“เจ้า!”คำพูดของเขาแทงลึกเข้าไปในหัวใจที่เจ็บปวดของหลิงเชียนอี้ใช่เขาเป็นเด็กที่ไม่รู้ความ ปกป้องอวิ๋นอิงได้ไม่ดี ให้ทุกสิ่งที่นางต้องการไม่ได้ แต่เขากำลังพยายามมากอยู่ทุกวันเฟิงเจิ้งหลีแสยะยิ้มผลักหลิงเชียนอี้ออก หันหน้ามองไปทางฉู่เชียนหลีแสยะยิ้มประหลาดหลังจากมองแวบหนึ่ง ก็สะบัดแขนเดินออกไป“ท่านน้าสะใภ้...”หลิงเชียนอี้เก็บจดหมายที่เป็นก้อนกลมบนพื้นขึ้นมา อ่านเนื้อหาด้านใน สีหน้าซีดขาวการรบครั้งแรก อ๋องเฉินพ่ายแพ้นับตั้งแต่ที่ตนจำความได้ ท่านน้าได้รับชัยชนะมาโดยตลอด ไม่เคยรบแพ้ นี่ไม่ใช่เค้าลางที่ดี แต่เป็นเพราะการเข้าร่วมของอ๋องหลี จึงทำให้เรื่องราวกับกลายเป็นซับซ้อนเขารีบลุกขึ้นยืน“ข้าไม่สนใจว่าเฟิงเจิ้งหลีออกมาจากจวนเฟิงเหรินได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อว่าเสด็จปู่จะเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของท่านน้า ข้าจะเข้าวังไปหาเขาเดี๋ยวนี้”ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็สาวเท้าวิ่งออกไปทันที“ท่านโหวน้อย...”ไม่รอให้ตะโกนเรียกไปมากกว่านี้ เขาก็ได้วิ่งหนีไปแล้วฉู่เชียนหลีเท้าโต๊ะทำงาน แล้วนั่งกลับลงไปด้วยความเหนื่อยล้า นวดคลึงหว่างคิ้วด้วยความอ่อนเพลีย สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจและ
ฝ่าบาทสีหน้าเย็นชา ตบโต๊ะ บรรยากาศความน่าเกรงขามบนร่างกายปรากฏขึ้นดวงตามองตรงไปยังหลิงเชียนอี้อย่างเคร่งขรึม กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ“เต๋อฝู ส่งตัวท่านโหวน้อยออกไป !”หลิงเชียนอี้สะอึกในลำคอ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างอุดตันอยู่ ตอนที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ถูกเต๋อฝูลากตัวออกไปอย่างลนลานเฮ้อ!พูดให้มันน้อยหน่อยเถอะถ้าหากฝ่าบาททรงกริ้วขึ้นมา คงจะห้ามไม่อยู่สุดท้าย หลิงเชียนอี้ก็ต้องออกไปอย่างไม่พอใจ และไม่เต็มใจ ออกจากวังหลวง ด้วยสีหน้าไม่พอใจ ดูไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ยังโมโหไม่น้อยอีกด้วยฝ่าบาทกับอ๋องหลีจะต้องมีความลับกันแน่ ๆ!เฟิงเจิ้งหลีคนนี้ พูดอะไรกับฝ่าบาทกันแน่ ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทจะทรงถือหางเขาเช่นนี้!เฟิงเจิ้งหลีมีแผนร้ายอะไรกันแน่?เขาขมวดคิ้วแน่น เตรียมที่จะกลับไปให้โหวติ้งกว๋อกับองค์หญิงใหญ่ช่วยเหลือ ตอนที่เดินไปถึงที่แห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีคนเรียกเอาไว้“หลิงเชียนอี้”“หืม?”หันหน้ากลับไปด้วยจิตสำนึกบริเวณทางแยกของถนนสองสาย หญิงสาวอายุน้อยรูปร่างอรชรคนหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาหา นั่นก็คือกู้ชิงชิงบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลกู้หลิงเชียนอี้ขมวดคิ้ว“ทำไมถึงเป็นเจ้
ช่วงสองวันมานี้ จวนอ๋องเฉินเงียบสงบเฟิงเจิ้งหลีกลับมาจากประชุมขุนนาง นั่งลงที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ ยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน นวดข้อมือ รับชาที่อูหนูยื่นมาให้ จิบหนึ่งอึก“เฟิงเย่เสวียนจะตาย?”อูหนูถามชาเข้าใกล้ริมฝีปาก ก็หยุดชะงักลง“ไม่มีทาง” เขาวางถ้วยชาลง “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบอ๋องเฉิน และจุดประสงค์ที่พวกเราร่วมมือกัน ก็คือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ เจ้าได้อ๋องเฉิน ข้าได้ฉู่เชียนหลี”เห็นได้ชัดว่าอูหนูพอใจกับคำตอบนี้มาก ได้รับคำยืนยันจากอ๋องหลี ก็ยิ่งเต็มใจทำงานให้เพื่อเขามากขึ้นกว่าเดิม“แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยเชื่อฟัง”เขาเหลือบตาขึ้น หันไปมองอูหนูด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม“ข้าจะทำให้เขาพิการก่อน ค่อยมอบให้เจ้า ถึงตอนนั้น เขาทำได้เพียงยอมให้เจ้าจัดการ เป็นอย่างไร?”อูหนูเลิกคิ้วขอเพียงแค่ได้อ๋องเฉินก็พอ ไม่สนว่าเขาจะพิการหรือไม่ ดีหรือไม่ดี ขอเพียงแค่ไม่ตายก็พอทันทีที่นึกถึงภาพที่อ๋องเฉินเชื่อฟังนาง นางก็รู้สึกสบายใจมาก“ลำบากอ๋องหลีแล้ว”“ไม่ต้องเกรงใจ” เฟิงเจิ้งหลียิ้ม “สองวันมานี้ เหตุใดจึงไม่ได้รับข่าวความเคลื่อนไหวจากทางจวนอ๋องเฉินเลย?”เมื่อเอ่ยถึง
จวนอ๋องเฉินเมื่อฉู่เชียนหลีกลับถึงจวน สั่งให้จิ่งอี้รับผิดชอบดูแลเรื่องของทางนั้น ร่างกายนางหนัก ทำงานได้ไม่นานก็ต้องพักผ่อน แต่ว่าอารมณ์ของนางในเวลานี้แตกต่างจากเมื่อสองวันก่อนโดยสิ้นเชิงแม้แต่กินข้าวก็อร่อยขึ้นไม่น้อยบนโต๊ะอาหารถงเฟยยังกังวลอยู่ฉู่เชียนหลีคีบผักให้นาง “เสด็จแม่ เลิกคิดมากได้แล้ว เฟิงเย่เสวียนจะกลับมาแน่นอน ไม่เกินหนึ่งเดือน เขาจะกลับมา”ถงเฟยกินอาหารไม่รู้รส สีหน้าซีดเซียว“เขาแพ้สงคราม และไม่รู้ว่าตอนนี้กินอิ่มหรือไม่ บาดเจ็บหรือไม่…”“เสด็จแม่ ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่?”“ข้า…”ถงเฟยมองสายตาที่จริงจังและหนักแน่นของฉู่เชียนหลี คำพูดที่เป็นกังวลมาถึงปลายลิ้นก็หยุดเอาไว้นางรู้ว่าฉู่เชียนหลีจะพยายามคิดหาวิธีช่วยเฟิงเย่เสวียนทุกวิถีทางนางรู้ว่าฉู่เชียนหลีจะไม่นั่งรอความตายเวลานี้ นางแค่เจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเฟิงเย่เสวียนมีอันตราย กลับไม่สามารถให้ความช่วยเหลือที่มีประโยชน์“เสียวฉู่ เจ้าใกล้จะถึงวันคลอดแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าพยายามและฝืน สุขภาพสำคัญที่สุด ถ้าหากต้องการอะไร บอกข้าได้เลย ข้าก็อยากช่วยแบ่งเบาเท่าที่จะทำได้”“ข้าทราบ
แววตาฉู่เชียนหลีขรึมลง“ใช่แล้ว” เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้ามาใกล้ขึ้นสองสามก้าว “สิ่งที่เจ้าทำ…อืม…เจ้าของที่เรียกว่าระเบิดนี่ ใช้ดีมาก”เขาแบฝ่ามือออกบนฝ่ามือ มีหนึ่งลูก“คิดไม่ถึงว่าเอากำมะถัน ถ่าน ดินประสิว ของที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้มาผสมกัน ก็สามารถทำของเล่นที่ร้ายกาจเช่นนี้ ข้าเรียนรู้แล้ว ลำบากเสียวฉู่แล้ว”“เจ้า!”ม่านตาฉู่เชียนหลีหดเล็กน้อยความหมายของเขาคือ…นางพุ่งพรวดออกไป “เฟิงเจิ้งหลี!”เขาเจ้าเล่ห์นัก!“เสียวฉู่ ร่างกายเจ้าหนัก อย่าใจร้อนนักสิ” เขาจับแขนของนาง พลางคว้าไว้แน่น ทำให้นางไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือ และขยับตัวไม่ได้เขายิ้มอย่างชั่วร้าย“เจ้าว่าหากข้ามอบระเบิดเช่นนี้ให้กับซยงหนูในปริมาณมาก เฟิงเย่เสวียนจะแพ้อย่างย่อยยับหรือไม่?”“เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร? เจ้ารู้ตำแหน่งของที่นี่ได้อย่างไร? เฟิงเจิ้งหลี ทั้งๆ ที่ข้าหลบสายตาคนของเจ้าแล้ว และข้างกายข้าก็มีแต่คนสนิทที่ไว้ใจได้ ตกลงเจ้าทำได้อย่างไรกันแน่!”นางถามด้วยความโกรธอาจเพราะอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป จึงกระทบต่อท้อง ทำให้ท้องของนางปวดกระตุกอย่างคลุมเครือ“ข้าเคยบอกแล้ว ให้เจ้าใจเย็นๆ ไม่เช่นนั้นคนที่เสีย
ถ้าหากเฟิงเย่เสวียนเป็นอะไรไป นางก็ไม่ขออยู่บนโลกใบนี้แล้วฉู่เชียนหลีหายใจเร็วเกินไป สมองขาดออกซิเจนจนหายใจไม่ทัน นางวูบไปสองวินาที ภาพตรงหน้าดับลงครู่หนึ่ง เกือบจะล้มลงพื้น“คุณหนู!”“พระชายา!”จิ่งอี้พุ่งเข้าไปอย่างฉับไว ตอนที่ประคองนาง ฝ่ามือของเขาบังเอิญไปชนโดนฝ่ามือเยว่เอ๋อร์พริบตานั้น เยว่เอ๋อร์เหมือนถูกไฟช็อต ร่างกายสั่นสะท้าน รีบดึงมือกลับทันที นางก้มหน้า แก้มกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว…ตอนที่จิ่งอี้มองนางจู่ๆ มีอะไรบางอย่างแลบเข้ามาในสมอง…ทันใดนั้น เขาเอ่ยปาก“คุณหนู ฐานที่ชานเมืองของพวกเราถูกเก็บเป็นความลับ ข้าสงสัยว่ามีคนปล่อยข่าวให้อ๋องหลี อ๋องหลีจึงหันมาตลบหลังพวกเรา”“เหมือนกับตอนที่อยู่ในหุบเขา ตำแหน่งของหุบเขาถูกเก็บเป็นความลับ อ๋องหลีกลับหาเจอ ก็เป็นคนคนนี้เช่นกันที่ปล่อยข่าวให้อ๋องหลี”เมื่อทุกคนได้ยิน แต่ละคนยืดหลังตรง ตื่นตัวขึ้นมาทันทีใช่!เหตุใดก่อนหน้านี้พวกเขาจึงคิดไม่ถึงนะ?มีหนอนบ่อนไส้แน่นอน!“คุณหนู คุณชายจิ่งพูดมีเหตุผล ในกลุ่มของพวกเราต้องมีคนของอ๋องหลีแน่นอน อ๋องหลีถึงได้รู้การเคลื่อนไหวของพวกเราอย่างละเอียด!” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งขอ
ไม่อยากสงสัยใครทั้งนั้นหรือสายลับที่อ๋องหลีวางไว้เป็นคนอื่นกระมัง…มองดูระเบิดที่เตรียมไว้กลายเป็นซากปรักหักพังที่ไหม้เกรียมอีกด้านหนึ่ง นางรู้สึกเพียงเวียนศีรษะ ร่างกายเหนื่อยล้า อยากล้มกายลงไป นอนโดยไม่ต้องคิดอะไรสักงีบไม่อยากคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น นอนจนตราบสิ้นฟ้าดินสลาย นอนจนอิ่มอกอิ่มใจฉู่เชียนหลีหลุบตาที่มืดสลัวลง“กลับเถอะ”ค่อยๆ ยกเท้าที่แข็งขึ้น หมุนกายทีหนึ่ง แผ่นหลังที่บอบบางนั้นดูแล้วเปล่าเปลี่ยวมาก ทำให้รู้สึกปวดใจนัก“คุณหนู…”จิ่งอี้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะหายใจไม่ได้ปกป้องนางให้ดี เขาโทษตัวเองพลันเขาก้าวเข้าไปอย่างฉับไว อุ้มนางขึ้น แล้ววางลงบนรถม้าอย่างระมัดระวังในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่ขึ้นรถม้า เขาหันหลังให้ทุกคน ใช้เสียงที่สามารถได้ยินแค่ระหว่างพวกเขาสองคน กล่าวอย่างลังเล“คุณหนู ข้ามีคำพูดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่”ไม่พูด เขาเคลือบแคลงพูดแล้ว ก็กลัวนางคิดมากฉู่เชียนหลีฝืนหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง“เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีก? พูดเถอะ ไม่ว่าแย่แค่ไหน ข้าก็รับไหว”จิ่งอี้หลุบตา ใช้หางตากวาดมองด้านหลังอย่างเงียบๆ
ฉู่เชียนหลีเม้มมุมปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เช่นเดียวกับไม่รู้ว่าอะไรที่สามารถพูดได้ นางทำเพียงแค่หลุบตา ลูบท้องที่ค่อนข้างใหญ่ จิตใจหดหู่มากใช่แล้วเฟิงเจิ้งหลีเกลียดเฟิงเย่เสวียน แทบอยากจะบีบคั้นเขาให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ครั้งนี้ เขาไม่มีทางออมมือกับเฟิงเย่เสวียนแน่แต่นางกับไม่สามารถอยู่เคียงข้างเฟิงเย่เสวียนจู่ๆ ลูกในท้องก็เหมือนกับรู้สึกถึงความคิดของนาง ถีบท้องของนางทีหนึ่ง“อืม…”นางขมวดคิ้วถงเฟยเห็นดังนี้ รีบเช็ดน้ำตา เดินเข้าไปหานางทันที “เสียวฉู่ เป็นอะไร? รู้สึกไม่สบายท้องหรือ? จะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความประหม่าเช่นกันฉู่เชียนหลีลองสัมผัสดู มันเจ็บแค่ทีเดียวก็ไม่เจ็บแล้วอาจเพราะนางอารมณ์ไม่ดี ความคิดของนางกับลูกเชื่อมโยงการกระมังนางเม้มปาก ส่ายศีรษะ“น่าจะยังเหลืออีกหลายวัน”“เฮ้อ…” ถงเฟยนั่งลง จับมือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีไว้แน่น ชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดีที่ไม่สบายใจคือเป็นห่วงเฟิงเย่เสวียนที่ดีใจคือนางกำลังจะได้อุ้มหลานแล้วเพียงแต่น่าเสียดาย เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่“เสียวฉู่ เจ้าอย่าคิดมาก คลอดล
เมื่อพรรคของอ๋องหลีได้ยินเช่นนี้ ก็กลัวทันทีดูท่าทีของพระชายาอ๋องเฉิน นี่กำลังจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ในวังชัดๆ!ฆ่าคนติดต่อกันสองคน ไม่กระพริบตาแม้แต่ทีเดียวเลือดกระเซ็นโดนใบหน้า ก็เย็นเฉียบท่าทางที่ชั่วร้ายเหมือนปีศาจนั่น ทำให้ขุนนางหลายคนเกิดความกลัว ลองถามคนทั่วหล้า จะมีสักกี่คนที่ไม่กลัว? อยู่ต่อหน้าความเป็นความตาย ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวพวกเขาไม่อยากตายขุนนางคนหนึ่งกลัวจนพูดติดอ่าง“อ๋อง อ๋องหลี…อย่างไรเด็กที่อยู่ในมือท่านก็เป็นพระนัดดาองค์โต เป็นสายเลือดของราชวงศ์ ถ้าหากฆ่าเขา ในวันข้างหน้า มลทินของท่านจะถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ เกรงว่าจะถูกคนรุ่นหลังด่าทอต่อๆ กันเป็นหมื่นปี”ขุนนางอีกคนก็กล่าวเสียงสั่น“อ๋องเฉินโปรดพิจารณา…”ถ้าหากสู้กันจริงๆ พวกเขาสู้ไม่ไหวอ๋องเฉินมีฮ่องเต้หนุนหลัง มีกองทัพ มีกำลังทหาร อ๋องเฉินเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกด้านในมืออ๋องหลี นอกจากพระนัดดาองค์โต ก็ไม่มีเบี้ยอย่างอื่นแล้ว อีกทั้ง ทหารรักษาพระองค์ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ทหารองครักษ์เงาของอ๋องเฉินเมื่อไรที่สู้กัน พวกเขาจะตายกันหมดไม่จำเป็นต้องตายไปครั้งหนึ่ง บางครั้ง เมื่อเห็นว่าพอแล้วก
เฟิงเย่เสวียนแค่ขมวดคิ้วทีหนึ่ง ก็ข่มความเจ็บปวดนี้ลงไปผู้บัญชาการจางฟาดอย่างดุร้ายลองคิดดูเขาที่เป็นขุนนางคนหนึ่ง สามารถใช้แส้ฟาดองค์ชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด นี่เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจเพียงใด พูดคำนี้ออกไป เขาสามารถอวดสามสิบปียิ่งฟาดยิ่งรู้สึกสนุก ยิ่งฟาดยิ่งแรงเพี๊ยะ!เพี๊ยะๆๆ!ทุกคนร้อนใจจนกระทืบเท้า แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป อ๋องหลีบ้าไปแล้ว เขาไม่ใช่อ๋องหลีที่เข้าถึงได้ง่ายอีกแล้ว!ฉู่เชียนหลีเพิ่งคิดจะกระโจนเข้าไป ก็ถูกอ๋องหลีสั่งให้คนคุมตัวไปยืนอยู่ข้างๆ บังคับให้นางมองดูต่อหน้าต่อตา“ฉู่เชียนหลี ข้าเคยบอกแล้ว เจ้าจะต้องเสียใจ คนไร้ประโยชน์อย่างเฟิงเย่เสวียน แม้แต่ลูกชายก็ปกป้องไม่ได้ มีประโยชน์อะไร”แววตาเฟิงเจิ้งหลีเปล่งแสงที่บ้าคลั่ง“เขาเป็นแค่คนไร้ประโยชน์ ฝ่าบาทจะให้ความสำคัญกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ได้อย่างไร? ฉู่เชียนหลี เจ้าว่าเจ้าตาบอดใช่หรือไม่? เจ้าดูสภาพที่สะบักสะบอมของเขาตอนนี้ เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เจ้าก็ยังชอบเขา เช่นนั้นเจ้าก็เป็นสุนัขตัวเมียที่แพศยา”เขายิ้มอย่างชั่วร้าย สิ่งที่พูดออกมายิ่งไม่น่าฟังทุกคนตาแดง อยากพุ่งเข้าไปสับอ๋องหลีเป็นชิ้นๆ เสีย
ผู้ชายที่ร่างกายสูงใหญ่งอหัวเข่า คุกเข่าอยู่ตรงหน้าอ๋องหลีอย่างตั้งตรง แม้อยู่ต่ำกว่า แต่ความสูงศักดิ์ที่แผ่ซ่านออกมาจากกระดูก ไม่ลดน้อยลงเลยสักนิดตลอดหลายปีที่ผ่านมา นอกจากคุกเข่าให้ฮ่องเต้และบรรพชน พวกเขาไม่เคยเห็นอ๋องเฉินคุกเข่าให้ใครเฟิงเจิ้งหลีเห็นดังนี้ แหงนหน้าหัวเราะ“ฮ่าๆๆ!”คิดไม่ถึงจริงๆ เขาจะมีวันนี้ด้วยลูกชายที่ฮ่องเต้โปรดปรานที่สุด แพ้ให้กับลูกชายที่ไม่โปรดปรานที่สุด ไม่สะดุดตาที่สุด และยังถูกทุกคนรังแก ความรู้สึกที่อยู่เหนือกว่าเช่นนี้ ทำให้ในใจเขาสาแก่ใจจริงๆ“ฮ่าๆๆๆ เฟิงเย่เสวียน เจ้าก็มีวันนี้ด้วย!”หัวเราะเสร็จ เขารู้สึกว่าความเย่อหยิ่งของอ๋องเฉินมันขัดตาทั้งๆ ที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนต้องคุกเข่า เหตุใดยังอวดดีหยิ่งผยองเช่นนี้?เขาออกคำสั่ง “ก้มหัวเจ้าลงไป”เฟิงเย่เสวียนเม้มปาก ก้มศีรษะลงเขาออกคำสั่งอีกครั้ง “โขกศีรษะ!”“อ๋องหลี ท่านอย่ารังแกให้มันมากนัก! ท่านกับท่านอ๋องของเราเป็นคนรุ่นเดียวกัน ท่านรับการโขกหัวจากเขาไม่ได้! ไม่กลัวบรรพชนรู้แล้ว อายุสั้นหรือ!” พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความโกรธเพิ่งกล่าวจบ ก็ถูกผู้บัญชาการจางถีบจนล้มลงพื้นหลังจากล้มลง ก
“ปล่อยคนของเจ้าแล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว คืนลูกให้ข้า” ฉู่เชียนหลีจ้องเขาเฟิงเจิ้งหลีเหลือบมองเด็กน้อยในอ้อมแขน ท่าทางที่ร้องไห้จนหน้าแดง เห็นแล้วปวดใจนักคิดว่าแค่นี้ก็จบแล้วหรือ?เขายิ้ม“ฉู่เชียนหลี เหมือนเจ้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์นะ?”“?”“……”“เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาต่อรองกับข้า? เด็กอยู่ในมือข้า เป็นหรือตายขึ้นอยู่กับข้า ถึงคราวที่เจ้าต้องมาสอนข้าทำงานตั้งแต่เมื่อไร?”สีหน้าฉู่เชียนหลีเคร่งขรึมทันทีเห็นได้ชัด เขาได้คืบจะเอาศอก“เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”“ข้าหรือ” เขาเงยหน้าด้วยรอยยิ้ม กวาดมองทุกคน และตำหนักอันหรูหราหลังนี้ วังหลวงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ แผ่นดินที่ดีเช่นนี้เขาต้องการอะไร ยังต้องให้พูดอีกหรือ?แต่ว่า มองดูท่าทางที่ร้อนใจของฉู่เชียนหลี เขาเกิดอยากสนุก ต้องการระบายความคับข้องใจที่ได้รับในสองวันนี้ออกมาให้หมดลูบแก้มของเด็กน้อยพลางกล่าว“อยากได้ลูกคืน ไม่มีปัญหา มันก็ต้องดูว่าอ๋องเฉินมีความจริงใจหรือไม่”เงียบไปครู่หนึ่ง“อืม หรือไม่อ๋องเฉินคุกเข่า โขกหัวให้ข้าสามครั้ง ข้าก็คืนลูกให้เจ้า เป็นอย่างไร?”ฉู่เชียนหลีโมโหแล้วด้วยนิสัยที่ยอมหนึ่งก้าว จะเอาสิบก้าวข
“เจ้า!”ฉู่เชียนหลีถูกความเฉยเมยของนางยั่วจนโมโหแล้ว ยิ่งคิดไม่ถึงว่าใต้ฟ้าจะมีแม่ที่ไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้มันก็จริงฉู่เจียวเจียวกับเฟิงเจิ้งหลี ถ้าไม่เหมือนกันก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่มีอะไรที่พวกเขาสองสามีภรรยาทำไม่ลงรอหลังจากลู่ฉินเติบโต รู้ว่าตัวเองมีแม่เช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะเศร้าเพียงใด!“ฉู่เชียนหลี เฟิงเย่เสวียน พวกเจ้าเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รีบปล่อยตัวอ๋องหลี ความอดทนข้ามีขีดจำกัด!” ฉู่เจียวเจียวกล่าวอย่างเย็นชา“จะเอาชีวิตของลูกชาย หรือจะปล่อยคน พวกเจ้าเลือกเอง”อย่างไรนางก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้วไม่ดิ้นรน ตายสถานเดียวดิ้นรน เดิมพัน ยังมีโอกาสสายตาเฟิงเย่เสวียนเคร่งขรึมมาก หางตาเหลือบมองหานเฟิง หานเฟิงเข้าใจทันที เขาซ่อนมือไว้ที่หลัง และทำท่าสัญญาณมือไปที่ด้านหลังมือธนูเตรียมพร้อมจู่ๆ ฉู่เจียวเจียวก็กล่าวเสริมอีกประโยคอย่างเย็นชา “พวกเจ้าสามารถลองดูได้ ดูสิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าไว หรือมีดที่อยู่ในมือข้าเร็ว”“ต่อให้ข้าตาย การฆ่าเฟิงเจิ้งจื่อเยี่ยก็ใช้เวลาแค่พริบตาเดียว”ฉู่เชียนหลีสั่งให้มือธนูหยุดทันที “ปล่อยคน!”อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามผู้หญิงคนนี้มันเป็นผู
พลันฉู่เชียนหลีแน่นหน้าอก“หยุดนะ…”“อย่าเข้ามา!”ฉู่เจียวเจียวถอยหลังสามก้าว มือซ้ายจับเด็ก มือขวาถือมีดสั้น มีดสั้นที่แวววาวจ่ออยู่บนผิวอันบอบบางของเด็ก กรีดจนรอยเลือดออกแล้วเลือดไหลออกมาแล้ว“จู่ๆ เจ้าก็มาเป็นห่วงข้า และยังพยายามอยากอุ้มลูกทุกวิถีทาง ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ได้มีเจตนาดี”นางยิ้มอย่างเย็นชา“เหอะ! ดูเหมือนฮ่องเต้ที่แกไม่ตายสักทีนั่นเป็นคนบอกเรื่องนี้กับเจ้าสินะ!”ไอ้แก่ เป็นอัมพาตเฉียบพลันยังไม่ยอมอยู่อย่างสงบเสงี่ยมอีกต่อให้รู้ความจริงแล้วอย่างไร?ชีวิตของเด็กคนนี้อยู่ในมือนาง“ฉู่เชียนหลีนะฉู่เชียนหลี เจ้าคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงกระมังว่า เจ้าเลี้ยงลูกสาวข้า ข้าเลี้ยงลูกชายเจ้า และก็ต้องขอบคุณลูกชายคนดีคนนี้ของเจ้า กลายเป็นตัวช่วยที่สำคัญของอ๋องหลี” นางเผยอมุมปาก รอยยิ้มนั้นน่ากลัวมากฉู่เชียนหลียืนตัวแข็งอยู่ตรงที่เดิม ไม่กล้าขยับ“เจ้าต้องการอะไร?”ฉู่เชียนหลีจ้องมีดสั้นในมือนาง กลัวว่านางจะพลั้งเผลอกรีดโดนคอของเด็กตั้งครรภ์สิบเดือนลูกชายเป็นก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่ตกลงมาจากร่างกายนางนางไม่กล้าเดิมพัน และเดิมพันไม่ไหวฉู่เจียวเจียวกล่าว “ข้าต้องก
กลางดึกกำลังถึงช่วงที่คนเงียบสงบ คนกลุ่มหนึ่งวิ่งไปที่ตำหนักเจาหยางราวกับคลื่นยักษ์ ตอนที่ใกล้จะถึง ฉู่เชียนหลีตวาดสั่งให้พวกเขาหยุด“พวกเจ้าอยู่ห่างๆ อยากเข้าใกล้!”พ่อบ้านหยางกล่าวด้วยความเป็นห่วง “พระชายา พวกเราต้องไปเอาพระนัดดาองค์โตกลับมา นั่นเป็นเลือดเนื้อของท่านกับท่านอ๋องนะ”“ข้ารู้!”ก็เพราะรู้ จึงไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้“ไปทำอะไรคนเยอะแยะ ถ้าหากบีบจนฉู่เจียวเจียวไม่มีทางเลือก นางทำอะไรขึ้นมา…”ฉู่เชียนหลีแทบจะเป็นบ้าแล้ว ร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน ทั้งร้อนใจทั้งไม่สบายใจ น้ำเสียงก็ค่อนข้างฉุนเฉียวไม่อยากพูดมาก วิ่งเข้าไปในตำหนักเจาหยางเพียงลำพัง คนอื่นรออยู่ที่ข้างนอก ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามภายในตำหนักฉู่เจียวเจียวกำลังกล่อมจื่อเยี่ย ฉู่เจียวเจียวมาแล้ว นางมองเด็กน้อยที่อ้วนสมบูรณ์ กล่าวโดยไม่เงยหน้า“พระชายาอ๋องเฉิน ลูกของข้าเพิ่งนอนหลับ ”โปรดให้อภัย ข้าอุ้มเขาไว้ ร่างกายหนัก ไม่สะดวกลุกขึ้นยืน สายตาฉู่เชียนหลีมองไปที่ตัวเด็กเด็กน้อยอ้วนสมบูรณ์ ใบหน้าจ้ำม่ำ คิ้วละเอียดอ่อน หน้าตาที่น่ารักน่าเอ็นดู คล้ายเฟิงเจิ้งเว่ยซีแปดส่วนเหตุใดเมื่อก่อนนางไม่สังเกต
อวิ๋นอิงถูกนางทำเอาตกใจจนหน้าซีด รีบถาม“พระชายา มีอะไรหรือ? เหตุใดกะทันหันเช่นนี้?”“รีบไป!”มือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีเย็นเฉียบ เสียงนั้นเกือบจะคำรามออกมา แม้แต่คอก็กำลังสั่นสะเทือนคนข้างล่างไม่กล้ารอช้า รีบไปตามหาคนทันทีเฟิงเย่เสวียนประหม่า “เชียนหลี นี่เจ้าเป็นอะไร?”“ข้าอาจจะเข้าใจผิด อาจจะทำผิดพลาด ข้าอาจจะ…ข้า ข้า…” ฉู่เชียนหลีพูดวนไม่ปะติดปะต่อ พูดอยู่ดีๆ เบ้าตาก็แดงแล้วหัวใจเหมือนถูกแมวข่วน กระสับกระส่ายนางกุมเสื้อตรงหน้าอก หายใจอย่างอึดอัดขออย่าให้มันเป็นเรื่องจริง…ขออย่า…นางทรมานจังนางไม่ใช่แม่ที่ดี กลัวรู้ความจริง แต่ก็อยากรู้ความจริงหลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ผู้คนร้อยกว่าคนเข้าวังในคืนนั้น มีคนของจวนอ๋องเฉิน หมอ หมอตำแย ผู้ช่วยหมอ และยังมีองครักษ์ลับ ทหารยาม หมอหญิงเว่ยก็อยู่เมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อน ตอนที่ฉู่เชียนหลีคลอดลูก คนเหล่านี้อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนเมื่อฉู่เชียนหลีเห็นพวกเขา รีบถามทันที“วันที่ข้าคลอดลูก เคยมีคนแปลกหน้ามาหรือไม่?”ทุกคนหันมองกันและกัน ล้วนส่ายศีรษะ“พระชายา เรื่องสำคัญอย่างท่านคลอดลูก พวกเราจับตาดูอย่างเข้มงวด ในจวนมีแต่คนข
นางกำนัลรีบนำพู่กันมาฉู่เชียนหลีเอาพู่กันจุ่มน้ำหมึก แล้วใส่ในมือฮ่องเต้ร่างกายของฮ่องเต้เป็นอัมพาต ไม่ควบคุมมือไม่ได้ ไม่สามารถจับพู่กันด้วยซ้ำ ปากของเขาเบี้ยว ใช้แรงทั้งหมดหนีบด้ามพู่กันด้วยนิ้วชี้กับนิ้วกลาง อาศัยแรงกระตุกของร่างกาย ลงพู่กันบนกระดาษอย่างเบี้ยวไปเบี้ยวมาเพียงไม่กี่ขีด เขียนอย่างยากลำบาก บนหน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อแนวเฉียง…แนวตั้ง…สองคำ ทั้งหมดสี่ขีดเขียนเสร็จ พู่กันก็ร่วงตกบนพื้น เขาเหนื่อยจนหอบบนเตียง ขยับไม่ได้อีกแล้ว“ลูกชาย…” อวิ๋นอิงอุทานเบาๆ “คนที่ฝ่าบาทคิดถึงคือลูกชาย?”ฉู่เชียนหลีถือกระดาษ แม้สองคำนี้เขียนได้คดเคี้ยวมาก แต่เนื่องจากลายเส้นเรียบง่าย จึงมองออกในปราดเดียวว่ามันคือคำว่า ‘ลูกชาย’นี่เขาอยากบอกอะไรนาง?“หรือเป็นอ๋องหลี?” อวิ๋นอิงคาดเดาฉู่เชียนหลีส่ายศีรษะโดยไม่ต้องคิด“อ๋องหลีวางยาพิษเขา กบฏวังชิงราชบัลลังก์ มีความทะเยอทะยาน ฝ่าบาทไม่มีทางคิดถึงอ๋องหลี”นางกล่าววิเคราะห์“ส่วนอ๋องหลีหลังจากขึ้นบัลลังก์ ไม่ฆ่าผู้บริสุทธิ์ องค์ชายท่านอื่นอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเหมือนเมื่อก่อน ไม่มีอันตราย ฮ่องเต้ก็ไม่มีทางคิดถึงองค์ชายท่านอื่น”อวิ๋