ลู่เจาหลิงหัวเราะ “เจ้าก็ไม่กลัวถูกลือออกไปว่าหยิ่งผยองเอาแต่ใจจนชื่อเสียงเสียหายหรือไร!” “ไม่กลัวน่ะสิ ตอนนี้ข้าได้รับสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทให้แต่งกับจิ้นอ๋องแล้ว ไม่ต้องกลัวจะไม่มีผู้ใดมาทาบทามเสียหน่อย” ลู่เจาหลิงตอบกลับโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย ลู่ฮูหยินถูกนิสัยห่ามๆ ของนางทำให้โมโหจนระเบิดแล้ว นางกัดฟันกล่าวว่า “หากจิ้นอ๋องเกิดได้ยินขึ้นมาเล่า…” ลู่เจาหลิงขัดจังหวะของนาง “อ้อ เรื่องนั้นก็ไม่ต้องรบกวนให้ท่านเป็นห่วงแล้ว จิ้นอ๋องทรงชอบท่าทางเย่อหยิ่งเอาแต่ใจของข้าที่สุดเลยล่ะเจ้าค่ะ” อุ๊บ อีกนิดเดียว ชิงอินก็เกือบหัวเราะออกมาแล้ว นี่จริงหรือ? ทว่าเมื่อเห็นคุณหนูใช้ท่าทีกวนๆ กล่าวคำพูดพวกนี้ออกมา นางก็รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก คุณหนูช่างไม่เหมือนบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์คนอื่นในเมืองหลวงจริงๆ “เหตุใดเจ้าจึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้?” ลู่ฮูหยินพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เหตุใดจึงพูดว่าบุรุษพึงใจไม่พึงใจเจ้าออกมาจากปากได้” นี่ยังรู้จักสงวนตัวอยู่หรือไม่? “จิ้นอ๋องยังโปรดให้ข้าพูดคำว่าชอบบ่อยๆ ด้วย” ลู่เจาหลิงยักคิ้วให้นาง “เขาชอบข้า ข้าชอบเขา ท่านอิจฉาหรือ?” ที่ด้านหลังภูเขาจำลอ
หลังจากที่ท่านหมอฝู่ออกจากที่พักของลู่เจาหลิงในคราก่อน ก็คิดถึงคำถามของนางอยู่ตลอดว่า ช่วงนี้ได้ไปเยือนสถานที่แปลก หรือใกล้ชิดของประหลาดใดหรือไม่ ทว่าเขายังคงนึกไม่ออก กระทั่งยามนี้ ที่จู่ๆ หลานชายเกิดปวดหัวอย่างรุนแรงขึ้นมา ท่านหมอฝู่จึงนึกได้ในฉับพลัน หลายวันก่อน ฝู่เฉิงและเหล่าสหายหนุ่มรุ่นเยาว์ออกไปเล่นกันนอกเมือง แล้วเก็บรากไม่แกะสลักจากคูน้ำได้รูปหนึ่ง ของสิ่งนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สลักและไม่รู้ว่าผู้ใดทำตกไว้ที่นั่น ทว่าฝู่เฉิงคิดว่ารากไม้สลักนั่นแกะได้ไม่เลว จึงเก็บมันกลับมาด้วย ในครอบครัวก็มีเพียงท่านหมอฝู่ที่ชื่นชอบของประเภทนี้ ดังนั้นเมื่อฝู่เฉิงนำรากไม้สลักกลับมาก็นำมาให้เขาดูแล้ว ในเวลานั้น ท่านหมอฝู่ผู้เฒ่ารับของไปพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เมื่อตัดประเด็นว่าไม้ชิ้นนั้นไม่มีกลิ่นที่ดึงดูดแมลง หรือเป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ ก็คืนมันให้ฝู่เฉิงไป ในเมื่อเด็กชอบ เช่นนั้นก็เก็บไว้เล่นเถิด นี่คือสิ่งของประหลาดที่เขากับฝู่เฉิงสัมผัสเช่นเดียวกันในช่วงนี้ เมื่อนึกเรื่องนี้ได้ ท่านหมอฝู่ก็หันศีรษะไปอย่างรวดเร็วทันที จากนั้นก็เห็นรากไม้สลักรูปนั้นวางอยู่บนชั้
เกรงว่าแม้แต่ประตูวังก็คงเข้าไปไม่ได้ “ไม่ใช่ อย่างไรรอข้ากลับมาค่อยว่ากัน” ท่านหมอฝู่นำของสิ่งนั้นจากไปอย่างเร่งร้อนแล้ว เมื่อคนเฝ้าประตูจวนสกุลลู่เห็นท่านหมอฝู่ ก็รีบเข้าไปต้อนรับเขา “ใต้เท้าของพวกเราเข้าวังไปแล้วขอรับ” เวลานี้ขุนนางทั้งหลายต่างก็เข้าวังไปปรึกษาเรื่องงานพระศพของไท่ซ่างหวง แม้ลู่หมิงจะเป็นเพียงเจ้ากรมที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการต้อนรับอาคันตุกะต่างแคว้นคนหนึ่งของกรมพิธีการ และก็เป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้ลู่หมิงไม่มีเวลามาจัดการกับลู่เจาหลิงชั่วคราว “ข้าไม่ได้มาหาใต้เท้าลู่ ข้ามาหาคุณหนูลู่น่ะ” ท่านหมอลู่เกรงว่าคนเฝ้าประตูจะเข้าใจว่าเป็นคุณหนูนางอื่นของสกุลลู่ จึงเสริมอีกประโยคว่า “คุณหนูรองลู่เจาหลิง” คุณหนูสี่สกุลลู่บังเอิญออกมาพอดี เมื่อเห็นท่านหมอฝู่ ก็รีบเข้ามาต้อนรับอย่างตื่นเต้นยินดีเล็กน้อย ครั้งก่อนตอนที่ท่านหมอฝู่มานางไม่อยู่ หลังรู้เข้าก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก หากรู้ก่อนก็ไม่ออกไปแล้ว ต้องรู้ว่านางอยากเจอท่านหมอฝู่มาตลอด “ท่านหมอฝู่ ท่านมาหาพี่รองของข้าหรือเจ้าคะ?” แม้ท่านหมอฝู่ร้อนใจอย่างมาก ทว่าเมื่อเห็นแม่นางน้อยท่าทางสง่างามที่อายุราวสิบห้าเ
ลู่เจาหลิงมองไปที่ลู่เจาหัว แต่ไม่นานสายตาก็ย้ายไปที่ท่านหมอฝู่ที่ตามเข้ามาอย่างเร่งร้อน ทันทีที่เห็นลักษณะบนใบหน้าของท่านหมอฝู่ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที “คุณหนูลู่ ข้ามีเรื่องสำคัญจะขอร้อง!” ทันทีที่ท่านหมอฝู่เห็นนางก็พูดออกมาอย่างร้อนใจ “ไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ” ลู่เจาหลิงกล่าวเบาๆ ประโยคหนึ่ง ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด เดิมท่านหมอฝู่กำลังร้อนใจอย่างมาก ทว่าเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่สงบมั่นคงของนาง ภายในใจก็รู้สึกสงบลงหลายส่วน ทั้งที่ลู่เจาหลิงเป็นเพียงสาวน้อยที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลายชายของเขาเท่านั้น แต่บนร่างของนางกับมีความสงบมั่นคงชนิดหนึ่ง ซึ่งให้ความรู้สึกพึ่งพาได้เป็นอย่างมาก ลู่เจาหัวตกใจอย่างมาก ท่านหมอฝู่ที่แม้แต่ท่านแม่ก็ต้องขอพบอย่างรอคอย เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เจาหลิงกับลดตัวลงเช่นนี้! อีกทั้งยังบอกว่ามีเรื่องขอร้องด้วย! นอกจากเรื่องที่ได้รับสมรสพระราชทานแล้ว ลู่เจาหลิงซึ่งเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบหกปี ที่แท้มีสิ่งใดที่ทำให้ท่านหมอฝู่ถึงกับต้องมาขอร้องถึงเรือนกันแน่ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลู่เจาหัวก็มอบรอยยิ้มที่ดูเป็นเด็กดีอย่างยิ่งให้ลู่เจาหลิง “พี่รอง ข้าคือน้อง
กระทั่งเล่าถึงตอนที่ลูกชายของเขาให้หมอนกระเบื้องทุบฝู่เฉิงจนสลบ มุมปากของลู่เจาหลิงก็กระตุกเล็กน้อย ไม่กลัวจะทุบจนคนเอ๋อหรือยังไง “ข้าคิดไปคิดมา ของจากภายนอกที่ข้ากับหลานชายสัมผัสร่วมกันในช่วงนี้ ก็คือรากไม้แกะสลักชิ้นนี้!” แม้เขาเป็นหมอมีชื่อ ทว่าโรคเช่นนี้ เขารักษาไม่ได้ ชิงอินกับชิงเป่าต่างก็ชะโงกหน้าไปดูสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ เรื่องที่ท่านหมอฝู่พูดมา พวกนางฟังตนงุนงงไปหมด เรื่องพิสดารเช่นนี้ มาหาคุณหนูของพวกนางจะมีประโยชน์หรือ? ลู่เจาหลิงกลับยื่นมือไปเลิกผ้าสีดำผืนนั้นออก “คุณหนูลู่…” ท่านหมอเจ้ากลับมีความพะวงอยู่บ้าง “หากเจ้ารากไม้สลักนี่มีอาถรรพ์ ท่านสัมผัสมันแล้วจะมีอันตรายหรือไม่?” เขามองหญิงสาวร่างผอมบางที่บนศีรษะยังพันแผลอยู่ รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย หากทำร้ายนางเข้าเล่า? “ไม่หรอก” ลู่เจาหลิงตอบเขาประโยคหนึ่ง ตอนนี้นางได้เปิดผ้าสีดำออกแล้ว ที่เข้าสู่สายตา คือรากไม้สลักที่ปกคลุมด้วยไอดำ ราวโครงกระดูกโบราณที่กำจายกลิ่นเหม็นอันเน่าเปื่อยออกมา ทว่านี่เป็นสิ่งที่ลู่เจาหลิงเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น สิ่งที่ชิงอินเห็นคือรูปไม้สลักที่สูงประมาณแจกันดอกไม้ แกะ
ลู่เจาหลิงยกมือกุมหน้าผากด้วยความปวดหัวอยู่บ้าง “มีวิธีส่งจดหมายให้เขาไหม? ข้าจะไปรอเขาที่หน้าประตูวัง ทำให้เขาเสียเวลาไม่นานหรอก” ก็แค่ให้นางได้สัมผัส ดูดพลังสักสองสามทีเท่านั้นเอง พูดไปแล้วก็เป็นเขาที่ติดค้างนาง ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อวานเข้าวังไปช่วยเขา แล้วรั้งพลังชีวิตของไท่ซ่างหวงไว้บางส่วน ตอนนี้นางจะอ่อนแอขนาดนี้หรือไง? ชิงอินและชิงเป่าสบตากันทีหนึ่ง ในใจของสาวใช้ทั้งสองต่างก็อยากรู้อย่างมาก ว่าเหตุใดลู่เจาหลิงจึงต้องพบท่านอ๋องในเวลานี้ให้ได้ แต่พวกนางก็ไม่กล้าถาม “จวนอ๋องจะต้องมีวิธีแน่เจ้าค่ะ” ต่อให้ท่านอ๋องเข้าวังไปแล้ว จวนอ๋องต้องมีวิธีส่งจดหมายเข้าไปแน่ “ชิงอินเจ้าหาคนของจวนอ๋องให้ส่งสารไป ส่วนชิงเป่าเจ้าไปเตรียมการ เพื่อไปรอที่หน้าประตูวังกับข้า” “เจ้าค่ะ” ชิงอินไม่กล้าล่าช้า รีบกลับไปที่จวนอ๋องทันที ชิงเป่าต้องการไปหยิบเสื้อคลุมกันลมให้ลู่เจาหลิงตัวหนึ่ง คุณหนูยังบาดเจ็บอยู่ก็จะออกไปข้างนอก หากลมเกิดแรงขึ้นมาล่ะ ทว่าความคิดนี้เพิ่งผุดขึ้นมา นางก็นึกขึ้นได้ว่า คุณหนูของตนสุดแสนจะจนกรอบ นอกจากเงินที่เพิ่งเก็บกลับมาได้ในวันนี้พวกนั้น บนร่างก็มีเพียงเสื
นี่เป็นเพราะลู่ฮูหยินกับลู่เจาอวิ๋นเหมือนจะพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “จิ้นอ๋องอย่างน้อยต้องไว้ทุกข์หนึ่งปี ประกอบกับที่การพระราชทานสมรสครั้งนี้เกิดอย่างกะทันหันมาก จึงเป็นไปได้ว่าในตอนที่จิ้นอ๋องเข้าวัง ไท่ซ่างหวงทรงมีสติเฮือกสุดท้ายพอดี และก่อนเสด็จสวรรคต ทรงต้องการเห็นจิ้นอ๋องอภิเษก ดังนั้นการพระราชทานสมรสในครั้งนี้ อาจเป็นเพียงการปลอบประโลมไท่ซ่างหวง ให้ทรงจากไปอย่างวางพระทัยเท่านั้น” ส่วนเหตุใดจึงเลือกลู่เจาหลิง นั่นยังมิใช่เพราะนางมีฐานะเป็นบุตรสาวขุนนาง ทว่าฐานะไม่สูงศักดิ์ สามารถสละชื่อเสียงได้อย่างง่ายได้ ในอนาคต เมื่อต้องการหย่าร้างก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการคัดค้านจากวงศ์ตระกูล แต่หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูสูงศักดิ์นางอื่นในเมืองหลวง มีนางใดจะยอมให้จิ้นอ๋องหลอกใช้ตามใจแต่โดยดีเช่นนี้เล่า? ที่ลู่เจาหลิงถูกเลือก ก็เป็นเพราะนางล่วงเกินจิ้นอ๋องเข้าพอดี จิ้นอ๋องจึงคร้านจะเสียเวลาไปเลือกอีก ดังนั้น คิดจะเป็นพระชายาจิ้นอ๋องหรือ? ดูท่าจะยากล่ะนะ ทั่วทั้งจวนสกุลลู่ทั้งบนล่าง ต่างคิดว่าการคาดเดานี้มีเหตุผลและในเมื่อภายภาคหน้า ลู่เจาหลิงจะต้องถูกจิ้นอ๋องถอนหมั้นอยู่แล้ว แล้วจะให้
ยามพลบค่ำ ณ ตรอกแห่งหนึ่งในเมืองหลวงเด็กสาวคนหนึ่งวิ่งโซซัดโซเซไปด้านหน้า ด้านหลังมีคนที่ลักษณะเหมือนบ่าวรับใช้หลายคนวิ่งตามอย่างไม่ลดละ“นางหนู หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”ร่างกายเด็กสาวอ่อนแอ บนหน้าผากยังมีรอยบวมแดงขนาดใหญ่ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว“ใครก็ได้! ช่วยด้วย!”เมื่อบ่าวรับใช้คนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังได้ยินนางตะโกน ก็สบถคำหยาบออกมาหนึ่งประโยค พลันหยิบก้อนหินที่อยู่ข้างทางขึ้นขว้างใส่นางเสียงก้อนหินดังแหวกอากาศ กระแทกใส่ท้ายทอยของนางอย่างแรงปึก!หยดเลือดกระเซ็นนางรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ภาพตรงหน้าของเด็กสาวดับวูบลง ร่างกายล้มไปข้างหน้า นางอาศัยสติสัมปชัญญะเสี้ยวสุดท้ายล้มลุกคลุกคลานกระโจนออกจากตรอกในเวลานี้เอง รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นผ่านตรอกนี้พอดีเมื่อเด็กสาวกระโจนออกมาเช่นนี้ ก็กลิ้งไปอยู่ตรงหน้ารถม้าโดยตรง“เฮ้ย!”คนขับรถม้าสะดุ้งตกใจจนอุทานออกมาเหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน ทำให้ชาวบ้านโดยรอบตกใจจนอุทานเช่นกันเมื่อบ่าวรับใช้กลุ่มนั้นวิ่งตามออกมา เห็นเด็กสาวฟุบอยู่ตรงหน้ารถม้า ก็จะเข้าไปจับคนโดยไม่สนใจสถานการณ์ตรงหน้าอาศัยตอนที่ยังไม่มีใครเห็นหน้าตาของแม่นางคน