“ท่านรู้นามอาจารย์ข้าได้อย่างไร”
“อวิ๋นซีถอยออกมา พวกเขาไม่ใช่คนร้าย”
“ถวายบังคมท่านอ๋องห้า และท่านอ๋องเก้าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่ออวิ๋นซีหันไปมองบุรุษที่ยืนนิ่งอยู่ข้าง ๆ นางก็เริ่มเข้าใจ เข็มเงินถูกเก็บเข้าไปอีกครั้งก่อนที่บุรุษที่ยืนเกร็งอยู่จะถอนหายใจยาว เขาดูเยาว์กว่าอีกคนหนึ่งแต่ท่าทางถือดีและพูดมากนั้นทำให้นางเดาได้ทันที
“ท่านก็คือเสิ่นอ๋อง แห่งเสิ่นโจว”
“ล่วงเกินแล้ว ข้า “เฉินเฟิ่งเซียว” องค์ชายห้าแห่งเฉินซาน ยินดีที่ได้พบ นี่น้องเก้าของข้า…"เฉินรั่วเฟิง" ต้องขออภัย แต่ตอนนี้ข้าคิดว่ารีบจัดการเรื่องตรงหน้าก่อนจะดีกว่า”
“น้องห้า น้องเก้า เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ข้าให้พวกเจ้าเฝ้าดูเอาไว้มิใช่หรือ”
“ท่านแม่!”
เสียงของใต้เท้าเพ่ยดังขึ้นเมื่อเขาเดินตามมาถึงและเห็นบางอย่างอยู่ในห้อง เสียงร้องโหยหวนเริ่มดังขึ้นเมื่อทุกคนหันไป ร่างของฮูหยินผู้เฒ่าถูกแขวนตาค้างอยู่บนคานในห้องของตัวเอง
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”
“คนร้ายเบี่ยงความสนใจ ทำท่าว่าจะไปโจมตีท่านด้านใน แต่ที่จริงแล้วเป้าหมายของพวกมันอยู่ที่ฮูหยินผู้เฒ่า”
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร! นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เรียนนายท่าน ข้ากับสาวใช้อีกสองคนพาฮูหยินผู้เฒ่าเดินกลับมาเพื่อจะมาพักผ่อน หลังจากเดินออกไปก็ได้ยินเสียงของตกจึงได้รีบกลับมาดู ไม่คิดว่า… จะเห็นฮูหยิน...”
“ท่านแม่! ฮือ….”
ท่านอ๋องหันไปมองสภาพศพที่ตายังค้างอยู่ซึ่งตอนนี้เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากดวงตา ซึ่งนับว่าผิดปกติของผู้ที่จะฆ่าตัวตาย และแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดเชื่อว่านางฆ่าตัวตายอย่างแน่นอน
“นางถูกพิษ”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ”
“เฉินเฟิ่งเซียว” เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าและสภาพศพที่เริ่มเปลี่ยนไป
“ฝ่ามือคล้ำ โลหิตไหลตามห้าทวาร นางถูกพิษเซ่าจู่ก่อนจะถูกฆ่า”
“เจ้ารู้เรื่องพิษด้วยหรืออวิ๋นซี”
“หึ พี่สามท่านดูแคลนศิษย์ของอาจารย์ไป๋เกินไปแล้ว ดูท่าเรื่องในคืนนี้คงจะซับซ้อนกว่าที่เราคิดเอาไว้”
“ท่านอ๋อง พวกเราจับผู้ต้องสงสัยมาได้คนหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”
คนร้ายที่ถูกมัดโดยมีทหารองครักษ์นำตัวออกมาสวมชุดบ่าวของสกุลเพ่ย แม้ว่าเขาจะไม่พูดแต่ใต้เท้าเพ่ยกลับจำได้
“จื่อหลง! เหตุใดเป็นเจ้า”
“ระวัง เขาจะกัดยาพิษ!”
“ปึก!”
“พี่ห้า!”
ฝ่ามือของอ๋องห้าฟาดลงไปที่ต้นคอ
“ล้วงเอายาพิษออกมา ข้าจะไปตรวจดูว่าเป็นพิษชนิดใด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารทำตามคำสั่งทันที อวิ๋นซีไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่รวดเร็วกว่านาง หากเดาไม่ผิดเขาน่าจะเป็นหมอเทวดารุ่นหลังที่อาจารย์เคยบอกเอาไว้จริง ๆ
“หมอเทวะรุ่นเยาว์ นับถือแล้ว”
“ขออภัยที่จริงข้าเองก็อยากเห็นพิษของเข็มวารี แต่เพราะข้าอยู่ใกล้กว่าลงมือได้ง่ายกว่าเจ้าก็เลยจัดการเสียก่อน”
“พี่สาม ข้าให้คนพาพวกมันกลับไปที่คุกหลวงของหลิงโจวแล้ว”
“ใต้เท้าเพ่ย เรื่องนี้ข้าจะสอบสวนด้วยตัวเอง ทานไม่ต้องห่วง”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องเดินมาตบไหล่ของใต้เท้าเพ่ยที่พึ่งจะจัดงานเลี้ยงเพื่ออวยพรมารดาของตนเอง แต่วันนี้กลับเป็นวันตายของนาง
“โปรดหักห้ามใจด้วย ข้าจะส่งคนมาจัดงานศพให้ฮูหยินผู้เฒ่าอ่างสมเกียรติ”
“ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนเดินกลับออกมา แต่สองท่านอ๋องกลับเลือกจะใช้ม้าเป็นพาหนะแทน
“นางก็จะไปกับพวกเราหรือพี่สาม นางคือใครกัน คงไม่ใช่ว่าท่านหาพี่สะใภ้ให้ข้าได้แล้วหรอกนะ เรื่องนี้ข้าพลาดไปได้เช่นไร สายข่าวของหอหรงเยว่ไม่เคยพลาดแต่ทำไม…”
“น้องเก้า! เจ้าพูดมากไปแล้ว”
ท่านอ๋องหันไปมองหน้าอวิ๋นซีที่ทำเพียงกอดอกและยืนขมวดคิ้วให้กับเฉินรั่วเฟิง แต่ท่านอ๋องที่พักตร์เริ่มแดงและรู้สึกร้อนผ่าวจึงรีบหันไปตวาดทันที
“รีบตามข้ากลับวัง ส่วนเจ้าขึ้นรถม้ากลับไปกับข้า”
“ข้าจะกลับไปพร้อมกับนางรำคนอื่น ๆ เอาไว้ค่อยตามพวกท่านเข้าวังจะได้ไม่ทำให้ดูน่าสงสัย ทุกท่านขอตัวก่อน”
ว่าแล้วอวิ๋นซีก็เดินกลับไปยังรถม้าของหอลั่วฟางที่จอดรออยู่ด้านหลัง รั่วเฟิงหันไปมองตามร่างอรชรที่เดินไปจนสุดสายตา เมื่อหันกลับมาจึงเห็นว่าพี่สามของตนเองมองนางอยู่เช่นกัน กรามที่กัดแน่นเพราะความหงุดหงิดเล็กน้อยเรียกความสนใจของรั่วเฟิงจนใคร่รู้
“นางไปถึงรถม้าแล้วกระมังพี่สาม หากท่านอยากให้นางกลับไปด้วยทำไมไม่พูดดี ๆ เล่า หรือว่าออกคำสั่งจนเคยตัว”
“น้องเก้าเจ้าพูดมากไปแล้ว เช่นนั้นก็เอาม้าข้ากลับไปด้วย ข้าจะนั่งรถม้าไปกับพี่สาม”
“อ้าวเดี๋ยวสิพี่ห้า! ท่านทิ้งกันเช่นนี้เลยหรือ ไม่เอา เสี่ยวอวี้ ไป่อี้ พวกเจ้าจัดการที ข้าจะไปนั่งรถม้า ขี่ม้ามาสามวันสามคืนเมื่อยจะตาย”
“รีบกลับเถอะ”
ทั้งสามเดินขึ้นรถม้าไปพร้อมกัน และพูดคุยระหว่างทาง
“ครั้งนี้ไม่ใช่หอฟงหรู แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคนร้ายจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม”
“ไม่ใช่ พวกเจ้าคิดผิดแล้ว วิธีการน่าจะเป็นพวกมันอย่างแน่นอนแต่ว่าครั้งนี้ คงจะปิดบังเอาไว้หรือไม่ก็ให้นักฆ่าหน้าใหม่มาทำงานแทน ก็เลยยังไม่มีรอยสัก”
“นักฆ่าฝึกหัดงั้นหรือ พี่สามที่ท่านพูดมาน่าสนใจยิ่งนัก น้องเก้าเจ้าคิดว่าอย่างไร”
“แน่นอนว่าหอฟงหรูมีนักฆ่าสี่ระดับ นักฆ่าฝึกหัด นักฆ่าสายลับ นักฆ่าแดนมืด และภูตมรณะ ที่ลงมือกับฮูหยินผู้เฒ่าก็คือนักฆ่าแดนมืดที่ใช้พิษเป็น”
“ถึงกับใช้นักฆ่าขั้นสองกับคนแก่คนหนึ่ง พวกมันต้องการสิ่งใด”
“พี่ห้ากล่าวผิดแล้ว ที่เขาต้องใช้นักฆ่าระดับสองนั่นเป็นเพราะว่าวันนี้พวกมันรู้ว่าพี่สามจะมาที่นี่ ต่างหากเล่า”
“เช่นนั้นก็น่าแปลก สกุลขุนนางเก่าแก่กับสตรีวัยชราคนหนึ่ง เหตุใดจึงต้องสังหารนาง สามคนก่อนหน้านั้นที่ตายมิใช่ว่าเป็นขุนนางของราชวงศ์ก่อนหรอกหรือ”
“ใช่ พวกมันฆ่าขุนนางก่อนหน้านี้ก็เพราะพวกเขาเป็นขุนนางเก่าแก่จากราชวงศ์ก่อน แต่ก็อย่าลืมว่าฮูหยินผู้เฒ่าเพ่ยก็เป็นฮูหยินตราตั้งเช่นกัน สกุลเพ่ยน่าจะมีบางอย่างที่ดึงดูดพวกมันมา”
“คือสิ่งใดกัน”
“ว่ากันว่าฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้เป็นฮูหยินตราตั้งระดับสาม อดีตจักรพรรดิคนก่อนเป็นผู้แต่งตั้งให้นางเพราะความชอบที่นางช่วยเหลือฮองเฮาเอาไว้ในตอนที่นางคลอดพระโอรสออกมา พี่สามหรือว่าพวกมันต้องการตำรับยาของฮูหยินผู้เฒ่า”
“แต่ตำรับเหล่านั้นถูกส่งต่อมาให้ใต้เท้าเพ่ยที่เป็นหมอหลวงอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องไปเค้นเอากับมารดาของเขา หรือว่า...”
“น่าสนใจยิ่ง เบื้องหลังของฮูหยินผู้เฒ่าคนนี้น่าจะไม่ธรรมดาแน่แล้ว ข้าจะให้หอหรงเยว่สืบเรื่องนี้ต่อเอง”
“อืม เช่นนั้นก็ฝากเจ้าด้วย”
“เอ๊ะพี่สาม ว่าแต่นางรำคนเมื่อครู่นี้ พี่ห้าบอกว่านางใช้เข็มพิษวารีของอาจารย์ไป๋ผู้เลื่องชื่อนั่น ท่านกับนางไปรู้จักกันได้อย่างไร อีกอย่างเหตุใดนางจึงมาอยู่ที่นี่แล้วยังเป็นนางรำ ท่านยังออกปากชวนนางกลับด้วยกัน นี่มันไม่ธรรมดาเลยนะ”
“อะแฮ่ม เจ้าพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน มิใช่ว่าเจ้าสืบจนรู้หมดแล้วงั้นหรือ”
“ข้าจะไปรู้ได้เช่นไร ข้ารู้แค่ว่าท่านไปที่หอซิงเฟยเพื่อช่วยคนแต่ไม่ทัน ไม่คิดว่าจะได้สตรีงดงามมากด้วยพิษร้ายกาจเช่นนางกลับไปด้วยนี่ เล่ามาเถอะพี่สาม”
“น้องเก้า เจ้าอย่าพึ่งไปคาดคั้นพี่สาม ในตอนนี้สิ่งที่ควรทำคือรีบสืบเรื่องของสกุลเพ่ย”
“อ้อ ใช่ ๆ พี่ห้าท่านพูดถูก แต่เรื่องนี้ข้าไม่หยุดถามแน่”
“พูดมากจริง ๆ นางก็แค่องครักษ์ข้างกายคนใหม่ของข้าเท่านั้น”
""อะไรนะ! องครักษ์ข้างกายงั้นหรือ""
“พี่สาม ท่านเป็นถึงยอดบุรุษหนึ่งในสี่ของเฉินซาน แต่กลับรับองครักษ์สตรีมาอยู่ข้างกายงั้นหรือ”“พี่สาม ดูท่าองครักษ์หญิงผู้นี้คงมิได้มีไว้เพื่ออารักขาท่าน แต่มีนางไว้เพื่อจุดประสงค์อื่นสินะ”เฉินตงหรานหันมายิ้มให้กับน้องชายของตัวเองที่รู้ทัน เดิมทีเขาคิดแค่ว่าจะให้นางช่วยสืบเรื่องของหอฟงหรู แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านางจะมีความสามารถมากกว่านั้นจนเขานึกอยากจะรั้งเอาไว้ข้างกาย“พี่สาม ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”“อย่าบอกนะว่าท่านกำลัง… คิดถึงนาง”“เหลวไหล ข้ากับนางก็แค่… ช่างเถอะ ว่าแต่พวกเจ้าเฝ้าอยู่ด้านนอกไม่พบคนที่น่าสงสัยเลยงั้นหรือ”ทั้งสองหันมามองหน้ากัน อ๋องห้าถึงกับยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทางลุกลี้ลุกลนของพี่ชาย ซึ่งไม่ง่ายเลยที่จะได้เห็นผู้ที่สุขุมอยู่เสมอจะเสียกิริยาเช่นนี้“ข้ากับพี่สามซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ด้านบนหลังคาเรือนที่สูงที่สุด คิดว่าคนร้ายจะจัดการคนในงานเลี้ยง แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายครั้งนี้จะอยู่ที่เรือนหลังของฮูหยินผู้เฒ่า ว่าแต่เหตุใดนางจึงกลับมาก่อน”“หลังจากที่รับคำอวยพรเสร็จแล้ว ข้าเห็นสาวใช้เดินเข้ามาหานาง หลังจากนั้นก็ขอตัวกลับ เดิมทีไม่คิดว่าจะมีเรื่องอื่นแต่ดูท่าแล้วเห
“พี่สาม นี่ท่านล้อเล่นหรือ”เฉินเฟิ่งเซียวกระทุ้งข้อศอกไปที่สีข้างของน้องชายให้เงียบทันที เมื่อหันไปมองท่านอ๋อง ที่กำลังตั้งคำถามกับสตรีที่ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “ท่านไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านหรือ”“นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เจ้าถามข้า หลิ่วอวิ๋นซี หากว่าเจ้าอยากจะเอาชีวิตข้าก็คงลงมือไปนานแล้ว คงไม่ต้องรอจนถึงวันนี้กระมัง"“นางอาจจะกำลังรอจังหวะอยู่ก็ได้นะ”“เจ้าเงียบไปเลยน้องเก้า”"พี่ห้าแต่ว่า…."เมื่อหันมามองสายตาของพระเชษฐา เฉินรั่วเฟิงก็เงียบเสียงลงไปในทันที เขารู้อยู่แล้วว่าหากเฉินตงหรานตัดสินใจจะทำสิ่งใดย่อมไม่มีผู้ใดสามารถค้านได้แม้แต่ฝ่าบาท ซึ่งเป็นพระเชษฐาของพวกเขา“แลกกับ…”“เบาะแสของอาจารย์เจ้าที่อยากได้ หอหรงเยว่จะเป็นผู้สืบหาตัวคนร้ายแทนเจ้า ข้ากล้ารับประกันได้เลยว่าน้องเก้าไม่เคยทำงานพลาด”“เอ่อ ใช่ ๆ ข้ามีสายลับทั่วแคว้นอีกอย่างเรื่องสืบสวนและตามหาคน หอหรงเยว่นับว่าชำนาญมากที่สุด”“แต่เมื่อคืนพวกท่านพึ่งจะพลาดท่าให้กับหอฟงหรูไปเองมิใช่หรือ”“เอ่อ อะแฮ่ม! แม่นางหลิ่วเจ้าก็กล่าวเกินไป เรื่องบางเรื่องต่อให้เราคิดการรอบคอบ แต่โจรก็คือโจรอยู่ดี”“ทำงานให้ข้าแลกกับข่าวที่ต้องการสืบ
เรือนพักอวิ๋นซี หลิ่วอวิ๋นซีเดินมาเก็บของบางส่วนเพื่อจะย้ายออกไปอยู่ที่ตำหนักท่านอ๋อง แต่เมื่อมาถึงของใช้ทุกอย่างก็ถูกจัดใส่หีบเตรียมย้ายจนหมดแล้ว สาวใช้ทั้งสองของท่านอ๋องเดินมาคำนับให้นาง“คุณหนูหลิ่ว ข้าน้อยเก็บของที่จำเป็นให้ท่านแล้ว เหลือเพียงของส่วนตัว ข้าทิ้งหีบเอาไว้ให้ท่านเก็บอีกสักครู่จะส่งคนมาขนของที่เหลือไป”“ขอบใจมากอาลี่”“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”พวกนางเริ่มขนของออกไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้นั่งที่เตียงและทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้น‘เขาเริ่มระแวงข้าแล้วสินะ ตอนนี้ให้ข้าไปอยู่ที่ตำหนักเดียวกับเขา คงกลัวว่าข้าจะลอบติดต่อคนภายนอก’อวิ๋นซีหันมาเก็บของในห้องทีละอย่างลงไปในหีบที่อาลี่ทิ้งเอาไว้ให้พลางคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แม้ว่าท่านอ๋องจะไม่มีท่าทีน่าสงสัยแต่นางก็พยายามที่จะทำตัวให้เหมือนเดิม ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเขาในจวนสกุลเพ่ย หรือบอกชื่อยาพิษซึ่งนางรู้ดีว่าเป็นแค่การหยั่งเชิงจากเสิ่นอ๋อง เฉินเฟิ่งเซียวเท่านั้น‘พวกเขาใช้น้องชายทั้งสองมาหยั่งเชิงข้า จากนี้คงต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม’ตำหนักท่านอ๋องอวิ๋นซีเดินเข้ามาในตำหนักที่เริ่มเงียบแล้วในเวลาบ่าย ดูเหมือนว่าท่านอ๋องทั้งสองซึ่งเป็นพ
“อะไรนะ! นี่เจ้ากล้าขู่บุตรเสนาบดีอย่างข้าเลยหรือ”“ต่อให้เจ้าเป็นฮองเฮาหรือพระสนม ผิดก็คือผิด ข้ามีหน้าที่ทำตามกฎเช่นนั้นก็อย่าโทษข้าเลย”เข็มถูกยกขึ้นสูงจนโม่ชิงเซียนกรีดร้องออกมา ท่านอ๋องยืนมองและไม่เอ่ยสิ่งใดจนถึงบัดนี้ เดิมทีเขาก็เป็นคนเย็นชาและมิได้ใส่ใจผู้ใดอยู่แล้ว“เดี๋ยว! ข้ากลับก็ได้ แค้นนี้ข้าจดจำเอาไว้แล้ว เรื่องนี้…”“เจ้าจะไปฟ้องบิดาของเจ้างั้นหรือ คิดไม่ถึงว่าบุตรขุนนางของหลิงโจวจะอ่อนหัดและยังไม่โตเช่นนี้ แค่โดนตีนิดหน่อยก็วิ่งโร่ไปฟ้องพ่อแม่ งอแงเป็นเด็กสิบขวบ เช่นนี้ยังจะออกเรือนได้อยู่หรือ ข้าว่าเจ้ากลับไปหมั่นร่ำเรียนศาสตร์ทั้งสี่ของสตรีใหม่จะดีกว่ากระมัง”“เจ้า!”“คุณหนูเจ้าคะ กลับเถิดเจ้าค่ะ”โม่ชิงเซียนทำได้แค่ใช้สายตาโกรธมองมาที่หลิ่วอวิ๋นซีที่ยิ้มให้นางเท่านั้น สาวใช้ค่อย ๆ พยุงโม่ชิงเซียนออกไปแล้วท่านอ๋องจึงได้เดินมาหานาง“เป็นวิธีที่เด็ดขาด แต่ก็ดูโหดร้ายไปสักนิดสำหรับสตรีที่บอบบางไร้วรยุทธ์เช่นนั้น”“งั้นหรือ หากท่านกลัวว่านางจะเจ็บ เช่นนั้นก็ตามไปปลอบโยนสิ มิใช่ว่านางคือว่าที่คู่หมั้นของท่านหรืออย่างไร หึ”“เอ่อ ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น...เดี๋ยวสิเจ้าจ
เมื่อท่านอ๋องตรัสจบก็โยนดาบให้นางทันที อวิ๋นซีรับดาบด้วยท่าทางชำนาญเขาจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วนางก็ใช้ดาบเป็น‘อวิ๋นซี ความลับของเจ้ายังมีอีกมากเท่าใดกันหนอ’“มาเถอะ ข้าจะสอนวิชาดาบให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัว”“ท่านจะไม่ให้ข้าใช้เข็มพิษวารีงั้นหรือ”“ข้าไม่ได้ห้าม ในเวลาคับขันหากเจ้าอยากจะนำมาใช้ก็ย่อมได้ แต่ที่อยากให้เรียนวิชาดาบก็เพื่อเพิ่มกรงเล็บให้เจ้า มาเถอะข้าคิดว่าเจ้าหัวไวมากพอ ฝึกนิดหน่อยก็น่าจะปกป้องข้าได้แล้ว”“ปกป้องงั้นหรือ จะปกป้องหรือฆ่าท่านก็ยังไม่แน่เลย ไม่กลัวข้าเลยงั้นหรือ”“หึหึ”นี่มิใช่ครั้งแรกที่นางพูดเช่นนี้ เขาสงสัยนางก็จริงแต่นับตั้งแต่อวิ๋นซีเข้าวังมากับเขา ก็ยังไม่มีท่าทางอื่นที่น่าสงสัย และตอนนี้เขาก็เริ่มรู้ว่านางเองก็คงจะทราบว่าพวกเขาสงสัยในตัวนาง จึงพยายามพูดเช่นนี้เพื่อให้เขาแสดงอารมณ์ตำหนักรับรอง“ท่านว่าพี่สามบ้าไปแล้วจริงหรือ ถึงกับฝึกดาบให้นางด้วยตัวเอง”“ดูท่าการมาหลิงโจวครั้งนี้ คงมีบางเรื่องยากเกินคาดเดา”“ยากคาดเดาอะไรกัน พี่สามก็คงอยากจะทดสอบมากกว่า ว่านางมีความรู้และใช้อาวุธใดเป็นบ้างจะได้เฝ้าระวัง ท่านคิดมากแล้ว”“หึ น้องเก้า เจ้าคิดน้อยไปต่างหากเล
“แต่นางก็เล่นผิดคนแล้ว หลิ่วอวิ๋นซีมิใช่สตรีที่ผู้ใดจะรังแกได้ง่าย ๆ เสียหน่อย วรยุทธ์นางน่าจะสูงพอ ๆ กับข้าด้วยซ้ำ แต่ว่าวิชาที่นางใช้ ท่าการออกดาบที่ข้าเห็นกลับแปลกตาและไม่คุ้นเคย”“พวกเจ้าเห็นชัดแล้วสินะ เมื่อวานนี้”“ท่านจงใจพานางมาฝึกเมื่อวาน ก็เพื่อให้พวกข้าดูวิชาดาบของนางมิใช่หรือ”“แล้วพวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”“วรยุทธ์ของนางอ่อนนอกแข็งใน กระบวนท่าอาจจะดูสะเปะสะปะแต่ก็แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งราวกับว่า…”“นางต้องการปกปิดวิชาที่แท้จริงเอาไว้”“ท่านก็มองออกแต่แรกแล้วสินะ”“วิชาดาบเช่นนี้ข้าเคยเห็นสตรีของแคว้นจ้าวฝึกกันอยู่ อาจารย์ของพวกเขาคือสำนักอิ๋งเซียนที่อยู่หุบเขาซานเหนียงของแคว้นจ้าว พี่สามท่านว่าองครักษ์หญิงของท่านผู้นี้ มีความลับมากเกินไปหรือไม่”“เพราะเป็นเช่นนี้ข้าจึงปล่อยนางไปไม่ได้”“แต่การที่เก็บนางไว้ข้างกายเช่นนี้ จะเป็นผลดีหรือร้ายยังไม่แน่ชัด”“แต่ข้าก็มีพวกเจ้าอยู่มิใช่หรือ”“นั่นมันแน่อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าท่านน่ะคงจะไม่ตกหลุมรักนางเข้าเสียก่อนเล่า”“เจ้าพูดอะไรน่ะ! ผู้ใดจะ… เป็นเช่นนั้น ข้าน่ะหรือจะหลงกลนาง เหลวไหลสิ้นดี”ท่าทางลุกลนของเฉินตงหรานทำเอาเฉินรั่วเฟิงยิ้มออ
“นี่ท่านพูดอะไรน่ะ”“เจ้าอารมณ์ดีขึ้นแล้วก็ดี ข้าจะได้คุยต่อ”“ปล่อยข้าก่อนสิ”“อ้อ ขออภัย”ท่านอ๋องคลายอ้อมกอดออก อวิ๋นซีรีบลุกจากตักของเขามานั่งข้าง ๆ ในทันที ใบหน้าของนางร้อนผ่าว หัวใจเต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะแต่พยายามตั้งสติให้นิ่งเอาไว้เพื่อกลบเกลื่อนอาการ“ครั้งนี้เดาว่าองค์ชายเจ็ด คงอยากใช้น้องสาวมาเชื่อมสัมพันธ์โดยการอภิเษก”“อภิเษกงั้นหรือ เช่นนั้นเป้าหมายก็คือท่านสินะ ยอดขุนพลพยัคฆ์ไร้พ่ายแดนเหนือ ก็นับว่าพวกเขามองคนไม่ผิด”“งั้นหรือ เหตุใดน้ำเสียงของเจ้ามีเจือความประชดประชันเช่นนั้น หากว่าให้ข้าพูดออกมา คงคิดว่าเจ้าน่าจะกำลังหึงหวงอยู่”เมื่อสบตากับเขาตรง ๆ นางถึงได้เข้าใจ นอกจากท่านอ๋องจะเป็นหนึ่งในเรื่องของการศึกแล้ว เรื่องเกี้ยวสตรีเขาก็นับว่าไม่แพ้ผู้ใด อีกทั้งท่าทีที่นิ่งนี้ทำให้นางหวั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด“ข้า… คิดว่าเรื่องนี้ท่านคงเข้าใจผิดแล้ว ท่านให้ข้าเป็นสาวใช้ข้างกาย เช่นนั้นก็จะทำให้ดี แต่เรื่อง…”“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องถาม เอาไปสิ”ม้วนส่งข่าวของหอหรงเยว่ถูกวางอยู่บนโต๊ะ เมื่อนางเอื้อมมือมาหยิบท่านอ๋องก็สังเกตเห็นอาการสั่นของนางได้อย่างชัดเจน พระองค์รู้สึกพึงพ
“เอ่อ… ปิ่นนั้น…”“จวนจะได้เวลาแล้ว! น้องห้า น้องเก้าเจ้าเดินไปก่อนเถอะ”""พ่ะย่ะค่ะ""เฟิ่งเซียวหันมายิ้มให้นางอีกครั้งและรีบเดินล่วงหน้าไปก่อน อวิ๋นซีคำนับให้ทั้งคู่และหันไปมองท่านอ๋องที่ชักสีหน้าไม่พอใจอยู่ตรงหน้า“พวกเจ้าก็ไปกันได้แล้ว”“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องเดินกลับเข้าไปยังห้องโถงที่ประทับ เพื่อรอต้อนรับแขกด้านใน อวิ๋นซีเดินตามเขาห่าง ๆ และไม่พูดอะไรอีก‘ปิ่นนั้นข้าเป็นคนเห็นก่อน และเป็นคนซื้อมาให้แต่นางกลับไปขอบคุณเจ้าห้า ช่างไม่รู้ความเอาเสียเลย!’เหล่าขุนนางในห้องโถงล้วนแปลกใจ เมื่อท่านอ๋องเสด็จเข้ามาในห้องโถงด้วยท่าทางที่หงุดหงิดและสีพักตร์ค่อนข้างตึงเครียด แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถาม อวิ๋นซีหันไปก็เห็นว่าวันนี้โม่ชิงเซียนก็เข้าร่วมงานเลี้ยงด้วย ซึ่งข้าง ๆ นางยังมีบุรุษหนุ่มอีกคนที่เงยหน้ามองมาที่นาง“เจ้ามองอะไร รีบไปนั่งได้แล้ว!”ท่านอ๋องหันมาตวาดเมื่อเห็นว่าอวิ๋นซีหยุดมองไปที่สกุลโม่ เขาเข้าใจว่านางสะดุดตาเข้ากับบุตรชายคนโตสกุลโม่ซึ่งมีนามว่า “โม่หยาง” แต่อวิ๋นซีมิได้มองคนผู้นั้น ที่นางมองคือโม่ชิงเซียนต่างหาก เมื่อทั้งสองไปนั่งประจำที่ โม่ชิงเซียนก็เริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจ แ
ท่านอ๋องหันไปมองหลิ่วอวิ๋นซี ที่ยืนจ้องมองโม่ชิงเซียนที่น้ำตาเริ่มไหลออกมา เพราะความเจ็บปวดของเส้นเสียงที่เริ่มถูกเล่นงาน โดยเข็มพิษวารีที่มีฤทธิ์เย็น“ช่างเป็นการลงโทษที่โหดร้ายยิ่งนัก”“ปึก!”เฉินเฟิ่งเซียวกดสกัดจุดที่ท้ายทอยของโม่ชิงเซียนเอาไว้ เพื่อมิให้นางเจ็บปวดเป็นการชั่วคราว เขามิอาจช่วยนางได้เพราะมิใช่เจ้าของพิษ ทำได้แค่บรรเทาอาการลงให้ชั่วคราวเท่านั้น“โม่ชิงเซียนเจ้าฟังข้าให้ดี เรื่องที่เจ้านำมาบอกข้าในวันนี้ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ข้ารู้ทั้งหมดแล้ว”“เฮือก!”ท่าทางของโม่ชิงเซียนนึกอยากจะเถียงแต่กลับไร้คำพูด มีเพียงสายตาที่แข็งกร้าวเท่านั้นที่แสดงออกว่านางไม่เชื่อ และอยากให้ท่านอ๋องไม่เชื่อด้วยเช่นกัน“ก็ยังดื้อดึงเช่นเดิม เรื่องที่เจ้าแอบสืบเป็นสิ่งที่พวกข้าล้วนรู้มาก่อนหน้านี้แล้ว อีกอย่างเรื่องภายในราชสำนักเหตุใดบุตรีขุนนางเช่นเจ้าจึงให้ความสนใจนัก”“นางมิได้สนใจเรื่องในราชสำนักอะไรนั่นหรอก ท่านคิดดี ๆ หน่อย ที่นางสนใจเรื่องของท่านต่างหาก จงใจมาพูดเรื่องนี้ก็เพื่อให้ท่านสั่งประหารข้าฐานหลอกลวงเบื้องสูง ที่แท้ก็แค่อยากจำกัดข้าแต่ไม่กล้าทำเอง ขี้ขลาดยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก”ท่านอ
เฟิ่งเซียวตกใจจนพัดหลุดออกจากมือ โชคดีที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเขาจึงรีบหยิบขึ้นมา สีหน้าของโม่ชิงเซียนที่โกรธจัดจนเดินเข้ามาเพื่อหวังทำร้ายอวิ๋นซีก็ถูกท่านอ๋องป้องกันเอาไว้“ท่านอ๋อง!”“เจ้ามีสิทธิ์อันใดเข้ามาถึงห้องนี้โดยมิได้รับอนุญาต อยากให้ข้าสั่งลงโทษเจ้างั้นหรือ อย่าคิดว่ามีบิดาเป็นเสนาบดีเก่าแก่ของราชสำนัก แล้วเจ้าจะทำเหิมเกริมต่อหน้าข้าได้นะ”“หม่อมฉัน… มิบังอาจเพคะ”“เจ้าบังอาจ! บังอาจเข้ามาในเขตพระราชฐานทั้ง ๆ ที่ไม่มีคำสั่ง บังอาจเข้ามาถึงห้องทำงานของข้า และยังบังอาจที่สุดที่คิดจะทำร้ายคนของข้า ต่อหน้าข้า ทหาร!”“ช้าก่อนเพคะท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้มีเจตนาไม่ดีเพียงแต่วันนี้ติดตามท่านพ่อเข้าวังจึงมาเข้าเฝ้า อีกอย่างจะทรงตรัสเช่นนั้นหาได้ไม่ เพราะพระองค์เป็นคนอนุญาตในเทียบที่หม่อมฉันส่งมาครั้งก่อนด้วยพระองค์เอง”อวิ๋นซีหันมามองหน้าท่านอ๋องที่กลอกตาไปมา นี่เขาคงพลาดอะไรไปสินะถึงได้ไม่ทันอ่านฎีกาทั้งหมดนั่น เพราะวันที่เขากับอวิ๋นซีต่อสู้กันจนห้องทรงงานพังไปรอบหนึ่ง เขาก็เป็นคนแจ้งกับเสี่ยวอวี้เองว่าอนุญาตฎีกาทั้งหมด ซึ่งไม่คิดว่าหนึ่งในนั้นจะมีคำขอเข้าเฝ้าของโม่ชิงเซียนด้วย“เช่นน
อวิ๋นซีก้มหน้าและยิ้มออกมา ท่านอ๋องคว้าร่างบางเข้าไปและจับนางเชยคางขึ้นเพื่อรับจุมพิตวาบหวามอีกครั้ง อวิ๋นซีแทบจะล่องลอยไปกับรสสัมผัสที่เขาปรนเปรอให้ไม่รู้จบ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่พึ่งผ่านสงครามรักที่ดุเดือดมาเกือบครึ่งวัน“พอเถิดเพคะ หายใจไม่ออกแล้ว”“กลับไปพักผ่อนก่อน ข้าจะไปหาน้องเก้าจัดการเรื่องที่เหลือให้เจ้า”“ขอบพระทัยเพคะ”“ไม่เป็นไร เพราะเจ้าต้องจ่ายค่าสืบเรื่องนี้ให้ข้าแพงแน่นอน”“แต่ท่านบอกว่าเงื่อนไขของพวกเรา…อ๊ะ!”ท่านอ๋องดึงนางเข้ามากอดอีกครั้ง เขาใช้สันจมูกก้มลงคลอเคลียปลายจมูกเชิดเล็กของนางราวกับหยอกล้อ“นั่นมันก่อนที่พวกเราจะทำเรื่องเช่นนี้ ตอนนี้ต่อให้ต้องผูกขาเจ้าเอาไว้ข้าก็จะทำ กลับไปรอที่ตำหนักแล้วอย่าลืมรอกินข้าวกับข้าด้วย”“เผด็จการ”“เจ้าเป็นคนบังคับให้ข้าเป็นเช่นนี้เองนะซีเอ๋อร์ โทษข้าไม่ได้รีบไปก่อนที่จะทนไม่ไหวและไม่ปล่อยเจ้าออกจากหอตำรา”“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”อวิ๋นซีรีบดันตัวเขาออกและวิ่งลงมาจากชั้นสองด้วยความรวดเร็ว หากนางขืนยังชักช้ากว่านี้ เกรงว่าจะมิได้เดินออกจากหอตำราแห่งนี้ก่อนตะวันตกดินเป็นแน่ เพราะสายตาและเสียงกระซิบแผ่วเบานั่นไม่ได้มีวี่แววว่าจ
อวิ๋นซีเองก็มิได้อยากจะทนแล้วเช่นกัน นางเองก็อยากปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อม ๆ กับเขา “กอดข้าเถิดเพคะ”“คนดีของข้า เช่นนั้นข้าจะถอดผ้านี้ออก จากนี้เจ้าจะได้ไม่ลืมว่าข้า “รัก” เจ้ามากเพียงใด"ท่านอ๋องดึงผ้าผูกตาของนางออกและดึงนางขึ้นมาจูบ อวิ๋นซีตะลึงกับรูปร่างของบุรุษหนุ่มที่เปลือยเปล่าตรงหน้า แม้ว่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าท่านอ๋องช่างรูปงามเสียยิ่งนัก “อือ… ไม่ไหวแล้ว อ๊ะ!”“หากว่าเจ้าเจ็บก็บอกข้า แต่ข้าจะไม่หยุดให้หรอกนะ เพียงแค่จะค่อย ๆ พาเจ้าเดินไปจนสุดทางเท่านั้น”“ผู้ใดจะไม่ไหวก่อนกันยังไม่รู้เลย อย่าพึ่งมั่นใจในตัวเองนักสิเพคะ”“เจ้ามันร้ายกาจกว่าที่ข้าคิดเอาไว้”จุมพิตหวานถูกป้อนไปนับไม่ถ้วน ท่านอ๋องค่อย ๆ กรีดกรายและขยับเรียวขาเล็กของนางออกเพื่อเปิดทางให้ตัวตนของเขาได้เข้าไป เพียงหัวของมังกรยักษ์ที่ค่อย ๆ สอดใส่เข้าไป อวิ๋นซีก็รีบจิกเล็บลงที่ลำแขนล่ำของเขาทันทีเพราะความคับแน่นและอึดอัดกำลังเล่นงานนาง แต่อวิ๋นซีกลับไม่ร้องเลยสักคำ“ซีเอ๋อร์ ยังไหวอยู่หรือไม่ อาา…แน่นมากเลยให้ตายเถอะ”“ไม่เป็นไรเพคะ อื้อ…ท่านอ๋อง!”เพียงแค่นางเรียกร้อง เขาจึงตัดสินใจกระแทกซ้ำเข้าไปในค
“แล้วเหตุใดพระสนมที่อยู่ในวัง ถึงอยากจะสังหารอาจารย์ของเจ้าเล่า นี่มันไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ”“เรื่องนั้นย่อมมีเหตุผล หากว่าได้ข้อมูลของคนทั้งสี่นี้มาแล้ว ข้าจะต้องไปจากที่นี่”“อะไรนะ! แต่เจ้ารับปากแล้วว่าจะไม่ไปนี่ เหตุใดกลับคำพูดอีกแล้วเล่า”“มิได้หมายถึงตอนนี้ ข้ายังไม่ได้ข้อมูลจากท่านเลย ว่าแต่ใช้เวลาอีกนานหรือไม่กว่าหอหรงเยว่ของพวกท่านจะสืบเรื่องนี้ให้ข้าได้”“นั่น… ข้าต้องถามน้องเก้าอีกที แต่ว่าซีเอ๋อร์เจ้าจะไปคนเดียวจริงหรือ มิสู้ให้ข้า...”“ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องของข้า”“แต่พวกนางเป็นถึงพระสนมในวัง อีกอย่างก็เป็นคนต่างแคว้น แค่เจ้าก้าวขาเข้าไปยังเขตแคว้นจ้าวก็คงจะโดนจับเสียก่อน เอาไว้เสร็จจากการแข่งขันผู้กล้าของหลิงโจวแล้วค่อยคุยกันอีกที"“แต่ว่า”“ไม่มีแต่ทั้งนั้น ในเมื่อข้าพูดไปแล้วว่าเจ้าเป็นคนของข้า เช่นนั้นเจ้าไปที่ใดข้าก็จะไปกับเจ้าด้วย ซีเอ๋อร์หรือว่าเจ้ายังไม่ไว้ใจข้าว่าสามารถช่วยเจ้าแก้แค้นให้อาจารย์ได้”อวิ๋นซีมิอาจจะพูดสิ่งใดได้ ท่านอ๋องเดินและดึงตัวนางเข้าไป สวมกอดเอาไว้ อ้อมกอดที่อบอุ่นนี้ทำให้นางหวั่นไหวเข้าแล้วจริง ๆ นางพลาดที่เดินเข้ามาในวังหลวงของหลิงโจว
เมื่อประตูปิดลง หัวใจของอวิ๋นซีก็ราวกับจะโบยบินตามท่านอ๋องออกไปพร้อมกับเสียงประตู นางเลือกที่จะปิดประตูหัวใจนี้ตั้งแต่แรกเพียงเพราะความกลัว เมื่อหันมามองเรื่องที่เขียนในรายงานก็ยิ่งทำให้ความแค้นนี้โถมกระหน่ำทับลงมาอีกรอบ“อาจารย์ไป๋ลู่ตงเดินทางไปเป่ยหลาน ครั้งสุดท้ายที่มีผู้คนพบเห็นเขาคือหลังสงครามสามแคว้นระหว่างแคว้นจ้าว เป่ยหนานและเฉินซาน ซึ่งเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์ หลังศึกครั้งนั้น อาจารย์ภูตเข็มพิสดารได้เดินทางออกจากเป่ยหลาน แต่กลับหายไประหว่างเดินทางมาที่เฉินซาน ผู้ที่พบคนสุดท้าย “จิ่วรั่วเฟย” พระสนมของจักรพรรดิแคว้นจ้าว “กงซุนจิ้นกั๋ว” ซึ่งสิ้นชีพในสนามรบในครั้งนั้นด้วยฝีมือของแม่ทัพของเป่ยหนานนามว่า “จิ่วโม่หราน””น้ำตาของอวิ๋นซีเริ่มรินไหลลงมาบนรายชื่อหนึ่งในนั้น พร้อมกับลูบพลางพยายามกลั้นน้ำตามิให้ไหลออกมา“อาจารย์ หากท่านตายด้วยฝีมือของคนเหล่านั้นจริง ๆ ข้าจะไม่มีวันให้อภัยพวกมันเลยแม้แต่คนเดียว!”วันถัดมาห้องทรงงานที่เละเทะไม่สามารถทำสิ่งใดได้ นอกจากเก็บของที่หักและพังออกมาทิ้ง เสี่ยวอวี้และสาวใช้อีกเกือบสิบคนใช้เวลาครึ่งเช้าเพื่อจะจัดเก็บของในห้องออกมาจนหมด “ท่านองครักษ์
หลิ่วอวิ๋นซีวิ่งออกไปจากห้องทรงงาน และกลับไปที่ห้องของตัวเอง เมื่อเข้าไปถึงก็รีบดึงของออกมาเพื่อเก็บใส่ห่อทันที“เฉินตงหราน ไม่คิดว่าจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าไม่อยู่แล้วคนสารเลว!”“คุณหนูเกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ เปิดประตูให้พวกข้าเข้าไปได้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนู”นางรู้ดีว่าอาลี่และอาเวินแม้ว่าจะดูแลนาง และพูดคุยกันได้อย่างสนิทสนม แต่พวกนางก็เป็นคนของท่านอ๋อง ซึ่งครั้งนี้ก็คงจะเป็นท่านอ๋องที่สั่งให้มาเฝ้านาง“ข้าไม่เป็นไร อาลี่ข้าอยากแช่น้ำอุ่นสักหน่อย รบกวนพวกเจ้าไปเตรียมให้ข้าได้หรือไม่”“คุณหนู เสียงท่านไม่ค่อยสู้ดีเลย ให้ข้า…”“ไม่ต้องหรอกข้าแค่เหนื่อยเท่านั้น รีบไปเถอะ"“เจ้าค่ะ”เสียงของสาวใช้ทั้งสองเงียบไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้รีบเก็บของรวบรวมใส่ห่อผ้าเอาไว้ เมื่อเก็บและผูกมัดเรียบร้อยก็เริ่มมองหาที่ เพื่อจะออกไปจากตำหนักและวังหลวงแห่งนี้“กล้ารังแกข้าเช่นนี้ ข้าไม่เป็นมันแล้วไม่ว่าจะสาวใช้ หรือองครักษ์ส่วนตัวบ้าบออะไรนั่น”อวิ๋นซีเดินมายังเรือนหลังซึ่งนางเคยพักมาก่อนจะย้ายไปที่ตำหนักท่านอ๋อง นางปีนขึ้นไปบนกำแพงและกำลังจะกระโดดข้ามลงไป เมื่อกระโดดลงมาไม่คิดว่าจะมีคนที่รอรับนางอยู่ข้างล่างได้พอดี
อวิ๋นซีค่อนข้างตกใจ แปลกใจและสงสัยยิ่งนัก เดิมทีนางก็ไม่ได้จะมีหน้าที่เช่นนี้ แต่เหตุใดวันนี้ท่านอ๋องจึงได้จงใจสั่งการนางเหมือนกับสาวใช้จริง ๆ เข้าไปทุกที แต่นางก็ยอมที่จะรินน้ำชาและยกของว่างไปวางให้เขาที่โต๊ะ ซึ่งตามปกติแทบจะไม่เคยมาที่ตรงนี้เลย“ฝนหมึกสิ”‘เจ้าอ๋องอารมณ์แปรปรวนผู้นี้น่าตบกบาลยิ่งนัก หากไม่คิดว่าจะต้องใช้ท่านสืบข่าว ข้าคงฆ่าท่านไปนานแล้ว’“นิ่งอยู่ทำไม อย่าบอกนะว่าแม้แต่ฝนหมึกเจ้าก็ยังทำไม่เป็น”“ข้าทำเป็นเพียงแต่ท่านเคยบอกว่า ไม่ต้องทำเรื่องเหล่านี้มิใช่หรือ”“ไม่เคยทำก็ใช่ว่าจะแล้งน้ำใจจนทำไม่ได้นี่ ไม่เห็นหรือว่าที่นี่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดให้เรียกใช้สอยได้เลย”“ข้ออ้างชัด ๆ”“ข้าได้ยินนะอวิ๋นซี”“เพคะ หม่อมฉันแล้งน้ำใจเอง”นางเดินมาข้าง ๆ และเริ่มฝนน้ำหมึกให้เขา ท่านอ๋องเพียงแค่มีนางอยู่ใกล้ ๆ ก็แอบลอบยิ้มด้วยความพอพระทัย และหันไปสนใจกับรายงานต่อไป“คือว่า ข้ามีเรื่องอยากถามท่าน”“ว่ามาสิ”“หลันอ๋องตรัสว่าอีกสิบวันจะมีงานแข่งขันผู้กล้าแห่งหลิงโจว… ข้าอยากจะ...”“ทำไม หรือเจ้าเองก็นึกอยากจะเข้าร่วมการแข่งขันนี้ด้วย”“ใช่แล้วเพคะ มันน่าตื่นเต้นดีออก ข้ากับองค์ชายจวินอู๋ไ
วันถัดมาอวิ๋นซีเดินออกมาจากลานฝึกหลังจากที่ฝึกดาบเสร็จแล้ว เมื่อนางเดินมาถึงหน้าตำหนัก ก็พบกับองค์ชายเจ็ดแห่งม่อถานที่กำลังเดินเล่นในสวน“แม่นางหลิ่ว”อวิ๋นซีหันกลับไปและเกือบจะลื่นล้ม เพราะเขาเดินเข้ามาใกล้นางเกินไป ต้วนจวินอู๋จึงดึงนางเอาไว้ได้ทัน“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันไม่ทันระวัง”“ไม่เป็นไร ๆ เป็นข้าเองที่เรียกเจ้ากะทันหัน เจ้าไม่บาดเจ็บตรงไหนใช่หรือไม่”“ไม่เป็นอะไร พระองค์จะไปเข้าเฝ้าท่านอ๋องหรือเพคะ”“เข้าเฝ้าหรือ หากจะพูดตามจริงคือข้าอยากคุยกับเจ้าน่ะ”“คุยกับหม่อมฉันหรือเพคะ”“ใช่แล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เจ้าใช้จอกชาสกัดอาวุธของน้องเก้าเอาไว้ และฝีมือการประลองยุทธ์ของเจ้าเมื่อวานนี้ ทำให้ข้านึกเลื่อมใสว่าแต่เจ้าพอจะมีเวลาสักประเดี๋ยวหรือไม่”“ใช่ว่าจะมิได้ เช่นนั้นเชิญองค์ชาย”“เชิญ”ทั้งสองเดินไปคุยกันที่สวนด้านหน้าตำหนักขององค์ชายเจ็ด ท่านอ๋องที่พึ่งกลับมาจากประชุมราชสำนัก กับท่านอ๋องทั้งสามทันได้เห็นทั้งสองนั่งคุยกันที่สวนด้านนอก เฉินรั่วเฟิงหันไปมองก่อนจะกล่าวออกมา“โอ้โหองค์ชายต่างแคว้นผู้นี้ ดูท่าจะทำหน้าที่เชื่อมสัมพันธ์แทนน้องสาวแล้วกระมัง หลังจากที่น้องสาวก่อเรื่องเอาไ