เมื่อลู่เจาหลิงกลับถึงหอทิงหน่วน ก็นำอาหารในตะกร้าอาหารออกมา ยังมีรังนกตุ๋นพุทราแดงในถ้วยปิดฝาอีกสี่ถ้วย และของว่างที่ดูประณีตสวยงามอีกหกจาน นอกจากนี้ ยังมีนมถั่วเหลืองหวานในหม้อดินเผาอีกด้วย “เจ้านายสกุลลู่พวกนี้ กินของไม่เลวเลยจริงๆ” นางก็ไม่เกรงใจ ตัวเองกินรังนกไปสองถ้วยกับขนมอีกสองจาน ส่วนที่เหลือยกให้ชิงอินกับชิงเป่า หลังชิงอินนำคนไปทิ้งไว้ที่เรือนค้าทาส ก็ให้พ่อค้าทาสไปรับสัญญาขายตัวของต้าชุนจากลู่ฮูหยิน เชื่อว่าหลังจากเรื่องนี้แล้ว คนในครัวพวกนั้น คงจะรู้จักระวังพฤติกรรม เก็บหัวเก็บหางกันบ้างแล้ว “คุณหนู ป้ายหยกชิ้นนั้นจำนำได้ห้าสิบตำลึงเจ้าค่ะ!” ชิงเป่าก็กลับมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน นางนำขนมจากร้านขึ้นชื่อกลับมาด้วยสามกล่อง จากนั้นส่งถุงผ้าใบหนึ่งให้ลู่เจาหลิง ตอนที่ชิงเป่าไปโรงรับจำนำ เมื่อผู้จัดการร้านของโรงรับจำนำเห็นป้ายหยกชิ้นนั้น ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อยขึ้นมา กล่าวว่าแม้ป้ายหยกชิ้นนี้จะไม่ใช่ของหายาก และเนื้อหยกจะจัดอยู่เพียงระดับกลางก็ตาม แต่เขารู้สีกว่าประกายหยกมีความอ่อนโยนมาก ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกชื่นชอบ ผู้จัดการร้านยังถึงกับบอกความจริงกับนางด้วยว่า
ดูเหมือนนางจะมิได้ใส่ใจต่อความโมโหของลู่ฮูหยินแม้แต่น้อย “หากท่านไม่พูดข้าก็ลืมไปแล้ว ในเมื่อข้ากลับสู่จวนสกุลลู่แล้ว เงินตามกฎที่ควรมอบให้ข้าในแต่ละเดือน เสื้อผ้าสี่ฤดู และเงินเดือนของสาวใช้ ยังมีถ่าน ใบชา และของใช้จิปาถะในเรือนพวกนั้น เหตุใดยังไม่เห็นคนส่งมาเลยเล่า?” ลู่ฮูหยินคิดไม่ถึงว่านางจะมีความกล้ามาทวง ในดวงตามีประกายเยียบเย็นวาบผ่าน ทว่าทันใดนั้นก็นึกถึงสิ่งที่ลู่หมิงกำชับนางไว้ขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าต้องการพูดถึงเรื่องพวกนี้ เช่นนั้นข้าก็จะมาคำนวณกับเจ้า จะได้ไม่ต้องมาคิดว่าหลายปีนี้ ที่บ้านล้วนติดค้างเจ้า” ลู่เจาหนิงมองนาง ส่งสัญญาณให้นางพูดต่อไป “ตอนนั้น ที่ส่งเจ้ากลับชนบท เป็นเพราะนักพรตบอกว่าชะตาของเมืองหลวงแข็งกล้าเกินไป ดวงชะตาเจ้าอ่อนแอเกินไปไม่อาจต้านรับ หากรั้งอยู่ในเมืองหลวงอาจสิ้นชีพแต่ยังเยาว์วัย นี่ล้วนทำไปเพื่อเจ้าทั้งนั้น” ลู่ฮูหยินมองสำรวจนาง ด้วยสีหน้าท่าทางเยาะหยัน “พูดตรงๆ ก็คือ ในเมื่อชะตาอาภัพก็ต้องเลี้ยงแบบตกยาก” คุณหนูชะตาอาภัพ? แม้ชิงอินจะไม่รู้สิ่งใด แต่นางมักรู้สึกว่า ลู่เจาหลิงดูแล้วเป็นผู้ที่มีวาสนาชัดๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเวลานี้ นางได
ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบนั่น ก็คือของที่ลู่เจาหลิงฝังไว้ที่หลังเขาในชนบทชิ้นนั้น “ตุ๊กตากระเบื้องเคลือบอะไรกัน?” ลู่เจาหลิงไม่ได้แสดงอะไรบนใบหน้า นางพูดอย่างไม่ใส่ใจแค่ประโยคเดียวว่า “ไม่รู้ทำหายไปที่ใดตั้งนานแล้ว” พวกเขาอยากได้ นางก็ต้องไม่ให้อยู่แล้ว ถึงนางจะไม่รู้ว่าที่แท้แล้วของในตุ๊กตากระเบื้องเคลือบคืออะไรกันแน่ก็ตาม “ว่าอย่างไรนะ? หายไปแล้ว?” เสียงของลู่ฮูหยินพลันบาดแหลมขึ้นมาทันที “ตอนนั้นเจ้ารักถนอมขนาดตอนนอนก็ต้องกอดไว้ แล้วเจ้าจะทำมันหายได้?” ความทรงจำตอนเด็กของยัยหนูน้อยที่น่าสงสารนั่นเลือนรางมาก นางก็จำไม่ได้ว่าตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวนั้นมีที่มายังไง นั่นเป็นตุ๊กตารูปสาวน้อย ตัวคนมีความสวยงามอ่อนโยน ตัวกระเบื้องเป็นสีขาวที่เนื้อละเอียดอย่างมาก นอกจากจะไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิงแล้ว ยังค่อนข้างหนักด้วย แต่หากออกแรงเขย่าจะสามารถได้ยินว่า ภายในคลับคล้ายจะมีบางสิ่งอยู่ หลายปีนั้น คนตระกูลลู่ที่อยู่ในชนบทต่างก็พยายามหาวิธีมาแย่งหรือขโมยตุ๊กตากระเบื้องเคลือบตัวนั้น เด็กน้อยแซ่ลู่ที่น่าสงสารคิดว่าตนเองคงรักษามันไว้ไม่ได้ จึงแอบฝังมันไว้ที่หลังเขา จากนั้นบอกคนบ้านเดิมสกุลลู่ว
ลู่เจาหลิงหัวเราะ “เจ้าก็ไม่กลัวถูกลือออกไปว่าหยิ่งผยองเอาแต่ใจจนชื่อเสียงเสียหายหรือไร!” “ไม่กลัวน่ะสิ ตอนนี้ข้าได้รับสมรสพระราชทานจากฝ่าบาทให้แต่งกับจิ้นอ๋องแล้ว ไม่ต้องกลัวจะไม่มีผู้ใดมาทาบทามเสียหน่อย” ลู่เจาหลิงตอบกลับโดยไม่ต้องคิดแม้แต่น้อย ลู่ฮูหยินถูกนิสัยห่ามๆ ของนางทำให้โมโหจนระเบิดแล้ว นางกัดฟันกล่าวว่า “หากจิ้นอ๋องเกิดได้ยินขึ้นมาเล่า…” ลู่เจาหลิงขัดจังหวะของนาง “อ้อ เรื่องนั้นก็ไม่ต้องรบกวนให้ท่านเป็นห่วงแล้ว จิ้นอ๋องทรงชอบท่าทางเย่อหยิ่งเอาแต่ใจของข้าที่สุดเลยล่ะเจ้าค่ะ” อุ๊บ อีกนิดเดียว ชิงอินก็เกือบหัวเราะออกมาแล้ว นี่จริงหรือ? ทว่าเมื่อเห็นคุณหนูใช้ท่าทีกวนๆ กล่าวคำพูดพวกนี้ออกมา นางก็รู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก คุณหนูช่างไม่เหมือนบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์คนอื่นในเมืองหลวงจริงๆ “เหตุใดเจ้าจึงได้ไร้ยางอายเช่นนี้?” ลู่ฮูหยินพูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เหตุใดจึงพูดว่าบุรุษพึงใจไม่พึงใจเจ้าออกมาจากปากได้” นี่ยังรู้จักสงวนตัวอยู่หรือไม่? “จิ้นอ๋องยังโปรดให้ข้าพูดคำว่าชอบบ่อยๆ ด้วย” ลู่เจาหลิงยักคิ้วให้นาง “เขาชอบข้า ข้าชอบเขา ท่านอิจฉาหรือ?” ที่ด้านหลังภูเขาจำลอ
หลังจากที่ท่านหมอฝู่ออกจากที่พักของลู่เจาหลิงในคราก่อน ก็คิดถึงคำถามของนางอยู่ตลอดว่า ช่วงนี้ได้ไปเยือนสถานที่แปลก หรือใกล้ชิดของประหลาดใดหรือไม่ ทว่าเขายังคงนึกไม่ออก กระทั่งยามนี้ ที่จู่ๆ หลานชายเกิดปวดหัวอย่างรุนแรงขึ้นมา ท่านหมอฝู่จึงนึกได้ในฉับพลัน หลายวันก่อน ฝู่เฉิงและเหล่าสหายหนุ่มรุ่นเยาว์ออกไปเล่นกันนอกเมือง แล้วเก็บรากไม่แกะสลักจากคูน้ำได้รูปหนึ่ง ของสิ่งนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สลักและไม่รู้ว่าผู้ใดทำตกไว้ที่นั่น ทว่าฝู่เฉิงคิดว่ารากไม้สลักนั่นแกะได้ไม่เลว จึงเก็บมันกลับมาด้วย ในครอบครัวก็มีเพียงท่านหมอฝู่ที่ชื่นชอบของประเภทนี้ ดังนั้นเมื่อฝู่เฉิงนำรากไม้สลักกลับมาก็นำมาให้เขาดูแล้ว ในเวลานั้น ท่านหมอฝู่ผู้เฒ่ารับของไปพิจารณาอย่างละเอียดครู่หนึ่ง เมื่อตัดประเด็นว่าไม้ชิ้นนั้นไม่มีกลิ่นที่ดึงดูดแมลง หรือเป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ ก็คืนมันให้ฝู่เฉิงไป ในเมื่อเด็กชอบ เช่นนั้นก็เก็บไว้เล่นเถิด นี่คือสิ่งของประหลาดที่เขากับฝู่เฉิงสัมผัสเช่นเดียวกันในช่วงนี้ เมื่อนึกเรื่องนี้ได้ ท่านหมอฝู่ก็หันศีรษะไปอย่างรวดเร็วทันที จากนั้นก็เห็นรากไม้สลักรูปนั้นวางอยู่บนชั้
เกรงว่าแม้แต่ประตูวังก็คงเข้าไปไม่ได้ “ไม่ใช่ อย่างไรรอข้ากลับมาค่อยว่ากัน” ท่านหมอฝู่นำของสิ่งนั้นจากไปอย่างเร่งร้อนแล้ว เมื่อคนเฝ้าประตูจวนสกุลลู่เห็นท่านหมอฝู่ ก็รีบเข้าไปต้อนรับเขา “ใต้เท้าของพวกเราเข้าวังไปแล้วขอรับ” เวลานี้ขุนนางทั้งหลายต่างก็เข้าวังไปปรึกษาเรื่องงานพระศพของไท่ซ่างหวง แม้ลู่หมิงจะเป็นเพียงเจ้ากรมที่ทำหน้าที่รับผิดชอบการต้อนรับอาคันตุกะต่างแคว้นคนหนึ่งของกรมพิธีการ และก็เป็นเพราะเรื่องนี้ ทำให้ลู่หมิงไม่มีเวลามาจัดการกับลู่เจาหลิงชั่วคราว “ข้าไม่ได้มาหาใต้เท้าลู่ ข้ามาหาคุณหนูลู่น่ะ” ท่านหมอลู่เกรงว่าคนเฝ้าประตูจะเข้าใจว่าเป็นคุณหนูนางอื่นของสกุลลู่ จึงเสริมอีกประโยคว่า “คุณหนูรองลู่เจาหลิง” คุณหนูสี่สกุลลู่บังเอิญออกมาพอดี เมื่อเห็นท่านหมอฝู่ ก็รีบเข้ามาต้อนรับอย่างตื่นเต้นยินดีเล็กน้อย ครั้งก่อนตอนที่ท่านหมอฝู่มานางไม่อยู่ หลังรู้เข้าก็รู้สึกเสียดายอย่างมาก หากรู้ก่อนก็ไม่ออกไปแล้ว ต้องรู้ว่านางอยากเจอท่านหมอฝู่มาตลอด “ท่านหมอฝู่ ท่านมาหาพี่รองของข้าหรือเจ้าคะ?” แม้ท่านหมอฝู่ร้อนใจอย่างมาก ทว่าเมื่อเห็นแม่นางน้อยท่าทางสง่างามที่อายุราวสิบห้าเ
ลู่เจาหลิงมองไปที่ลู่เจาหัว แต่ไม่นานสายตาก็ย้ายไปที่ท่านหมอฝู่ที่ตามเข้ามาอย่างเร่งร้อน ทันทีที่เห็นลักษณะบนใบหน้าของท่านหมอฝู่ สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที “คุณหนูลู่ ข้ามีเรื่องสำคัญจะขอร้อง!” ทันทีที่ท่านหมอฝู่เห็นนางก็พูดออกมาอย่างร้อนใจ “ไม่ต้องรีบเจ้าค่ะ” ลู่เจาหลิงกล่าวเบาๆ ประโยคหนึ่ง ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด เดิมท่านหมอฝู่กำลังร้อนใจอย่างมาก ทว่าเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่สงบมั่นคงของนาง ภายในใจก็รู้สึกสงบลงหลายส่วน ทั้งที่ลู่เจาหลิงเป็นเพียงสาวน้อยที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับหลายชายของเขาเท่านั้น แต่บนร่างของนางกับมีความสงบมั่นคงชนิดหนึ่ง ซึ่งให้ความรู้สึกพึ่งพาได้เป็นอย่างมาก ลู่เจาหัวตกใจอย่างมาก ท่านหมอฝู่ที่แม้แต่ท่านแม่ก็ต้องขอพบอย่างรอคอย เมื่ออยู่ต่อหน้าลู่เจาหลิงกับลดตัวลงเช่นนี้! อีกทั้งยังบอกว่ามีเรื่องขอร้องด้วย! นอกจากเรื่องที่ได้รับสมรสพระราชทานแล้ว ลู่เจาหลิงซึ่งเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบหกปี ที่แท้มีสิ่งใดที่ทำให้ท่านหมอฝู่ถึงกับต้องมาขอร้องถึงเรือนกันแน่ เมื่อคิดถึงจุดนี้ ลู่เจาหัวก็มอบรอยยิ้มที่ดูเป็นเด็กดีอย่างยิ่งให้ลู่เจาหลิง “พี่รอง ข้าคือน้อง
กระทั่งเล่าถึงตอนที่ลูกชายของเขาให้หมอนกระเบื้องทุบฝู่เฉิงจนสลบ มุมปากของลู่เจาหลิงก็กระตุกเล็กน้อย ไม่กลัวจะทุบจนคนเอ๋อหรือยังไง “ข้าคิดไปคิดมา ของจากภายนอกที่ข้ากับหลานชายสัมผัสร่วมกันในช่วงนี้ ก็คือรากไม้แกะสลักชิ้นนี้!” แม้เขาเป็นหมอมีชื่อ ทว่าโรคเช่นนี้ เขารักษาไม่ได้ ชิงอินกับชิงเป่าต่างก็ชะโงกหน้าไปดูสิ่งของที่วางอยู่บนโต๊ะ เรื่องที่ท่านหมอฝู่พูดมา พวกนางฟังตนงุนงงไปหมด เรื่องพิสดารเช่นนี้ มาหาคุณหนูของพวกนางจะมีประโยชน์หรือ? ลู่เจาหลิงกลับยื่นมือไปเลิกผ้าสีดำผืนนั้นออก “คุณหนูลู่…” ท่านหมอเจ้ากลับมีความพะวงอยู่บ้าง “หากเจ้ารากไม้สลักนี่มีอาถรรพ์ ท่านสัมผัสมันแล้วจะมีอันตรายหรือไม่?” เขามองหญิงสาวร่างผอมบางที่บนศีรษะยังพันแผลอยู่ รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย หากทำร้ายนางเข้าเล่า? “ไม่หรอก” ลู่เจาหลิงตอบเขาประโยคหนึ่ง ตอนนี้นางได้เปิดผ้าสีดำออกแล้ว ที่เข้าสู่สายตา คือรากไม้สลักที่ปกคลุมด้วยไอดำ ราวโครงกระดูกโบราณที่กำจายกลิ่นเหม็นอันเน่าเปื่อยออกมา ทว่านี่เป็นสิ่งที่ลู่เจาหลิงเห็นเพียงคนเดียวเท่านั้น สิ่งที่ชิงอินเห็นคือรูปไม้สลักที่สูงประมาณแจกันดอกไม้ แกะ