ไทเฮาทรงเอ็นดูเขามาแต่ไหนแต่ไร!“จิ้นอ๋องรังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว คนชั้นต่ำน้อยนั่นเป็นอนุของข้า และคิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะแย่งไปแล้ว!”จูหมิงเฮ่ายิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห เป็นถึงท่านอ๋องแท้ ๆ เหตุใดถึงได้แย่งผู้หญิงกับซื่อจื่อจวนโหวอย่างเขากัน?ชิงฝูโหวฮูหยินสงสารจนน้ำตาไหล เมื่อได้ยินก็เอ่ยโดยไม่คิดอะไร “ท่านโหว ดูสิเจ้าคะว่าเฮ่าเอ๋อร์ของพวกเราถูกรังแกจนมีสภาพเป็นเยี่ยงไรแล้ว? ท่านในฐานะที่เป็นพ่อหากไม่หนุนหลังเขา พวกเราแม่ลูกจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด?”แม้ชิงฝูโหวจะสงสารบุตรชาย แต่ก็ยังคงสับสนอยู่“หมิงเฮ่าไปแย่งผู้หญิงกลางถนนมาเป็นอนุ แบบนี้จะมีหน้ามีตาได้เยี่ยงไร? ยังหนุ่มอยู่แท้ ๆ แต่คนก็รู้จักกันหมดแล้วว่าเขาเอาอนุเข้ามาในจวน จนชื่อเสียงเสียหายหมดแล้ว!”อีกอย่างยังคงคิดจะไปแย่งกลับบ้านมาอย่างไร้ยางอายเช่นนั้น ได้ยินมาว่าแม่นางนั่นวิ่งหนีแล้ว เจ้าเด็กบ้านี่ยังพาคนไล่ล่าและสกัดกั้นไว้อีกนี่หมายความว่าเยี่ยงไร?หมายความว่าแม่นางนั่นเขาเป็นคนบังคับมา!เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชิงฝูโหวก็หายใจเข้าลึก ๆ “เฮ่าเอ๋อร์ เจ้าบอกพ่อมาตามตรง แม่นางนั่นเจ้าไปแย่งมากจากที่ใด? นางเต็มใจที่จะกลับจวนโหวกับเจ
ชิงอินชิงหลิงกำลังคิดจะพยุงลู่เจาหลิง แต่กลับได้ยินนางเอ่ย “กงกง ข้าบาดเจ็บสาหัส วิงเวียนศีรษะ หากคุกเข่าอาจเป็นลมได้ ขอยืนรับพระราชโองการแล้วกัน”“บังอาจ!” ลู่หมิงโมโหขึ้นมาในทันทีลู่เจาหลิงไม่มองเขาด้วยซ้ำ“หากเป็นลมแล้วคงรับพระราชโองการได้ไม่ดีนะเจ้าคะ” นางเอ่ยอย่างราบเรียบขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการมองดูศีรษะที่พันไว้ของนาง จึงทำได้เพียงตอบตกลงแล้ว“เช่นนั้นคุณหนูรองลู่ก็ยืนรับพระราชโองการเถิด”เขาคลี่พระราชโองการสีทองอร่าม และอ่านออกมา“ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชา ได้ยินมาว่าบุตรสาวสายตรงคนที่สองของลู่หมิง ลู่เจาหลิง มีทั้งความประพฤติดีและรูปร่างหน้าตาที่งดงาม อีกทั้งยังสุภาพอ่อนโยน มีน้ำใจและจริงใจ... จึงอนุญาตให้พระอนุชาของข้า พระราชทานให้เป็นพระชายาจิ้นอ๋อง และเลือกวันมงคลเพื่อทำพิธีอภิเษกสมรส จบพระราชโองการ”เสียงของขุนนางถ่ายทอดพระราชโองการแหลมสูง น้ำเสียงก็ราบเรียบ และกำลังอ่านเนื้อหาของพระราชโองการต่อหน้าทุกคนในจวนสกุลลู่ทุกคนในจวนสกุลลู่ต่างตะลึงงันยิ่งลู่หมิงเกือบจะกระโดดขึ้นมาแล้วใบหน้าของลู่ฮูหยินบิดเบี้ยว ดวงตาลุกเป็นไฟ จ้องพระราชโองการนั้น
คนตระกูลลู่หน้าตาโดดเด่นกันทุกคน และแต่ละคนล้วนดูดีมากหนึ่งในนั้น ลู่เจาอวิ๋นเป็นคนที่สวยที่สุดนอกจากไม่กี่คนนี้ ยังมีหญิงสาวอีกสองนาง นางหนึ่งสง่างาม อีกนางหนึ่งมีเสน่ห์ ทั้งสองน่าจะเป็นอนุภรรยาของลู่หมิงได้ยินมาว่า ลู่หมิงยังมีบุตรชายอีกสองคน แต่ไปเรียนหนังสือที่สำนักบัณฑิตแล้วตอนที่จู่เลาหลิงมองพวกเขา พวกเขาก็มองลู่เจาหลิงเช่นกัน“นี่ ข้าคุยกับเจ้าอยู่นะ เจ้าหูหนวกหรือไง?” ลู่เจาเยว่เห็นว่าลู่เจาหลิงไม่สนใจนาง จึงโมโหจนหน้าแดงไปหมดลู่หมิงใบหน้าบูดบึ้งไม่พูดอะไร ดูแล้วเหมือนกำลังรอฟังอยู่ว่าลู่เจาหลิงจะตอบกลับเยี่ยงไรเขาตกใจแทบแย่!เดิมทีคิดว่าจิ้นอ๋องจะหาวิธีมาเล่นงานลู่เจาหลิง สุดท้ายกลับเป็นการพระราชทานสมรสเสียนี่!“เจ้าเป็นใคร?”ลู่เจาหลิงเหลือบมองไปทางลู่เจาเยว่“หากเจ้าไม่กลับมา ข้าก็ได้เป็นคุณหนูรองของตระกูลลู่ ข้าชื่อลู่เจาเยว่! พี่สาวข้าคือเมฆ ข้าคือพระจันทร์ พวกเราล้วนเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์ที่สุดบนฟากฟ้า และเจ้านับว่าเป็นอะไร?”เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนลู่เจาเยว่เพิ่งได้รับการแจ้งว่า ต่อไปนางจะเป็นคุณหนูสามแล้ว ทำเอาโมโหแทบระเบิดเด็กบ้าที่มาจากนอกเมืองมีสิทธ์อ
ลู่เจาหลิงจะเป็นอาสะใภ้ของนาง?!พอลู่เจาอวิ๋นได้ยินที่นางเอ่ย ก็แทบจะเป็นลม“น้องรอง เจ้าไม่รู้สึกว่าแบบนี้มันวุ่นวายหรอกหรือ? ราชวงศ์ยิ่งให้ความสำคัญกับกฎระเบียบและสายเลือด จ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน แล้วจะแต่งงานกับลุงหลานได้เยี่ยงไร?”ลู่เจาอวิ๋นทบทวนตนเองอย่างรอบคอบในช่วงบ่ายเดิมทีชื่อเสียงในเมืองหลวงของนางคืออ่อนโยน สง่างาม สุภาพเรียบร้อย แถมยังดีดผีผาได้ไพเราะจับใจ งานเย็บปักถักร้อยก็ทำได้ดีเยี่ยมทว่าตั้งแต่ได้ยินข่าวว่าลู่เจาหลิงจะกลับมายังเมืองหลวง นางไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกตื่นตระหนก จนหลุดจากขอบเขต และคิดแค่จะขัดขวางไม่ให้ลู่เจาหลิงกลับมายังตระกูลลู่หากไม่ใช่เพราะนางเสียสติ และแสดงพฤติกรรมที่แย่ออกมา ก็คงไม่ถึงกับถูกลู่เจาหลิงตบหน้าลู่เจาหลิงกลับมายังตระกูลลู่ และจะขัดขวางไม่ได้แล้ว เช่นนั้นนางจะต้องใจเย็นลง แล้วค่อยวางแผนให้ดีในภายหลังเมื่อคิดในใจแบบนี้ ลู่เจาอวิ๋นก็ปรากฏรอยยิ้มที่อ่อนโยนออกมานางเอ่ยกับลู่เจาหลิง “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่เคยรู้จักจิ้นอ๋องมาก่อน คิดดูแล้วก็คงไม่มีความรู้สึกต่อกัน ตอนนี้พระราชโองการให้พระราชทานสมรสเพิ่งออกมา ถือโอกาสตอนที่ยังไม่มีใครรู
“พี่สาม ท่านหยุดพูดได้แล้วเจ้าค่ะ” เด็กสาวที่อยู่ข้างกายดึงแขนเสื้อของลู่เจาเยว่เบา ๆ นางมองใบหน้าสง่างามที่มีความกังวลอยู่เล็กน้อย แต่คำพูดของนางกลับทำให้ลู่เจาเยว่ยิ่งโมโหมากขึ้นเดิมทีเมื่อก่อนเรียกนางว่าพี่รอง แต่ตอนนี้กลับปรับตัวได้ไวมาก และเริ่มเรียกนางว่าพี่สามแล้ว! อีกอย่าง ต่อจากนี้ในบ้านจะมีคนที่กดอยู่บนศีรษะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแล้ว แถมคนคนนี้ยังมาจากนอกเมืองเสียด้วย!นี่ทำให้ลู่เจาเยว่ที่เดิมทีชอบโจมตีและชอบเอาชนะใจคนอื่นมาโดยตลอดโกรธมาก“เสี่ยวเยว่!” ลู่ฮูหยินจ้องไปที่นาง นายท่านเพิ่งบอกไปหยก ๆ ว่าไม่ควรเอ่ยถึงคุณหนูเสิ่นอีก และเหตุใดยังเอ่ยอีก?“ข้าอยู่ด้านนอกไม่เอ่ยถึงก็ได้แล้ว ตอนนี้ในบ้านไม่มีคนนอกเสียหน่อย นอกจากนาง!”ลุ่เจาเยว่ชี้นิ้วมาที่ลู่เจาหลิงลู่เจาหลิงมองนิ้วมือนั่นของนาง และมองดูกลุ่มควันสีเทาที่ลอยอยู่รอบใบหน้าของนางอีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย“เห็นพวกเจ้าเอะอะอะไรก็บอกว่าข้ามาจากบ้านนอก ไม่เคยเรียนรู้มารยาท แต่การใช้นิ้วชี้ใส่พี่สาว ถือเป็นการสั่งสอนแบบใดหรือ?”คำพูดนี้ ทำให้ใบหน้าของลู่หมิงดำทะมึนแล้ว“เจาหลิง เจาอวิ๋นอายุมากกว่าเจ้า นางต่างหา
ความโมโหในอกของลู่หมิงแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้วนี่เขาไปรับตัวมารผจญอะไรกลับมาเนี่ย!ท่าทางแบบนี้จะใช้ใจแลกใจ ใช้เหตุผลแลกเหตุผลได้อย่างไร? เหตุผลก็บ้าแล้ว!ลู่หมิงกระทืบเท้า“ข้าคือพ่อเจ้า และเจ้าจะต้องเชื่อฟังข้า ไม่ว่าจะอย่างไรเจ้าจะแต่งงานกับจิ้นอ๋องไม่ได้!”ก่อนหน้านี้เขาหวั่นไหวเล็กน้อย แต่ตอนนี้คิดได้แล้ว ว่าเขาจะต้องยืนหยัดยืนอยู่ข้างองค์ชายรองกับฮ่องเต้ และไม่สามารถเข้าข้างจิ้นอ๋องได้!อีกอย่าง ลู่เจาหลิงแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดเจนแล้วว่าเป็นคนที่รับมือได้ยาก และยากจะควบคุม หากได้รับผลประโยชน์อันใดจริง ๆ นางจะต้องไม่คำนึงถึงตระกูลลู่อย่างแน่นอนสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาก็ไม่สามารถให้ลู่เจาหลิงปีนต้นไม้ใหญ่ และหลีกหนีจากการควบคุมได้เช่นกัน“ลู่เจาอวิ๋นกับองค์ชายรองกำหนดวันแต่งงานแล้วหรือเจ้าคะ?” ทันใดนั้นลู่เจาหลิงก็เอ่ยถามลู่หมิงตอบออกไปโดยไม่รู้ตัว “ยัง...”“เช่นนั้นพวกท่านสามารถไตร่ตรองให้นางยกเลิกงานแต่งได้เลย เพราะถึงอย่างไรข้าก็รับพระราชโองการมาแล้ว”เมื่อนางเอ่ยคำพูดนี้ก็ทำท่าให้ชิงอินและชิงหลิงมาพยุงนางให้ลูกขึ้นนางอยากจะกลับไปพักผ่อนแล้ว นางปวดหั
ลู่เจาหลิงนอนหลับจนถึงตะวันโด่งฟ้าเมื่อนางตื่นขึ้นมา ก็มีห่อผ้าชิ้นหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะแล้วอาจจะรู้สึกว่ามันสกปรก ด้านล่างจึงปูด้วยผ้าผืนหนึ่งไว้ก่อนด้วยนางรู้สึกคุ้นตาอยู่เล็กน้อย และนึกอยู่ครู่หนึ่งจึงจะคิดขึ้นมาได้ ว่านี้คือห่อผ้าที่ ‘นาง’ พกกลับมาจากบ้านนอกเมื่อตระกูลลู่ส่งคนไปรับที่นอกเมือง ลู่ผู้น่าสงสารจึงเก็บข้าวของได้เพียงห่อผ้าชิ้นเดียว แถมยังต้องปิดบังคนในตระกูลลู่จากนอกเมืองพวกนั้นและซ่อนมันไว้อีกแต่ตอนที่กลับมายังเมืองหลวงและเจอโจรปล้น ห่อผ้านี้ก็หายไปแล้ว“คุณหนู ห่อผ้านี้ท่านอ๋องเป็นคนให้ข้านำกลับมาเจ้าค่ะ” ชิงอินเอ่ยลู่เจาหลิงประหลาดใจ “เขาถึงกับยังมีเวลาว่างไปช่วยข้าเก็บห่อผ้าอย่างนั้นหรือ?”อีกอย่าง หาเจอได้อย่างไรกัน? เพราะแม้แต่นางเองยังคิดไม่ออกเลยว่าห่อผ้านี้หายไปอยู่ที่ใดทว่าเมื่อวานนางคิดไว้แล้ว ว่ารอให้ร่างกายดีขึ้นอีกสักหนึ่งค่อยคำนวณหาตำแหน่งของห่อผ้านั้น แต่ตอนนี้กลับไม่ต้องเสียแรงทำเรื่องนั้นแล้ว“ท่านอ๋องบอกว่า ห่อผ้านี้ถูกนำกลับมาจากเส้นทางในภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวงมากนักเจ้าค่ะ” ชิงอินเอ่ยลู่เจาหลิงลุกขึ้นยืนและเดินมาที่โต๊ะ พลางแก
พวกนางไม่วางใจยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่หลังจากนี้ลู่เจาหลิงแต่งงานกับท่านอ๋อง พวกนางก็ยังสามารถติดตามนางไปที่จวนจิ้นอ๋องได้ทั้งสองคนนำสัญญาทาสที่รับกลับมา ส่งมันให้กับมือของลู่เจาหลิงลู่เจาหลิงมองไปที่ใบหน้าที่แตกต่างไปจากเมื่อวานอย่างชัดเจนของพวกนาง พลางยิ้มน้อย ๆ ออกมาแล้วเก็บสัญญาทาสเอาไว้“เช่นนั้นนับจากนี้ พวกเจ้าก็มาติดตามข้าเถิด”นับตั้งแต่ที่พวกนางตัดสินใจจะติดตามนางด้วยความสมัครใจ ไอมรณะที่อยู่บนใบหน้าของพวกนางก็พลันมลายไปจนสิ้นลู่เจาหลิงไม่ได้บอกพวกนาง ว่าหากยังอยู่ที่จวนจิ้นอ๋อง ไม่เกินครึ่งเดือนพวกนางทั้งสองคนจะตายตกตามกันในใจของชิงอินและชิงหลิงรู้สึกโล่งอกที่จริงพวกนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ในชั่วขณะที่ส่งสัญญาทาสของตนเองให้ไปนั้น พวกนางรู้สึกโล่งใจไปพร้อมกันราวกับฝุ่นผงได้ถูกสะบัดออกไปอย่างไรอย่างนั้นลู่เจาหลิงสำทับกับชิงหลิงว่า “เจ้าต้องเปลี่ยนชื่อ ตัวอักษรหลิงนี้ ขัดแย้งกับดวงชะตาของเจ้า”ชิงหลิงตกตะลึงไปชั่วครู่เรื่องที่พวกนางเลือกลู่เจาหลิงโดยสมัครใจนั้น นางรู้สึกพึงใจอยู่บางส่วน ดังนั้นจึงไม่ลังเลที่จะพูดกับให้นางมากขึ้น“เจ้ามักจะป่วยหนักทุก ๆ ส