้าคิดเช่นไรมีหรือที่ข้าจะไม่รู้ ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่ได้ให้นางมาทำหน้าที่แทนเจ้าหรอก”“แต่ว่าพระองค์ตรัสว่าให้นางมาเป็นองครักษ์ข้างกาย… นี่หรือว่า!”“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว น้องห้ากับน้องเก้าจะเดินทางมาถึงหลิงโจวเมื่อใด”“หอหรงเยว่ส่งข่าวมาบอกว่าตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองเดินทางออกจากเมืองหลวงแล้ว อีกไม่เกินสามวันจะถึงหลิงโจว ส่วนท่านอ๋องแปดยังติดศึกที่ชายแดนเมืองหลันโจวยังมาตอนนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”“ข้ารู้แล้ว น้องแปดแต่ไหนแต่ไรก็ใจร้อนมุทะลุ ศึกเช่นนี้เขาไม่มีทางจะปล่อยให้แม่ทัพเล็กออกศึกเป็นแน่ เจ้าไปพัก
เหลามาม่าเกือบจะหยุดหายใจ ไม่คิดว่าอวิ๋นซีจะหักมือของนางรำต่อหน้านาง “เหลามาม่า เช่นนั้นก็ลองให้นางทดสอบก่อนเป็นไร”“ชะ เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูพวกนางรำก่อน หากว่าเจ้าทำได้ข้าจะ… จะยอมรับเจ้า”“ก็แค่นี้ ทำไมต้องให้ข้าพูดมากด้วย”สาวใช้ที่พานางมาหันมายิ้มและเลี่ยงออกมายืนมอง เมื่อดนตรีเริ่มบรรเลง นางรำที่เหลือก็เริ่มร่ายรำ อวิ๋นซีมองพร้อมกับยืนหาวไปด้วยจนจบเพลง เหลามาม่าไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่านางจะทำได้“เอาล่ะ ทีนี้เจ้าก็ลองร่ายรำให้ข้าดูสิ ว่าเมื่อครู่นี้เจ้าจดจำได้มากน้อยเท่าใด หากเจ้าจดจำได้เกินสองในสี่ข้าจะรับเจ้าเอาไว้เพื่อไปแสดงในงานเลี้ยงสกุลเพ่ย”“ก็ได้”เพียงเพลงเริ่มบรรเลง อวิ๋นซีก็ร่ายรำตามจังหวะ เหลามาม่าถึงกับตกตะลึงเพราะท่วงท่าและการร่ายรำของนางงดงามจนน่าเหลือเชื่อ นางรำที่ยืนมองอยู่เดิมทีก็แอบปรามาสนางเอาไว้ถึงกับตกใจไปตาม ๆ กัน“ไม่น่าเชื่อเลย”พัดในมือของนางตกลงไปอีกครั้ง สาวใช้คว้ากลับมาได้และยื่นส่งไปให้นางและกระซิบ“ที่เหลือก็ฝากท่านด้วย วันนี้พวกข้าคงต้องขอตัวก่อน”“ไปเถอะ ๆ ที่เหลือข้าจัดการเอง”เหลามาม่าพูดกับสาวใช้แต่สายตานางมิได้มองไปที่ทั้งคู่ เพราะตอนนี้นางม
“ท่านรู้นามอาจารย์ข้าได้อย่างไร”“อวิ๋นซีถอยออกมา พวกเขาไม่ใช่คนร้าย”“ถวายบังคมท่านอ๋องห้า และท่านอ๋องเก้าพ่ะย่ะค่ะ”เมื่ออวิ๋นซีหันไปมองบุรุษที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ นางก็เริ่มเข้าใจ เข็มเงินถูกเก็บเข้าไปอีกครั้งก่อนที่บุรุษที่ยืนเกร็งอยู่จะถอนหายใจยาว เขาดูเยาว์กว่าอีกคนหนึ่งแต่ท่าทางถือดีและพูดมากนั้นทำให้นางเดาได้ทันที“ท่านก็คือเสิ่นอ๋อง แห่งเสิ่นโจว”“ล่วงเกินแล้ว ข้า “เฉินเฟิ่งเซียว” องค์ชายห้าแห่งเฉินซาน ยินดีที่ได้พบ นี่น้องเก้าของข้า…"เฉินรั่วเฟิง" ต้องขออภัย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่ารีบจัดการเรื่องตรงหน้าก่อนจะดีกว่า”“น้องห้า น้องเก้า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ข้าให้พวกเจ้าเฝ้าดูเอาไว้มิใช่หรือ”“ท่านแม่!”เสียงของใต้เท้าเพ่ยดังขึ้นเมื่อเขาเดินตามมาถึงและเห็นบางอย่างอยู่ในห้อง เสียงร้องโหยหวนเริ่มดังขึ้นเมื่อทุกคนหันไป ร่างของฮูหยินผู้เฒ่าถูกแขวนตาค้างอยู่บนคานในห้องของตัวเอง“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”“คนร้ายเบี่ยงความสนใจ ทำท่าว่าจะไปโจมตีท่านด้านใน แต่ที่จริงแล้วเป้าหมายของพวกมันอยู่ที่ฮูหยินผู้เฒ่า”“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร! นี่มันเกิดอะไรขึ้น”“เรียนนายท่าน ข้ากับสาวใช้อีกสองคนพาฮูหยินผู้เฒ่
“พี่สาม ท่านเป็นถึงยอดบุรุษหนึ่งในสี่ของเฉินซาน แต่กลับรับองครักษ์สตรีมาอยู่ข้างกายงั้นหรือ”“พี่สาม ดูท่าองครักษ์หญิงผู้นี้คงมิได้มีไว้เพื่ออารักขาท่าน แต่มีนางไว้เพื่อจุดประสงค์อื่นสินะ”เฉินตงหรานหันมายิ้มให้กับน้องชายของตัวเองที่รู้ทัน เดิมทีเขาคิดแค่ว่าจะให้นางช่วยสืบเรื่องของหอฟงหรู แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะมีความสามารถมากกว่านั้นจนเขานึกอยากจะรั้งเอาไว้ข้างกาย“พี่สาม ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”“อย่าบอกนะว่าท่านกำลัง… คิดถึงนาง”“เหลวไหล ข้ากับนางก็แค่… ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอกไม่พบคนที่น่าสงสัยเลยงั้นหรือ”ทั้งสองหันมามองหน้ากัน อ๋องห้าถึงกับยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของพี่ชาย ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นผู้ที่สุขุมอยู่เสมอจะเสียกิริยาเช่นนี้“ข้ากับพี่สามซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ด้านบนหลังคาเรือนที่สูงที่สุด คิดว่าคนร้ายจะจัดการคนในงานเลี้ยง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายครั้งนี้จะอยู่ที่เรือนหลังของฮูหยินผู้เฒ่า ว่าแต่เหตุใดนางจึงกลับมาก่อน”“หลังจากที่รับคำอวยพรเสร็จแล้ว ข้าเห็นสาวใช้เดินเข้ามาหานาง หลังจากนั้นก็ขอตัวกลับ เดิมทีไม่คิดว่าจะมีเรื่องอื่นแต่ดูท่าแล้วเห
“พี่สาม นี่ท่านล้อเล่นหรือ”เฉินเฟิ่งเซียวกระทุ้งข้อศอกไปที่สีข้างของน้องชายให้เงียบทันที เมื่อหันไปมองท่านอ๋อง ที่กำลังตั้งคำถามกับสตรีที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านหรือ”“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เจ้าถามข้า หลิ่วอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะเอาชีวิตข้าก็คงลงมือไปนานแล้ว คงไม่ต้องรอจนถึงวันนี้กระมัง"“นางอาจจะกำลังรอจังหวะอยู่ก็ได้นะ”“เจ้าเงียบไปเลยน้องเก้า”"พี่ห้าแต่ว่า…."เมื่อหันมามองสายตาของพระเชษฐา เฉินรั่วเฟิงก็เงียบเสียงลงไปในทันที เขารู้อยู่แล้วว่าหากเฉินตงหรานตัดสินใจจะทำสิ่งใดย่อมไม่มีผู้ใดสามารถค้านได้แม้แต่ฝ่าบาท ซึ่งเป็นพระเชษฐาของพวกเขา“แลกกับ…”“เบาะแสของอาจารย์เจ้าที่อยากได้ หอหรงเยว่จะเป็นผู้สืบหาตัวคนร้ายแทนเจ้า ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าน้องเก้าไม่เคยทำงานพลาด”“เอ่อ ใช่ ๆ ข้ามีสายลับทั่วแคว้นอีกอย่างเรื่องสืบสวนและตามหาคน หอหรงเยว่นับว่าชำนาญมากที่สุด”“แต่เมื่อคืนพวกท่านพึ่งจะพลาดท่าให้กับหอฟงหรูไปเองมิใช่หรือ”“เอ่อ อะแฮ่ม! แม่นางหลิ่วเจ้าก็กล่าวเกินไป เรื่องบางเรื่องต่อให้เราคิดการรอบคอบ แต่โจรก็คือโจรอยู่ดี”“ทำงานให้ข้าแลกกับข่าวที่ต้องการสืบ
เรือนพักอวิ๋นซี หลิ่วอวิ๋นซีเดินมาเก็บของบางส่วนเพื่อจะย้ายออกไปอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋อง แต่เมื่อมาถึงของใช้ทุกอย่างก็ถูกจัดใส่หีบเตรียมย้ายจนหมดแล้ว สาวใช้ทั้งสองของท่านอ๋องเดินมาคำนับให้นาง“คุณหนูหลิ่ว ข้าน้อยเก็บของที่จำเป็นให้ท่านแล้ว เหลือเพียงของส่วนตัว ข้าทิ้งหีบเอาไว้ให้ท่านเก็บอีกสักครู่จะส่งคนมาขนของที่เหลือไป”“ขอบใจมากอาลี่”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”พวกนางเริ่มขนของออกไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้นั่งที่เตียงและทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น‘เขาเริ่มระแวงข้าแล้วสินะ ตอนนี้ให้ข้าไปอยู่ที่ตำหนักเดียวกับเขา คงกลัวว่าข้าจะลอบติดต่อคนภายนอก’อวิ๋นซีหันมาเก็บของในห้องทีละอย่างลงไปในหีบที่อาลี่ทิ้งเอาไว้ให้พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ว่าท่านอ๋องจะไม่มีท่าทีน่าสงสัยแต่นางก็พยายามที่จะทำตัวให้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเขาในจวนสกุลเพ่ย หรือบอกชื่อยาพิษซึ่งนางรู้ดีว่าเป็นแค่การหยั่งเชิงจากเสิ่นอ๋อง เฉินเฟิ่งเซียวเท่านั้น‘พวกเขาใช้น้องชายทั้งสองมาหยั่งเชิงข้า จากนี้คงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม’ตำหนักท่านอ๋องอวิ๋นซีเดินเข้ามาในตำหนักที่เริ่มเงียบแล้วในเวลาบ่าย ดูเหมือนว่าท่านอ๋องทั้งสองซึ่งเป็นพ
“อะไรนะ! นี่เจ้ากล้าขู่บุตรเสนาบดีอย่างข้าเลยหรือ”“ต่อให้เจ้าเป็นฮองเฮาหรือพระสนม ผิดก็คือผิด ข้ามีหน้าที่ทำตามกฎเช่นนั้นก็อย่าโทษข้าเลย”เข็มถูกยกขึ้นสูงจนโม่ชิงเซียนกรีดร้องออกมา ท่านอ๋องยืนมองและไม่เอ่ยสิ่งใดจนถึงบัดนี้ เดิมทีเขาก็เป็นคนเย็นชาและมิได้ใส่ใจผู้ใดอยู่แล้ว“เดี๋ยว! ข้ากลับก็ได้ แค้นนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว เรื่องนี้…”“เจ้าจะไปฟ้องบิดาของเจ้างั้นหรือ คิดไม่ถึงว่าบุตรขุนนางของหลิงโจวจะอ่อนหัดและยังไม่โตเช่นนี้ แค่โดนตีนิดหน่อยก็วิ่งโร่ไปฟ้องพ่อแม่ งอแงเป็นเด็กสิบขวบ เช่นนี้ยังจะออกเรือนได้อยู่หรือ ข้าว่าเจ้ากลับไปหมั่นร่ำเรียนศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีใหม่จะดีกว่ากระมัง”“เจ้า!”“คุณหนูเจ้าคะ กลับเถิดเจ้าค่ะ”โม่ชิงเซียนทำได้แค่ใช้สายตาโกรธมองมาที่หลิ่วอวิ๋นซีที่ยิ้มให้นางเท่านั้น สาวใช้ค่อย ๆ พยุงโม่ชิงเซียนออกไปแล้วท่านอ๋องจึงได้เดินมาหานาง“เป็นวิธีที่เด็ดขาด แต่ก็ดูโหดร้ายไปสักนิดสำหรับสตรีที่บอบบางไร้วรยุทธ์เช่นนั้น”“งั้นหรือ หากท่านกลัวว่านางจะเจ็บ เช่นนั้นก็ตามไปปลอบโยนสิ มิใช่ว่านางคือว่าที่คู่หมั้นของท่านหรืออย่างไร หึ”“เอ่อ ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น...เดี๋ยวสิเจ้าจ
เมื่อท่านอ๋องตรัสจบก็โยนดาบให้นางทันที อวิ๋นซีรับดาบด้วยท่าทางชำนาญเขาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วนางก็ใช้ดาบเป็น‘อวิ๋นซี ความลับของเจ้ายังมีอีกมากเท่าใดกันหนอ’“มาเถอะ ข้าจะสอนวิชาดาบให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัว”“ท่านจะไม่ให้ข้าใช้เข็มพิษวารีงั้นหรือ”“ข้าไม่ได้ห้าม ในเวลาคับขันหากเจ้าอยากจะนำมาใช้ก็ย่อมได้ แต่ที่อยากให้เรียนวิชาดาบก็เพื่อเพิ่มกรงเล็บให้เจ้า มาเถอะข้าคิดว่าเจ้าหัวไวมากพอ ฝึกนิดหน่อยก็น่าจะปกป้องข้าได้แล้ว”“ปกป้องงั้นหรือ จะปกป้องหรือฆ่าท่านก็ยังไม่แน่เลย ไม่กลัวข้าเลยงั้นหรือ”“หึหึ”นี่มิใช่ครั้งแรกที่นางพูดเช่นนี้ เขาสงสัยนางก็จริงแต่นับตั้งแต่อวิ๋นซีเข้าวังมากับเขา ก็ยังไม่มีท่าทางอื่นที่น่าสงสัย และตอนนี้เขาก็เริ่มรู้ว่านางเองก็คงจะทราบว่าพวกเขาสงสัยในตัวนาง จึงพยายามพูดเช่นนี้เพื่อให้เขาแสดงอารมณ์ตำหนักรับรอง“ท่านว่าพี่สามบ้าไปแล้วจริงหรือ ถึงกับฝึกดาบให้นางด้วยตัวเอง”“ดูท่าการมาหลิงโจวครั้งนี้ คงมีบางเรื่องยากเกินคาดเดา”“ยากคาดเดาอะไรกัน พี่สามก็คงอยากจะทดสอบมากกว่า ว่านางมีความรู้และใช้อาวุธใดเป็นบ้างจะได้เฝ้าระวัง ท่านคิดมากแล้ว”“หึ น้องเก้า เจ้าคิดน้อยไปต่างหากเล
ท่านอ๋องหันไปมองหลิ่วอวิ๋นซี ที่ยืนจ้องมองโม่ชิงเซียนที่น้ำตาเริ่มไหลออกมา เพราะความเจ็บปวดของเส้นเสียงที่เริ่มถูกเล่นงาน โดยเข็มพิษวารีที่มีฤทธิ์เย็น“ช่างเป็นการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งนัก”“ปึก!”เฉินเฟิ่งเซียวกดสกัดจุดที่ท้ายทอยของโม่ชิงเซียนเอาไว้ เพื่อมิให้นางเจ็บปวดเป็นการชั่วคราว เขามิอาจช่วยนางได้เพราะมิใช่เจ้าของพิษ ทำได้แค่บรรเทาอาการลงให้ชั่วคราวเท่านั้น“โม่ชิงเซียนเจ้าฟังข้าให้ดี เรื่องที่เจ้านำมาบอกข้าในวันนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้ารู้ทั้งหมดแล้ว”“เฮือก!”ท่าทางของโม่ชิงเซียนนึกอยากจะเถียงแต่กลับไร้คำพูด มีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวเท่านั้นที่แสดงออกว่านางไม่เชื่อ และอยากให้ท่านอ๋องไม่เชื่อด้วยเช่นกัน“ก็ยังดื้อดึงเช่นเดิม เรื่องที่เจ้าแอบสืบเป็นสิ่งที่พวกข้าล้วนรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว อีกอย่างเรื่องภายในราชสำนักเหตุใดบุตรีขุนนางเช่นเจ้าจึงให้ความสนใจนัก”“นางมิได้สนใจเรื่องในราชสำนักอะไรนั่นหรอก ท่านคิดดี ๆ หน่อย ที่นางสนใจเรื่องของท่านต่างหาก จงใจมาพูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้ท่านสั่งประหารข้าฐานหลอกลวงเบื้องสูง ที่แท้ก็แค่อยากจำกัดข้าแต่ไม่กล้าทำเอง ขี้ขลาดยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก”ท่านอ
เฟิ่งเซียวตกใจจนพัดหลุดออกจากมือ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาจึงรีบหยิบขึ้นมา สีหน้าของโม่ชิงเซียนที่โกรธจัดจนเดินเข้ามาเพื่อหวังทำร้ายอวิ๋นซีก็ถูกท่านอ๋องป้องกันเอาไว้“ท่านอ๋อง!”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดเข้ามาถึงห้องนี้โดยมิได้รับอนุญาต อยากให้ข้าสั่งลงโทษเจ้างั้นหรือ อย่าคิดว่ามีบิดาเป็นเสนาบดีเก่าแก่ของราชสำนัก แล้วเจ้าจะทำเหิมเกริมต่อหน้าข้าได้นะ”“หม่อมฉัน… มิบังอาจเพคะ”“เจ้าบังอาจ! บังอาจเข้ามาในเขตพระราชฐานทั้ง ๆ ที่ไม่มีคำสั่ง บังอาจเข้ามาถึงห้องทำงานของข้า และยังบังอาจที่สุดที่คิดจะทำร้ายคนของข้า ต่อหน้าข้า ทหาร!”“ช้าก่อนเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้มีเจตนาไม่ดีเพียงแต่วันนี้ติดตามท่านพ่อเข้าวังจึงมาเข้าเฝ้า อีกอย่างจะทรงตรัสเช่นนั้นหาได้ไม่ เพราะพระองค์เป็นคนอนุญาตในเทียบที่หม่อมฉันส่งมาครั้งก่อนด้วยพระองค์เอง”อวิ๋นซีหันมามองหน้าท่านอ๋องที่กลอกตาไปมา นี่เขาคงพลาดอะไรไปสินะถึงได้ไม่ทันอ่านฎีกาทั้งหมดนั่น เพราะวันที่เขากับอวิ๋นซีต่อสู้กันจนห้องทรงงานพังไปรอบหนึ่ง เขาก็เป็นคนแจ้งกับเสี่ยวอวี้เองว่าอนุญาตฎีกาทั้งหมด ซึ่งไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีคำขอเข้าเฝ้าของโม่ชิงเซียนด้วย“เช่นน
อวิ๋นซีก้มหน้าและยิ้มออกมา ท่านอ๋องคว้าร่างบางเข้าไปและจับนางเชยคางขึ้นเพื่อรับจุมพิตวาบหวามอีกครั้ง อวิ๋นซีแทบจะล่องลอยไปกับรสสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้ไม่รู้จบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่พึ่งผ่านสงครามรักที่ดุเดือดมาเกือบครึ่งวัน“พอเถิดเพคะ หายใจไม่ออกแล้ว”“กลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปหาน้องเก้าจัดการเรื่องที่เหลือให้เจ้า”“ขอบพระทัยเพคะ”“ไม่เป็นไร เพราะเจ้าต้องจ่ายค่าสืบเรื่องนี้ให้ข้าแพงแน่นอน”“แต่ท่านบอกว่าเงื่อนไขของพวกเรา…อ๊ะ!”ท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง เขาใช้สันจมูกก้มลงคลอเคลียปลายจมูกเชิดเล็กของนางราวกับหยอกล้อ“นั่นมันก่อนที่พวกเราจะทำเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้ต้องผูกขาเจ้าเอาไว้ข้าก็จะทำ กลับไปรอที่ตำหนักแล้วอย่าลืมรอกินข้าวกับข้าด้วย”“เผด็จการ”“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าเป็นเช่นนี้เองนะซีเอ๋อร์ โทษข้าไม่ได้รีบไปก่อนที่จะทนไม่ไหวและไม่ปล่อยเจ้าออกจากหอตำรา”“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”อวิ๋นซีรีบดันตัวเขาออกและวิ่งลงมาจากชั้นสองด้วยความรวดเร็ว หากนางขืนยังชักช้ากว่านี้ เกรงว่าจะมิได้เดินออกจากหอตำราแห่งนี้ก่อนตะวันตกดินเป็นแน่ เพราะสายตาและเสียงกระซิบแผ่วเบานั่นไม่ได้มีวี่แววว่าจ
อวิ๋นซีเองก็มิได้อยากจะทนแล้วเช่นกัน นางเองก็อยากปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม ๆ กับเขา “กอดข้าเถิดเพคะ”“คนดีของข้า เช่นนั้นข้าจะถอดผ้านี้ออก จากนี้เจ้าจะได้ไม่ลืมว่าข้า “รัก” เจ้ามากเพียงใด"ท่านอ๋องดึงผ้าผูกตาของนางออกและดึงนางขึ้นมาจูบ อวิ๋นซีตะลึงกับรูปร่างของบุรุษหนุ่มที่เปลือยเปล่าตรงหน้า แม้ว่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามเสียยิ่งนัก “อือ… ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ!”“หากว่าเจ้าเจ็บก็บอกข้า แต่ข้าจะไม่หยุดให้หรอกนะ เพียงแค่จะค่อย ๆ พาเจ้าเดินไปจนสุดทางเท่านั้น”“ผู้ใดจะไม่ไหวก่อนกันยังไม่รู้เลย อย่าพึ่งมั่นใจในตัวเองนักสิเพคะ”“เจ้ามันร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”จุมพิตหวานถูกป้อนไปนับไม่ถ้วน ท่านอ๋องค่อย ๆ กรีดกรายและขยับเรียวขาเล็กของนางออกเพื่อเปิดทางให้ตัวตนของเขาได้เข้าไป เพียงหัวของมังกรยักษ์ที่ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไป อวิ๋นซีก็รีบจิกเล็บลงที่ลำแขนล่ำของเขาทันทีเพราะความคับแน่นและอึดอัดกำลังเล่นงานนาง แต่อวิ๋นซีกลับไม่ร้องเลยสักคำ“ซีเอ๋อร์ ยังไหวอยู่หรือไม่ อาา…แน่นมากเลยให้ตายเถอะ”“ไม่เป็นไรเพคะ อื้อ…ท่านอ๋อง!”เพียงแค่นางเรียกร้อง เขาจึงตัดสินใจกระแทกซ้ำเข้าไปในค
“แล้วเหตุใดพระสนมที่อยู่ในวัง ถึงอยากจะสังหารอาจารย์ของเจ้าเล่า นี่มันไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”“เรื่องนั้นย่อมมีเหตุผล หากว่าได้ข้อมูลของคนทั้งสี่นี้มาแล้ว ข้าจะต้องไปจากที่นี่”“อะไรนะ! แต่เจ้ารับปากแล้วว่าจะไม่ไปนี่ เหตุใดกลับคำพูดอีกแล้วเล่า”“มิได้หมายถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้ข้อมูลจากท่านเลย ว่าแต่ใช้เวลาอีกนานหรือไม่กว่าหอหรงเยว่ของพวกท่านจะสืบเรื่องนี้ให้ข้าได้”“นั่น… ข้าต้องถามน้องเก้าอีกที แต่ว่าซีเอ๋อร์เจ้าจะไปคนเดียวจริงหรือ มิสู้ให้ข้า...”“ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า”“แต่พวกนางเป็นถึงพระสนมในวัง อีกอย่างก็เป็นคนต่างแคว้น แค่เจ้าก้าวขาเข้าไปยังเขตแคว้นจ้าวก็คงจะโดนจับเสียก่อน เอาไว้เสร็จจากการแข่งขันผู้กล้าของหลิงโจวแล้วค่อยคุยกันอีกที"“แต่ว่า”“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ในเมื่อข้าพูดไปแล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า เช่นนั้นเจ้าไปที่ใดข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย ซีเอ๋อร์หรือว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้าว่าสามารถช่วยเจ้าแก้แค้นให้อาจารย์ได้”อวิ๋นซีมิอาจจะพูดสิ่งใดได้ ท่านอ๋องเดินและดึงตัวนางเข้าไป สวมกอดเอาไว้ อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ทำให้นางหวั่นไหวเข้าแล้วจริง ๆ นางพลาดที่เดินเข้ามาในวังหลวงของหลิงโจว
เมื่อประตูปิดลง หัวใจของอวิ๋นซีก็ราวกับจะโบยบินตามท่านอ๋องออกไปพร้อมกับเสียงประตู นางเลือกที่จะปิดประตูหัวใจนี้ตั้งแต่แรกเพียงเพราะความกลัว เมื่อหันมามองเรื่องที่เขียนในรายงานก็ยิ่งทำให้ความแค้นนี้โถมกระหน่ำทับลงมาอีกรอบ“อาจารย์ไป๋ลู่ตงเดินทางไปเป่ยหลาน ครั้งสุดท้ายที่มีผู้คนพบเห็นเขาคือหลังสงครามสามแคว้นระหว่างแคว้นจ้าว เป่ยหนานและเฉินซาน ซึ่งเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ หลังศึกครั้งนั้น อาจารย์ภูตเข็มพิสดารได้เดินทางออกจากเป่ยหลาน แต่กลับหายไประหว่างเดินทางมาที่เฉินซาน ผู้ที่พบคนสุดท้าย “จิ่วรั่วเฟย” พระสนมของจักรพรรดิแคว้นจ้าว “กงซุนจิ้นกั๋ว” ซึ่งสิ้นชีพในสนามรบในครั้งนั้นด้วยฝีมือของแม่ทัพของเป่ยหนานนามว่า “จิ่วโม่หราน””น้ำตาของอวิ๋นซีเริ่มรินไหลลงมาบนรายชื่อหนึ่งในนั้น พร้อมกับลูบพลางพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหลออกมา“อาจารย์ หากท่านตายด้วยฝีมือของคนเหล่านั้นจริง ๆ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันเลยแม้แต่คนเดียว!”วันถัดมาห้องทรงงานที่เละเทะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากเก็บของที่หักและพังออกมาทิ้ง เสี่ยวอวี้และสาวใช้อีกเกือบสิบคนใช้เวลาครึ่งเช้าเพื่อจะจัดเก็บของในห้องออกมาจนหมด “ท่านองครักษ์
หลิ่วอวิ๋นซีวิ่งออกไปจากห้องทรงงาน และกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อเข้าไปถึงก็รีบดึงของออกมาเพื่อเก็บใส่ห่อทันที“เฉินตงหราน ไม่คิดว่าจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าไม่อยู่แล้วคนสารเลว!”“คุณหนูเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เปิดประตูให้พวกข้าเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนู”นางรู้ดีว่าอาลี่และอาเวินแม้ว่าจะดูแลนาง และพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม แต่พวกนางก็เป็นคนของท่านอ๋อง ซึ่งครั้งนี้ก็คงจะเป็นท่านอ๋องที่สั่งให้มาเฝ้านาง“ข้าไม่เป็นไร อาลี่ข้าอยากแช่น้ำอุ่นสักหน่อย รบกวนพวกเจ้าไปเตรียมให้ข้าได้หรือไม่”“คุณหนู เสียงท่านไม่ค่อยสู้ดีเลย ให้ข้า…”“ไม่ต้องหรอกข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น รีบไปเถอะ"“เจ้าค่ะ”เสียงของสาวใช้ทั้งสองเงียบไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้รีบเก็บของรวบรวมใส่ห่อผ้าเอาไว้ เมื่อเก็บและผูกมัดเรียบร้อยก็เริ่มมองหาที่ เพื่อจะออกไปจากตำหนักและวังหลวงแห่งนี้“กล้ารังแกข้าเช่นนี้ ข้าไม่เป็นมันแล้วไม่ว่าจะสาวใช้ หรือองครักษ์ส่วนตัวบ้าบออะไรนั่น”อวิ๋นซีเดินมายังเรือนหลังซึ่งนางเคยพักมาก่อนจะย้ายไปที่ตำหนักท่านอ๋อง นางปีนขึ้นไปบนกำแพงและกำลังจะกระโดดข้ามลงไป เมื่อกระโดดลงมาไม่คิดว่าจะมีคนที่รอรับนางอยู่ข้างล่างได้พอดี
อวิ๋นซีค่อนข้างตกใจ แปลกใจและสงสัยยิ่งนัก เดิมทีนางก็ไม่ได้จะมีหน้าที่เช่นนี้ แต่เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องจึงได้จงใจสั่งการนางเหมือนกับสาวใช้จริง ๆ เข้าไปทุกที แต่นางก็ยอมที่จะรินน้ำชาและยกของว่างไปวางให้เขาที่โต๊ะ ซึ่งตามปกติแทบจะไม่เคยมาที่ตรงนี้เลย“ฝนหมึกสิ”‘เจ้าอ๋องอารมณ์แปรปรวนผู้นี้น่าตบกบาลยิ่งนัก หากไม่คิดว่าจะต้องใช้ท่านสืบข่าว ข้าคงฆ่าท่านไปนานแล้ว’“นิ่งอยู่ทำไม อย่าบอกนะว่าแม้แต่ฝนหมึกเจ้าก็ยังทำไม่เป็น”“ข้าทำเป็นเพียงแต่ท่านเคยบอกว่า ไม่ต้องทำเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ”“ไม่เคยทำก็ใช่ว่าจะแล้งน้ำใจจนทำไม่ได้นี่ ไม่เห็นหรือว่าที่นี่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดให้เรียกใช้สอยได้เลย”“ข้ออ้างชัด ๆ”“ข้าได้ยินนะอวิ๋นซี”“เพคะ หม่อมฉันแล้งน้ำใจเอง”นางเดินมาข้าง ๆ และเริ่มฝนน้ำหมึกให้เขา ท่านอ๋องเพียงแค่มีนางอยู่ใกล้ ๆ ก็แอบลอบยิ้มด้วยความพอพระทัย และหันไปสนใจกับรายงานต่อไป“คือว่า ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน”“ว่ามาสิ”“หลันอ๋องตรัสว่าอีกสิบวันจะมีงานแข่งขันผู้กล้าแห่งหลิงโจว… ข้าอยากจะ...”“ทำไม หรือเจ้าเองก็นึกอยากจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย”“ใช่แล้วเพคะ มันน่าตื่นเต้นดีออก ข้ากับองค์ชายจวินอู๋ไ
วันถัดมาอวิ๋นซีเดินออกมาจากลานฝึกหลังจากที่ฝึกดาบเสร็จแล้ว เมื่อนางเดินมาถึงหน้าตำหนัก ก็พบกับองค์ชายเจ็ดแห่งม่อถานที่กำลังเดินเล่นในสวน“แม่นางหลิ่ว”อวิ๋นซีหันกลับไปและเกือบจะลื่นล้ม เพราะเขาเดินเข้ามาใกล้นางเกินไป ต้วนจวินอู๋จึงดึงนางเอาไว้ได้ทัน“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวัง”“ไม่เป็นไร ๆ เป็นข้าเองที่เรียกเจ้ากะทันหัน เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”“ไม่เป็นอะไร พระองค์จะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องหรือเพคะ”“เข้าเฝ้าหรือ หากจะพูดตามจริงคือข้าอยากคุยกับเจ้าน่ะ”“คุยกับหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่แล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เจ้าใช้จอกชาสกัดอาวุธของน้องเก้าเอาไว้ และฝีมือการประลองยุทธ์ของเจ้าเมื่อวานนี้ ทำให้ข้านึกเลื่อมใสว่าแต่เจ้าพอจะมีเวลาสักประเดี๋ยวหรือไม่”“ใช่ว่าจะมิได้ เช่นนั้นเชิญองค์ชาย”“เชิญ”ทั้งสองเดินไปคุยกันที่สวนด้านหน้าตำหนักขององค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องที่พึ่งกลับมาจากประชุมราชสำนัก กับท่านอ๋องทั้งสามทันได้เห็นทั้งสองนั่งคุยกันที่สวนด้านนอก เฉินรั่วเฟิงหันไปมองก่อนจะกล่าวออกมา“โอ้โหองค์ชายต่างแคว้นผู้นี้ ดูท่าจะทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์แทนน้องสาวแล้วกระมัง หลังจากที่น้องสาวก่อเรื่องเอาไ