ในตำหนักหนิงโซ่วหมอหลวงทุกคนคุกเข่าก้มศีรษะลงกับพื้นด้วยความสั่นเทา“ฝ่าบาท จิ้นอ๋อง ไท่ซ่างหวง...”"สิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ"“พวกกระหม่อมไร้ความสามารถ!”บนเตียง พระหัตถ์ของไท่ซ่างหวงค่อยๆ วางลงเสิ่นเซียงจวิ้นก็คุกเข่าลงบนพื้นโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเสียใจ เสียใจที่เข้ามาเกี่ยวพันในเวลานี้ใครจะรู้ว่าไท่ซ่างหวงจะสิ้นพระชนม์ในเวลานี้? นางคิดว่าอย่างน้อยพระองค์ยังสามารถประคับประคองได้อีกสักพัก!ไทเฮาทรงกันแสงอนาคตพระนางคงต้องเรียกแทนตัวเองว่าอัยเจีย[1]แล้ว?ฮ่องเต้ทรงปิดพระเนตรแน่น น้ำพระเนตรหยดหนึ่งก็ไหลลงมาจากหางพระเนตร“ข้า...ไม่มีเสด็จพ่อแล้ว”พระองค์ทรงยกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลงเสียงร้องไห้แผ่กังวาน ผู้คนในทั้งตำหนักหนิงโซ่วต่างคุกเข่าลงร่ำไห้จิ้นอ๋องมองไปที่ไท่ซ่างหวงที่ไร้ชีพอยู่บนเตียง รู้สึกเจ็บปวดทรมานยิ่งที่หัวเข่า กระดูกปวดจนชาขึ้นมาในเวลานี้เขาไม่สามารถยืนได้เลย“เสด็จพ่อ…” เสียงของจิ้นอ๋องเบามากไท่ซ่างหวงสิ้นพระชนม์ทั้งพระราชวังเริ่มแขวนด้วยผ้าสีขาวและโคมไฟสีขาวภายใต้พระราชโองการ ราชวงศ์ต้าโจวถูกสั่งห้ามจัดงานรื่นเริงห้ามง
เดิมลู่เจาหลิงที่หลับไปเป็นครึ่งค่อนวันถึงฟื้นกำลังขึ้นมาเล็กน้อย แต่คราวนี้ก็ใช้จนหมด ทั้งยังเสียสมดุลไม่น้อยตอนนี้นางรู้สึกว่ามือของนางกำลังสั่นจิ้นอ๋องกลับรู้สึกว่าตัวเองเริ่มดีขึ้นแล้วเขาส่งสัญญาณให้ชิงเฟิงถอยไป เอื้อมมือไปจับมือของลู่เจาหลิง เมื่อเขาก้มมองลงดู ก็ตระหนักว่าคอเสื้อของเขาถูกเปิดออกอีกครั้ง“เจ้ากับข้าพบกันมาแล้วสองครั้ง เจ้าก็เปลื้องเสื้อข้าทั้งสองครั้ง” เขากล่าวลู่เจาหลิงหัวเราะ “ท่านคิดว่าข้าเต็มใจหรือ? ยังไม่ช่วยพยุงข้าลุกขึ้นอีก?”ชิงเฟิงถอยห่างไปสองก้าว ก้มศีรษะลงเฝ้าอารักขาแต่คุณหนูลู่พูดจาหยาบคายกับท่านอ๋องเสียจริงจิ้นอ๋องพยุงนางลุกขึ้น ขณะที่เขากำลังจะปล่อยมือ ขาของลู่เจาหลิงก็อ่อนแรง เกือบจะล้มลงอีกครั้ง เขาก็รีบเอื้อมมือไปโอบเอวของนางไว้เมื่อโอบนางเช่นนี้ ก็รู้สึกได้ถึงร่างกายของนางที่สั่นเทานี่เป็นสัญญาณของการหมดเรี่ยวแรงเขาเม้มริมฝีปาก เข้าใจว่านางต้องใช้พละกำลังอย่างมากเพื่อช่วยเขาแต่ว่า...จิ้นอ๋องมองไปที่ไท่ซ่างหวงบนเตียงทันทีในเมื่อเขายังไม่ตาย เป็นไปได้ไหมที่สามารถช่วยไท่ซ่างหวงฟื้นคืนมาได้?“เจ้าก็สามารถช่วยไท่ซ่างหวงได้ใช่
นี่มันหมิ่นพระบรมเดชานุภาพอย่างยิ่ง!ไท่ซ่างหวงเพิ่งสิ้นพระชนม์ ศพยังมิคลายอุ่นเลย ทั้งยังนอนอยู่บนเตียงและจิ้นอ๋องกลับโอบกอดหญิงสาวอย่างสนิทสนมตรงหน้าเตียง!นี่มันกตัญญูเกินไปเสียจริง!แม้แต่ฮ่องเต้ที่ทรงพระราชปณิธานให้ไท่ซ่างหวงเข้าสู่แดนสุขาวดีโดยเร็ววัน ตอนนี้รู้สึกว่ามันไม่คุ้มสำหรับไท่ซ่างหวงเสด็จพ่อ นี่ก็คือโอรสน้อยที่ท่านทรงโปรด! ท่านรีบลืมตามาดูว่าเขากตัญญูแค่ไหน!ฮ่องเต้เสด็จไปออกพระราชโองการ จัดการเสร็จกับงานที่ต้องทำ พระองค์ก็เสด็จไปดูไท่เฮาที่สลบไป จากนั้นทรงคิดว่าควรเสด็จมาดูไท่ซ่างหวงอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าได้ทรงเห็นฉากตรงหน้านี้“โจวสือเยว่ เจ้าไม่กลัวว่าเสด็จพ่อจะตามไปพบเจ้าในกลางดึกหรือไง!”ฮ่องเต้ยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เมื่อเห็นว่าจิ้นอ๋องยังคงโอบหญิงสาวไว้ไม่ปล่อยมือ“เจ้าปล่อยนางลง ให้ข้าดูสิว่าเป็นหญิงผู้ใดที่ไร้ยางอาย กล้าที่จะถวายตัวมาโอบกอดเจ้าในเวลาและสถานที่เช่นนี้!”ความคิดแรกของฮ่องเต้คือ คนผู้นี้คือคนในวังหลังอีกทั้งเป็นฝ่ายริเริ่มที่จะอิงแอบแนบชิดซบอยู่ในอ้อมอกของจิ้นอ๋องท้ายที่สุดเท่าที่พระองค์รู้ จิ้นอ๋องมีนิสัยรักสันโดษมาตั้งแต่วัยเยาว์ ยิ่
จิ้นอ๋องเลิกคิ้ว“ข้าไม่ชอบเสิ่นเซียงจวิ้น แต่เสด็จพ่อคิดว่านางเป็นคนดี แต่งนางเข้าจวนอ๋องมาก็ใช่ว่าจะมิได้?”“อย่างนั้นจะใช้ได้ที่ไหนเล่า?” ฮ่องเต้เกลี้ยกล่อมไม่ยอมหยุดด้วยเจตนาดี วางตัวเหมือนเป็นพี่ชายที่แสนดี “ข้าก็หวังว่าเจ้าจะแต่งงานกับสตรีที่เจ้าชอบด้วย”“แต่ข้าไม่มีสตรีที่ข้าชอบ แต่งกับใครก็เหมือนกันมิใช่หรือ” จิ้นอ๋องพูดอีกครั้งพระทัยของฮ่องเต้เต้นผิดจังหวะเพราะจิ้นอ๋องได้ยินคำพูดสุดท้ายของไท่ซ่างหวงก่อนที่จะเสียชีวิต จึงตัดสินใจแน่วแน่ที่จะแต่งงานกับเสิ่นเซียงจวิ้นงั้นหรือ?ยิ่งเขาอยากแต่งงานมากเท่าไร ฮ่องเต้ก็ยิ่งสงสัยว่ามีลับลมคมใน ยิ่งไม่ทรงเห็นด้วยมากขึ้นเท่านั้น“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ใช่เคยมาขอประทานงานสมรสหรอกรึ? นั่นไม่มีหญิงที่เจ้าชอบแล้วรึ?”“เป็นสาวน้อยที่ข้าต้องใจระหว่างทาง นางมาจากชนบท ดูแปลกใหม่ดี เดิมทีข้าคิดว่าเสด็จพ่อพระวรกายไม่สู้ดี ข้าจึงอยากจะแต่งชายาสักคน เพื่อให้ท่านมีความสุข มิใช่ว่าจะชอบนาง”จิ้นอ๋องดูเหน็บแนมเล็กน้อย ราวกับว่าเขาล้อเลียนฮ่องเต้ที่คิดว่าเขาหลงรักหญิงสาวแบบใดน้ำเสียงของเขาเมื่อพูดถึงหญิงผู้นั้นไม่ได้จริงจัง ฟังดูแค่ทำเป็นเล่นแ
ชิงอินและชิงหลินฝึกฝนเป็นเวลาสิบปี และรอคอยท่านอ๋องกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อจะได้ปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขา ผลสุดท้ายเมื่อจิ้นอ๋องกลับมา พวกนางพบหน้ากันแล้ว หลังจากนั้นก็ถูกส่งไปยังจวนสกุลลู่หากจะบอกว่าในใจพวกนางไม่ผิดหวังเลยนั้นก็คงเป็นไปไม่ได้แต่พวกนางได้รับการสั่งสอนจากชิ่งหมัวมัว ในเมื่อมาแล้วก็ต้องทำงานให้ดี ดังนั้นเรื่องการดูแลลู่เจาหลิง พวกนางทั้งสองจึงไม่คิดจะลักไก่ชิงหลิงไปเตรียมน้ำร้อนให้ลู่เจาหลิงอาบน้ำส่วนชิงอินเป็นคนยกน้ำแกงบำรุงร่างกายเข้ามา และตอนที่ป้อนน้ำแกงให้ลู่เจาหลิงดื่มก็ระมัดระวังเช่นกันนางเอาแต่คิดอยู่ตลอด ว่าลู่เจาหลิงเข้ากับคนอื่นได้ง่าย หรือจะทรมานคนใช้อย่างพวกนางสองคนหรือไม่ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจู่ ๆ ลู่เจาหลิงจะถามคำถามเช่นนี้กับนางช่วงนี้เจ้าฆ่าคนหรือ?“อย่ากังวลไป” ลู่เจาหลิงเอ่ยหลังชิงอินวางถ้วยน้ำแกงเรียบร้อย และก็ยืนอยู่หน้าเตียง “คุณหนูลู่คิดจะลงโทษชิงอินหรือเจ้าคะ?”ยอมรับแล้วหรือ?ลู่เจาหลิงเลิกคิ้วขึ้น และดูเหมือนว่าสาวใช้ที่จวนจิ้นอ๋องส่งมา จะยังมีความหยิ่งเล็กน้อย...ไม่คู่ควรแก่การโกหกหรือจะบอกว่า การยอมรับอยู่ตรงหน้านางก็ไม่ใช่
“ใช้น้ำล้างอย่างเดียวล้างไม่ออกหรอก กลับมา”ลู่เจาหลิงเรียกให้ชิงอินหยุดชิงอินจึงทำได้เพียงเดินกลับเข้ามาอีกครั้ง“ยื่นมือออกมา”ชิงอินยื่นมือขวาไปตรงหน้านาง และมองนางอย่างไม่เข้าใจเห็นมือของลู่เจาหลิงคลุมอยู่บนมือของนางเบา ๆ ทันใดนั้นชิงอินก็รู้สึกว่ามือของตัวเองเย็นเล็กน้อยลู่เจาหลิงเคลื่อนมือออก และสะบัดมันเบา ๆ ชิงอินมองมือของตน รูม่านตาก็หดตัวลง เพราะในเวลานี้ นางเห็นชั้นฝุ่นสีดำเทาค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือและนิ้วมือของตนเองอย่างชัดเจนราวกับบนมือที่เปื้อนเถ้าถ่านจากหม้อก็มิปานแต่ก่อนหน้านี้มือของนางล้างสะอาดแล้วชัด ๆ!แถมนางยังเบิกตาโพลงและเห็นชั้นสีเทาดำนี้ซึมออกมาจากผิว!“เอาอ้ายเฉ่ากับใบทับทิมไปแช่น้ำ และล้างสามรอบ” ลู่เจาหลิงเอ่ยชิงอินรีบหมุนกายและวิ่งออกไปในทันทีเป็นเพราะรีบมาก จนตอนที่ออกไปเกือบจะชนเข้ากับชิงหลิงแล้ว“ชิงอิน เหตุใดถึงบุ่มบ่ามเยี่ยงนี้เล่า?” ชิงหลิงตกใจ พวกนางได้รับการสั่งสอนมาจากชิ่งหมัวมัว และไม่เคยบุ่มบ่ามเยี่ยงนี้มาก่อน เกิดอะไรขึ้นกับชิงอิน?นางเห็นมือที่ชิงอินยกขึ้นอีกครั้ง “เหตุใดมือของเข้าถึงสกปรกเยี่ยงนี้?”น้ำเสียงของชิงอินส
ไทเฮาทรงเอ็นดูเขามาแต่ไหนแต่ไร!“จิ้นอ๋องรังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว คนชั้นต่ำน้อยนั่นเป็นอนุของข้า และคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแย่งไปแล้ว!”จูหมิงเฮ่ายิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห เป็นถึงท่านอ๋องแท้ ๆ เหตุใดถึงได้แย่งผู้หญิงกับซื่อจื่อจวนโหวอย่างเขากัน?ชิงฝูโหวฮูหยินสงสารจนน้ำตาไหล เมื่อได้ยินก็เอ่ยโดยไม่คิดอะไร “ท่านโหว ดูสิเจ้าคะว่าเฮ่าเอ๋อร์ของพวกเราถูกรังแกจนมีสภาพเป็นเยี่ยงไรแล้ว? ท่านในฐานะที่เป็นพ่อหากไม่หนุนหลังเขา พวกเราแม่ลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?”แม้ชิงฝูโหวจะสงสารบุตรชาย แต่ก็ยังคงสับสนอยู่“หมิงเฮ่าไปแย่งผู้หญิงกลางถนนมาเป็นอนุ แบบนี้จะมีหน้ามีตาได้เยี่ยงไร? ยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ แต่คนก็รู้จักกันหมดแล้วว่าเขาเอาอนุเข้ามาในจวน จนชื่อเสียงเสียหายหมดแล้ว!”อีกอย่างยังคงคิดจะไปแย่งกลับบ้านมาอย่างไร้ยางอายเช่นนั้น ได้ยินมาว่าแม่นางนั่นวิ่งหนีแล้ว เจ้าเด็กบ้านี่ยังพาคนไล่ล่าและสกัดกั้นไว้อีกนี่หมายความว่าเยี่ยงไร?หมายความว่าแม่นางนั่นเขาเป็นคนบังคับมา!เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชิงฝูโหวก็หายใจเข้าลึก ๆ “เฮ่าเอ๋อร์ เจ้าบอกพ่อมาตามตรง แม่นางนั่นเจ้าไปแย่งมากจากที่ใด? นางเต็มใจที่จะกลับจวนโหวกับเจ
ชิงอินชิงหลิงกำลังคิดจะพยุงลู่เจาหลิง แต่กลับได้ยินนางเอ่ย “กงกง ข้าบาดเจ็บสาหัส วิงเวียนศีรษะ หากคุกเข่าอาจเป็นลมได้ ขอยืนรับพระราชโองการแล้วกัน”“บังอาจ!” ลู่หมิงโมโหขึ้นมาในทันทีลู่เจาหลิงไม่มองเขาด้วยซ้ำ“หากเป็นลมแล้วคงรับพระราชโองการได้ไม่ดีนะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างราบเรียบขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการมองดูศีรษะที่พันไว้ของนาง จึงทำได้เพียงตอบตกลงแล้ว“เช่นนั้นคุณหนูรองลู่ก็ยืนรับพระราชโองการเถิด”เขาคลี่พระราชโองการสีทองอร่าม และอ่านออกมา“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ได้ยินมาว่าบุตรสาวสายตรงคนที่สองของลู่หมิง ลู่เจาหลิง มีทั้งความประพฤติดีและรูปร่างหน้าตาที่งดงาม อีกทั้งยังสุภาพอ่อนโยน มีน้ำใจและจริงใจ... จึงอนุญาตให้พระอนุชาของข้า พระราชทานให้เป็นพระชายาจิ้นอ๋อง และเลือกวันมงคลเพื่อทำพิธีอภิเษกสมรส จบพระราชโองการ”เสียงของขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการแหลมสูง น้ำเสียงก็ราบเรียบ และกำลังอ่านเนื้อหาของพระราชโองการต่อหน้าทุกคนในจวนสกุลลู่ทุกคนในจวนสกุลลู่ต่างตะลึงงันยิ่งลู่หมิงเกือบจะกระโดดขึ้นมาแล้วใบหน้าของลู่ฮูหยินบิดเบี้ยว ดวงตาลุกเป็นไฟ จ้องพระราชโองการนั้น