“พี่อวี๋ ขอบคุณที่ท่านนำข่าวนี้มาบอกแก่ข้า ยังทำให้ท่านต้องมาเสียเที่ยวอีก”“อย่าพูดเช่นนี้ ข้าก็ไม่ชอบหน้าคางคกขึ้นวออย่างอ๋องหลีนั่นเหมือนกัน เมื่อก่อนรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ค่อนข้างซื่อสัตย์ ค่อนข้างว่านอนสอนง่าย ไฉนจะรู้เลยว่าจะเป็นอย่างเช่นตอนนี้...”“ตอนนี้เป็นแบบไหน?”ทันใดนั้น ก็มีเสียงของผู้ชายดังขึ้นทั้งสองคนตกตะลึงทันที หันหน้ากลับไปมองโดยไม่ได้นัดหมายเฟิงเจิ้งหลีชายหนุ่มเอามือไพล่หลังเดินเข้ามา พ่อบ้านเฒ่าขวางเอาไว้ไม่อยู่ “ท่านอ๋องหลี บ่าวยังไม่ได้รายงาน ท่านห้ามเข้า...”“พ่อบ้าน เจ้าไปทำงานเถอะ” ฉู่เชียนหลีเอ่ยปากพูดพ่อบ้านชะงักไป ลังเลครู่หนึ่ง ก้มหน้าลง ถอยออกไปอย่างเงียบ ๆก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านอ๋องอยู่ จะยอมให้อ๋องหลีมาทำตัวอวดดีเช่นนี้ได้อย่างไร?เป็นเพราะอ๋องหลีรู้ว่าท่านอ๋องไม่อยู่ ในจวนไม่มีคนที่สามารถสยบเขาได้ เจตนามาโอ้อวดแสนยานุภาพพระชายาอ๋องติ้งขมวดคิ้ว“ไม่ทราบว่าท่านอ๋องหลีมาด้วยธุระใด?”ชายหนุ่มเดินเข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่นบนใบหน้า“ข้าก็ว่าเหตุใดฉู่เชียนหลีถึงรู้เรื่องที่ฉู่เจียวเจียวถูกกักขัง ที่แท้ก็เป็นเพราะพระชายาอ๋องติ้งแอบช่วยเ
“เจ้า!”คำพูดของเขาแทงลึกเข้าไปในหัวใจที่เจ็บปวดของหลิงเชียนอี้ใช่เขาเป็นเด็กที่ไม่รู้ความ ปกป้องอวิ๋นอิงได้ไม่ดี ให้ทุกสิ่งที่นางต้องการไม่ได้ แต่เขากำลังพยายามมากอยู่ทุกวันเฟิงเจิ้งหลีแสยะยิ้มผลักหลิงเชียนอี้ออก หันหน้ามองไปทางฉู่เชียนหลีแสยะยิ้มประหลาดหลังจากมองแวบหนึ่ง ก็สะบัดแขนเดินออกไป“ท่านน้าสะใภ้...”หลิงเชียนอี้เก็บจดหมายที่เป็นก้อนกลมบนพื้นขึ้นมา อ่านเนื้อหาด้านใน สีหน้าซีดขาวการรบครั้งแรก อ๋องเฉินพ่ายแพ้นับตั้งแต่ที่ตนจำความได้ ท่านน้าได้รับชัยชนะมาโดยตลอด ไม่เคยรบแพ้ นี่ไม่ใช่เค้าลางที่ดี แต่เป็นเพราะการเข้าร่วมของอ๋องหลี จึงทำให้เรื่องราวกับกลายเป็นซับซ้อนเขารีบลุกขึ้นยืน“ข้าไม่สนใจว่าเฟิงเจิ้งหลีออกมาจากจวนเฟิงเหรินได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อว่าเสด็จปู่จะเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของท่านน้า ข้าจะเข้าวังไปหาเขาเดี๋ยวนี้”ไม่พูดพร่ำทำเพลง ก็สาวเท้าวิ่งออกไปทันที“ท่านโหวน้อย...”ไม่รอให้ตะโกนเรียกไปมากกว่านี้ เขาก็ได้วิ่งหนีไปแล้วฉู่เชียนหลีเท้าโต๊ะทำงาน แล้วนั่งกลับลงไปด้วยความเหนื่อยล้า นวดคลึงหว่างคิ้วด้วยความอ่อนเพลีย สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจและ
ฝ่าบาทสีหน้าเย็นชา ตบโต๊ะ บรรยากาศความน่าเกรงขามบนร่างกายปรากฏขึ้นดวงตามองตรงไปยังหลิงเชียนอี้อย่างเคร่งขรึม กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ“เต๋อฝู ส่งตัวท่านโหวน้อยออกไป !”หลิงเชียนอี้สะอึกในลำคอ ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างอุดตันอยู่ ตอนที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ถูกเต๋อฝูลากตัวออกไปอย่างลนลานเฮ้อ!พูดให้มันน้อยหน่อยเถอะถ้าหากฝ่าบาททรงกริ้วขึ้นมา คงจะห้ามไม่อยู่สุดท้าย หลิงเชียนอี้ก็ต้องออกไปอย่างไม่พอใจ และไม่เต็มใจ ออกจากวังหลวง ด้วยสีหน้าไม่พอใจ ดูไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ยังโมโหไม่น้อยอีกด้วยฝ่าบาทกับอ๋องหลีจะต้องมีความลับกันแน่ ๆ!เฟิงเจิ้งหลีคนนี้ พูดอะไรกับฝ่าบาทกันแน่ ไม่คิดเลยว่าฝ่าบาทจะทรงถือหางเขาเช่นนี้!เฟิงเจิ้งหลีมีแผนร้ายอะไรกันแน่?เขาขมวดคิ้วแน่น เตรียมที่จะกลับไปให้โหวติ้งกว๋อกับองค์หญิงใหญ่ช่วยเหลือ ตอนที่เดินไปถึงที่แห่งหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีคนเรียกเอาไว้“หลิงเชียนอี้”“หืม?”หันหน้ากลับไปด้วยจิตสำนึกบริเวณทางแยกของถนนสองสาย หญิงสาวอายุน้อยรูปร่างอรชรคนหนึ่งค่อย ๆ เดินเข้ามาหา นั่นก็คือกู้ชิงชิงบุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลกู้หลิงเชียนอี้ขมวดคิ้ว“ทำไมถึงเป็นเจ้
ช่วงสองวันมานี้ จวนอ๋องเฉินเงียบสงบเฟิงเจิ้งหลีกลับมาจากประชุมขุนนาง นั่งลงที่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ ยืดเส้นยืดสายอย่างเกียจคร้าน นวดข้อมือ รับชาที่อูหนูยื่นมาให้ จิบหนึ่งอึก“เฟิงเย่เสวียนจะตาย?”อูหนูถามชาเข้าใกล้ริมฝีปาก ก็หยุดชะงักลง“ไม่มีทาง” เขาวางถ้วยชาลง “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบอ๋องเฉิน และจุดประสงค์ที่พวกเราร่วมมือกัน ก็คือเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ เจ้าได้อ๋องเฉิน ข้าได้ฉู่เชียนหลี”เห็นได้ชัดว่าอูหนูพอใจกับคำตอบนี้มาก ได้รับคำยืนยันจากอ๋องหลี ก็ยิ่งเต็มใจทำงานให้เพื่อเขามากขึ้นกว่าเดิม“แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยเชื่อฟัง”เขาเหลือบตาขึ้น หันไปมองอูหนูด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม“ข้าจะทำให้เขาพิการก่อน ค่อยมอบให้เจ้า ถึงตอนนั้น เขาทำได้เพียงยอมให้เจ้าจัดการ เป็นอย่างไร?”อูหนูเลิกคิ้วขอเพียงแค่ได้อ๋องเฉินก็พอ ไม่สนว่าเขาจะพิการหรือไม่ ดีหรือไม่ดี ขอเพียงแค่ไม่ตายก็พอทันทีที่นึกถึงภาพที่อ๋องเฉินเชื่อฟังนาง นางก็รู้สึกสบายใจมาก“ลำบากอ๋องหลีแล้ว”“ไม่ต้องเกรงใจ” เฟิงเจิ้งหลียิ้ม “สองวันมานี้ เหตุใดจึงไม่ได้รับข่าวความเคลื่อนไหวจากทางจวนอ๋องเฉินเลย?”เมื่อเอ่ยถึง
จวนอ๋องเฉินเมื่อฉู่เชียนหลีกลับถึงจวน สั่งให้จิ่งอี้รับผิดชอบดูแลเรื่องของทางนั้น ร่างกายนางหนัก ทำงานได้ไม่นานก็ต้องพักผ่อน แต่ว่าอารมณ์ของนางในเวลานี้แตกต่างจากเมื่อสองวันก่อนโดยสิ้นเชิงแม้แต่กินข้าวก็อร่อยขึ้นไม่น้อยบนโต๊ะอาหารถงเฟยยังกังวลอยู่ฉู่เชียนหลีคีบผักให้นาง “เสด็จแม่ เลิกคิดมากได้แล้ว เฟิงเย่เสวียนจะกลับมาแน่นอน ไม่เกินหนึ่งเดือน เขาจะกลับมา”ถงเฟยกินอาหารไม่รู้รส สีหน้าซีดเซียว“เขาแพ้สงคราม และไม่รู้ว่าตอนนี้กินอิ่มหรือไม่ บาดเจ็บหรือไม่…”“เสด็จแม่ ท่านเชื่อใจข้าหรือไม่?”“ข้า…”ถงเฟยมองสายตาที่จริงจังและหนักแน่นของฉู่เชียนหลี คำพูดที่เป็นกังวลมาถึงปลายลิ้นก็หยุดเอาไว้นางรู้ว่าฉู่เชียนหลีจะพยายามคิดหาวิธีช่วยเฟิงเย่เสวียนทุกวิถีทางนางรู้ว่าฉู่เชียนหลีจะไม่นั่งรอความตายเวลานี้ นางแค่เจ็บใจที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าเฟิงเย่เสวียนมีอันตราย กลับไม่สามารถให้ความช่วยเหลือที่มีประโยชน์“เสียวฉู่ เจ้าใกล้จะถึงวันคลอดแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าพยายามและฝืน สุขภาพสำคัญที่สุด ถ้าหากต้องการอะไร บอกข้าได้เลย ข้าก็อยากช่วยแบ่งเบาเท่าที่จะทำได้”“ข้าทราบ
แววตาฉู่เชียนหลีขรึมลง“ใช่แล้ว” เฟิงเจิ้งหลีเดินเข้ามาใกล้ขึ้นสองสามก้าว “สิ่งที่เจ้าทำ…อืม…เจ้าของที่เรียกว่าระเบิดนี่ ใช้ดีมาก”เขาแบฝ่ามือออกบนฝ่ามือ มีหนึ่งลูก“คิดไม่ถึงว่าเอากำมะถัน ถ่าน ดินประสิว ของที่ไม่สะดุดตาเหล่านี้มาผสมกัน ก็สามารถทำของเล่นที่ร้ายกาจเช่นนี้ ข้าเรียนรู้แล้ว ลำบากเสียวฉู่แล้ว”“เจ้า!”ม่านตาฉู่เชียนหลีหดเล็กน้อยความหมายของเขาคือ…นางพุ่งพรวดออกไป “เฟิงเจิ้งหลี!”เขาเจ้าเล่ห์นัก!“เสียวฉู่ ร่างกายเจ้าหนัก อย่าใจร้อนนักสิ” เขาจับแขนของนาง พลางคว้าไว้แน่น ทำให้นางไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือ และขยับตัวไม่ได้เขายิ้มอย่างชั่วร้าย“เจ้าว่าหากข้ามอบระเบิดเช่นนี้ให้กับซยงหนูในปริมาณมาก เฟิงเย่เสวียนจะแพ้อย่างย่อยยับหรือไม่?”“เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร? เจ้ารู้ตำแหน่งของที่นี่ได้อย่างไร? เฟิงเจิ้งหลี ทั้งๆ ที่ข้าหลบสายตาคนของเจ้าแล้ว และข้างกายข้าก็มีแต่คนสนิทที่ไว้ใจได้ ตกลงเจ้าทำได้อย่างไรกันแน่!”นางถามด้วยความโกรธอาจเพราะอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป จึงกระทบต่อท้อง ทำให้ท้องของนางปวดกระตุกอย่างคลุมเครือ“ข้าเคยบอกแล้ว ให้เจ้าใจเย็นๆ ไม่เช่นนั้นคนที่เสีย
ถ้าหากเฟิงเย่เสวียนเป็นอะไรไป นางก็ไม่ขออยู่บนโลกใบนี้แล้วฉู่เชียนหลีหายใจเร็วเกินไป สมองขาดออกซิเจนจนหายใจไม่ทัน นางวูบไปสองวินาที ภาพตรงหน้าดับลงครู่หนึ่ง เกือบจะล้มลงพื้น“คุณหนู!”“พระชายา!”จิ่งอี้พุ่งเข้าไปอย่างฉับไว ตอนที่ประคองนาง ฝ่ามือของเขาบังเอิญไปชนโดนฝ่ามือเยว่เอ๋อร์พริบตานั้น เยว่เอ๋อร์เหมือนถูกไฟช็อต ร่างกายสั่นสะท้าน รีบดึงมือกลับทันที นางก้มหน้า แก้มกลายเป็นสีแดงอย่างรวดเร็ว…ตอนที่จิ่งอี้มองนางจู่ๆ มีอะไรบางอย่างแลบเข้ามาในสมอง…ทันใดนั้น เขาเอ่ยปาก“คุณหนู ฐานที่ชานเมืองของพวกเราถูกเก็บเป็นความลับ ข้าสงสัยว่ามีคนปล่อยข่าวให้อ๋องหลี อ๋องหลีจึงหันมาตลบหลังพวกเรา”“เหมือนกับตอนที่อยู่ในหุบเขา ตำแหน่งของหุบเขาถูกเก็บเป็นความลับ อ๋องหลีกลับหาเจอ ก็เป็นคนคนนี้เช่นกันที่ปล่อยข่าวให้อ๋องหลี”เมื่อทุกคนได้ยิน แต่ละคนยืดหลังตรง ตื่นตัวขึ้นมาทันทีใช่!เหตุใดก่อนหน้านี้พวกเขาจึงคิดไม่ถึงนะ?มีหนอนบ่อนไส้แน่นอน!“คุณหนู คุณชายจิ่งพูดมีเหตุผล ในกลุ่มของพวกเราต้องมีคนของอ๋องหลีแน่นอน อ๋องหลีถึงได้รู้การเคลื่อนไหวของพวกเราอย่างละเอียด!” ผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งขอ
ไม่อยากสงสัยใครทั้งนั้นหรือสายลับที่อ๋องหลีวางไว้เป็นคนอื่นกระมัง…มองดูระเบิดที่เตรียมไว้กลายเป็นซากปรักหักพังที่ไหม้เกรียมอีกด้านหนึ่ง นางรู้สึกเพียงเวียนศีรษะ ร่างกายเหนื่อยล้า อยากล้มกายลงไป นอนโดยไม่ต้องคิดอะไรสักงีบไม่อยากคิดอะไรทั้งสิ้น ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น นอนจนตราบสิ้นฟ้าดินสลาย นอนจนอิ่มอกอิ่มใจฉู่เชียนหลีหลุบตาที่มืดสลัวลง“กลับเถอะ”ค่อยๆ ยกเท้าที่แข็งขึ้น หมุนกายทีหนึ่ง แผ่นหลังที่บอบบางนั้นดูแล้วเปล่าเปลี่ยวมาก ทำให้รู้สึกปวดใจนัก“คุณหนู…”จิ่งอี้รู้สึกเจ็บเล็กน้อยขณะหายใจไม่ได้ปกป้องนางให้ดี เขาโทษตัวเองพลันเขาก้าวเข้าไปอย่างฉับไว อุ้มนางขึ้น แล้ววางลงบนรถม้าอย่างระมัดระวังในช่วงเวลาสั้นๆ ขณะที่ขึ้นรถม้า เขาหันหลังให้ทุกคน ใช้เสียงที่สามารถได้ยินแค่ระหว่างพวกเขาสองคน กล่าวอย่างลังเล“คุณหนู ข้ามีคำพูดหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าควรพูดหรือไม่”ไม่พูด เขาเคลือบแคลงพูดแล้ว ก็กลัวนางคิดมากฉู่เชียนหลีฝืนหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง“เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีก? พูดเถอะ ไม่ว่าแย่แค่ไหน ข้าก็รับไหว”จิ่งอี้หลุบตา ใช้หางตากวาดมองด้านหลังอย่างเงียบๆ