นี่เป็นเพราะลู่ฮูหยินกับลู่เจาอวิ๋นเหมือนจะพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า “จิ้นอ๋องอย่างน้อยต้องไว้ทุกข์หนึ่งปี ประกอบกับที่การพระราชทานสมรสครั้งนี้เกิดอย่างกะทันหันมาก จึงเป็นไปได้ว่าในตอนที่จิ้นอ๋องเข้าวัง ไท่ซ่างหวงทรงมีสติเฮือกสุดท้ายพอดี และก่อนเสด็จสวรรคต ทรงต้องการเห็นจิ้นอ๋องอภิเษก ดังนั้นการพระราชทานสมรสในครั้งนี้ อาจเป็นเพียงการปลอบประโลมไท่ซ่างหวง ให้ทรงจากไปอย่างวางพระทัยเท่านั้น” ส่วนเหตุใดจึงเลือกลู่เจาหลิง นั่นยังมิใช่เพราะนางมีฐานะเป็นบุตรสาวขุนนาง ทว่าฐานะไม่สูงศักดิ์ สามารถสละชื่อเสียงได้อย่างง่ายได้ ในอนาคต เมื่อต้องการหย่าร้างก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการคัดค้านจากวงศ์ตระกูล แต่หากเปลี่ยนเป็นคุณหนูสูงศักดิ์นางอื่นในเมืองหลวง มีนางใดจะยอมให้จิ้นอ๋องหลอกใช้ตามใจแต่โดยดีเช่นนี้เล่า? ที่ลู่เจาหลิงถูกเลือก ก็เป็นเพราะนางล่วงเกินจิ้นอ๋องเข้าพอดี จิ้นอ๋องจึงคร้านจะเสียเวลาไปเลือกอีก ดังนั้น คิดจะเป็นพระชายาจิ้นอ๋องหรือ? ดูท่าจะยากล่ะนะ ทั่วทั้งจวนสกุลลู่ทั้งบนล่าง ต่างคิดว่าการคาดเดานี้มีเหตุผลและในเมื่อภายภาคหน้า ลู่เจาหลิงจะต้องถูกจิ้นอ๋องถอนหมั้นอยู่แล้ว แล้วจะให้
ภาพลักษณ์ของลู่เจาหลิงในตอนนี้ ทั้งงดงามและน่าเวทนาแม้ดวงหน้าจะงามยิ่ง ทว่าสุดแสนจะซูบผอม บนศีรษะยังพันแผลไว้ เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่พอดีตัวอย่างมากทว่าเมื่ออู๋ซื่อเห็นดวงตาของนาง นั่นราวสระน้ำในฤดูใบไม้ร่วงสองสระ ที่ทั้งใสกระจ่างและสงบนิ่งแววตาเช่นนี้ ทำให้นางรังเกียจไม่ลง“แม่นางกำลังเรียกข้าอยู่หรือ?” อู๋ซื่อถามลู่เจาหลิงพยักหน้า “ฮูหยิน ข้าแซ่ลู่ มีธุระต้องไปที่หน้าประตูวังหลวงสักรอบ ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยอำนวยความสะดวก ส่งข้าสักระยะหนึ่งได้หรือไม่?”ชิงเป่าเบิกตาโตคุณหนูมายืมรถม้าผู้อื่นหรือนี่?ฮูหยินท่านนี้ นางดูแล้วแปลกหน้านัก คิดว่าคงมิใช่ฮูหยินของตระกูลขุนนางหรือตระกูลสูงศักดิ์ใด ไม่เช่นนั้น หากนางอ้างชื่อของจวนจิ้นอ๋อง บางทีก็อาจจะได้ผลทว่าเวลานี้อีกฝ่ายน่าจะไม่เต็มใจกระมัง?อู๋ซื่อก็อึ้งมากเช่นกันนี่เป็นครั้งแรกที่นางพบเหตุการณ์เช่นนี้ ชั่วขณะนั้น นางอ้าปากค้างไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรแม้แม่นางผู้นี้จะดูน่าเวทนาอย่างมาก แต่นางก็ไม่กล้าให้คนแปลกหน้าขึ้นรถม้าของตนโดยง่ายนี่นาลู่เจาหลิงมองนาง จากนั้นกล่าวเพิ่มว่า “ที่บ้านของฮูหยินคงจะมีคนป่วยกระมัง?
อู๋ซื่อมองเสี่ยวเซียงสาวใช้ของตนอย่างประหลาดใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในเช้าวันนี้ มีเพียงเสี่ยวเซียงเท่านั้นที่รู้!เสี่ยวเซียงก็ตกใจจนดวงตาเบิกกว้างจนกลมโตเช่นกัน เมื่อเห็นฮูหยินสงสัยตน นางก็ส่งเสียงร้องออกมาตามสัญชาตญาณทันทีว่า “ฮูหยิน บ่าวไม่ได้พูดอะไรเลยนะเจ้าคะ แล้วบ่าวก็ไม่รู้จักคุณหนูท่านนี้ด้วยเจ้าค่ะ!”ผีหลอกหรือ? เพราะเหตุใดกัน เหตุใดคุณหนูลู่ผู้นี้ถึงรู้ได้?พวกนางเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของชิงเป่า แม้แต่ชิงเป่าก็มองคุณหนูของตนอย่างตกตะลึงเช่นเดียวกันลู่เจาหลิงหัวเราะเบาๆ ทีหนึ่ง “พูดไปแล้วก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อะไร” นางชี้ไปที่ขาของอู๋ซื่อ “ฮูหยินน่าจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แต่ยังมิได้เปลี่ยนรองเท้า บนรองเท้าเปื้อนของสกปรกจำนวนหนึ่ง ส่งกลิ่นออกมาอยู่บ้าง”อู๋ซื่อก้มหน้าลงมองรองเท้าของตน ด้านบนของรองเท้าสีน้ำเงินเข้มที่ปักลวดลายดอกไม้ มีของสกปรกติดอยู่บางส่วนจริงๆ หากไม่ดูให้ละเอียดก็ยังไม่รู้แต่นางก็ไม่ได้กลิ่นนี่นา!จมูกของคุณหนูลู่ผู้นี้ หรือจะเกิดปีจอกัน?“บนร่างของฮูหยินก็ติดไอโรคามาจำนวนหนึ่งเช่นกัน แต่เมื่อดูจากสีหน้าแล้ว สุขภาพของท่านไม่มีปัญหา หากร่างกายของท่าน
จิ้นอ๋องเหลือบมองสาวใช้สองคนนั้นทีหนึ่งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสองวัน เขารู้สึกว่าท่าทีที่สาวใช้สองนางนี้มีต่อเขาเปลี่ยนไปมากในวันแรกที่เขาเพิ่งกลับถึงจวนอ๋องนั้น ตอนที่พวกนางสองคนเห็นเขา เห็นได้ชัดว่ามีทั้งความประหม่าและคาดหวังอยู่เล็กน้อย ต่อมาชิ่งหมัวมัวก็ได้พูดถึงแผนการที่นางจัดไว้ก่อนหน้า ดังนั้นพวกนางทั้งสองคนก็คงคิดจะทิ้งความประทับใจดีๆ ไว้ให้เขาเช่นกันทว่าตอนนี้ เขากลับรู้สึกว่าพวกนางสองคนเว้นระยะห่างจากเขาอย่างประหลาด ทั้งสงบและมั่นคง ในใจไม่มีความประหม่าใดๆ ต่อเขาแล้วเห็นเขาเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์ พวกนางทั้งสองแสดงท่าที ว่ายืนอยู่ฝ่ายลู่เจาหลิงออกมาอย่างสมบูรณ์ชิงเฟิงก็ตามมาด้วยเช่นกัน ยื่นมือมาประคองเขาขึ้นรถม้าเมื่อเห็นท่านอ๋องเข้าไปในรถม้า ชิงเฟิงก็เก็บสายตาเป็นห่วงกลับมาท่านอ๋องจะเฝ้าพระศพให้ไท่ซ่างหวง แต่ขาของท่านทนการคุกเข่าเช่นนั้นไม่ไหวนี่นา“มีเรื่องด่วนอะไรหรือ…นี่เจ้าจะทำสิ่งใดกัน!”จิ้นอ๋องเพิ่งเข้าไปในรถม้า เพิ่งเอ่ยปาก ลู่เจาหลิงก็ยื่นมือมาจับชายเสื้อของเขาไว้ มือเรียวบางนั่นไม่รู้ไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ดึงเขาไปที่เบื้องหน้าทันที
“ตอนที่ข้ายังเด็ก ฉินไท่เฟยค่อนข้างใจดี”เขาอธิบายออกมาประโยคหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว พูดจบ ตัวเองก็รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้าง ไปพูดเรื่องพวกนี้กับนางทำไมกัน?“เจ้าดูออกได้อย่างไร?”ลู่เจาหลิงจับมือซ้ายของเขาแบออก แล้วใช้นิ้วชี้ลากผ่านกลางฝ่ามือของเขาเบาๆ สองสามครั้งจิ้นอ๋องหดมือเล็กน้อยเมื่อฝ่ามือถูกปลายนิ้วเรียวบางของนางลากผ่านเบาๆ เช่นนี้ ความจั๊กจี้ที่ยากอธิบายสายหนึ่งก็แล่นจากฝ่ามือทะลุเข้าสู่หัวใจเขาไม่เคยใกล้ชิดกับผู้ใดเช่นนี้มาก่อนเลย ไม่คุ้นชินเกินไปแล้วแต่ไม่รู้เพราะเหตุใด หลังถูกนางลากผ่านเบาๆ ไปสองสามครั้งเช่นนี้ ฝ่ามือที่เดิมเยียบเย็นดุจน้ำแข็งอยู่ตลอดเวลา กลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาหลายส่วน“เจ้าไม่รู้สึกว่าการกระทำนี้ออกจะดูคลุมเครือเกินไปหน่อยหรือ?” จิ้นอ๋องเลิกคิ้วมองนางลู่เจาหลิงค้อนเขาทีหนึ่ง“ท่านคิดว่าข้าเต็มใจหรือ? ไม่ใช่เคยบอกท่านหรือ ว่าครึ่งปีนี้ท่านต้องรักษาความบริสุทธิ์ให้ดี ไม่อย่างนั้นได้ตายเร็วแน่”“ลู่ เจา หลิง” จิ้นอ๋องสีหน้าดำคล้ำทันที ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “ข้ากำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ เจ้ากล่าวเช่นนี้ เห็นข้าเป็นคนเช่นใดกัน?”นอกจากนี้ ฉินไท่เฟยยังเ
ทันทีที่ฝู่เฉิงตื่นขึ้นมา ก็ถูกความเจ็บปวดมหาศาลสายหนึ่ง ทำให้เจ็บปวดจนต้องกรีดร้องติดต่อกันออกมาอย่างน่าเวทนาครั้งนี้ยิ่งเจ็บกว่าเดิมแล้วฝู่ซุ่นก็มองจุดนี้ออกเช่นกัน แม้แต่ชายชาตรีผู้หนึ่งก็ต้องสะอื้นเสียงเบาแล้ว “ท่านพ่อ นี่เป็นเพราะก่อนหน้าข้าตีหัวของเฉิงเอ๋อร์ เลยทำให้เขาเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมหรือไม่?”ก่อนหน้านี้ ฝู่เฉิงมิได้กรีดร้องอย่างรุนแรงถึงเพียงนี้ยังดีที่พวกเขาได้ใช้ผ้าห่มห่อและมัดตัวเขาไว้แล้ว ไม่เช่นนั้นฝู่เฉิงอาจทนไม่ไหวจนจะฆ่าตัวตายได้เจ็บปวดขนาดนี้ เขาสติเลื่อนลอยไปนานแล้วท่านหมอฝู่สีหน้าซีดขาว“เจ้าก็รู้ว่าตัวเองลงมือแรงไปงั้นหรือ!”แม้จะกล่าวเช่นนั้น แต่เขากลับรู้สึกว่ามิได้เป็นเพราะถูกทุบทั้งหมด เป็นไปได้มากว่านี่เป็นเพราะพวกเขาใช้ ‘แรงจากภายนอก’ มาขัดขวางการระบายความเจ็บปวดของฝู่เฉิง ดังนั้นหลังตื่นขึ้นมาเพียงครู่เดียว ความเจ็บปวดจึงได้ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม“ไม่อาจตีเขาให้สลบได้อีกแล้ว” ท่านหมอฝู่พึมพำ“สวรรค์ เฉิงเอ๋อร์ของข้าเป็นเด็กดี ไม่เคยทำเรื่องที่ผิดต่อหลักฟ้าดินมาก่อน เหตุใดต้องให้เขามาทนรับความทรมานเช่นนี้ด้วย?” ฮูหยินผู้เฒ่าฝู่แทบ
ก็นางสงสารบุตรชายนี่นา“คุณหนูลู่จะช่วยเฉิงเอ๋อร์ต่างหาก!” ท่านหมอฝู่โมโหจนหัวใจจะวาย “พวกเจ้าล้วนถอยออกไปให้หมด อย่าได้มาขวางมือขวางเท้าอยู่ตรงนี้!”เมื่อเห็นลูกสะใภ้ยังจะพูดสิ่งใดอีก เขาก็กระทืบเท้า “เหยาซื่อ! ข้าเป็นปู่ของเฉิงเอ๋อร์ หรือข้ายังจะทำร้ายเขาได้อีก?!”แม้แต่คำว่า ‘เหยาซื่อ’ เขาก็ตะโกนเรียกออกมาแล้วฝู่ซุ่นจึงลากภรรยาให้ถอยออกมา จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “ท่านพ่อ แต่ไรมาท่านก็รักเอ็นดูเฉิงเอ๋อร์ พวกเราจะเชื่อฟังท่านขอรับ”แม้ว่าเขาจะไม่เชื่อเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าเช่นกัน ทว่าเขาก็ได้แต่เชื่อใจผู้เป็นบิดา!“คุณหนูลู่ ท่านโปรดอย่าได้ถือสาพวกเขา ที่พวกเขาเสียมารยาทก็เพราะกำลังร้อนใจเท่านั้น” ท่านหมอฝู่กลัวว่าลู่เจาหลิงจะโมโห แล้วสะบัดมือไม่สนใจแล้วลู่เจาหลิงกลับไม่ได้ใส่ใจลูกชายได้รับความทรมานแบบนี้ คนที่เป็นพ่อแม่จะร้อนใจสงสาร ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อีกอย่าง เมื่อครู่ก็ไม่ใช่ว่ายังตีไม่โดนมือนางหรือ?ซึ่งถ้าตีโดนก็ต้องว่ากันอีกแบบแล้ว“เพราะเขาสัมผัสกับรากไม้แกะสลักนั่นนานกว่า จึงติดไอมรณะมามากเกินไป ท่านหมอฝู่ หยกที่ให้ท่านเตรียมไว้เล่า”“อยู่นี่!”ก่อน
จะว่าไปก็แปลกเดิมฝู่เฉิงควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว เขาเจ็บปวดจนอยากจะทุบหัวตัวเองแรงๆ แต่พอถูกลู่เจาหลิงตบเบาๆ ไปเช่นนั้น เพียงครู่เดียว ความเคลื่อนไหวของเขากลับหยุดลงยังไม่ทันที่คนสกุลฝู่จะได้ตอบสนอง มือที่ยกขึ้นของเขาก็วางลงไปแล้ว ทั่วทั้งร่างผ่อนคลายลง ร่างกายที่เดิมแข็งเกร็งอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดลูกตาของคนสกุลฝู่แทบจะถลนออกมาแล้วเวลานี้ ฝู่ซุ่นไม่กล้าก้าวเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าวแล้ว ด้วยเกรงว่าตนเองจะไปรบกวนลู่เจาหลิงฮูหยินผู้เฒ่าฝู่ก็เดินเข้ามาใกล้อย่างประหม่ากังวลเช่นเดียวกัน มือข้างหนึ่งจับแขนของบุตรชายไว้แน่นดูจากสิ่งนี้แล้ว ดูเหมือนว่าคุณหนูลู่ท่านนี้จะมีความสามารถจริงๆ!ไม่พูดถึงเรื่องอื่น ในเวลานี้แค่สามารถทำให้ลูกของพวกเขารู้สึกดีขึ้นบ้างได้ก็ถือว่าดีแล้วเดิมฝู่เฉิงเจ็บปวดจนไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว เขาคิดไม่ถึงเลยว่าการปวดหัวจะสามารถปวดได้ถึงระดับนี้แต่เมื่อหน้าอกถูกคนตบทีหนึ่ง ก็ราวกับมีสายลมอันแผ่วเบาสายหนึ่ง พัดเอาดินโคลนที่ปกคลุมอยู่เต็มหัวใจของเขาไปในชั่วพริบตา เพียงเสี้ยววินาที เขาก็รู้สึกว่าร่างกายของตนเบาสบายลงมาก อาการปวดหัวก็ลดลงไปกว่าครึ่งแล้วจิตสำนึกขอ
ลู่เจาอวิ๋นถูกพวกนางเยาะเย้ยจนหน้าแดง เบ้าตาก็เริ่มแดงแล้วฐานะของคนเหล่านี้ล้วนสูงกว่านาง และดูถูกนางมาโดยตลอด ถ้าหากไม่ใช่เพราะนางเอาอกเอาใจท่านหญิงฉางหนิงกับเหอเหลียนซิน พวกนางล้วนไม่พอใจนางทั้งๆ ที่นางงดงามกว่าพวกนาง ความสามารถก็เหนือกว่าพวกนาง ชื่อเสียงก็ดีกว่าพวกนาง พวกนางกลับไม่ยอมดีกับนางล้วนเป็นผู้หญิงขึ้ริษยา!แต่ลู่เจาอวิ๋นก็ตีหน้าเศร้าเก่งต่อหน้าคนนอกนางสูดจมูกดังฟืด การแสดงออกบนใบหน้าทั้งน้อยใจและรู้สึกผิด โค้งคำนับพวกนางทีหนึ่ง“เจาอวิ๋นขออภัยทุกท่าน ณ ที่นี้ เพราะน้องหญิงคนนี้ของข้าเพิ่งกลับจากบ้านนอกจริงๆ ท่านพ่อท่านแม่อยากให้นางได้พบกับคุณหนูทุกท่านด้วยความรักและความตั้งใจ เพื่อที่นางจะได้เรียนรู้เรื่องมารยาทและทางโลกบ้าง ข้าจึงพานางมาด้วย”“แต่ข้าก็กลัวดูแลไม่ทั่วถึง จนปล่อยนางไปล่วงเกินทุกท่าน ดังนั้นจึงพาเจาหัวมาด้วยอีกคน ข้าคิดไม่ถึงว่านิสัยของนางจะเถื่อนเช่นนี้ กลับไปข้าจะรายงานท่านพ่อท่านแม่ ให้ท่านพ่อท่านแม่สั่งสอนให้ดีแน่นอน เจาอวิ๋นขอโทษทุกท่านอีกครั้ง”นางลดตัวเช่นนี้ และยังพูดได้ค่อนข้างจริงใจ ประกอบกับไม่ได้ล่วงเกินพวกนาง ต่อไปยังไม่รู้ว่าเหอเหลี
เหอเหลียนซินเคยเจอสตรีที่ใจกล้าเช่นนี้และยังอวดดีกว่านางเสียเมื่อไร?ในสมองนางเต็มไปด้วยคำพูดเมื่อครู่ของนางนางถูกฮ่องเต้รับแล้วสกุลเหอสูงส่งกว่าราชวงศ์เหอเหลียนซินรู้แล้ว ถ้าหากคำพูดสองประโยคนี้ถูกเผยแพร่ออกไป นางเสียหน้าไม่ว่า พ่อนางต้องลงโทษนางคุกเข่าในศาลบรรพชนแน่!นางโมโหจนร่างกายสั่น พลันเลือดพลุ่งพล่าน ภาพตรงหน้ามืดดับ เป็นลมไปแล้ว“พี่เหอ!”เดิมทีลู่เจาอวิ๋นก็ควงแขนของนางไว้ จึงรีบพยุงนางขึ้นอย่างตื่นตระหนกเด็กรับใช้ทั้งสองของสกุลเหอเพิ่งหายตาลาย ก็มองเห็นคุณหนูของพวกนางเป็นลม จึงรีบเข้าไปพยุงเหอเหลียนซินโดยไม่มีเวลาสนใจลู่เจาหลิงแล้วกู้ฉิงเบิกตากว้าง ฝ่ามือมีเหงื่อเล็กน้อย นางมองไปทางลู่เจาหลิงมีคนตะโกนสิ่งที่นางคิดในใจออกมา…“นางยั่วคุณหนูเหอโมโหจนเป็นลมไปแล้ว!”ลู่เจาหลิงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นนางถอนใจเบาๆ กล่าวชัดถ้อยชัดคำ “โทษข้าไม่ได้นะ คุณหนูเหอท่านนี้มีไฟในตับ ความชื้นหนัก มีอาการคลุ้มคลั่งเล็กน้อย วู่วามได้ง่าย อีกทั้งวันนี้หน้าผากนางหมองคล้ำ เห็นได้ชัดว่าตอนออกจากบ้านไปติดไออัปมงคลมา เดิมทีวันนี้ก็จะดวงซวยอยู่แล้ว”ปากที่เพิ่งหุบลงของทุกคน อ้ากว้า
เดิมทีพ่อก็เป็นรองเสนาบดีกรมกลาโหม ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้ ประกอบกับมีการแต่งงานนี้ เป็นการรวมกันของผู้มีอิทธิพลชัดๆในมุมมองของเหอเหลียนซิน แม้แต่ท่านหญิงฉางหนิงก็ต้องให้เกียรตินางสามส่วน นับประสาอะไรกับกู้ฉิงที่อยู่ตรงหน้า?“คุณหนูเหอ เกิดอะไรขึ้น?” มีคนก้าวออกมาอยากเป็นคนกลาง “เมื่อครู่ท่านหญิงกลับไปเปลี่ยนชุดที่ห้องแล้ว ถ้าหากนางออกมาพบว่าวุ่นวายเช่นนี้…”เมื่อได้ยินอีกฝ่ายยกเอาท่านหญิงฉางหนิงมาพูด ในที่สุดเหอเหลียนซินก็ไม่ได้หาเรื่องกู้ฉิงอีกนางถลึงตาใส่ลู่เจาหัวแวบหนึ่ง ปล่อยนางไปก่อนชั่วคราว อย่างไรเสียคนที่นางรังเกียจที่สุดในตอนนี้คือลู่เจาหลิง!นางเรียกเด็กรับใช้ทั้งสองของตัวเอง “พวกเจ้าไป ให้นางมาคุกเข่าขอโทษข้า!”“เจ้าค่ะ!”เด็กรับใช้ทั้งสองของนางพุ่งพรวดเข้าไปหาลู่เจาหลิงทันทีลู่เจาหัวอุทานอย่างขี้ขลาดทีหนึ่ง และกล่าวเบาๆ ด้วยความเป็นห่วง “พี่หญิงรอง ท่านรีบหนีไป”ลู่เจาอวิ๋นรีบคว้ามือของเหอเหลียนซิน แสร้งห้ามปราม “พี่เหอ ท่านอย่าไปถือสานางเลย…” แต่ก็ไม่เห็นนางไปห้ามเด็กรับใช้สองคนนั้นแม้คนอื่นก็ไม่ชอบพฤติกรรมที่อวดดีของเหอเหลียนซิน แต่พวกนางไม่รู้จักลู่
พวกลู่เจาหลิงไม่ถือว่ามาเร็วตอนนี้ในสวนมีคนไม่น้อยแล้วช่วงนี้เป็นปลายฤดูใบไม้ผลิ ไม่ร้อน เย็นสบาย สวนของจวนท่านหญิงปลูกดอกไม้มากมาย บานสะพรั่งสีสันงดงามแต่ตอนนี้ บนพุ่มดอกไม้ถูกประดับด้วยดอกผ้าไหมที่ผูกจากผ้าขาว และต้นไม้ที่อยู่ข้างๆ มีผ้าโปร่งสีขาวห้อยอยู่ ลอยไปตามสายลมเบาๆสีขาวเหล่านี้ บดบังความงามของดอกไม้ที่บานสะพรั่งเหล่านี้ นี่น่าจะเป็นเจตนาของท่านหญิงฉางหนิง อย่างไรเสีย ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ตรงพื้นที่โล่งกลางสวน มีโต๊ะยาวหลายตัวแบ่งตั้งเป็นสองฝั่ง บนโต๊ะมีพู่กัน น้ำหมึก และกระดาษวางอยู่ถัดจากต้นกล้วยหลายพุ่ม มีศาลาหนึ่งหลัง บนโต๊ะในศาลามีน้ำชาและผลไม้วางอยู่พื้นที่นี้มีเงาจากภูเขาจำลองและต้นไม้ที่อยู่ข้างหน้าสะท้อนลงมาพอดี แต่ยังพอมีช่องว่างให้แสงแดดเล็ดลอดเข้ามาอยู่บ้าง แสงสว่างเพียงพอ และไม่เย็นเกินไปข้างภูเขาจำลองมีถนนเล็กๆ หนึ่งเส้น เดินไปมีบ่อน้ำเล็กๆ ตอนนี้บนผิวของบ่อน้ำมีใบบัวที่เพิ่งงอกออกมาอยู่บ้าง แต่ยังไม่มีกิ่งก้านของดอกยื่นโผล่พ้นผิวน้ำเหล่าคุณหนูที่มาถึงก่อน จับกลุ่มกันตรงนี้สามตรงนั้นสอง มีคนกำลังชมดอกไม้ มีคนกำลังดื่มชา มีคนกำลังอ่านหนังส
ลู่เจาหลิงไม่ทน หันไปพูดกับลู่เจาอวิ๋นอย่างเย็นชา “ลู่เจาอวิ๋น ถ้าไม่เข้าไปข้าจะไปแล้วนะ”“มาแล้ว” เดิมทีลู่เจาอวิ๋นก็ค่อยสังเกตการเคลื่อนไหวที่ประตูอยู่แล้ว เมื่อเห็นพวกนางสองคนถูกเด็กรับใช้ขวางไว้ นางยิ้มในใจ แต่เมื่อได้ยินว่าลู่เจาหลิงจะไปนางก็รีบมาทันที จะปล่อยให้ลู่เจาหลิงไปได้อย่างไร?“พี่เหอ นี่คือเจาหลิงน้องรองของข้า”นางควงแขนของเหอเหลียนซินไว้ พลางหันไปกล่าวกับลู่เจาหลิง “น้องรอง รีบเรียกพี่เหอเร็ว”เหอเหลียนซินมองไปทางลู่เจาหลิง สายตาเย็นชาเล็กน้อย“ข้าไม่กล้าให้ว่าที่พระชายาจิ้นอ๋องเรียกพี่หรอก”จิ้นอ๋องกลับเมืองหลวง ได้รับพระราชทานสมรส อีกฝ่ายเป็นเด็กบ้านนอกที่ถูกรับกลับมาจากชนบทข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงแล้วทุกคนต่างตกใจมาก ไม่มีใครอยากเชื่อ ขณะเดียวกันก็อยากรู้มาก คุณหนูรองกู้เป็นคนอย่างไร โชคอะไรหล่นทับกันแน่ จึงได้รับความสนใจจากจิ้นอ๋องเหอเหลียนซินก็อยากรู้มากเช่นกันและตอนนี้นางได้เจอลู่เจาหลิงแล้ว หน้าตาเหมือนนางจิ้งจอกอย่างที่คิด เอาเป็นว่านางเห็นแล้วก็รังเกียจเลยลู่เจาเหลียงย่อมมองเจตนาร้ายที่เหอเหลียนซินมีต่อตัวเองออกนางก็ตอบกลับไปอย่างเร
ชิวจวี๋ประคองลู่เจาอวิ๋นลงรถม้า ไม่ได้สนใจลู่เจาหัวกับลู่เจาหลิงอีกเลยหลังจากลู่เจาหัวลงรถม้า นางคิดแล้วคิดอีก ยื่นมือไปหาลู่เจาหลิง “พี่หญิงรอง ข้าประคองท่าน”“ไม่ต้อง”ลู่เจาหลิงกลับเลี่ยงผ่านมือของนาง ลงจากรถม้าเองลู่เจาหัวทำท่าเสียใจเล็กน้อย หลุบตาปกปิดสายตา“เจาอวิ๋น”มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากข้างหน้า แค่ฟังจากเสียงก็เต็มไปด้วยความมั่นใจลู่เจาอวิ๋นประหลาดใจมาก รีบเดินเข้าไปหา“พี่เหอ!”ลู่เจาหัวเห็นผู้มา สีหน้ากลับเปลี่ยนไป ร่างกายสั่นเล็กน้อย นางลืมไปได้อย่างไร ในโอกาสเช่นนี้ เหอเหลียนซินก็มาเช่นกันลู่เจาหลิงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรนางมองไปทางผู้มาเห็นรถม้าของอีกฝ่ายก่อน รถม้าคันนั้นดูหรูหรากว่าของสกุลลู่มาก สตรีที่กำลังทักทายลู่เจาอวิ๋นอย่างอย่างสนิทสนม อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด ใบหน้าทรงไข่ห่าน คางแหลม หน้าตาค่อนข้างงามเพราะอยู่ระหว่างการไว้ทุกข์ การแต่งกายของนางก็เรียบๆ เช่นกัน สีขาวทั้งชุด มีเพียงปิ่นหยกกับดอกไม้ผ้าเล็กๆ ที่ประณีตไม่กี่ชิ้น สง่างามดั่งดอกบัวที่บริสุทธิ์นางพาเด็กรับใช้มาด้วยสองคน เสื้อของเด็กรับใช้เป็นสีขาวมีกิ่งดอกไม้สีน้ำตาลเล
นางข่มความโกรธ “น้องหญิงรองหยุดได้แล้ว นี่เป็นถุงหอมที่ผู้อื่นมอบให้ข้า มันมีค่ามาก เครื่องหอมที่อยู่ข้างในก็หาซื้อตามข้างนอกไม่ได้”เครื่องหอมที่อยู่ข้างใน ท่านหญิงฉางหนิงเป็นคนให้นาง เป็นของขวัญที่ทูตต่างแดนนำมาถวายให้ท่านหญิงและองค์หญิงต่างๆ ในวังลู่เจาอวิ๋นได้เครื่องหอมมาแค่นี้ นางก็ภาคภูมิใจมาก ปกติแทบไม่เอาออกมาใช้ ในโอกาสอย่างวันนี้จึงจะยอมนำออกมาใช้ ลู่เจาหลิงกลับให้นางทิ้ง?“กลิ่นเหม็นมาก”ลู่เจาอวิ๋นอดกลั้นความโกรธ และยังคงฝืนยิ้ม คิดใจปลอบนาง “คนทั่วไปอาจจะไม่ชินกับกลิ่นเช่นนี้จริงๆ แต่นี่เป็นเครื่องบรรณาการจากทูตต่างแดน เป็นเครื่องหอมที่มีราคาแพงและหรูหรามาก น้องหญิงรอง ในเมื่อเจ้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว เจ้าต้องพยายามปรับรสนิยมให้สูงขึ้น จะชอบแต่พวกเครื่องหอมคุณภาพต่ำไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะถูกหัวเราะเยาะ”“ไร้สาระ”พลันลู่เจาหลิงยื่นมือออกไป กระชากถุงหอมบนกายนางลงมาฉับพลัน เลิกม่านรถก็โยนมันไปที่ข้างคนขับ“ไว้ตรงนั้นก่อน อีกเดี๋ยวเจ้าจะห้อยค่อยห้อย”นางทนไม่ไหวแน่ ถ้าต้องทนดมอยู่ในรถม้าที่แคบเล็กเช่นนี้ตลอดอีกทั้งเกรงว่าส่วนผสมของเครื่องหอมเหล่านี้ค่อนข้างแปลก มีผงกระดู
ชิงเป่าร้อนใจแล้ว“พวกเราต้องตามคุณหนูไป คุณหนูของพวกเรายังบาดเจ็บอยู่!”ก่อนหน้านี้พวกนางเคยได้ยินท่านหมอฝู่กล่าว คุณหนูได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ที่จริงนับว่าอันตรายถึงชีวิต แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางยังสามารถรอดมาได้ชิงเป่าชิงอินก็เป็นคนฝึกยุทธ์เช่นกัน และเคยเห็นบาดแผลของลู่เจาอิง ย่อมรู้ว่าบาดแผลนั่นสาหัสเพียงใด“ข้าอยากพาเจ้าไปด้วยจริงๆ แต่รถม้าไม่พอนั่งแล้ว” ลู่เจาอวิ๋นก็หมดหนทาง นางกล่าวเหมือนเยาะเย้ยตัวเอง “ไม่ใช่ข้าหาเรื่องพวกเจ้า แต่รถม้าจวนเรามันไม่ใหญ่”ชิงเป่ากล่าวทันที “พวกเราเดินไปก็ได้”พวกนางสามารถใช้วิชาตัวเบา“พวกเจ้ามาจากจวนจิ้นอ๋อง น่าจะรู้จักท่านหญิงฉางหนิง ดังนั้นก็น่าจะรู้ว่าจวนท่านหญิงอยู่ที่ไหน ห่างจากที่นี่ไกลมาก ถ้าหากพวกเจ้าเดิน อย่างน้อยก็ต้องเดินครึ่งชั่วยาม”ลู่เจาอวิ๋นกล่าว “ถึงเวลาพวกเจ้ากับน้องหญิงรองไม่ได้เข้าจวนพร้อมกัน ผู้อื่นก็จะหัวเราะเยาะเช่นกัน”เช่นนั้นไม่เท่ากับทำให้ผู้อื่นรู้ว่า รถม้าของสกุลลู่เล็กมาก แม้แต่สาวใช้ก็ไม่พอเบียดหรือ?ชิงอินใจเย็นกว่า คิดวิธีที่เหมาะสมกว่าออก “พวกเราไปเช่ารถม้าไป”“รอพวกเจ้าหารถม้าได้มันก็ไม่ทันแล้ว แต่ว่าถ
เที่ยวนี้เขาได้เห็นความสามารถของลู่เจาหลิงอีกครั้งชิงอินกอดกล่องในอ้อมแขนไว้ ยังรู้สึกเหมือนนี่ไม่ใช่เรื่องจริงเล็กน้อย ออกจากจวนเที่ยวเดียว คุณหนูก็หาเงินได้อีกห้าพันตำลึงแล้ว ห้าพันตำลึงเลยนะ!สกุลลู่นำเงินออกมาสามร้อยตำลึง ก็ปวดใจเหมือนถูกเฉือนเนื้อ พวกเขาจะคาดคิดได้อย่างไร คุณหนูอาศัยความสามารถของตัวเอง ก็สามารถหาเงินได้ห้าพันตำลึงแล้วนอกจากนี้ยังมีจี้หยกหนึ่งชิ้นกับโสมหนึ่งต้นด้วย แค่ของเหล่านี้ก็มีค่าหลายร้อยตำลึงตกลงสุกุลลู่รู้หรือไม่ว่าคุณหนูเป็นสมบัติลับอย่างไรครั้งนี้ชิงเป่าไม่ได้ตามออกมาด้วย แต่เฝ้าอยู่ที่หอทิงหน่วน นางดูจากเวลา ได้ไปนำอาหารเย็นกลับมาแล้ว ลู่เจาหลิงกลับมาก็ได้กินข้าวเลย“ชิงเป่าคำนวณเวลาได้พอดีเป๊ะ” นางชมไปประโยคหนึ่ง หลังจากนั้นกล่าว “ให้พวกเจ้าคนละห้าตำลึง กลับไปซื้อของที่ตัวเองชอบกิน”ให้เงินพวกนางอีกแล้ว!ชิงเป่าเบิกตากว้าง มองไปทางชิงอินด้วยสายตาตั้งคำถามชิงอินเงียบ แต่เปิดกล่องเหล่านั้นให้นางดู“คุณหนูเก่งจัง…” แม้แต่เสียงตกใจของชิงเป่าก็ลอยเล็กน้อยลู่เจาหลิงยิ้มแล้วยิ้มอีก “พอแล้ว กินข้าวเถอะ”หลังกินข้าว อาบน้ำเสร็จ นางก็กลับมาท