“อะไรนะ! นี่เจ้ากล้าขู่บุตรเสนาบดีอย่างข้าเลยหรือ”
“ต่อให้เจ้าเป็นฮองเฮาหรือพระสนม ผิดก็คือผิด ข้ามีหน้าที่ทำตามกฎเช่นนั้นก็อย่าโทษข้าเลย”
เข็มถูกยกขึ้นสูงจนโม่ชิงเซียนกรีดร้องออกมา ท่านอ๋องยืนมองและไม่เอ่ยสิ่งใดจนถึงบัดนี้ เดิมทีเขาก็เป็นคนเย็นชาและมิได้ใส่ใจผู้ใดอยู่แล้ว
“เดี๋ยว! ข้ากลับก็ได้ แค้นนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว เรื่องนี้…”
“เจ้าจะไปฟ้องบิดาของเจ้างั้นหรือ คิดไม่ถึงว่าบุตรขุนนางของหลิงโจวจะอ่อนหัดและยังไม่โตเช่นนี้ แค่โดนตีนิดหน่อยก็วิ่งโร่ไปฟ้องพ่อแม่ งอแงเป็นเด็กสิบขวบ เช่นนี้ยังจะออกเรือนได้อยู่หรือ ข้าว่าเจ้ากลับไปหมั่นร่ำเรียนศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีใหม่จะดีกว่ากระมัง”
“เจ้า!”
“คุณหนูเจ้าคะ กลับเถิดเจ้าค่ะ”
โม่ชิงเซียนทำได้แค่ใช้สายตาโกรธมองมาที่หลิ่วอวิ๋นซีที่ยิ้มให้นางเท่านั้น สาวใช้ค่อย ๆ พยุงโม่ชิงเซียนออกไปแล้วท่านอ๋องจึงได้เดินมาหานาง
“เป็นวิธีที่เด็ดขาด แต่ก็ดูโหดร้ายไปสักนิดสำหรับสตรีที่บอบบางไร้วรยุทธ์เช่นนั้น”
“งั้นหรือ หากท่านกลัวว่านางจะเจ็บ เช่นนั้นก็ตามไปปลอบโยนสิ มิใช่ว่านางคือว่าที่คู่หมั้นของท่านหรืออย่างไร หึ”
“เอ่อ ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น...เดี๋ยวสิเจ้าจะไปไหน อวิ๋นซี!”
แต่อวิ๋นซีเดินกลับเข้าไปในตำหนักโดยไม่รอเขาแล้ว ตงหรานถึงกับแปลกใจและสับสน เขายังมีเรื่องที่จะคุยกับนางอีกเพราะยังคุยไม่จบ แต่นางกลับไม่อยู่ฟัง
“แล้วนี่ข้าทำอะไรผิดละนี่ ก็แค่อยากจะชื่นชมที่จัดการเรื่องนี้ได้ดีเท่านั้น ไม่ทันพูดจบก็ไปเสียแล้ว”
“ท่านอ๋อง แน่ใจนะพ่ะย่ะค่ะว่าจะให้นางเป็นสาวใช้ข้างกาย”
“เสี่ยวอวี้เจ้าไม่เห็นเมื่อครู่หรือ หากมิใช่นางคงจัดการโม่ชิงเซียนที่น่ารำคาญนั่นไม่ได้ ข้าทำอะไรนางไม่ได้เพราะโม่เซี่ยงอวี๋เป็นขุนนางของฝ่าบาทที่ส่งมา ข้าจำเป็นต้องไว้หน้า”
“แต่ว่าดูจากที่แม่นางหลิ่วลงมือเมื่อครู่นี้…”
ท่านอ๋องหันมามององครักษ์ข้างกายที่ทำสีหน้าหวาดหวั่นเป็นครั้งแรก เขาเองก็คงพึ่งเห็นอวิ๋นซีจัดการคนครั้งแรกแบบเต็มตา
“ทำไม เจ้าเกิดกลัวนางขึ้นมางั้นหรือ”
“เรื่องวรยุทธ์กระหม่อมไม่กลัวเท่าไหร่ แต่เข็มเงินนั่น ก็น่าหวาดเสียวอยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”
“หึ คิดไม่ถึงว่าสตรีหน้าหวานแต่หน้านิ่งอย่างหลิ่วอวิ๋นซี จะเป็นคนจัดการโม่ชิงเซียนได้ดีเกินกว่าที่ข้าคาดการณ์เอาไว้”
"พวกเจ้าเห็นหมดแล้วสินะ"
อ๋องห้าและอ๋องเก้าเดินมาสมทบกับท่านอ๋องที่ริมสระ เมื่อเห็นว่าอวิ๋นซีเดินกลับเข้าไปในตำหนัก
“คิดไม่ถึงเลยว่าจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วดุจเงาเช่นนั้น มิน่าเล่าพี่สามถึงได้เลือกนางเอาไว้ข้างกาย”
“นางจัดการได้ค่อนข้างเด็ดขาด ครั้งนี้ทำเอาโม่ชิงเซียนเสียขวัญกลับไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้ คาดว่าพี่สามคงต้องหาเหตุผลที่ดีพอตอบคำถามเสนาบดีโม่แล้วล่ะ”
“เจ้าไม่ได้ยินที่อวิ๋นซีค่อนแคะนางก่อนจะออกไปหรอกหรือ”
“นับว่านางฉลาดพูดนัก ข้าชอบ”
“น้องเก้า มิใช่ว่าเจ้าสงสัยนางก่อนหน้านี้หรอกหรือ”
“นาน ๆ ข้าจะได้เห็นฉากเด็ดเช่นนี้สักที สกุลโม่น่ะเหิมเกริมเห็นว่าตัวเองเป็นขุนนางเก่าของเสด็จพ่อ ใช้ความไว้วางพระทัยของพี่ใหญ่มาทำให้พี่สามลำบากใจ ข้าไม่ชอบเขาเลย”
“เอาเถอะช้าเร็วก็ต้องปะทะ ให้เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ข้าเองก็อยากจะรู้ว่าโม่ชิงเซียนจะกล้าฟ้องบิดาของนางหรือไม่”
“ข้าว่าหากมองตามศักดิ์ศรีนางคงไม่กล้าฟ้องเป็นแน่ เพราะที่แม่นางหลิ่วพูดไปนั่น ก็ทำให้โม่ชิงเซียนหน้าชาไปเหมือนกัน”
“แต่ข้าว่านะพี่ห้า ครั้งนี้ทำให้นางอับอายเช่นนี้ อย่างไรก็คงหาวิธีแก้แค้นหลิ่วอวิ๋นซีเป็นแน่”
“นี่แหละที่ข้ากังวล ฝากเจ้าด้วยก็แล้วกันน้องเก้า”
"อ้าว! ทำไมเป็นข้าอีกแล้วล่ะพี่สาม… นี่มันเรื่องของท่านมิใช่หรือ เดี๋ยวสิท่านจะรีบไปไหน พี่ห้าท่านดูสิเขาทำแบบนี้อีกแล้ว พูดจบแล้วก็ไปไม่ถามข้าเลยสักนิดว่าเข้าใจที่เขาพูดหรือไม่"
เฟิ่งเซียวเดินมาตบไหล่รั่วเฟิงอีกครั้ง พร้อมกับยิ้มให้
“ก็เพราะเจ้าเป็นเจ้าของหอหรงเยว่ ที่มากไปด้วยยอดฝีมืออย่างไรเล่า พี่สามต้องการจะบอกว่าให้เจ้าคอยอารักขาหลิ่วอวิ๋นซีให้เขาด้วย และจับตาโม่ชิงเซียนมิให้นางลงมือกับสาวใช้ข้างกายได้”
“อะไรนะ นี่ยังไม่ทันไรก็ให้ข้าจัดคนคุ้มกัน วรยุทธ์นางแกร่งกว่ายอดฝีมือของหอหรงเยว่อีกกระมัง เขาจะห่วงอะไรอีก… พี่ห้า หรือว่าท่านคิดว่า…”
“หึหึ อีกไม่นานก็ได้คำตอบ เจ้าจะอยากรู้ไปล่วงหน้าทำไมกัน”
“เดี๋ยวก่อนสิ ท่านพูดมาก่อนข้ายังไม่เข้าใจ…”
ทั้งสองเดินกลับเข้าไปในตำหนักของตัวเองแล้ว เฟิ่งเซียวค่อย ๆ โบกพัดในมือพลางคิดบางอย่างระหว่างที่เดินกลับ โดยมีรั่วเฟิงคอยพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
‘วรยุทธ์ของนางไม่เหมือนกับคนเฉินซาน หลิ่วอวิ๋นซีเป็นผู้ใดมาจากไหนกันแน่ การที่นางพบกับพี่สาม เป็นเรื่องบังเอิญแน่หรือ’
“นี่พี่ห้า ท่านฟังข้าอยู่หรือไม่”
“อ้อ เจ้าพูดอะไรตั้งมากมายข้าฟังทั้งหมดนั่นไม่ทันหรอก ว่าแต่เจ้าให้คนสืบเรื่องของหลิ่วอวิ๋นซีหรือยัง”
“ไม่ต้องห่วง สตรีที่พี่สามสนใจข้าต้องไม่พลาดอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นก็ดี”
“นี่ ๆ อย่าพึ่งเดินหนีข้าสิ พวกท่านสองคนนี่ไม่ต่างกันเลย เมื่อไหร่พี่แปดจะมาถึงนะ เบื่อพวกท่านจะแย่แล้วชอบพูดแล้วก็เดินหนีข้าอยู่เรื่อยเลย”
ตำหนักท่านอ๋อง
เฉินตงหรานเดินกลับเข้ามาก็ไม่พบกับหลิ่วอวิ๋นซีแล้ว คาดว่านางคงจะกลับเข้าห้องไปหลังจากที่เดินเข้ามาในตำหนัก เขาจึงเดินไปที่ลานด้านหลังจึงได้นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ให้คนไปเรียกอวิ๋นซีมาพบข้าที่นี่”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยวอวี้เดินไปสั่งการสาวใช้ให้ไปตามอวิ๋นซีออกมาพบท่านอ๋อง ไม่นานหลังจากนั้นนางก็เดินมาที่ลานฝึกอาวุธด้านหลัง
“ท่านอ๋อง ให้คนเรียกข้ามีสิ่งใดจะชี้แนะ”
“มิกล้า อวิ๋นซีเจ้ามักจะพูดจาห้วน ๆ เช่นนี้อยู่เสมอเลยหรือ”
เป็นครั้งแรกที่อวิ๋นซีชักสีหน้าไม่พอใจใส่เขาอย่างชัดเจน ยิ่งกว่าตอนที่เขาถามเรื่องเกี่ยวกับอาจารย์ของนางเสียอีก
“พระองค์หมายจะให้หม่อมฉัน...”
“พอ ๆ พอแค่นั้นแหละ คำพูดประดิษฐ์เหล่านี้ให้ผู้อื่นพูดก็พอ ข้าแค่อยากถามเจ้าว่านอกจากอาวุธลับและวิชายุทธ์แล้ว เจ้าถนัดใช้อาวุธอื่นอีกหรือไม่”
“ลูกศรพิษ"
“ใหญ่กว่านั้นเล่า”
“มีดสั้น”
“นั่นก็นับเป็นอาวุธลับ”
“ผ้าต่วนสี่หลา”
“นั่นมันต้องใช้คู่กับกำลังภายใน”
“ท่านอ๋อง ท่านถามเช่นนี้ต้องการให้ข้าตอบเช่นไรกันแน่ ข้าไม่เข้าใจท่านโปรดพูดมาตามตรงเถอะ”
“เฮ้อ… เอาเถอะ ข้าจะถามเจ้าว่านอกจากอาวุธลับและกำลังภายในแล้ว กระบี่หรือดาบเจ้าใช้เป็นหรือไม่”
“เคยฝึกแต่ไม่ถนัดนักเพราะต้องคอยพกติดตัว มันใหญ่เกะกะน่ารำคาญ ข้าไม่ชอบ”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าจะสอนเจ้าใช้... ดาบก็แล้วกัน น่าจะฝึกง่ายกว่าอย่างอื่น”
“เหตุใดต้องฝึกด้วย ตัวข้าก็มีวรยุทธ์ อีกอย่างนี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้วที่ข้าช่วยชีวิตท่านได้”
“หลิ่วอวิ๋นซี ครั้งแรกที่หอซิงเฟยเจ้าช่วยข้าเพราะความบังเอิญ อีกอย่างต่อให้เจ้าไม่ช่วย ข้าก็ไม่มีทางถูกทำร้ายโดยอาวุธลับกระจอก ๆ นั่นหรอก ส่วนที่สกุลเพ่ย ข้าจงใจให้พวกมันบุกเข้ามาจึงไม่ป้องกันตัว ส่วนวันนี้… ไม่นับว่าช่วยข้านะ เจ้าแค่ช่วยตัวเอง”
“ช่างเถอะ เถียงไปก็ไม่ชนะท่านหรอก”
“ข้ามิได้อยากจะมาเถียงกับเจ้า ที่อยากให้เจ้าฝึกวิชาดาบก็เพื่อ… ปกปิดวิชากับเข็มพิษวารีของอาจารย์เจ้าเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยของตัวเจ้าเอง”
เมื่อท่านอ๋องตรัสจบก็โยนดาบให้นางทันที อวิ๋นซีรับดาบด้วยท่าทางชำนาญเขาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วนางก็ใช้ดาบเป็น‘อวิ๋นซี ความลับของเจ้ายังมีอีกมากเท่าใดกันหนอ’“มาเถอะ ข้าจะสอนวิชาดาบให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัว”“ท่านจะไม่ให้ข้าใช้เข็มพิษวารีงั้นหรือ”“ข้าไม่ได้ห้าม ในเวลาคับขันหากเจ้าอยากจะนำมาใช้ก็ย่อมได้ แต่ที่อยากให้เรียนวิชาดาบก็เพื่อเพิ่มกรงเล็บให้เจ้า มาเถอะข้าคิดว่าเจ้าหัวไวมากพอ ฝึกนิดหน่อยก็น่าจะปกป้องข้าได้แล้ว”“ปกป้องงั้นหรือ จะปกป้องหรือฆ่าท่านก็ยังไม่แน่เลย ไม่กลัวข้าเลยงั้นหรือ”“หึหึ”นี่มิใช่ครั้งแรกที่นางพูดเช่นนี้ เขาสงสัยนางก็จริงแต่นับตั้งแต่อวิ๋นซีเข้าวังมากับเขา ก็ยังไม่มีท่าทางอื่นที่น่าสงสัย และตอนนี้เขาก็เริ่มรู้ว่านางเองก็คงจะทราบว่าพวกเขาสงสัยในตัวนาง จึงพยายามพูดเช่นนี้เพื่อให้เขาแสดงอารมณ์ตำหนักรับรอง“ท่านว่าพี่สามบ้าไปแล้วจริงหรือ ถึงกับฝึกดาบให้นางด้วยตัวเอง”“ดูท่าการมาหลิงโจวครั้งนี้ คงมีบางเรื่องยากเกินคาดเดา”“ยากคาดเดาอะไรกัน พี่สามก็คงอยากจะทดสอบมากกว่า ว่านางมีความรู้และใช้อาวุธใดเป็นบ้างจะได้เฝ้าระวัง ท่านคิดมากแล้ว”“หึ น้องเก้า เจ้าคิดน้อยไปต่างหากเล
“แต่นางก็เล่นผิดคนแล้ว หลิ่วอวิ๋นซีมิใช่สตรีที่ผู้ใดจะรังแกได้ง่าย ๆ เสียหน่อย วรยุทธ์นางน่าจะสูงพอ ๆ กับข้าด้วยซ้ำ แต่ว่าวิชาที่นางใช้ ท่าการออกดาบที่ข้าเห็นกลับแปลกตาและไม่คุ้นเคย”“พวกเจ้าเห็นชัดแล้วสินะ เมื่อวานนี้”“ท่านจงใจพานางมาฝึกเมื่อวาน ก็เพื่อให้พวกข้าดูวิชาดาบของนางมิใช่หรือ”“แล้วพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”“วรยุทธ์ของนางอ่อนนอกแข็งใน กระบวนท่าอาจจะดูสะเปะสะปะแต่ก็แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งราวกับว่า…”“นางต้องการปกปิดวิชาที่แท้จริงเอาไว้”“ท่านก็มองออกแต่แรกแล้วสินะ”“วิชาดาบเช่นนี้ข้าเคยเห็นสตรีของแคว้นจ้าวฝึกกันอยู่ อาจารย์ของพวกเขาคือสำนักอิ๋งเซียนที่อยู่หุบเขาซานเหนียงของแคว้นจ้าว พี่สามท่านว่าองครักษ์หญิงของท่านผู้นี้ มีความลับมากเกินไปหรือไม่”“เพราะเป็นเช่นนี้ข้าจึงปล่อยนางไปไม่ได้”“แต่การที่เก็บนางไว้ข้างกายเช่นนี้ จะเป็นผลดีหรือร้ายยังไม่แน่ชัด”“แต่ข้าก็มีพวกเจ้าอยู่มิใช่หรือ”“นั่นมันแน่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าท่านน่ะคงจะไม่ตกหลุมรักนางเข้าเสียก่อนเล่า”“เจ้าพูดอะไรน่ะ! ผู้ใดจะ… เป็นเช่นนั้น ข้าน่ะหรือจะหลงกลนาง เหลวไหลสิ้นดี”ท่าทางลุกลนของเฉินตงหรานทำเอาเฉินรั่วเฟิงยิ้มออ
“นี่ท่านพูดอะไรน่ะ”“เจ้าอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็ดี ข้าจะได้คุยต่อ”“ปล่อยข้าก่อนสิ”“อ้อ ขออภัย”ท่านอ๋องคลายอ้อมกอดออก อวิ๋นซีรีบลุกจากตักของเขามานั่งข้าง ๆ ในทันที ใบหน้าของนางร้อนผ่าว หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะแต่พยายามตั้งสติให้นิ่งเอาไว้เพื่อกลบเกลื่อนอาการ“ครั้งนี้เดาว่าองค์ชายเจ็ด คงอยากใช้น้องสาวมาเชื่อมสัมพันธ์โดยการอภิเษก”“อภิเษกงั้นหรือ เช่นนั้นเป้าหมายก็คือท่านสินะ ยอดขุนพลพยัคฆ์ไร้พ่ายแดนเหนือ ก็นับว่าพวกเขามองคนไม่ผิด”“งั้นหรือ เหตุใดน้ำเสียงของเจ้ามีเจือความประชดประชันเช่นนั้น หากว่าให้ข้าพูดออกมา คงคิดว่าเจ้าน่าจะกำลังหึงหวงอยู่”เมื่อสบตากับเขาตรง ๆ นางถึงได้เข้าใจ นอกจากท่านอ๋องจะเป็นหนึ่งในเรื่องของการศึกแล้ว เรื่องเกี้ยวสตรีเขาก็นับว่าไม่แพ้ผู้ใด อีกทั้งท่าทีที่นิ่งนี้ทำให้นางหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด“ข้า… คิดว่าเรื่องนี้ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว ท่านให้ข้าเป็นสาวใช้ข้างกาย เช่นนั้นก็จะทำให้ดี แต่เรื่อง…”“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องถาม เอาไปสิ”ม้วนส่งข่าวของหอหรงเยว่ถูกวางอยู่บนโต๊ะ เมื่อนางเอื้อมมือมาหยิบท่านอ๋องก็สังเกตเห็นอาการสั่นของนางได้อย่างชัดเจน พระองค์รู้สึกพึงพ
“เอ่อ… ปิ่นนั้น…”“จวนจะได้เวลาแล้ว! น้องห้า น้องเก้าเจ้าเดินไปก่อนเถอะ”""พ่ะย่ะค่ะ""เฟิ่งเซียวหันมายิ้มให้นางอีกครั้งและรีบเดินล่วงหน้าไปก่อน อวิ๋นซีคำนับให้ทั้งคู่และหันไปมองท่านอ๋องที่ชักสีหน้าไม่พอใจอยู่ตรงหน้า“พวกเจ้าก็ไปกันได้แล้ว”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องเดินกลับเข้าไปยังห้องโถงที่ประทับ เพื่อรอต้อนรับแขกด้านใน อวิ๋นซีเดินตามเขาห่าง ๆ และไม่พูดอะไรอีก‘ปิ่นนั้นข้าเป็นคนเห็นก่อน และเป็นคนซื้อมาให้แต่นางกลับไปขอบคุณเจ้าห้า ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย!’เหล่าขุนนางในห้องโถงล้วนแปลกใจ เมื่อท่านอ๋องเสด็จเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทางที่หงุดหงิดและสีพักตร์ค่อนข้างตึงเครียด แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถาม อวิ๋นซีหันไปก็เห็นว่าวันนี้โม่ชิงเซียนก็เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย ซึ่งข้าง ๆ นางยังมีบุรุษหนุ่มอีกคนที่เงยหน้ามองมาที่นาง“เจ้ามองอะไร รีบไปนั่งได้แล้ว!”ท่านอ๋องหันมาตวาดเมื่อเห็นว่าอวิ๋นซีหยุดมองไปที่สกุลโม่ เขาเข้าใจว่านางสะดุดตาเข้ากับบุตรชายคนโตสกุลโม่ซึ่งมีนามว่า “โม่หยาง” แต่อวิ๋นซีมิได้มองคนผู้นั้น ที่นางมองคือโม่ชิงเซียนต่างหาก เมื่อทั้งสองไปนั่งประจำที่ โม่ชิงเซียนก็เริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจ แ
องค์หญิงเก้าแทบไร้เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาได้ เพียงแค่คำตรัสไม่กี่คำของท่านอ๋องก็เกือบทำให้ม่อถานทั้งแคว้นล่มสลาย นางรู้แจ้งแล้วว่าไม่ควรลองดีกับผู้ที่สามารถกุมชะตาสี่แคว้นแห่งดินแดนเหนือได้ เฉินตงหรานผู้นี้เพียงแค่กระดิกปลายนิ้ว แคว้นม่อถานก็แทบจะย่อยยับในกำมือเขาได้แล้ว“เอาล่ะ ๆ พวกท่านมัวแต่ขอโทษกันไปมา เมื่อใดงานเลี้ยงจะเริ่มได้เสียทีเล่า ข้าอยากฟังดนตรีและดื่มสุราจะแย่แล้ว”ท่านอ๋องแย้มสรวลออกมาเล็กน้อยและหันไปมองว่านกงกงเพื่อสั่งให้เริ่มงานเลี้ยง เมื่อดนตรีและนางรำเริ่มออกมาแสดง บรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่นี้ก็ลดลง ครั้งนี้ต้องของคุณตงอ๋องที่คลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างถูกจังหวะ“พี่ห้า ที่ข้าทำเป็นอย่างไรบ้าง”“นับว่าทำได้ดี ถูกจังหวะและเวลา”“ก็ท่านสะกิดข้า หากว่าไม่พูดก็คงได้ชักดาบแทนดื่มสุรากันแล้ว”“ไม่ขนาดนั้นหรอก”“ท่านว่าครั้งนี้พี่สามโกรธองค์หญิงผู้นั้น เพราะเสียมารยาทต่อหน้าเขา หรือว่าเพราะนางกล้าพกอาวุธลับเข้ามาจึงอยากจะสั่งสอนนางกันแน่”“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”“เช่นนั้นอะไรเล่า…. นี่ท่านอย่าบอกนะ!”เสิ่นอ๋องไม่กล่าวสิ่งใดต่อ เขาจิบน้ำชาเพียงเงียบ ๆ และหันไปมองพระเชษฐาที่ม
อวิ๋นซีหันไปมองพร้อมขมวดคิ้วให้กับท่านอ๋อง ที่ยิ้มกลับมาให้นางอย่างพอพระทัย ‘ซีเอ๋อร์งั้นหรือ เจ้าอ๋องบ้านี่คิดจะทำอะไรกันแน่นะ’“เช่นนั้นข้าก็จะไม่ออมมือแล้วนะ แม่นางล่วงเกินแล้ว!”ดาบในมือของต้วนหรูซาน พุ่งมายังเป้าหมายที่หันไปมองท่านอ๋อง นางไม่ทันได้รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเริ่มลงมือแล้ว แต่หูของอวิ๋นซีไวมากกว่าการเคลื่อนไหวของหรูซาน นางเอนกายหลบดาบของหรูซานได้และปัดที่ข้อศอกของอีกฝ่ายทุบไปที่กลางหลัง องค์หญิงต่างแคว้นก็แทบจะลุกไม่ไหว“ซานเอ๋อร์!”ท่านอ๋องดึงตัวองค์ชายเจ็ดเอาไว้เพื่อมิให้เข้าไปยุ่งกับทั้งคู่ เพราะหรูซานเมื่อถูกอวิ๋นซีฟาดมาจนจุกก็เริ่มโกรธจนขาดสติ“องค์ชาย เรื่องของสตรีก็ให้พวกนางจัดการเองเถอะ”“แต่ว่า!”“มานั่งจิบชาชมอยู่เงียบ ๆ กับข้าดีกว่า”“เจ้า!”“ขออภัยองค์หญิง หม่อมฉันเพียงแค่ตกใจเท่านั้นเพราะพระองค์จู่โจมโดยไม่รู้ตัว ขออภัยด้วย”หรูซานพุ่งดาบเข้ามาอีกครั้ง คราวนี้ไวมากกว่าเดิมเพราะความโกรธแต่ทุกครั้งอวิ๋นซีก็หลบได้เหมือนเงาที่มองไม่เห็น ทหารในกองทัพต่างส่งเสียงร้องด้วยความพอใจ พวกเขาเองก็ไม่ใคร่ชอบนักที่จู่ ๆ สตรีต่างแคว้นก็มาท้าประลองกับพวกเขา“ยอดไปเลย เอาให้
ต้วนหรูซานโกรธจนน้ำตาไหล แต่ก็มิอาจกล้าจะต่อปากต่อคำกับคนตรงหน้า ด้วยเกรงว่าครั้งนี้อาจจะไม่ใช่แค่หมวกที่นางสวม แต่จะเป็นศีรษะของนางแทน เพราะ “หลันอ๋อง” ผู้นี้ได้ชื่อว่าเป็น “อ๋องใจกล้าบ้าบิ่น” เขาไม่สนใจว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นใคร แม้แต่สตรีก็มิอาจพ้นปลายเกาทัณฑ์ของเขาไปได้หากว่าทำผิดต่อหน้าเขา“พี่เจ็ดข้าเหนื่อยแล้ว อยากกลับไปพัก”“เอ่อ… เช่นนั้นท่านอ๋อง”“เช่นนั้นวันนี้พวกเราก็กลับกันก่อนเถอะ เอาไว้ช่วงเย็นค่อยมาร่วมโต๊ะอาหารเย็นด้วยกัน องค์หญิงน้องชายของข้าเพียงแค่ล้อเจ้าเล่นเท่านั้น หวังว่าเจ้าคงไม่ถือสาหาความ หากทำให้เจ้าตกใจข้าต้องขอโทษเจ้าแทนเขาด้วย”“ไม่เป็นไรเพคะหม่อมฉันเหนื่อยแล้ว อยากกลับไปพัก ขอตัวก่อน”ท่านอ๋องให้รองแม่ทัพเดินไปส่งทั้งคู่ขึ้นรถม้า องค์ชายเจ็ดไม่ลืมที่จะหันมากล่าวชื่นชมทั้งสาม“ท่านอ๋องมีกองทัพที่ยอดเยี่ยม วันนี้ข้าผู้แซ่ต้วนเลื่อมใสยิ่งนัก ฝีมือยิงธนูของหลันอ๋องเองก็แม่นยำไม่ผิดจากคำร่ำลือ “เทพหัตถ์ธนูแห่งดินแดนบูรพา” วันนี้ได้เห็นกับตาช่างเป็นวาสนา"“กล่าวชมเกินไปแล้วองค์ชาย ว่าแต่ท่านกับน้องสาวเหตุใดนิสัยถึงได้ต่างกันนัก”“เอาล่ะน้องแปดทักทายพอแล้ว ข
วันถัดมาอวิ๋นซีเดินออกมาจากลานฝึกหลังจากที่ฝึกดาบเสร็จแล้ว เมื่อนางเดินมาถึงหน้าตำหนัก ก็พบกับองค์ชายเจ็ดแห่งม่อถานที่กำลังเดินเล่นในสวน“แม่นางหลิ่ว”อวิ๋นซีหันกลับไปและเกือบจะลื่นล้ม เพราะเขาเดินเข้ามาใกล้นางเกินไป ต้วนจวินอู๋จึงดึงนางเอาไว้ได้ทัน“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวัง”“ไม่เป็นไร ๆ เป็นข้าเองที่เรียกเจ้ากะทันหัน เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”“ไม่เป็นอะไร พระองค์จะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องหรือเพคะ”“เข้าเฝ้าหรือ หากจะพูดตามจริงคือข้าอยากคุยกับเจ้าน่ะ”“คุยกับหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่แล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เจ้าใช้จอกชาสกัดอาวุธของน้องเก้าเอาไว้ และฝีมือการประลองยุทธ์ของเจ้าเมื่อวานนี้ ทำให้ข้านึกเลื่อมใสว่าแต่เจ้าพอจะมีเวลาสักประเดี๋ยวหรือไม่”“ใช่ว่าจะมิได้ เช่นนั้นเชิญองค์ชาย”“เชิญ”ทั้งสองเดินไปคุยกันที่สวนด้านหน้าตำหนักขององค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องที่พึ่งกลับมาจากประชุมราชสำนัก กับท่านอ๋องทั้งสามทันได้เห็นทั้งสองนั่งคุยกันที่สวนด้านนอก เฉินรั่วเฟิงหันไปมองก่อนจะกล่าวออกมา“โอ้โหองค์ชายต่างแคว้นผู้นี้ ดูท่าจะทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์แทนน้องสาวแล้วกระมัง หลังจากที่น้องสาวก่อเรื่องเอาไ
ท่านอ๋องหันไปมองหลิ่วอวิ๋นซี ที่ยืนจ้องมองโม่ชิงเซียนที่น้ำตาเริ่มไหลออกมา เพราะความเจ็บปวดของเส้นเสียงที่เริ่มถูกเล่นงาน โดยเข็มพิษวารีที่มีฤทธิ์เย็น“ช่างเป็นการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งนัก”“ปึก!”เฉินเฟิ่งเซียวกดสกัดจุดที่ท้ายทอยของโม่ชิงเซียนเอาไว้ เพื่อมิให้นางเจ็บปวดเป็นการชั่วคราว เขามิอาจช่วยนางได้เพราะมิใช่เจ้าของพิษ ทำได้แค่บรรเทาอาการลงให้ชั่วคราวเท่านั้น“โม่ชิงเซียนเจ้าฟังข้าให้ดี เรื่องที่เจ้านำมาบอกข้าในวันนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้ารู้ทั้งหมดแล้ว”“เฮือก!”ท่าทางของโม่ชิงเซียนนึกอยากจะเถียงแต่กลับไร้คำพูด มีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวเท่านั้นที่แสดงออกว่านางไม่เชื่อ และอยากให้ท่านอ๋องไม่เชื่อด้วยเช่นกัน“ก็ยังดื้อดึงเช่นเดิม เรื่องที่เจ้าแอบสืบเป็นสิ่งที่พวกข้าล้วนรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว อีกอย่างเรื่องภายในราชสำนักเหตุใดบุตรีขุนนางเช่นเจ้าจึงให้ความสนใจนัก”“นางมิได้สนใจเรื่องในราชสำนักอะไรนั่นหรอก ท่านคิดดี ๆ หน่อย ที่นางสนใจเรื่องของท่านต่างหาก จงใจมาพูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้ท่านสั่งประหารข้าฐานหลอกลวงเบื้องสูง ที่แท้ก็แค่อยากจำกัดข้าแต่ไม่กล้าทำเอง ขี้ขลาดยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก”ท่านอ
เฟิ่งเซียวตกใจจนพัดหลุดออกจากมือ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาจึงรีบหยิบขึ้นมา สีหน้าของโม่ชิงเซียนที่โกรธจัดจนเดินเข้ามาเพื่อหวังทำร้ายอวิ๋นซีก็ถูกท่านอ๋องป้องกันเอาไว้“ท่านอ๋อง!”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดเข้ามาถึงห้องนี้โดยมิได้รับอนุญาต อยากให้ข้าสั่งลงโทษเจ้างั้นหรือ อย่าคิดว่ามีบิดาเป็นเสนาบดีเก่าแก่ของราชสำนัก แล้วเจ้าจะทำเหิมเกริมต่อหน้าข้าได้นะ”“หม่อมฉัน… มิบังอาจเพคะ”“เจ้าบังอาจ! บังอาจเข้ามาในเขตพระราชฐานทั้ง ๆ ที่ไม่มีคำสั่ง บังอาจเข้ามาถึงห้องทำงานของข้า และยังบังอาจที่สุดที่คิดจะทำร้ายคนของข้า ต่อหน้าข้า ทหาร!”“ช้าก่อนเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้มีเจตนาไม่ดีเพียงแต่วันนี้ติดตามท่านพ่อเข้าวังจึงมาเข้าเฝ้า อีกอย่างจะทรงตรัสเช่นนั้นหาได้ไม่ เพราะพระองค์เป็นคนอนุญาตในเทียบที่หม่อมฉันส่งมาครั้งก่อนด้วยพระองค์เอง”อวิ๋นซีหันมามองหน้าท่านอ๋องที่กลอกตาไปมา นี่เขาคงพลาดอะไรไปสินะถึงได้ไม่ทันอ่านฎีกาทั้งหมดนั่น เพราะวันที่เขากับอวิ๋นซีต่อสู้กันจนห้องทรงงานพังไปรอบหนึ่ง เขาก็เป็นคนแจ้งกับเสี่ยวอวี้เองว่าอนุญาตฎีกาทั้งหมด ซึ่งไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีคำขอเข้าเฝ้าของโม่ชิงเซียนด้วย“เช่นน
อวิ๋นซีก้มหน้าและยิ้มออกมา ท่านอ๋องคว้าร่างบางเข้าไปและจับนางเชยคางขึ้นเพื่อรับจุมพิตวาบหวามอีกครั้ง อวิ๋นซีแทบจะล่องลอยไปกับรสสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้ไม่รู้จบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่พึ่งผ่านสงครามรักที่ดุเดือดมาเกือบครึ่งวัน“พอเถิดเพคะ หายใจไม่ออกแล้ว”“กลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปหาน้องเก้าจัดการเรื่องที่เหลือให้เจ้า”“ขอบพระทัยเพคะ”“ไม่เป็นไร เพราะเจ้าต้องจ่ายค่าสืบเรื่องนี้ให้ข้าแพงแน่นอน”“แต่ท่านบอกว่าเงื่อนไขของพวกเรา…อ๊ะ!”ท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง เขาใช้สันจมูกก้มลงคลอเคลียปลายจมูกเชิดเล็กของนางราวกับหยอกล้อ“นั่นมันก่อนที่พวกเราจะทำเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้ต้องผูกขาเจ้าเอาไว้ข้าก็จะทำ กลับไปรอที่ตำหนักแล้วอย่าลืมรอกินข้าวกับข้าด้วย”“เผด็จการ”“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าเป็นเช่นนี้เองนะซีเอ๋อร์ โทษข้าไม่ได้รีบไปก่อนที่จะทนไม่ไหวและไม่ปล่อยเจ้าออกจากหอตำรา”“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”อวิ๋นซีรีบดันตัวเขาออกและวิ่งลงมาจากชั้นสองด้วยความรวดเร็ว หากนางขืนยังชักช้ากว่านี้ เกรงว่าจะมิได้เดินออกจากหอตำราแห่งนี้ก่อนตะวันตกดินเป็นแน่ เพราะสายตาและเสียงกระซิบแผ่วเบานั่นไม่ได้มีวี่แววว่าจ
อวิ๋นซีเองก็มิได้อยากจะทนแล้วเช่นกัน นางเองก็อยากปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม ๆ กับเขา “กอดข้าเถิดเพคะ”“คนดีของข้า เช่นนั้นข้าจะถอดผ้านี้ออก จากนี้เจ้าจะได้ไม่ลืมว่าข้า “รัก” เจ้ามากเพียงใด"ท่านอ๋องดึงผ้าผูกตาของนางออกและดึงนางขึ้นมาจูบ อวิ๋นซีตะลึงกับรูปร่างของบุรุษหนุ่มที่เปลือยเปล่าตรงหน้า แม้ว่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามเสียยิ่งนัก “อือ… ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ!”“หากว่าเจ้าเจ็บก็บอกข้า แต่ข้าจะไม่หยุดให้หรอกนะ เพียงแค่จะค่อย ๆ พาเจ้าเดินไปจนสุดทางเท่านั้น”“ผู้ใดจะไม่ไหวก่อนกันยังไม่รู้เลย อย่าพึ่งมั่นใจในตัวเองนักสิเพคะ”“เจ้ามันร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”จุมพิตหวานถูกป้อนไปนับไม่ถ้วน ท่านอ๋องค่อย ๆ กรีดกรายและขยับเรียวขาเล็กของนางออกเพื่อเปิดทางให้ตัวตนของเขาได้เข้าไป เพียงหัวของมังกรยักษ์ที่ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไป อวิ๋นซีก็รีบจิกเล็บลงที่ลำแขนล่ำของเขาทันทีเพราะความคับแน่นและอึดอัดกำลังเล่นงานนาง แต่อวิ๋นซีกลับไม่ร้องเลยสักคำ“ซีเอ๋อร์ ยังไหวอยู่หรือไม่ อาา…แน่นมากเลยให้ตายเถอะ”“ไม่เป็นไรเพคะ อื้อ…ท่านอ๋อง!”เพียงแค่นางเรียกร้อง เขาจึงตัดสินใจกระแทกซ้ำเข้าไปในค
“แล้วเหตุใดพระสนมที่อยู่ในวัง ถึงอยากจะสังหารอาจารย์ของเจ้าเล่า นี่มันไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”“เรื่องนั้นย่อมมีเหตุผล หากว่าได้ข้อมูลของคนทั้งสี่นี้มาแล้ว ข้าจะต้องไปจากที่นี่”“อะไรนะ! แต่เจ้ารับปากแล้วว่าจะไม่ไปนี่ เหตุใดกลับคำพูดอีกแล้วเล่า”“มิได้หมายถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้ข้อมูลจากท่านเลย ว่าแต่ใช้เวลาอีกนานหรือไม่กว่าหอหรงเยว่ของพวกท่านจะสืบเรื่องนี้ให้ข้าได้”“นั่น… ข้าต้องถามน้องเก้าอีกที แต่ว่าซีเอ๋อร์เจ้าจะไปคนเดียวจริงหรือ มิสู้ให้ข้า...”“ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า”“แต่พวกนางเป็นถึงพระสนมในวัง อีกอย่างก็เป็นคนต่างแคว้น แค่เจ้าก้าวขาเข้าไปยังเขตแคว้นจ้าวก็คงจะโดนจับเสียก่อน เอาไว้เสร็จจากการแข่งขันผู้กล้าของหลิงโจวแล้วค่อยคุยกันอีกที"“แต่ว่า”“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ในเมื่อข้าพูดไปแล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า เช่นนั้นเจ้าไปที่ใดข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย ซีเอ๋อร์หรือว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้าว่าสามารถช่วยเจ้าแก้แค้นให้อาจารย์ได้”อวิ๋นซีมิอาจจะพูดสิ่งใดได้ ท่านอ๋องเดินและดึงตัวนางเข้าไป สวมกอดเอาไว้ อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ทำให้นางหวั่นไหวเข้าแล้วจริง ๆ นางพลาดที่เดินเข้ามาในวังหลวงของหลิงโจว
เมื่อประตูปิดลง หัวใจของอวิ๋นซีก็ราวกับจะโบยบินตามท่านอ๋องออกไปพร้อมกับเสียงประตู นางเลือกที่จะปิดประตูหัวใจนี้ตั้งแต่แรกเพียงเพราะความกลัว เมื่อหันมามองเรื่องที่เขียนในรายงานก็ยิ่งทำให้ความแค้นนี้โถมกระหน่ำทับลงมาอีกรอบ“อาจารย์ไป๋ลู่ตงเดินทางไปเป่ยหลาน ครั้งสุดท้ายที่มีผู้คนพบเห็นเขาคือหลังสงครามสามแคว้นระหว่างแคว้นจ้าว เป่ยหนานและเฉินซาน ซึ่งเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ หลังศึกครั้งนั้น อาจารย์ภูตเข็มพิสดารได้เดินทางออกจากเป่ยหลาน แต่กลับหายไประหว่างเดินทางมาที่เฉินซาน ผู้ที่พบคนสุดท้าย “จิ่วรั่วเฟย” พระสนมของจักรพรรดิแคว้นจ้าว “กงซุนจิ้นกั๋ว” ซึ่งสิ้นชีพในสนามรบในครั้งนั้นด้วยฝีมือของแม่ทัพของเป่ยหนานนามว่า “จิ่วโม่หราน””น้ำตาของอวิ๋นซีเริ่มรินไหลลงมาบนรายชื่อหนึ่งในนั้น พร้อมกับลูบพลางพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหลออกมา“อาจารย์ หากท่านตายด้วยฝีมือของคนเหล่านั้นจริง ๆ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันเลยแม้แต่คนเดียว!”วันถัดมาห้องทรงงานที่เละเทะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากเก็บของที่หักและพังออกมาทิ้ง เสี่ยวอวี้และสาวใช้อีกเกือบสิบคนใช้เวลาครึ่งเช้าเพื่อจะจัดเก็บของในห้องออกมาจนหมด “ท่านองครักษ์
หลิ่วอวิ๋นซีวิ่งออกไปจากห้องทรงงาน และกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อเข้าไปถึงก็รีบดึงของออกมาเพื่อเก็บใส่ห่อทันที“เฉินตงหราน ไม่คิดว่าจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าไม่อยู่แล้วคนสารเลว!”“คุณหนูเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เปิดประตูให้พวกข้าเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนู”นางรู้ดีว่าอาลี่และอาเวินแม้ว่าจะดูแลนาง และพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม แต่พวกนางก็เป็นคนของท่านอ๋อง ซึ่งครั้งนี้ก็คงจะเป็นท่านอ๋องที่สั่งให้มาเฝ้านาง“ข้าไม่เป็นไร อาลี่ข้าอยากแช่น้ำอุ่นสักหน่อย รบกวนพวกเจ้าไปเตรียมให้ข้าได้หรือไม่”“คุณหนู เสียงท่านไม่ค่อยสู้ดีเลย ให้ข้า…”“ไม่ต้องหรอกข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น รีบไปเถอะ"“เจ้าค่ะ”เสียงของสาวใช้ทั้งสองเงียบไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้รีบเก็บของรวบรวมใส่ห่อผ้าเอาไว้ เมื่อเก็บและผูกมัดเรียบร้อยก็เริ่มมองหาที่ เพื่อจะออกไปจากตำหนักและวังหลวงแห่งนี้“กล้ารังแกข้าเช่นนี้ ข้าไม่เป็นมันแล้วไม่ว่าจะสาวใช้ หรือองครักษ์ส่วนตัวบ้าบออะไรนั่น”อวิ๋นซีเดินมายังเรือนหลังซึ่งนางเคยพักมาก่อนจะย้ายไปที่ตำหนักท่านอ๋อง นางปีนขึ้นไปบนกำแพงและกำลังจะกระโดดข้ามลงไป เมื่อกระโดดลงมาไม่คิดว่าจะมีคนที่รอรับนางอยู่ข้างล่างได้พอดี
อวิ๋นซีค่อนข้างตกใจ แปลกใจและสงสัยยิ่งนัก เดิมทีนางก็ไม่ได้จะมีหน้าที่เช่นนี้ แต่เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องจึงได้จงใจสั่งการนางเหมือนกับสาวใช้จริง ๆ เข้าไปทุกที แต่นางก็ยอมที่จะรินน้ำชาและยกของว่างไปวางให้เขาที่โต๊ะ ซึ่งตามปกติแทบจะไม่เคยมาที่ตรงนี้เลย“ฝนหมึกสิ”‘เจ้าอ๋องอารมณ์แปรปรวนผู้นี้น่าตบกบาลยิ่งนัก หากไม่คิดว่าจะต้องใช้ท่านสืบข่าว ข้าคงฆ่าท่านไปนานแล้ว’“นิ่งอยู่ทำไม อย่าบอกนะว่าแม้แต่ฝนหมึกเจ้าก็ยังทำไม่เป็น”“ข้าทำเป็นเพียงแต่ท่านเคยบอกว่า ไม่ต้องทำเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ”“ไม่เคยทำก็ใช่ว่าจะแล้งน้ำใจจนทำไม่ได้นี่ ไม่เห็นหรือว่าที่นี่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดให้เรียกใช้สอยได้เลย”“ข้ออ้างชัด ๆ”“ข้าได้ยินนะอวิ๋นซี”“เพคะ หม่อมฉันแล้งน้ำใจเอง”นางเดินมาข้าง ๆ และเริ่มฝนน้ำหมึกให้เขา ท่านอ๋องเพียงแค่มีนางอยู่ใกล้ ๆ ก็แอบลอบยิ้มด้วยความพอพระทัย และหันไปสนใจกับรายงานต่อไป“คือว่า ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน”“ว่ามาสิ”“หลันอ๋องตรัสว่าอีกสิบวันจะมีงานแข่งขันผู้กล้าแห่งหลิงโจว… ข้าอยากจะ...”“ทำไม หรือเจ้าเองก็นึกอยากจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย”“ใช่แล้วเพคะ มันน่าตื่นเต้นดีออก ข้ากับองค์ชายจวินอู๋ไ
วันถัดมาอวิ๋นซีเดินออกมาจากลานฝึกหลังจากที่ฝึกดาบเสร็จแล้ว เมื่อนางเดินมาถึงหน้าตำหนัก ก็พบกับองค์ชายเจ็ดแห่งม่อถานที่กำลังเดินเล่นในสวน“แม่นางหลิ่ว”อวิ๋นซีหันกลับไปและเกือบจะลื่นล้ม เพราะเขาเดินเข้ามาใกล้นางเกินไป ต้วนจวินอู๋จึงดึงนางเอาไว้ได้ทัน“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวัง”“ไม่เป็นไร ๆ เป็นข้าเองที่เรียกเจ้ากะทันหัน เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”“ไม่เป็นอะไร พระองค์จะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องหรือเพคะ”“เข้าเฝ้าหรือ หากจะพูดตามจริงคือข้าอยากคุยกับเจ้าน่ะ”“คุยกับหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่แล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เจ้าใช้จอกชาสกัดอาวุธของน้องเก้าเอาไว้ และฝีมือการประลองยุทธ์ของเจ้าเมื่อวานนี้ ทำให้ข้านึกเลื่อมใสว่าแต่เจ้าพอจะมีเวลาสักประเดี๋ยวหรือไม่”“ใช่ว่าจะมิได้ เช่นนั้นเชิญองค์ชาย”“เชิญ”ทั้งสองเดินไปคุยกันที่สวนด้านหน้าตำหนักขององค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องที่พึ่งกลับมาจากประชุมราชสำนัก กับท่านอ๋องทั้งสามทันได้เห็นทั้งสองนั่งคุยกันที่สวนด้านนอก เฉินรั่วเฟิงหันไปมองก่อนจะกล่าวออกมา“โอ้โหองค์ชายต่างแคว้นผู้นี้ ดูท่าจะทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์แทนน้องสาวแล้วกระมัง หลังจากที่น้องสาวก่อเรื่องเอาไ