ลู่เจาหลิงมองเห็นถุงผ้าไม่กี่ใบนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่า นี่คือของขวัญที่ลู่น้อยผู้น่าสงสารเตรียมไว้ให้กับคนตระกูลลู่ที่จริงแล้วลู่น้อยที่น่าสงสารรู้ตัวเองดีว่า เมื่อกลับมาตระกูลลู่ในเมืองหลวงแล้ว ตนเองจะไม่เป็นที่ต้อนรับ และนางก็รู้ด้วยว่าที่ตนเองถูกทิ้งให้อยู่ในชนบทนับสิบปีนั้นมีเบื้องหลัง ทว่าลำพังเพียงแค่นางผู้เดียวนั้นไร้พลัง ทำได้เพียงคบค้ากับพวกเขาไปก่อนชั่วคราวเท่านั้นรอกระทั่งมีจุดยืนที่มั่นคงในเมืองหลวง ค่อยสืบเรื่องในตอนนั้นให้กระจ่างดังนั้นนางจึงเตรียมของขวัญให้กับบรรดาคนของตระกูลลู่แต่ว่าเดิมทีตอนที่นางอยู่ในชนบท ก็ถูกปฏิบัติเหมือนวัวเหมือนม้า ทนทุกข์ทรมาน ย่อมเตรียมของขวัญดี ๆ อันใดไม่ได้อยู่แล้วถุงผ้าใบน้อยเย็บมาจากเศษผ้าที่นางเก็บสะสมไว้เป็นเวลานาน ด้านในใส่ดอกไม้ผ้าที่นางทำเองกับมือ นอกจากนี้ ยังมีอยู่สามใบที่ใส่ก้อนหินสองสามก้อนเอาไว้ด้วยนางเก็บมันมาจากแม่น้ำโฮ่วซาน เป็นก้อนหินที่งดงามยิ่งนัก อยากจะมอบให้กับนายน้อยทั้งสามคนแห่งตระกูลลู่ทว่าตอนนี้สิ่งของมาอยู่ในมือของลู่เจาหลิงแล้ว ย่อมไม่อาจส่งออกไปได้อีก พวกเขาไม่คู่ควรได้รับน้ำใจเหล่านี้ลู่เจาหลิงนำก้อนหิ
ชิงเป่าทำเป็นจริง ๆ ด้วย“บ่าวจะเอาก้อนหินไปเจาะรูเจ้าค่ะ”ถ้าไม่เจาะรูก็ไม่มีทางร้อยเชือกได้สินะ ทว่าก้อนหินทั้งสองก้อนนี้ช่างงดงามยิ่งนัก ราวกับหยกอย่างไรอย่างนั้นลู่เจาหลิงหยิบปิ่นที่อยู่บนผมของชิงเป่าลงมา จากนั้นก็ใช้ปลายปิ่นแทงไปที่ก้อนหินกึกมือข้างหนึ่งจับข้างหนึ่งแทงเจาะรูทะลุหินชิงเป่ากับชิงอินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจไม่นะ เหมือนว่าคุณหนูจะไม่มีวรยุทธ์มิใช่หรือ? ฝีมือเช่นนี้พวกนางสองคนไม่มีวันทำได้!“บ่าวจะไปถักเชือกเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ” ชิงเป่ารีบไปหาเชือกหลากสีลู่เจาหลิงฝืนล้างหน้าสีฟันแก้ขัดไปก่อน แล้วเหลือบมองไปที่หมั่นโถว“คุณหนู หรือไม่ให้ข้าน้อยไปบอกนายท่านสักหน่อยดีไหมเจ้าคะ” ชิงอินกล่าว นายท่านจะต้องออกหน้าแทนคุณหนูเป็นแน่ลู่เจาหลิงส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก พยุงข้าเดินที ข้าจะไปเก็บเงิน ”เก็บเงิน?ชิงอินไม่เข้าใจทว่าก็ยังเชื่อฟัง พลางพยุงลู่เจาหลิงออกจากประตูห้องไปลู่ที่น่าสงสารไม่มีแม้แต่เงินสักแดงติดตัว และนางก็ไม่สามารถให้จิ้นอ๋องออกหน้าแทนนางทุกเรื่องได้ ตอนนี้ยังมีบาดแผลอยู่ที่ศีรษะ ร่างกายและจิตใจไม่มั่นคง นางจะไม่สู้กับลู่ฮูหยินเป็นการชั่วค
กล่องขนาดเท่าฝ่ามือใบนี้ใบเดียว สามารถมารถแลกเป็นเงินได้หลายตำลึงตอนนี้ชิงอินเริ่มเข้าใจนิสัยของลู่เจาหลิงขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว จึงได้หยิบมีดเล่มเล็กที่ติดตัวนางออกมาแล้วงัดอยู่ชั่วครู่ กล่องเล็กใบนั่นก็เปิดออกด้านในมีป้ายหยกวางอยู่ “โอ้โห”ลู่เจาหลิงหยิบป้ายหยกชิ้นนั้นขึ้นมาไว้ในมืออย่างอ่อนโยน หยกมีความประณีต แกะสลักด้วยด้วยอักษรคำว่าโชค เป็นหยกชั้นดีชิ้นหนึ่งชิงอินก็ไม่ใช่คนที่ไม่มีความรู้ชิ่งหมัวมัวต้องการสั่งสอนพวกนางให้กลายเป็นคนที่อยู่ข้างกายของจิ้นอ๋อง ย่อมต้องเปิดหูเปิดตาของพวกนางให้กว้างไกลเป็นธรรมดานางมองไปที่ป้ายหยก พลางกล่าวกับลู่เจาหลิงว่า “คุณหนู ป้ายหยกชิ้นนี้ก็เป็นสินค้าที่หอหมิงเป่าทำขึ้นมาเช่นกันเจ้าค่ะ หยกขาวที่แกะสลักด้วยตัวอักษรคำว่าโชค เป็นที่นิยมในหมู่ฮูหยินช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มักจะซื้อเป็นของขวัญให้กับคนรุ่นหลัง โดยหวังว่าคนรุ่นหลังจะสุขภาพแข็งแรงและมีโชคลาภ”แต่ว่า เหตุใดป้ายหยกชิ้นนี้ถึงมาวางอยู่ในกล่องเงินอันเล็ก แล้วฝังไว้ใต้ต้นไม้นี้ได้เล่า? “นี่คงจะเป็นป้ายหยกของคุณหนูคนใดของตระกูลลู่กระมัง? หรือว่าจะเป็นของลู่ฮูหยิน?” นางคาดเดาอย่างประหลาด
นางไม่ใช่คนประเภทที่เสียเปรียบแล้วจะเก็บเอาไว้ในใจ รอจนหายไปเองอีกอย่าง ตระกูลลู่แห่งนี้ล้วนเป็นของนาง“ไปเถิด พวกเราไปเดินรอบ ๆ แล้วเก็บสิ่งของกันอีกสักหน่อย”ชิงอินรู้สึกเฝ้ารออย่างประหลาด หรือว่าคุณหนูจะสามารถเก็บเครื่องประดับเงินประดับทองได้อีกงั้นหรือ?เพียงแต่ จุดมุ่งหมายแรกของลู่เจาหลิงกลับเป็นโรงครัวความจริงวันนี้นางตื่นสาย ตอนนี้ได้ล่วงเลยเวลาอาหารเช้าไปแล้วแต่แล้วอย่างไรเล่า?ตอนที่ลู่เจาหลิงถึงโรงครัว บรรดาพ่อครัวและหญิงรับใช้กำลังกินอาหารเช้ากันอยู่ พวกเจ้านายต่างกินกันไปหมดแล้ว พวกเขาถึงได้มีเวลากินข้าวพวกเขากินไปพลางพูดคุยกันไปพลาง โดยหัวข้อการสนทนาคือลู่เจาหลิงพอดิบพอดี“ฮูหยินกำชับให้ทรมานคุณหนูรอง จะเกิดเรื่องอันใดหรือไม่?”เดิมทีคนทั้งจวนสกุลลู่ต่างก็คิดว่าลู่เจาหลิงก็เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของฮูหยินเช่นกัน ทว่าพอเห็นพวกนางอยู่ด้วยกันอย่างตอนนี้แล้ว มีแม่ลูกแบบนี้ที่ใดกันเล่า? “ฮูหยินบอกว่าไม่ต้องกลัว เชนนั้นแล้วจะต้องไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน ที่นี่คือจวนสกุลลู่ อีกทั้งฮูหยินยังเป็นคนที่ควบคุมดูแลเรื่องต่าง ๆ ภายในจวน คุณหนูรองถือว่าได้หมั้นหมายกับจิ้นอ๋องแล้
สาวใช้คนนี้มีชื่อว่าต้าชุนต้าชุนตกใจแทบตายเมื่อถูกชิงอินคว้าตัวออกมา แต่เมื่อเห็นผ้าพันแผลบนหัวของลู่เจาหลิงก็กลับมีความกล้าขึ้นมาอีกครั้งใช่แล้ว คุณหนูรองเป็นเพียงแค่คนที่เติบโตในชนบทเท่านั้น ทั้งยังไม่ได้รับความรัก นางจะกลัวอันใดกัน?นางสลัดหลุดในทันที ยืดตัวตรง พลางจับจ้องชิงอินด้วยความโมโห“ที่นี่คือตระกูลลู่ เด็กสาวที่มาจากภายนอกเช่นท่านอย่าได้อวดดีเกินไปนัก!”แต่ไม่ว่ายังไงก็ยังพะว้าพะวังว่าชิงอินอาจจะเป็นคนที่จิ้นอ๋องส่งมาจริง ๆ นางจึงไม่กล้าลงมือถ้าไม่มีความกังวลเช่นนั้นอยู่ นางคงลงมือจัดการไปนานแล้วลู่เจาหลิงกล่าวอย่างเย็นชา “ตบปาก”ชิงอินได้ยินก็ตอบรับในทันที “เจ้าค่ะ!”นางยกปลายเท้าขึ้นแล้วเตะทัพพีไม้คันหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ใช้หลังทัพพีตบไปที่ปากของต้าชุนเพียะ!ต้าชุนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นในปากก็มีกลิ่นคาวเลือด และฟันหน้าโยกเล็กน้อยเมื่อใช้ลิ้นสัมผัสนางร้องไห้ออกมาในทันที“คุณหนูรองปล่อยให้สาวใช้ชั่วร้ายตบตีผู้อื่น! ฮือ เจ็บจะตายอยู่แล้ว...”คนอื่นต่างก็ตะลึงงันในตอนแรกที่ลู่เจาหลิงพูดเรื่องถ่มน้ำลายลงไปในผักดอง พวกเขาต
เมื่อลู่เจาหลิงกลับถึงหอทิงหน่วน ก็นำอาหารในตะกร้าอาหารออกมา ยังมีรังนกตุ๋นพุทราแดงในถ้วยปิดฝาอีกสี่ถ้วย และของว่างที่ดูประณีตสวยงามอีกหกจาน นอกจากนี้ ยังมีนมถั่วเหลืองหวานในหม้อดินเผาอีกด้วย “เจ้านายสกุลลู่พวกนี้ กินของไม่เลวเลยจริงๆ” นางก็ไม่เกรงใจ ตัวเองกินรังนกไปสองถ้วยกับขนมอีกสองจาน ส่วนที่เหลือยกให้ชิงอินกับชิงเป่า หลังชิงอินนำคนไปทิ้งไว้ที่เรือนค้าทาส ก็ให้พ่อค้าทาสไปรับสัญญาขายตัวของต้าชุนจากลู่ฮูหยิน เชื่อว่าหลังจากเรื่องนี้แล้ว คนในครัวพวกนั้น คงจะรู้จักระวังพฤติกรรม เก็บหัวเก็บหางกันบ้างแล้ว “คุณหนู ป้ายหยกชิ้นนั้นจำนำได้ห้าสิบตำลึงเจ้าค่ะ!” ชิงเป่าก็กลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน นางนำขนมจากร้านขึ้นชื่อกลับมาด้วยสามกล่อง จากนั้นส่งถุงผ้าใบหนึ่งให้ลู่เจาหลิง ตอนที่ชิงเป่าไปโรงรับจำนำ เมื่อผู้จัดการร้านของโรงรับจำนำเห็นป้ายหยกชิ้นนั้น ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อยขึ้นมา กล่าวว่าแม้ป้ายหยกชิ้นนี้จะไม่ใช่ของหายาก และเนื้อหยกจะจัดอยู่เพียงระดับกลางก็ตาม แต่เขารู้สีกว่าประกายหยกมีความอ่อนโยนมาก ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกชื่นชอบ ผู้จัดการร้านยังถึงกับบอกความจริงกับนางด้วยว่า
ดูเหมือนนางจะมิได้ใส่ใจต่อความโมโหของลู่ฮูหยินแม้แต่น้อย “หากท่านไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้ว ในเมื่อข้ากลับสู่จวนสกุลลู่แล้ว เงินตามกฎที่ควรมอบให้ข้าในแต่ละเดือน เสื้อผ้าสี่ฤดู และเงินเดือนของสาวใช้ ยังมีถ่าน ใบชา และของใช้จิปาถะในเรือนพวกนั้น เหตุใดยังไม่เห็นคนส่งมาเลยเล่า?” ลู่ฮูหยินคิดไม่ถึงว่านางจะมีความกล้ามาทวง ในดวงตามีประกายเยียบเย็นวาบผ่าน ทว่าทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่ลู่หมิงกำชับนางไว้ขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าต้องการพูดถึงเรื่องพวกนี้ เช่นนั้นข้าก็จะมาคำนวณกับเจ้า จะได้ไม่ต้องมาคิดว่าหลายปีนี้ ที่บ้านล้วนติดค้างเจ้า” ลู่เจาหนิงมองนาง ส่งสัญญาณให้นางพูดต่อไป “ตอนนั้น ที่ส่งเจ้ากลับชนบท เป็นเพราะนักพรตบอกว่าชะตาของเมืองหลวงแข็งกล้าเกินไป ดวงชะตาเจ้าอ่อนแอเกินไปไม่อาจต้านรับ หากรั้งอยู่ในเมืองหลวงอาจสิ้นชีพแต่ยังเยาว์วัย นี่ล้วนทำไปเพื่อเจ้าทั้งนั้น” ลู่ฮูหยินมองสำรวจนาง ด้วยสีหน้าท่าทางเยาะหยัน “พูดตรงๆ ก็คือ ในเมื่อชะตาอาภัพก็ต้องเลี้ยงแบบตกยาก” คุณหนูชะตาอาภัพ? แม้ชิงอินจะไม่รู้สิ่งใด แต่นางมักรู้สึกว่า ลู่เจาหลิงดูแล้วเป็นผู้ที่มีวาสนาชัดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเวลานี้ นางได
ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบนั่น ก็คือของที่ลู่เจาหลิงฝังไว้ที่หลังเขาในชนบทชิ้นนั้น “ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอะไรกัน?” ลู่เจาหลิงไม่ได้แสดงอะไรบนใบหน้า นางพูดอย่างไม่ใส่ใจแค่ประโยคเดียวว่า “ไม่รู้ทำหายไปที่ใดตั้งนานแล้ว” พวกเขาอยากได้ นางก็ต้องไม่ให้อยู่แล้ว ถึงนางจะไม่รู้ว่าที่แท้แล้วของในตุ๊กตากระเบื้องเคลือบคืออะไรกันแน่ก็ตาม “ว่าอย่างไรนะ? หายไปแล้ว?” เสียงของลู่ฮูหยินพลันบาดแหลมขึ้นมาทันที “ตอนนั้นเจ้ารักถนอมขนาดตอนนอนก็ต้องกอดไว้ แล้วเจ้าจะทำมันหายได้?” ความทรงจำตอนเด็กของยัยหนูน้อยที่น่าสงสารนั่นเลือนรางมาก นางก็จำไม่ได้ว่าตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวนั้นมีที่มายังไง นั่นเป็นตุ๊กตารูปสาวน้อย ตัวคนมีความสวยงามอ่อนโยน ตัวกระเบื้องเป็นสีขาวที่เนื้อละเอียดอย่างมาก นอกจากจะไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิงแล้ว ยังค่อนข้างหนักด้วย แต่หากออกแรงเขย่าจะสามารถได้ยินว่า ภายในคลับคล้ายจะมีบางสิ่งอยู่ หลายปีนั้น คนตระกูลลู่ที่อยู่ในชนบทต่างก็พยายามหาวิธีมาแย่งหรือขโมยตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวนั้น เด็กน้อยแซ่ลู่ที่น่าสงสารคิดว่าตนเองคงรักษามันไว้ไม่ได้ จึงแอบฝังมันไว้ที่หลังเขา จากนั้นบอกคนบ้านเดิมสกุลลู่ว