Share

บทที่ 12

ในตำหนักหนิงโซ่ว

หมอหลวงทุกคนคุกเข่าก้มศีรษะลงกับพื้นด้วยความสั่นเทา

“ฝ่าบาท จิ้นอ๋อง ไท่ซ่างหวง...”

"สิ้นพระชนม์แล้วพ่ะย่ะค่ะ"

“พวกกระหม่อมไร้ความสามารถ!”

บนเตียง พระหัตถ์ของไท่ซ่างหวงค่อยๆ วางลง

เสิ่นเซียงจวิ้นก็คุกเข่าลงบนพื้นโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นนางก็รู้สึกเสียใจ เสียใจที่เข้ามาเกี่ยวพันในเวลานี้

ใครจะรู้ว่าไท่ซ่างหวงจะสิ้นพระชนม์ในเวลานี้? นางคิดว่าอย่างน้อยพระองค์ยังสามารถประคับประคองได้อีกสักพัก!

ไทเฮาทรงกันแสง

อนาคตพระนางคงต้องเรียกแทนตัวเองว่าอัยเจีย[1]แล้ว?

ฮ่องเต้ทรงปิดพระเนตรแน่น น้ำพระเนตรหยดหนึ่งก็ไหลลงมาจากหางพระเนตร

“ข้า...ไม่มีเสด็จพ่อแล้ว”

พระองค์ทรงยกชายเสื้อคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าลง

เสียงร้องไห้แผ่กังวาน ผู้คนในทั้งตำหนักหนิงโซ่วต่างคุกเข่าลงร่ำไห้

จิ้นอ๋องมองไปที่ไท่ซ่างหวงที่ไร้ชีพอยู่บนเตียง รู้สึกเจ็บปวดทรมานยิ่งที่หัวเข่า กระดูกปวดจนชาขึ้นมา

ในเวลานี้เขาไม่สามารถยืนได้เลย

“เสด็จพ่อ…” เสียงของจิ้นอ๋องเบามาก

ไท่ซ่างหวงสิ้นพระชนม์

ทั้งพระราชวังเริ่มแขวนด้วยผ้าสีขาวและโคมไฟสีขาว

ภายใต้พระราชโองการ ราชวงศ์ต้าโจวถูกสั่งห้ามจัดงานรื่นเริงห้ามงานมงคลเป็นเวลาสามเดือน

ชิงเฟิงเข้าไปในตำหนักหนิงโซ่วกง แต่ภายในชั่วครู่เดียว พระราชวังก็กลายเป็นสีขาวไปหมดแล้ว และมีบรรยากาศแห่งความโศกเศร้าไปทุกที่

ไทเฮาร้องไห้จนเป็นลมไป ฮ่องเต้สั่งคนช่วยพาพระนางเสด็จกลับ

ห้องบรรทมเหลือเพียงฮ่องเต้และจิ้นอ๋อง

ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นยืนแล้ว พระองค์ตบไหล่จิ้นอ๋อง ตรัสด้วยเสียงที่เศร้าสร้อย "อาเยว่ นับจากนี้เป็นต้นไปเราสองพี่น้องจะคอยช่วยเหลือ..."

อั่ก!

จิ้นอ๋องกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

เลือดกระเซ็นลงบนพื้น กระจายวงกว้าง

“อาเยว่!” ฮ่องเต้อุทานด้วยความตกพระทัยอย่างยิ่ง

พระองค์มิได้ใช้กำลังใดๆ เลย! พระองค์แค่ตบไปเบาๆ ไฉนจิ้นอ๋องถึงอาเจียนเป็นเลือดได้?

“หมอหลวง!”

พระองค์ทรงตะโกนเรียกหาหมอหลวง จิ้นอ๋องใช้มือข้างหนึ่งคว้ากุมพระองค์ไว้ กลืนคาวเลือดในลำคอแล้วพูดว่า "เสด็จพี่ ข้าไม่เป็นไร ข้ากลับเมืองหลวงด้วยความเร่งรีบ เหนื่อยไปหน่อย"

"ไม่...ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?"

พระพักตร์ของฮ่องเต้ซีดเผือด

หากจิ้นอ๋องตายทันทีหลังไท่ซ่างหวงสิ้นพระชนม์ คนอื่นคงจะคิดไปว่า พระองค์คงแทบอดทนรนรอไม่ไหวที่จะปองร้ายจิ้นอ๋อง

ชื่อเสียงของพระองค์มิอาจมีอุปสรรค!

“ไม่เป็นไร เลือดค้างที่สะสมไว้ในก่อนหน้านี้ ถูกกระอักออกมากลับเป็นเรื่องดี”

ฮ่องเต้มองดูใบหน้าของเขาซึ่งดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อน ถอนหายใจด้วยความโล่งพระทัย "อาเยว่ เจ้าคงทนรับผลกระทบนี้ไม่ไหว ไม่ต้องกลัว ภายภาคหน้ายังมีข้า”

“เสด็จพี่ไปทรงงานก่อนเถิด ข้าจะอยู่ที่นี่กับเสด็จพ่ออีกสักครู่” จิ้นอ๋องกล่าว

ไท่ซ่างหวงได้จากไปแล้ว เรื่องพระราชพิธีต่างๆ ซับซ้อนมาก เป็นเรื่องจริงที่ในเพลานี้ฮ่องเต้ทรงยุ่งมาก

“เช่นนั้นข้าจะไปจัดการเรื่องพิธีกรรมของเสด็จพ่อก่อน เจ้าก็อย่าได้เศร้าเสียใจไปเลย เสด็จพ่อรักเจ้าที่สุดแล้ว”

ฮ่องเต้ทรงเช็ดน้ำพระเนตร แล้วออกจากตำหนักหนิงโซว่กง

จิ้นอ๋องได้สั่งให้ทุกคนออกจากตำหนัก

เขากุมหน้าอกและกระอักเลือดออกมาอีกคำหนึ่ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยรอยห้อเลือด ซึ่งแดงก่ำราวกับลูกตาโลหิต

หากใครได้พบเห็นเข้า คงรู้สึกตกใจมากอย่างแน่นอน

ทรวงอกของเขาเหมือนกับมีงูตัวเล็กที่กำลังบิดเจาะอย่างแข็งขัน มันเจ็บปวดทรมานทำเอาเขาเหงื่อท่วมจนเสื้อผ้าของเขาเปียกซึมทันที

"อือ..."

จิ้นอ๋องใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอกแล้วใช้มืออีกข้างยันบนพื้น มองดูไท่ซ่างหวงบนเตียง

ครั้งหนึ่งเสด็จพ่อได้ให้พระภิกษุผู้ทรงเกียรติมาสวดภาวนาในวัดบรรพบุรุษใช้วิชาลับเพื่อต่อชีวิตให้กับเขาถึงสิบปี เดิมทีเรื่องนี้ถูกปิดเป็นความลับต่อจิ้นอ๋อง แต่จิ้นอ๋องในวัยเยาว์นั้นฉลาดนัก สังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขาจึงเปลี่ยนตำราอธิษฐานในวิชาลับที่ใช้ เปลี่ยนการแลกชีวิตเป็นการร่วมเสพสุขอย่างกะทันหัน

หากโรคประหลาดของเขาไม่สามารถรักษาให้หายได้ ไท่ซ่างหวงก็มิอาจมีชีวิตรอดได้ ดังนั้นหลายปีมานี้เขาจึงออกตามหาผู้ที่มีความสามารถพิเศษ เพื่อช่วยตัวเขาเองและช่วยไท่ซ่างหวง

อย่างไรก็ตาม หากไท่ซ่างหวงสิ้นพระชนม์ เขาเองก็จะไม่รอดเช่นกัน

เรื่องนี้ ไท่ซ่างหวงมิทรงทราบเลยสักนิด

ไม่มีใครรู้ด้วย

ตอนนี้จิ้นอ๋องรู้สึกได้ว่าดวงตาของเขามืดสนิท การรับรู้กำลังจะจมลงสู่ความมืด

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ จิ้นอ๋องกลับนึกถึงลู่เจาหลิงอย่างประหลาด

โชคดีที่ยังไม่ทันได้พระราชทานงานแต่งให้

มิเช่นนั้น หญิงผู้นั้นช่างโชคร้ายจริงๆ เพิ่งกลับเมืองหลวง ก็อาจจะต้องกลายเป็นหญิงม่ายแล้ว

“ยังมาบอกว่าช่วยข้าได้...” จิ้นอ๋องค่อยๆ ล้มลง

“ท่านอ๋อง!”

ชิงเฟิงที่เพิ่งพาลู่เจาหลิงเข้าประตูก็ได้เห็นฉากนี้ทันที สีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความตกใจ รีบวิ่งไปทันที

เขาคิดว่าความเร็วของเขาเร็วพอแล้ว แต่เขาไม่คาดคิดว่าจะมีร่างหนึ่งที่พริ้วตามลมผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วกว่าเขาสองก้าว

ลู่เจาหลิงพยุงศีรษะของจิ้นอ๋องด้วยมือข้างหนึ่ง และอีกมือตบไปที่หน้าผากของเขาอย่างรวดเร็ว

“เสวียนเทียนผนึกลมปราณ รวบรวม!”

ทันใดนั้น ไอสีม่วงที่รั่วไหลกระจายออกจากตำหนักหนิงโซ่วก็รวบรวมกลับมารวมตัวกัน ราวกับว่ามันถูกบางอย่างเรียกกลับ

เหมือนเป็นการกรอย้อนกลับ

เพียงแต่ว่า ชิงเฟิงไม่สามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ คนอื่นก็มองไม่เห็นเช่นกัน

เขายืนเคียงข้างอย่างใจจดใจจ่อ แต่ไม่กล้าบุ่มบ่าม

เดิมทีอุณหภูมิร่างกายของจิ้นอ๋องลดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่นี้คือตัวเย็นชืดไปหมดแล้ว แต่ตอนนี้อุณหภูมิค่อยๆ เพิ่มขึ้นมา

จุดนี้ชิงเฟิงมองเห็นได้

เพราะเขามองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สีผิวของท่านอ๋องที่แต่เดิมเป็นสีเทาดำคล้ำนั้นค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ และเริ่มแดงระรื่อเล็กน้อย

ตอนเข้ามาในเมื่อครู่นี้ที่แทบไม่ได้ยินลมหายใจของท่านอ๋อง แต่ตอนนี้ลมหายใจของเขาค่อยๆ สงบลงแล้ว

แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นไอสีม่วง แต่ชิงเฟิงสามารถมองเห็นได้ว่า ในช่วงเวลาชี้เป็นชี้ตายของท่านอ๋อง ถูกคุณหนูลู่ดึงกลับมาแล้ว!

เขาจ้องมองที่ลู่เจาหลิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง

"พยุงเขาไว้"

ลู่เจาหลิงกล่าวกับเขา

ชิงเฟิงปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่รู้ตัว "ขอรับ!"

เขาก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อพยุงจิ้นอ๋อง

จากนั้นเขาก็เห็นลู่เจาหลิงเอื้อมมือไปจับคางของท่านอ๋อง แล้วเงยหน้าขึ้น

ชิงเฟิง?

การกระทำนี้ คนเจ้าสำราญอย่างไรอย่างนั้น!

ลู่เจาหลิงไม่มีความคิดเขินอายใดๆ นางแค่มองไปที่ใบหน้าของจิ้นอ๋อง จากนั้นก้มศีรษะลงและดึงเสื้อผ้าของเขาออกจากกันเล็กน้อย

ชิงเฟิง ‘ซี๊ด!’

เขาไม่กล้ามองลงไป! ถ้าท่านอ๋องรู้ว่าเขามองหน้าอกของเขา คงจะถูกท่านอ๋องถลกหนังเอาได้

แต่คุณหนูลู่กล้าดียังไง!

ลู่เจาหลิงไม่เพียงแต่กล้ามองเท่านั้น แต่ยังกล้าที่จะสัมผัสอีกด้วย

นางใช้มือกดไปบนหน้าอกของจิ้นอ๋อง

มวลของไอสีดำที่อยู่ใต้ผิวหนังในหน้าอกของเขานั้นหมุนวนชนปะทะกัน ดูแล้วเหมือนว่าในหน้าอกของเขากำลังแสดงฉากคลื่นทะเลพิโรธ เมื่อฝ่ามือของลู่เจาหลิงกดลง ราวกับมันได้ถูกระงับ ความเร็วของกระแสหมุนวนชนปะทะ ค่อยๆ ช้าลง

และในเวลานี้เอง ชิงเฟิงก็รู้สึกว่าร่างกายที่แข็งตึงของท่านอ๋องได้ผ่อนคลายลง

จิ้นอ๋องค่อยๆ ลืมตาขึ้น

เพียงแค่มองไปก็เห็นใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่เพียงเอื้อมมือ

ริมฝีปากของเขาขยับ เสียงที่ทุ่มต่ำ "ทำไมหน้าเจ้าถึงขาวเหมือนผี"

จู่ๆ ชิงเฟิงก็มองไปที่ลู่เจาหลิง ปรากฏว่าเพียงชั่วครู่เดียว สีหน้าของนางนั้นซีดเผือด มองไม่เห็นแม้แต่สีริมฝีปากของนางเลย ซีดราวกับผีจริงๆ!

มันน่ากลัวมากถึงขั้นสามารถทำให้คนกลัวจนร้องไห้ได้ตั้งแต่แรกเห็น

"จู่ๆ ข้าก็รู้สึกว่าการร่วมมือกับท่านนั้นเสียเปรียบไปหน่อย!"

ลู่เจาหลิงจ้องไปที่จิ้นอ๋อง ก่อนหน้านี้นางไม่เคยค้นพบว่า บนตัวของเขาถูกลงด้วยอาคมลับชะตาร่วม เกือบตายไปแล้ว!

“หากช้าไปหนึ่งก้าว ท่านคงเข้าประตูนรกไปพร้อมกับไท่ซ่างหวงแล้ว”

---------------------------------------------

[1] อัยเจีย เป็นสรรพนามที่ฮ่องไทเฮาใช้เรียกตัวเอง แปลว่า ผู้น่าสงสาร เพราะเป็นม่ายร้างพระสวามี

Related chapter

Latest chapter

DMCA.com Protection Status