จวนอ๋องเฉินเมื่อฉู่เชียนหลีกลับถึงจวน สั่งให้จิ่งอี้รับผิดชอบดูแลเรื่องของทางนั้น ร่างกายนางหนัก ทำงานได้ไม่นานก็ต้องพักผ่อน แต่ว่าอารมณ์ของนางในเวลานี้แตกต่างจากเมื่อสองวันก่อนโดยสิ้นเชิงแม้แต่กินข้าวก็อร่อยขึ้นไม่น้อยบนโต๊ะอาหารถงเฟยยังกังวลอยู่ฉู่เชียนหลีคีบผักให้นาง “เสด็จแม่ เลิกคิดมากได้แล้ว เฟิงเย่เสวียนจะกลับมาแน่นอน ไม่เกินหนึ่งเดือน เขาจะกลับมา”ถงเฟยกินอาหารไม่รู้รส สีหน้าซีดเซียว“เขาแพ้สงคราม และไม่รู้ว่าตอนนี้กินอิ่มหรือไม่ บาดเจ็บหรือไม่…”“เสด็จแม่ ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่?”“ข้า…”ถงเฟยมองสายตาที่จริงจังและหนักแน่นของฉู่เชียนหลี คำพูดที่เป็นกังวลมาถึงปลายลิ้นก็หยุดเอาไว้นางรู้ว่าฉู่เชียนหลีจะพยายามคิดหาวิธีช่วยเฟิงเย่เสวียนทุกวิถีทางนางรู้ว่าฉู่เชียนหลีจะไม่นั่งรอความตายเวลานี้ นางแค่เจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเฟิงเย่เสวียนมีอันตราย กลับไม่สามารถให้ความช่วยเหลือที่มีประโยชน์“เสียวฉู่ เจ้าใกล้จะถึงวันคลอดแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าพยายามและฝืน สุขภาพสำคัญที่สุด ถ้าหากต้องการอะไร บอกข้าได้เลย ข้าก็อยากช่วยแบ่งเบาเท่าที่จะทำได้”“ข้าทราบ
แววตาฉู่เชียนหลีขรึมลง“ใช่แล้ว” เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้ามาใกล้ขึ้นสองสามก้าว “สิ่งที่เจ้าทำ…อืม…เจ้าของที่เรียกว่าระเบิดนี่ ใช้ดีมาก”เขาแบฝ่ามือออกบนฝ่ามือ มีหนึ่งลูก“คิดไม่ถึงว่าเอากำมะถัน ถ่าน ดินประสิว ของที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้มาผสมกัน ก็สามารถทำของเล่นที่ร้ายกาจเช่นนี้ ข้าเรียนรู้แล้ว ลำบากเสียวฉู่แล้ว”“เจ้า!”ม่านตาฉู่เชียนหลีหดเล็กน้อยความหมายของเขาคือ…นางพุ่งพรวดออกไป “เฟิงเจิ้งหลี!”เขาเจ้าเล่ห์นัก!“เสียวฉู่ ร่างกายเจ้าหนัก อย่าใจร้อนนักสิ” เขาจับแขนของนาง พลางคว้าไว้แน่น ทำให้นางไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือ และขยับตัวไม่ได้เขายิ้มอย่างชั่วร้าย“เจ้าว่าหากข้ามอบระเบิดเช่นนี้ให้กับซยงหนูในปริมาณมาก เฟิงเย่เสวียนจะแพ้อย่างย่อยยับหรือไม่?”“เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร? เจ้ารู้ตำแหน่งของที่นี่ได้อย่างไร? เฟิงเจิ้งหลี ทั้งๆ ที่ข้าหลบสายตาคนของเจ้าแล้ว และข้างกายข้าก็มีแต่คนสนิทที่ไว้ใจได้ ตกลงเจ้าทำได้อย่างไรกันแน่!”นางถามด้วยความโกรธอาจเพราะอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป จึงกระทบต่อท้อง ทำให้ท้องของนางปวดกระตุกอย่างคลุมเครือ“ข้าเคยบอกแล้ว ให้เจ้าใจเย็นๆ ไม่เช่นนั้นคนที่เสีย
ถ้าหากเฟิงเย่เสวียนเป็นอะไรไป นางก็ไม่ขออยู่บนโลกใบนี้แล้วฉู่เชียนหลีหายใจเร็วเกินไป สมองขาดออกซิเจนจนหายใจไม่ทัน นางวูบไปสองวินาที ภาพตรงหน้าดับลงครู่หนึ่ง เกือบจะล้มลงพื้น“คุณหนู!”“พระชายา!”จิ่งอี้พุ่งเข้าไปอย่างฉับไว ตอนที่ประคองนาง ฝ่ามือของเขาบังเอิญไปชนโดนฝ่ามือเยว่เอ๋อร์พริบตานั้น เยว่เอ๋อร์เหมือนถูกไฟช็อต ร่างกายสั่นสะท้าน รีบดึงมือกลับทันที นางก้มหน้า แก้มกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว…ตอนที่จิ่งอี้มองนางจู่ๆ มีอะไรบางอย่างแลบเข้ามาในสมอง…ทันใดนั้น เขาเอ่ยปาก“คุณหนู ฐานที่ชานเมืองของพวกเราถูกเก็บเป็นความลับ ข้าสงสัยว่ามีคนปล่อยข่าวให้อ๋องหลี อ๋องหลีจึงหันมาตลบหลังพวกเรา”“เหมือนกับตอนที่อยู่ในหุบเขา ตำแหน่งของหุบเขาถูกเก็บเป็นความลับ อ๋องหลีกลับหาเจอ ก็เป็นคนคนนี้เช่นกันที่ปล่อยข่าวให้อ๋องหลี”เมื่อทุกคนได้ยิน แต่ละคนยืดหลังตรง ตื่นตัวขึ้นมาทันทีใช่!เหตุใดก่อนหน้านี้พวกเขาจึงคิดไม่ถึงนะ?มีหนอนบ่อนไส้แน่นอน!“คุณหนู คุณชายจิ่งพูดมีเหตุผล ในกลุ่มของพวกเราต้องมีคนของอ๋องหลีแน่นอน อ๋องหลีถึงได้รู้การเคลื่อนไหวของพวกเราอย่างละเอียด!” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งขอ
ไม่อยากสงสัยใครทั้งนั้นหรือสายลับที่อ๋องหลีวางไว้เป็นคนอื่นกระมัง…มองดูระเบิดที่เตรียมไว้กลายเป็นซากปรักหักพังที่ไหม้เกรียมอีกด้านหนึ่ง นางรู้สึกเพียงเวียนศีรษะ ร่างกายเหนื่อยล้า อยากล้มกายลงไป นอนโดยไม่ต้องคิดอะไรสักงีบไม่อยากคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น นอนจนตราบสิ้นฟ้าดินสลาย นอนจนอิ่มอกอิ่มใจฉู่เชียนหลีหลุบตาที่มืดสลัวลง“กลับเถอะ”ค่อยๆ ยกเท้าที่แข็งขึ้น หมุนกายทีหนึ่ง แผ่นหลังที่บอบบางนั้นดูแล้วเปล่าเปลี่ยวมาก ทำให้รู้สึกปวดใจนัก“คุณหนู…”จิ่งอี้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะหายใจไม่ได้ปกป้องนางให้ดี เขาโทษตัวเองพลันเขาก้าวเข้าไปอย่างฉับไว อุ้มนางขึ้น แล้ววางลงบนรถม้าอย่างระมัดระวังในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่ขึ้นรถม้า เขาหันหลังให้ทุกคน ใช้เสียงที่สามารถได้ยินแค่ระหว่างพวกเขาสองคน กล่าวอย่างลังเล“คุณหนู ข้ามีคำพูดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่”ไม่พูด เขาเคลือบแคลงพูดแล้ว ก็กลัวนางคิดมากฉู่เชียนหลีฝืนหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง“เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีก? พูดเถอะ ไม่ว่าแย่แค่ไหน ข้าก็รับไหว”จิ่งอี้หลุบตา ใช้หางตากวาดมองด้านหลังอย่างเงียบๆ
ฉู่เชียนหลีเม้มมุมปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เช่นเดียวกับไม่รู้ว่าอะไรที่สามารถพูดได้ นางทำเพียงแค่หลุบตา ลูบท้องที่ค่อนข้างใหญ่ จิตใจหดหู่มากใช่แล้วเฟิงเจิ้งหลีเกลียดเฟิงเย่เสวียน แทบอยากจะบีบคั้นเขาให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ครั้งนี้ เขาไม่มีทางออมมือกับเฟิงเย่เสวียนแน่แต่นางกับไม่สามารถอยู่เคียงข้างเฟิงเย่เสวียนจู่ๆ ลูกในท้องก็เหมือนกับรู้สึกถึงความคิดของนาง ถีบท้องของนางทีหนึ่ง“อืม…”นางขมวดคิ้วถงเฟยเห็นดังนี้ รีบเช็ดน้ำตา เดินเข้าไปหานางทันที “เสียวฉู่ เป็นอะไร? รู้สึกไม่สบายท้องหรือ? จะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความประหม่าเช่นกันฉู่เชียนหลีลองสัมผัสดู มันเจ็บแค่ทีเดียวก็ไม่เจ็บแล้วอาจเพราะนางอารมณ์ไม่ดี ความคิดของนางกับลูกเชื่อมโยงการกระมังนางเม้มปาก ส่ายศีรษะ“น่าจะยังเหลืออีกหลายวัน”“เฮ้อ…” ถงเฟยนั่งลง จับมือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีไว้แน่น ชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดีที่ไม่สบายใจคือเป็นห่วงเฟิงเย่เสวียนที่ดีใจคือนางกำลังจะได้อุ้มหลานแล้วเพียงแต่น่าเสียดาย เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่“เสียวฉู่ เจ้าอย่าคิดมาก คลอดล
ฉู่เชียนหลีเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย“นี่ก็ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ ข้าอ่านหนังสืออีกสักพักก็จะนอนแล้ว”“บ่าวรอท่านเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องหรอก ข้าอยากนั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวสักพัก”เยว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างเบาๆ นางลุกขึ้นยืน ลังเลครู่หนึ่ง ก็ถอยออกไปแล้วยามราตรี เงียบเป็นพิเศษเมื่อทุกสรรพสิ่งเงียบสงบ ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในสมอง ภาพต่างๆ ในอดีตภายในห้องนี้ปรากฏสู่สายตาทีละภาพที่ข้างโต๊ะตัวนี้ เฟิงเย่เสวียนชอบมานั่งปอกเปลือกองุ่นให้นาง และยังชอบจับขาของนางมาวางบนตัก แล้วนวดเท้าให้นางที่ข้างหน้าต่าง เฟิงเย่เสวียนชอบกอดนางจากข้างหลัง หน้าอกของเขาแนบติดกับแผ่นหลังของนางแน่นเขาบอกว่า เมื่อกอดนางแน่นๆ สามารถสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจสามดวงของเขา ของนาง และของลูกเวลานอน เขามักจะนอนด้านนอก กลัวนางพลิกไปพลิกมา จะพลิกตกเตียงกลางดึกทุกเช้าที่ตื่น ลืมตาก็สามารถมองเห็นเขา…เขาไม่อยู่ร่างเงาของเขา เสียงของเขา กลับลอยอยู่ข้างหูนาง ชัดเจนเหมือนวันๆแม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นปอเหอของเขาพริบตาเดียว ภายในห้องอันกว้างใหญ่ เหลือเพียงนางลำพังตัวคนเดียวประกายความผิดหวังแลบผ่านแววตาฉู่เชียนหลี
เขาไม่ได้เข้าไป ยืนอยู่นอกประตูเป็นเวลาเนิ่นนาน จากนั้นหมุนกายเดินออกจากเรือนหานเฟิงเงียบๆเมื่อก่อน เขาไม่รู้ว่าความคิดถึงคืออะไรหลังจากที่ได้พบอวิ๋นอิง ก็รู้สึกถึงมันแล้ว และยิ่งรู้ดีว่าฉู่เชียนหลีในเวลานี้ ทรมานกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่าท่านน้าเฉินดีกับเขามากตั้งแต่เด็ก ให้ท้ายเขา รักเขา คุ้มครองเขา เขาก่อปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความซุกซน ท่านน้าเฉินปากบอกสั่งสอนเขา แต่ในใจกลับไม่เคยโกรธจริงๆในความทรงจำ ไม่มีปัญหาอะไรที่ท่านน้าเฉินแก้ไขไม่ได้ปัจจุบัน ท่านน้าเฉินตกอยู่ในอันตราย เฟิงเจิ้งหลีบีบคั้นเข้ามาเรื่อยๆ น้าสะใภ้สู้สุดใจโดยไม่กลัวเกิดอันตรายกับลูกในท้อง จวนอ๋องเฉินถูกบีบจนไม่มีทางเลือก เขาจะนิ่งดูดายไม่สนใจได้อย่างไร?เขาจะตอบแทนท่านน้าเขาจะทำในสิ่งที่สามารถทำเพื่อท่านน้า…ภายในเรือนหานเฟิงอวิ๋นอิงออกมาแล้ว นางเดินไปทางห้องครัว“อวิ๋นอิง!”จู่ๆ หลิงเชียนอี้ก็เอ่ยปากเรียกนางอวิ๋นอิงที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดเมตรได้ยินเสียง เมื่อหันไปเห็นว่าท่านโหวน้อยกำลังเดินมาทางนาง นางโน้มตัวเล็กน้อยเพื่อคำนับเพิ่งยืนตัวตรง ก็ถูกกอดฉับพลัน“อืม…”“ท่านโหวน้อย นี่ท่านทำอ
พลันอวิ๋นอิงแน่นหน้าอก กระวนกระวายใจเล็กน้อยนางไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ กลัวว่าหากยังคุยต่อไป จะทนไม่ไหว…หมุนกายก็วิ่งหนีไปแล้วหลิงเชียนอี้พุ่งพรวดออกไปคว้าข้อมือของนางไว้“ข้ามีคำพูดมากมายอยากบอกเจ้า”“ข้าไม่อยากฟัง!”นางเป็นคนโผงผางตั้งแต่เด็ก ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ตรงไปตรงมา แต่เพราะท่านโหวน้อย หัวใจจึงอ่อนโยนและเปราะบางคำพูดของเขา สามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนางโดยตรงนางเกลียดที่หัวใจของตนเองหวั่นไหวนางกลัวจริงๆนางออกแรงสะบัดมือเขาหลุด สับขาก็วิ่งทันทีหลิงเชียนอี้ตะโกน “เจ้าอย่าวิ่งได้หรือไม่ ข้ารับรอง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้ารบกวนเจ้า! จากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ทำเรื่องที่ล้ำเส้นอีก จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก!”ฝีเท้าของอวิ๋นอิงชะงักเล็กน้อยครั้งสุดท้าย…อะไรคือครั้งสุดท้าย…“ถ้าหากการชอบของข้า ทำให้เจ้ารู้สึกว่ามันเป็นภาระจริงๆ ข้ายินดีมอบท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ให้เจ้า ถ้าหากไม่มีข้า เจ้าจะอารมณ์ดี เจ้าจะมีความสุข ต่อไป…ข้าจะพยายามไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีก”เขามองแผ่นหลังของนาง เสียงทุ้มและแหบ แทบเหมือนกำลังร้องไห้ทุกคำพูดล้วนกำลังสะอึกทุกคำพูดล้วนเหมือนมีดที่แหลมคม
อันธพาลเจ็บจนกรีดร้องเหมือนหมูโดนเชือด “อ๊ะๆ!”ยังไม่ทันได้พักหายใจ ก็โดนถีบจนไปกลิ้งอยู่บนพื้น รองเท้าปักลายดอกไม้เหยียบลงบนหน้าอก หนักจนทำให้เขาหายใจไม่ออก กระอักเลือดออกมา“พู่!”เขากอดต้นขาของอวิ๋นอิง อยากดิ้นให้หลุด แต่หาของอวิ๋นอิงกดทับอยู่บนร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้า และเขาก็เหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ถูกตอกตะปูอยู่บนเขียง พยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิต แต่ก็ดิ้นไม่หลุดเจอผีแล้ว!ทั้งที่นางผอมเช่นนี้ เหตุใดจึงมีแรงมากเช่นนี้?ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือ?ชาวบ้านก็ตะลึงเช่นกันอวิ๋นอิงอุ้มลูกสาวไว้ด้วยมือข้างเดียว ค่อยๆ ก้มลง ยกฝ่ามืออีกข้าง เหวี่ยงไปที่ใบหน้าของอันธพาลโดยตรง“ข้าสั่งให้เจ้าเก็บ”เพียะ!“ไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”เพียะ!“หูหนวกหรือ?”เพียะ!หนึ่งประโยค หนึ่งฝ่ามือ ตบจนอันธพาลหันซ้ายหันขวา มุมปากแตกมีเลือดไหล หูอื้อ สะบักสะบอมเหมือนสุนัขจรจัดตัวหนึ่ง ไม่หลงเหลือความฮึกเหิมของก่อนหน้านี้เลย“ลูกพี่!”ลิ่วล้อสามคนคว้าโต๊ะเก้าอี้และท่อนไม้ที่อยู่ข้างๆ ฟาดไปทางอวิ๋นอิงอย่างแรงอวิ๋นอิงกระโดนหมุนตัวเตะพวกเขาสามคนจนลอยกระเด็นออกไปไกลเจ็ดแปดเมตร โดยไม่หั
ตงหลิงเจียงหนาน ทำเนียบสามเดือนที่พระชายาจากไป อ๋องเฉินเอาแต่เก็บตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก หานเฟิงต้องรับผิดชอบงานแทนทุกอย่าง เมื่อนานวันเข้า โลกภายนอกต่างกำลังคาดเดา จิตใจของอ๋องเฉินได้รับกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น เกรงว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้วช่วงนี้ ในที่สุดอาการบาดเจ็บของจิ่งอี้ก็ดีขึ้นแล้วอาการบาดเจ็บทางกระดูกหรือเส้นเอ็น ต้องรักษาอย่างน้อยหนึ่งร้อยวันในที่สุดกระดูกซี่โครงที่หักสองซี่ก็หายดีแล้ว สามารถขี่ม้าได้แล้ว ตอนนั้นเขาบอกว่าจะนำทัพกลับแคว้นซีอวี้ทันทีแต่ก่อนไป เขาถามเหมือนไม่ใส่ใจ“เหตุใดไม่เจอแม่นางอวิ๋นอิงเลย?”จ้านหูจริงจังขึ้นมาทันที เขาตอบ“องค์ชายใหญ่ ข้าจะส่งคนไปสืบเดี๋ยวนี้!”“ไม่ต้อง”หลังจากปฏิเสธอย่างเฉยเมย ปีนขึ้นหลังม้า ขี่ออกไปคนเดียวแล้วจ้านหู “?”หมายความว่าอย่างไร?ตอนที่องค์ชายใหญ่หมดสติ แม้อวิ๋นอิงบอกว่าไม่สนใจ แต่แอบมาเยี่ยมองค์ชายใหญ่ตอนดึกดื่นเวลาที่ไม่มีคนองค์ชายใหญ่ก็อีกคน ทั้งที่คิดถึงอวิ๋นอิง แต่ไม่ยอมรับในใจของพวกเขาสองคนล้วนมีอีกฝ่าย ลูกสาวก็อายุเกือบครึ่งขวบแล้ว เหตุใดไม่ลองเปิดใจสักนิดแล้วอยู่ด้วยกันเลย
คืนแรกที่มาถึงต่างโลก ฉู่เชียนหลีฝันในความฝัน นางอยู่บนสนามรบ สู้จนตัวตาย เลือดไหลเป็นแม่น้ำ น่าสลดใจนัก…ในความฝัน นางได้ต่อสู้ร่วมกับชายคนหนึ่งที่มองไม่เห็นใบหน้า ร่วมเป็นร่วมตาย และยังมีเสียงที่นุ่มนิ่มของเด็ก เรียก ‘ท่านแม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน ราวกับนางได้รับความอยุติธรรมครั้งใหญ่ หัวใจเจ็บปวด และพยายามอธิบายสุดชีวิต แต่พวกคนที่เรียกตัวเองว่า ‘ครอบครัว’ ไม่เชื่อนาง และยังบีบคั้นนางสู่เส้นทางที่สิ้นหวังในความฝัน…มีคนกำลังเรียกนาง‘เชียนหลี…เชียนหลี…’ฉึก!ฉู่เชียนหลีลืมตาฉับพลัน ท้องฟ้าข้างนอกสว่างแล้ว แสงแดดอุ่นๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามา สามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวของอากาศ สงบมากนางรู้สึกเวียนศีรษะ และแน่นหน้าอกราวกับนางอยู่ในความฝันอันยาวนานจริงๆนางได้รับความอยุติธรรมนางถูกคนในครอบครัวฆ่าตายแต่เหตุใดนางจำผู้ชายที่เรียกนาง และภาพที่เรียกนางว่า ‘ท่านแม่’ ไม่ได้เลย“องค์หญิง ท่านตื่นแล้ว”เมื่ออ้ายอ้ายได้ยินเสียง ถือกะละมังน้ำอุ่นกับเครื่องใช้เข้ามาปรนนิบัติฉู่เชียนหลีนวดขมับ อยู่ในอาการเหม่อลอย แขนขาอ่อนแรง ไม่มีแรงขยับ ดึงผ้าห่มออก ลงจากเตียง สวมรองเท้
สาวใช้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็รีบฝนหมึกอย่างเชื่อฟังมองดูองค์หญิงรีบหยิบพู่กัน เขียนอะไรบางอย่าง ท่าทางที่รีบร้อนนั่น เมื่อก่อนเวลาที่นังเป็นห่วงคุณชายเซิ่น ยังไม่รีบร้อนเช่นนี้เลยองค์หญิงกระโดดสระน้ำ หมดสติไปสามวัน หลังจากฟื้น ก็เปลี่ยนไปจากเดิมเล็กน้อย?นิสัยเปลี่ยนไปน้ำเสียงเปลี่ยนไปแต่เมื่อลองตั้งใจมอง องค์หญิงยังคงเป็นองค์หญิง ยังคงเป็นใบหน้าที่คุ้นเคยฉู่เชียนหลีเขียนอย่างรวดเร็ว…อ๋องเฉินเป็นอย่างไรบ้าง ข้าอยู่แคว้นหนานยวน…พลางเขียน พลางกล่าวอย่างรีบร้อน “รีบไปหาคน ช่วยข้าส่งจดหมายฉบับนี้ไปให้อ๋องเฉินที่ตงหลิงเจียงหนาน”นางอยากบอกความจริงกับเฟิงเย่เสวียน ต่อให้ตนลืมแล้ว แต่เฟิงเย่เสวียนจำนางได้เขาจะต้องมาหานางแน่นอนไม่ช้าก็เร็วสักวัน พวกเขาครอบครัวสี่คนจะอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา“อ๋องเฉินแห่งตงหลิงเจียงหนาน?”สาวใช้เกาศีรษะด้วยความสงสัย “องค์หญิง ท่านส่งจดหมายให้อ๋องเฉินทำไม? ท่านรู้จักอ๋องเฉินตั้งแต่เมื่อไร?”ฉู่เชียนหลีรีบกล่าว“อธิบายกับเจ้าไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของข้ากับอ๋องเฉินไม่ธรรมดา…อ๋องเฉิน? อ๋องเฉินตงหลิง?”เงยหน้าฉับพลัน“ข้ารู้จักอ๋องเฉ
ทุกคน “...”สีหน้าฮ่องเต้หนานยวนดูไม่ดีนัก เซิ่ยซือเฉินเป็นแค่บัณฑิตคนหนึ่ง เพื่อบัณฑิตคนหนึ่ง ต้องทุ่มสุดตัวเช่นนี้เลย ต้องตื่นเต้นเช่นนี้เลย?ในฐานะองค์หญิง ไม่ควรมองให้ไกลกว่านี้หน่อยหรือ?เพื่อป้องกันจวินลั่วยวนทำร้ายตัวเอง เขาออกคำสั่ง มัดมือและเท้าของนางโดยตรงจวินลั่วยวนขยับไม่ได้แล้วเห็นท่าทางที่จะยิ้มไม่ยิ้มของฉู่เชียนหลี และยังเลิกคิ้วอย่างยั่วยุ นางโมโหจนแทบกัดลิ้นฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์ที่วุ่นวาย ไปจากตำหนักองค์หญิงฉู่เชียนหลีกับหลิงอี้ซิงเดินเคียงข้างกันจากไป เมื่ออารมณ์ดี จังหวะการเดินก็ผ่อนคลายเป็นพิเศษ อดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงเบาๆฮัมไปฮัมมา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าหลิงอี้ซิงเป็นผู้มีจิตใจเมตตา อุทิศตนให้กับความดีและคุณธรรมหยุดฝีเท้าหันไปถาม “ท่านพี่ ท่านน่าจะเห็นกระมัง ว่าข้าจงใจรังแกจวินลั่วยวน?”หลิงอี้ซิงเดินตามปกติ สายตามองไปข้างหน้า พยักหน้าอย่างเกียจคร้าน ตอบสั้นๆ เพียงคำเดียว“อืม”“ท่านไม่รู้สึกว่าข้านิสัยไม่ดีหรือ?”เขาหยุดเดินหันมามองนาง กล่าวอย่างจริงจัง “ที่เจ้ารังแกนาง นั่นก็ต้องเป็นเพราะนางล่วงเกินเจ้าก่อนแน่นอน ล้วนเป็นความผิดของนาง”เขาไ
“ยวนเอ๋อร์! ยวนเอ๋อร์!” ฮ่องเต้หนานยวนร้อนใจจนหน้าถอดสี “ใครก็ได้ ใครก็ได้รีบมาเร็ว ยวนเอ๋อร์เสียเลือดมากเกินไป หมดสติไปแล้ว!”จวินลั่วยวนที่ ‘เสียเลือดมากเกินไปจนหมดสติ’ “...”เจ้าน่ะสิที่เสียเลือดมากเกินไปเจ้าเสียเลือดมากเกินไปทั้งครอบครัว!หมอหลวงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากทำแผลให้จวินลั่วยวนเสร็จ ถอนหายใจด้วยความกังวล “สามเดือนแล้ว ในที่สุดเอ็นขององค์หญิงก็เชื่อมต่อกัน คิดไม่ถึงว่าขาดอีกแล้ว ความพยายามในช่วงสามเดือนที่ผ่านมาล้วนสูญเปล่า” ต่อจากนี้ก็ต้องใช้เวลาอีกสามเดือน เปิดบาดแผล บำรุงเอ็นทุกวันเมื่อฉู่เชียนหลีได้ยินคำนี้ เบ้าตาแดงฉับพลัน“ล้วนเป็นความผิดของข้า…”นางดึงชายเสื้อของหลิงอี้ซิง กล่าวเสียงสะอึก“ท่านพี่ ข้ามันไม่ดี ต้องเป็นเพราะเรื่องของคุณชายเซิ่นแน่ องค์โกรธข้า ไม่ชอบข้า จึงฟาดมือของตัวเองใส่เสา เพื่อเป็นการแสดงความรังเกียจต่อข้า”“ข้าทำร้ายนาง ฮือๆ…”หลิงอี้ซิงรักน้องสาว ทุกคนในแคว้นหนานยวนรู้เรื่องนี้แล้วฮ่องเต้หนานยวนกล่าวโทษนางได้อย่างไร?กลับกัน เขายังต้องขอร้องหลิงอี้ซิงทักษะการทำนายของหลิงอี้ซิงมีเพียงหนึ่งเดียวในใต้ฟ้า ตลอดหลายปีที่เขานั่งตำแหน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน นางค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้เตียง จวินลั่วยวนนอนหลับแล้ว ไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นเวลานาน หน้าซีดซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูกฉู่เชียนหลีเหลือบมองแวบหนึ่ง“เหตุใดข้อมือของนางยังมีเลือด?”สามเดือนแล้ว แผลยังไม่หาย?นางกำนัลที่อยู่ข้างๆ ตอบ“หมอหลวงบอกว่า จะใช้ยาพิเศษรักษาเอ็นมือและเท้าที่ขาดขององค์หญิง จำเป็นต้องเปิดแผล ขยับเอ็นที่ขาดไปรวมกันทุกวัน จนกระทั่งเชื่อมต่อกัน”“ฮืม?”ฉู่เชียนหลีเลิกคิ้วด้วยความสนใจเช่นนี้ก็เท่ากับว่า จวินลั่วยวนต้องทนกับความเจ็บปวดที่ใช้มีดเปิดปากแผลทุกวันติดต่อกันสามเดือนเต็มๆ น่าสังเวชน่าจะเจ็บมากกระมัง?นางค่อยๆ นั่งลง จับข้อมือของจวินลั่วยวนเบาๆ มองผ้าพันแผลที่ถูกพันห้าหกรอบอย่างครุ่นคิดทันใดนั้นออกแรงกดที่นิ้ว“ซี้ด…!”จวินลั่วยวนเจ็บจนตื่น ลืมตาทันทีฉู่เชียนหลีรีบปล่อยมือ “โอ๊ย…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจแตะตัวท่าน ดูท่านเจ็บมากเลยนะ ขอโทษจริงๆ”“!”หลินเหยี่ยมาอยู่ในตำหนักของนางได้อย่างไร?นางรังเกียจผู้หญิงคนนี้ที่สุด!อาศัยที่พี่ชายของตัวเองเป็นราชครู แสร้งทำเป็นช่วยเหลือชาวบ้าน ทำแต่ความดีทุกวัน มีแต่คนบอกว่าองค์หญ
เซิ่นสือเฉิน “?”เหตุใดวันนี้รู้สึกว่าหลิงเหยี่ยแปลกๆ?เมื่อก่อนนางชอบเขามากเลยไม่ใช่หรือ? เวลาที่เขาอ่านหนังสือ นางชอบมาอยู่ข้างๆ ฝนหมึกพัดลมให้เขา เวลาที่เขาเขียนหนังสือ นางชอบแอบที่นอกหน้าต่าง จับจิ้งหรีดเล่น เวลาที่เขางีบหลับ นางมักจะชงชาหิมะชั้นดีมาให้เขานางยังบอกว่าจะแต่งงานกับเขาคนเดียวเหตุใดแค่วันเดียว ก็ปล่อยวางได้แล้ว?“องค์หญิงหลิง ข้าขอโทษ” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดที่จริงเขาก็ชอบหลิงเหยี่ยเช่นกัน แต่องค์หญิงยวนบอกเขาว่าหลิงเหยี่ยนิสัยไม่ดี ชอบรังแกคนรับใช้ หาเรื่องชาวบ้าน ใส่ร้ายโยนความผิดให้ผู้อื่นด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ และทำทุกอย่างเพื่อบรรลุเป้าหมายเขาเป็นคนเรียนหนังสือ นิสัยซื่อตรง ไม่สามารถยอมรับคนที่จิตใจอำมหิตอย่างหลิงเหยี่ยเมื่อเปรียบเทียบกัน เขาชอบจวินลั่วยวนที่ไร้เดียงสา จิตใจดี และร่าเริงมากกว่า“เมื่อก่อนท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ช่วยข้าหาอาจารย์ ใช้เส้นสาย ทำให้ข้าสอบติดขุนนาง…บุญคุณส่วนนี้ ข้า ข้าทำได้เพียงตอบแทนท่านชาติหน้าแล้ว…”ฉู่เชียนหลียิ้มอย่างอ่อนโยน“ไม่เป็นไร แค่เรื่องเล็กน้อย”“ได้ยินมาว่าองค์หญิงยวนได้รับบาดเจ็บ พวกเราเข้าวังไปดูนางกันเ
องค์หญิง?คุณชายเซิ่น?ฉู่เชียนหลีไม่ได้รับความทรงจำใดๆ เพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก สับสนและงงงวยเล็กน้อยยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มีเสียงฝีเท้าที่ยุ่งเหยิงและเสียงต่อต้านดังมาจากนอกประตู “ใต้เท้าหลิง! ใต้เท้าหลิง ต่อให้ท่านบีบคั้นข้าจนตาย ข้าก็ไม่แต่งงานกับนาง!”“ตั้งแต่ต้นจนจบ ในใจข้ามีเพียงองค์หญิงยวนเอ๋อร์เท่านั้น!”ยวนเอ๋อร์?องค์หญิง?ฉู่เชียนหลีเงยหน้ามองไป เห็นชายหนุ่มสวมชุดเพ้าสีขาวและที่ครอบผมหยก กำลังลากผู้ชายที่ท่าทางสุภาพเหมือนคนเรียนหนังสือเข้ามานางตระหนักถึงบางอย่าง รีบดึงสาวใช้ที่อยู่ข้างกายมาถามเบาๆ“ที่นี่คือแคว้นหนานยวน?”สาวใช้ “?”องค์หญิงเป็นอะไรไป?เหตุใดถามคำถามเช่นนี้?“องค์หญิง ท่าน…”“อย่าพูดไร้สาระ ตอบข้า!”สาวใช้ตกใจ รีบกล่าว “ท่านคือหลิงเหยี่ย องค์หญิงต่างแซ่ของแคว้นหนานยวน ใต้เท้าคือมหาราชครูของแคว้นหนวนยวน เป็นพี่ชายแท้ๆ ของท่าน เพราะใต้เท้าชำนาญการทำนาย เคยช่วยแคว้นสามครั้ง สร้างคุณประโยชน์มากมาย ท่านจึงได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงต่างแซ่…”คำพูดที่เหลือ ฉู่เชียนหลีมองข้ามโดยตรงสิ่งเดียวที่นางคิดคือ นางถูกส่งมาเป็นองค์หญิงต่างแซ่ อีกท