ไม่อยากสงสัยใครทั้งนั้นหรือสายลับที่อ๋องหลีวางไว้เป็นคนอื่นกระมัง…มองดูระเบิดที่เตรียมไว้กลายเป็นซากปรักหักพังที่ไหม้เกรียมอีกด้านหนึ่ง นางรู้สึกเพียงเวียนศีรษะ ร่างกายเหนื่อยล้า อยากล้มกายลงไป นอนโดยไม่ต้องคิดอะไรสักงีบไม่อยากคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น นอนจนตราบสิ้นฟ้าดินสลาย นอนจนอิ่มอกอิ่มใจฉู่เชียนหลีหลุบตาที่มืดสลัวลง“กลับเถอะ”ค่อยๆ ยกเท้าที่แข็งขึ้น หมุนกายทีหนึ่ง แผ่นหลังที่บอบบางนั้นดูแล้วเปล่าเปลี่ยวมาก ทำให้รู้สึกปวดใจนัก“คุณหนู…”จิ่งอี้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะหายใจไม่ได้ปกป้องนางให้ดี เขาโทษตัวเองพลันเขาก้าวเข้าไปอย่างฉับไว อุ้มนางขึ้น แล้ววางลงบนรถม้าอย่างระมัดระวังในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่ขึ้นรถม้า เขาหันหลังให้ทุกคน ใช้เสียงที่สามารถได้ยินแค่ระหว่างพวกเขาสองคน กล่าวอย่างลังเล“คุณหนู ข้ามีคำพูดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่”ไม่พูด เขาเคลือบแคลงพูดแล้ว ก็กลัวนางคิดมากฉู่เชียนหลีฝืนหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง“เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีก? พูดเถอะ ไม่ว่าแย่แค่ไหน ข้าก็รับไหว”จิ่งอี้หลุบตา ใช้หางตากวาดมองด้านหลังอย่างเงียบๆ
ฉู่เชียนหลีเม้มมุมปาก ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เช่นเดียวกับไม่รู้ว่าอะไรที่สามารถพูดได้ นางทำเพียงแค่หลุบตา ลูบท้องที่ค่อนข้างใหญ่ จิตใจหดหู่มากใช่แล้วเฟิงเจิ้งหลีเกลียดเฟิงเย่เสวียน แทบอยากจะบีบคั้นเขาให้ตายเสียเดี๋ยวนี้ครั้งนี้ เขาไม่มีทางออมมือกับเฟิงเย่เสวียนแน่แต่นางกับไม่สามารถอยู่เคียงข้างเฟิงเย่เสวียนจู่ๆ ลูกในท้องก็เหมือนกับรู้สึกถึงความคิดของนาง ถีบท้องของนางทีหนึ่ง“อืม…”นางขมวดคิ้วถงเฟยเห็นดังนี้ รีบเช็ดน้ำตา เดินเข้าไปหานางทันที “เสียวฉู่ เป็นอะไร? รู้สึกไม่สบายท้องหรือ? จะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”เยว่เอ๋อร์กับอวิ๋นอิงก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยความประหม่าเช่นกันฉู่เชียนหลีลองสัมผัสดู มันเจ็บแค่ทีเดียวก็ไม่เจ็บแล้วอาจเพราะนางอารมณ์ไม่ดี ความคิดของนางกับลูกเชื่อมโยงการกระมังนางเม้มปาก ส่ายศีรษะ“น่าจะยังเหลืออีกหลายวัน”“เฮ้อ…” ถงเฟยนั่งลง จับมือทั้งสองข้างของฉู่เชียนหลีไว้แน่น ชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดีที่ไม่สบายใจคือเป็นห่วงเฟิงเย่เสวียนที่ดีใจคือนางกำลังจะได้อุ้มหลานแล้วเพียงแต่น่าเสียดาย เฟิงเย่เสวียนไม่อยู่“เสียวฉู่ เจ้าอย่าคิดมาก คลอดล
ฉู่เชียนหลีเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย“นี่ก็ดึกแล้ว ไปนอนเถอะ ข้าอ่านหนังสืออีกสักพักก็จะนอนแล้ว”“บ่าวรอท่านเจ้าค่ะ”“ไม่ต้องหรอก ข้าอยากนั่งคิดอะไรเงียบๆ คนเดียวสักพัก”เยว่เอ๋อร์กัดริมฝีปากล่างเบาๆ นางลุกขึ้นยืน ลังเลครู่หนึ่ง ก็ถอยออกไปแล้วยามราตรี เงียบเป็นพิเศษเมื่อทุกสรรพสิ่งเงียบสงบ ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในสมอง ภาพต่างๆ ในอดีตภายในห้องนี้ปรากฏสู่สายตาทีละภาพที่ข้างโต๊ะตัวนี้ เฟิงเย่เสวียนชอบมานั่งปอกเปลือกองุ่นให้นาง และยังชอบจับขาของนางมาวางบนตัก แล้วนวดเท้าให้นางที่ข้างหน้าต่าง เฟิงเย่เสวียนชอบกอดนางจากข้างหลัง หน้าอกของเขาแนบติดกับแผ่นหลังของนางแน่นเขาบอกว่า เมื่อกอดนางแน่นๆ สามารถสัมผัสได้ถึงการเต้นของหัวใจสามดวงของเขา ของนาง และของลูกเวลานอน เขามักจะนอนด้านนอก กลัวนางพลิกไปพลิกมา จะพลิกตกเตียงกลางดึกทุกเช้าที่ตื่น ลืมตาก็สามารถมองเห็นเขา…เขาไม่อยู่ร่างเงาของเขา เสียงของเขา กลับลอยอยู่ข้างหูนาง ชัดเจนเหมือนวันๆแม้แต่ในอากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นปอเหอของเขาพริบตาเดียว ภายในห้องอันกว้างใหญ่ เหลือเพียงนางลำพังตัวคนเดียวประกายความผิดหวังแลบผ่านแววตาฉู่เชียนหลี
เขาไม่ได้เข้าไป ยืนอยู่นอกประตูเป็นเวลาเนิ่นนาน จากนั้นหมุนกายเดินออกจากเรือนหานเฟิงเงียบๆเมื่อก่อน เขาไม่รู้ว่าความคิดถึงคืออะไรหลังจากที่ได้พบอวิ๋นอิง ก็รู้สึกถึงมันแล้ว และยิ่งรู้ดีว่าฉู่เชียนหลีในเวลานี้ ทรมานกว่าเขาเป็นร้อยเท่าพันเท่าท่านน้าเฉินดีกับเขามากตั้งแต่เด็ก ให้ท้ายเขา รักเขา คุ้มครองเขา เขาก่อปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความซุกซน ท่านน้าเฉินปากบอกสั่งสอนเขา แต่ในใจกลับไม่เคยโกรธจริงๆในความทรงจำ ไม่มีปัญหาอะไรที่ท่านน้าเฉินแก้ไขไม่ได้ปัจจุบัน ท่านน้าเฉินตกอยู่ในอันตราย เฟิงเจิ้งหลีบีบคั้นเข้ามาเรื่อยๆ น้าสะใภ้สู้สุดใจโดยไม่กลัวเกิดอันตรายกับลูกในท้อง จวนอ๋องเฉินถูกบีบจนไม่มีทางเลือก เขาจะนิ่งดูดายไม่สนใจได้อย่างไร?เขาจะตอบแทนท่านน้าเขาจะทำในสิ่งที่สามารถทำเพื่อท่านน้า…ภายในเรือนหานเฟิงอวิ๋นอิงออกมาแล้ว นางเดินไปทางห้องครัว“อวิ๋นอิง!”จู่ๆ หลิงเชียนอี้ก็เอ่ยปากเรียกนางอวิ๋นอิงที่อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดเมตรได้ยินเสียง เมื่อหันไปเห็นว่าท่านโหวน้อยกำลังเดินมาทางนาง นางโน้มตัวเล็กน้อยเพื่อคำนับเพิ่งยืนตัวตรง ก็ถูกกอดฉับพลัน“อืม…”“ท่านโหวน้อย นี่ท่านทำอ
พลันอวิ๋นอิงแน่นหน้าอก กระวนกระวายใจเล็กน้อยนางไม่อยากคุยเรื่องนี้ต่อ กลัวว่าหากยังคุยต่อไป จะทนไม่ไหว…หมุนกายก็วิ่งหนีไปแล้วหลิงเชียนอี้พุ่งพรวดออกไปคว้าข้อมือของนางไว้“ข้ามีคำพูดมากมายอยากบอกเจ้า”“ข้าไม่อยากฟัง!”นางเป็นคนโผงผางตั้งแต่เด็ก ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ตรงไปตรงมา แต่เพราะท่านโหวน้อย หัวใจจึงอ่อนโยนและเปราะบางคำพูดของเขา สามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของนางโดยตรงนางเกลียดที่หัวใจของตนเองหวั่นไหวนางกลัวจริงๆนางออกแรงสะบัดมือเขาหลุด สับขาก็วิ่งทันทีหลิงเชียนอี้ตะโกน “เจ้าอย่าวิ่งได้หรือไม่ ข้ารับรอง นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้ารบกวนเจ้า! จากวันนี้เป็นต้นไป จะไม่ทำเรื่องที่ล้ำเส้นอีก จะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก!”ฝีเท้าของอวิ๋นอิงชะงักเล็กน้อยครั้งสุดท้าย…อะไรคือครั้งสุดท้าย…“ถ้าหากการชอบของข้า ทำให้เจ้ารู้สึกว่ามันเป็นภาระจริงๆ ข้ายินดีมอบท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ให้เจ้า ถ้าหากไม่มีข้า เจ้าจะอารมณ์ดี เจ้าจะมีความสุข ต่อไป…ข้าจะพยายามไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเจ้าอีก”เขามองแผ่นหลังของนาง เสียงทุ้มและแหบ แทบเหมือนกำลังร้องไห้ทุกคำพูดล้วนกำลังสะอึกทุกคำพูดล้วนเหมือนมีดที่แหลมคม
เหตุใดจึงนึกถึงนาง?ดูเหมือน ยังเมาไม่พอ“เอาเหล้ามา…ใครก็ได้…เอาเหล้ามา…” เขาฟุบอยู่บนโต๊ะ กอดไหเหล้าที่ว่างเปล่า เสียงพูดไม่ชัดเจน เมาจนหมดสภาพ แก้มทั้งสองข้างแดง สายตาพร่ามัวเสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านเป็นห่วงเล็กน้อย“คุณชาย ท่านดื่มหมดไปหนึ่งไหแล้ว หากดื่มอีก เกรงว่าร่างกาย…”หลิงเชียนอี้โยนไหเหล้าลงบนพื้นอย่างฉุนเฉียว ตะคอกด้วยความโกรธ“ให้เจ้าไปเอาก็ไปเอามา เหตุใดพูดมากเช่นนี้! ข้าเป็นถึงท่านโหวน้อย ยังจะไม่มีเงินจ่ายค่าเหล้าให้เจ้าหรือ!”เสี่ยวเอ้อร์ประจำร้านตกใจจนสะดุ้งที่แท้เขาเป็นท่านโหวน้อยของจวนโหวติ้งกว๋อ!ไม่กล้าพูดมาก รีบไปเอามาอีกหนึ่งไหทันที ดึงฝาทิ้ง หลิงเชียนอี้แหงนหน้าดื่มทันที ฤทธิ์เหล้าที่เผ็ดร้อนทำให้คอของเขาร้อนระอุเหมือนลุกเป็นไฟ รู้สึกทรมาน แต่เมื่อนึกถึงคนที่เมาแล้วก็ยังลืมไม่ได้ เขายิ่งทรมาน และยิ่งดื่มหนักขึ้นอีกสายตาของแขกที่อยู่โดยรอบมองมาไม่น้อย ต่างวิจารณ์เสียงเบา“พวกเจ้าดูสิ คนคนนี้เป็นอะไร?”“ดื่มมากเช่นนั้น ดูสภาพที่หมดอาลัยตายอยาก น่าจะเจอเรื่องแย่ๆ มากระมัง”“หรือญาติของเขาตาย?”“เขาคงจะไม่อาละวาดกระมัง พวกเรานั่งห่างหน่อยดีกว่า…”
ภายในห้องของเด็กสาว มีกลิ่นหอมจางๆ ลอยอบอวล โทนสีชมพูแลดูอบอุ่นผ่อนคลาย แต่กลับมีร่างของผู้ชายล้มอยู่บนเตียงกลิ่นเหล้าที่เข้มข้น ลอยตลบไปทั่วทั้งห้อง“คุณหนู น้ำแกงสร่างเมามาแล้วเจ้าค่ะ”สาวใช้ยกน้ำแกงที่เพิ่งต้มเสร็จ ส่งให้ด้วยสองมือกู้ชิงชิงรับมา กวาดมองบนเตียงแวบหนึ่ง นางกล่าว “พวกเจ้าถอยออกไปให้หมด ข้าไม่อนุญาต ห้ามเข้ามาเด็ดขาด”“เจ้าค่ะ”สาวใช้ถอยออกไปพร้อมกับปิดประตูภายในห้องที่ปิดตาย เหลือเพียงกู้ชิงชิงกับหลิงเชียนอี้สองคนนางเดินไปที่ข้างเตียง ตักน้ำแกงสร่างเมาขึ้นมาหนึ่งช้อน เป่าแล้วเป่าอีก ยื่นไปที่ข้างปากเขา“ดื่มมากเช่นนี้จึงจะมาหาข้า ทำไม คำว่า ‘ข้าจะแต่งงานกับเจ้า’ มันพูดยากมากเลยหรือ?”หลิงเชียนอี้หลับตา ไม่ขยับ เหมือนเมาจนหมดสติไปแล้วนางไม่ใส่ใจ เพียงแค่ยิ้มแล้วยิ้มอีก“แต่อย่างไรเจ้าก็ยอมก้มหัวแล้วไม่ใช่หรือ? ข้าเคยบอกแล้ว ตระกูลกู้ไม่ได้รังแกง่ายๆ หากเจ้ายอมแต่งงานกับข้าโดยดีตั้งแต่แรก แล้วมันจะเกิดเรื่องมากมายตามมาได้อย่างไร?”หลิงเชียนอี้หลับตา ไม่ได้ตอบ ราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรเลยกู้ชิงชิงป้อนน้ำแกงสร่างเมาเข้าปากของเขาอย่างสบายๆ พลางกล่าวอย่างใจ
หลังจากนั้นสองวันบัตรเชิญสีแดงฉบับหนึ่งถูกส่งไปยังจวนอ๋องเฉินโดยคนรับใช้ของจวนโหวติ้งกว๋อ เมื่อถงเฟยเห็น นางพูดหยอกล้อประโยคหนึ่ง“ช่วงนี้จวนโหวติ้งกว๋อมีเรื่องดีอะไรนะ? งานเลี้ยงครบรอบหนึ่งปีของจวิ้นจู่น้อยเหมือนจะยังไม่ถึงกระมัง?”เมื่ออวิ๋นอิงเห็นบัตรเชิญสีแดงนั่น นางขมวดคิ้วทีหนึ่งฉู่เชียนหลีรับมาเปิดดูเมื่อเห็นเนื้อหาข้างใน…รอยยิ้มที่มุมปากแข็งค้างบนใบหน้าทันที กลิ่นอายรอบตัวก็ขรึมลงด้วยเช่นกัน อวิ๋นอิงเห็นดังนี้ รู้สึกแน่นหน้าอกเล็กน้อย เหมือนกับถูกน้ำเย็นราดใส่ศีรษะหลังจากที่ท่านโหวน้อยกล่าวคำพูดเหล่านั้นกับนาง นางก็ไม่ได้เจอเขามาสองวันแล้ว… เหมือนกับเขาหายไปทั้งเช่นนี้ ไร้การปรากฏตัว ไร้การเคลื่อนไหว หลังจากนั้นสองวัน ส่งบัตรเชิญฉบับหนึ่งมาโดยตรง…“ข้างในเขียนอะไรไว้หรือ?” ถงเฟยกล่าวถามฉู่เชียนหลีเม้มปากแน่น ปลายนิ้วมือที่จับบัตรเชิญซีดเล็กน้อย ราวกับจะบีบบัตรเชิญแหลกเป็นชิ้นๆถงเฟยรู้สึกถึงความผิดปกติ รีบเอื้อมมือไปแย่งมาดูเมื่อดูปฏิกิริยาไม่ต่างกับฉู่เชียนหลี“งานหมั้นของท่านโหวน้อยกับคุณหนูตระกูลกู้…” กล่าวอย่างตะลึงงันพริบตานั้น ร่างกายอวิ๋นอิงส